[Update] The Flash ฮีโร่ความเร็วเเสง | the คือ – NATAVIGUIDES

ประวัติ : The Flash

ถ้าจะให้เล่าประวัติของ The Flash จริงๆนั้นไม่ง่ายเท่าไหร่ครับ เพราะนอกจากจะมีหลายคนแล้ว ยังมีหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลง จนกลายเป็นว่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วนั้น มันไม่เคยมีอยู่ จะพยายามอธิบายให้เข้าใจกันนะครับ

โดย The Flash คนแรกนั้น ชื่อว่า Jay Garrick ซึ่งถือว่า เขาเป็น Speedster คนแรกของโลก Comic ของ DC และได้ชื่อว่าเป็น The Flash คนแรก โดย Jay Garrick นั้นเป็นซูเปอร์ฮีโร่ยุค Golden Age ปรากฏตัวครั้งแรกในช่วง สงครามโลกครั้งที่ 2 และยังเป็นสมาชิกของ Justice Society of America และ The All-Star Squadron ซึ่ง Garrick โผล่มาแค่ช่วงๆ สั้น แต่ก็ถือว่าสำคัญ เพราะว่า เขานั้นเป็น แรงบันดาลใจให้ แบร์รี่ อัลเลนในการมาเป็น The Flash คนที่ 2

The Flash คนที่ 2 ชื่อว่า Barry Allen ซึ่งถือว่าเป็น Speedster ที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งเวลาที่เขาไม่ได้ทำหน้าที่ The Flash เขาคือผู้เชี่ยวชาญทางด้านนิติเวชคอยช่วยเหลือตำรวจที่ Central City ซึ่ง Barry ถือว่าเป็น Flash คนที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันที่สุด ส่วนมากเนื้อเรื่องของ Flash จะมาอยู่ที่ Barry และเขาเองก็ยังเป็นแรงบัลดาลใจต่อ Wally West และ Bart Allen ในการมาเป็น The Flash รุ่นต่อไปอีกด้วย ซึ่ง Barry เองได้เสียสละชีวิตเขา ใน Event Crisis on Infinite Earths เพื่อหยุดการระเบิดทำให้ร่างกายเขาได้สลายหายไปต่อหน้าเพื่อนๆ เหลือทิ้งไว้เพียงแต่ชุดของเขาเท่านั้น แต่ทว่าเขาไม่ได้ตาย แต่ดันไปติดอยู่ใน Speed Force ตลอดกาล! โดยตัว Barry เองนั้นเป็น สมาชิกของ Justice Leagua of America

The Flash คนที่ 3 หรือ Wally West นั้นก่อนจะมาเป็น The Flash เขานั้นคือ Kid Flash คนแรก โดยเขาได้พลังมาจาก Barry ซึ่งช่วยเขาตอนที่ Wally เกิดอุบัติเหตุ ซึ่ง Wally เองเป็นหลานของ Iris ภรรยาย Barry นั้นเอง ซึ่งนั้นทำให้ Wally มีพลังและคอยช่วยเหลือ Barry ในฐานะ Kid Flash แต่จากเหตุการณ์ที่ Barry ได้หายตัวไปใน Event Crisis on Infinite Earths ทำให้ Wally ได้ขึ้นมาเป็น The Flash คนที่ 3 นั้นโดยเป็นสมาชิกของ Justice Leagua of America และ Teen Titans ซึ่งตัวละคร Wally West ที่เป็น The Flash คนที่ 3 มีส่วนสำคัญในการกลับมาของ Barry Allen ที่เป็น The Flash คนที่ 2 เลยทีเดียว เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังกันต่อไปนะครับ

The Flash คนที่ 4 หรือ Bart Allen คนนี้เรียกได้ไม่เต็มปากว่าเป็น The Flash เขาโผล่มาตอนแรกในนามของ Impulse และต่อมาได้กลายเป็น Kid Flash คนที่ 2 และกลายมาเป็น The Flash คนที่ 4 ครับ ซึ่ง Bart Allen นั้นเป็นหลานของ Barry Allen ที่ได้ย้อนเวลากลับไปใน Flash Family เพื่อฝึกฝน แต่ทว่าเขากลับมีนิสัยที่ค่อนข้างจะอารมณ์ร้อนจึงได้สมญานามว่า Impulse และต่อมาเขาได้พยายามควบคุมตัวเอง และฝึกฝนอย่างหนักจนได้กลายเป็น Kid Flash นั้นเอง แต่ Bart Allen นั้นกลับถูกฆ่าโดย The Rogues ใน Event Full Throttle และฟื้นคืนชีพมาใน Event Final Crisis ครับ Bart Allen นั้นเป็นสมาชิกของ Young Justice,Teen Titans และ Legion of Super-Heroes ครับ

ขอเริ่มอธิบายแบบเชื่อมโยงตัวละครแต่ละคน มันเริ่มมาจากเด็กหนุ่มชื่อ Barry Allen ที่มีการ์ตูนเรื่องโปรดคือ The Flash ( Jay Garrick เป็นเพียงตัวการ์ตูนในโลกหลัก เเต่มีตัวตนในอีกโลกนึง จนหลังๆมีการซ้อนทับจักรวาลถึงได้อยู่ในโลกใบเดียวกัน ) ได้ถูกฟ้าผ่าเข้าให้ซึ่งระหว่างที่เขาโดนฟ้าผ่า ก็ดันล้มไปโดนสารเคมีในห้องแลปของเขาอาบทั้งตัวกันเลยทีเดียว แต่นั้นทำให้เขาฟื้นขึ้นมาพร้อมกับพลังแห่ง Speed Force ทำให้เขาวิ่งเร็วเหมือนการ์ตูนโปรดของเขา เขาจึงเริ่มออกปราบเหล่าร้ายในนาม The Flash

แต่ว่ามันก็ไม่ได้ราบรื่นเสมอไป เมื่อมีวายร้ายนาม Reverse-Flash ออกมาปรากฏตัว ซึ่งเจ้านี้แหละ ที่ฆ่าแม่ของ Barry ในอดีต และนั้นทำให้ Barry ก้าวเข้ามาเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านนิติเวชคอยช่วยเหลือตำรวจและออกสืบหาความจริงไปด้วยว่าใครกันแน่ที่ฆ่าแม่ของเขา โดยเจ้า Reverse-Flash จะคอยย้อนเวลาไปเปลี่ยนสิ่งต่างๆ เพื่อแกล้ง Barry (จริงๆ มันไม่ได้อยากแกล้งหรอกครับ มันอยากจะฆ่าเลยด้วยซ้ำแต่มันทำไม่ได้ เพราะมันมีพลังได้ก็เพราะ Barry หากมันฆ่า Barry ตัวมันเองก็จะไม่มีพลังอีกต่อไป เพราะเหตุผลนี้มันจึงทำได้แค่ ไปฆ่าคนรอบตัวของ Barry เท่านั้น) ทำให้ Barry เจ็บปวดทั้งนี้คือสิ่งที่มันต้องการเท่านั้น แต่เมื่อ Barry ได้ตายในช่วงเหตุการณ์ Crisis on Infinite Earths จากที่กล่าวไปข้างต้นทำให้เขา Wally West ขึ้นมาเป็น The Flash แทนและได้ต่อสู้ในเหตุการณ์จนมาถึงช่วงเหตุการณ์ Final Crisis ที่ Wally West และ Jay Garrick ได้วิ่งเข้าไปใน Speed Force ซึ่งในนั้น พวกเขาได้พบกับ Barry ที่ยังมีชีวิต แต่ติดอยู่ใน Speed Force ทำให้ Wally และ Jay ได้ช่วยกันรวมพลังกันจนพา Barry วิ่งออกมาสู่ปัจจุบัน

ต่อมาคือ เหตุการณ์ Flash Point ผมถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่ใหญ่ที่สุดแล้วของ The Flash เมื่อ Barry ตื่นมาและพบว่าตัวเขาเองเป็นแค่มนุษย์ธรรมดา แถมแม่ของเขายังไม่ตาย !!! และ Iris ภรรยายของ Barry เองก็ดันไม่ใช่ภรรยายของเขาอีกต่อไปแล้ว ทั้งสองแค่รู้จักกันในนามเพื่อนร่วมงานเท่านั้นเอง ซึ่งจากเหตุการณ์ทั้งหมดทำให้ Barry คิดได้ว่ามีแค่คนเดียวเท่านั้นที่ทำเรื่องแบบนี้ให้เกิดขึ้นได้ คือเจ้า Reverse-Flash คนเดียวเท่านั้น Barry จึงได้ไปยังถ้ำค้างคาวเพื่อจะให้ บรูซช่วยเอาพลังของเขากลับมา และเมื่อ Barry ไปถึงกลับพบว่า Batman ที่เขาเจอนั้นไม่ใช่บรูซแต่เป็นพ่อของบรูซ โธมัส เวนย์นั้นเอง Barry พยายามอธิบายให้ โธมัสจนยอมช่วย Barry ในการเอาพลังกลับมา และในช่วงสุดท้ายของเหตุการณ์นี้ Barry ได้เจอกับ Reverse-Flash และนั้นทำให้ Barry ได้รู้ความจริงที่เกิดขึ้นเมื่อ Zoom (ก็เจ้า Reverse-Flash นั้นแหละครับ) อธิบายให้ Barry ฟังว่า ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ สิ่งต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นเกิดจากที่ตัว Barry ดันย้อนเวลาไปช่วยแม่ของเขาเอาไว้ไม่ให้เสียชีวิต และนั้นทำให้อนาคตทั้งหมดเปลี่ยนแปลงไป แต่ระหว่างที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นนั้น Zoom ได้หลบอยู่ใน Speed Force ทำให้ไม่ได้รับผลกระทบที่เกิดขึ้น และนั่นทำให้เขาสามารถฆ่า Barry ได้ในโลกนี้ โดยไม่ส่งผลต่อเขาเลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งระหว่างที่ Zoom พล่ามตามประสาตัวร้าย Batman (โธมัส เวนย์) ก็ได้ถือโอกาสฆ่า Zoom ตาย โธมัสได้ฝากจดหมายไปถึงบรูซและบอกให้ Barry รีบกลับไปเปลี่ยนอดีตของเขาซะให้มันกลับไปเป็นเหมือนเดิมแล้วทุกอย่างจะกลับเป็นปกติ Barry จึงเริ่มวิ่งเข้าสู่ Speed Force แต่ว่ามันยังเร็วไม่พอและพลังของ Barry เองก็จะหมดแล้วด้วย แต่ระหว่างทางเขาได้พบกับ หลานของเขา Kid Flash (Bart Allen) ซึ่ง Bart นั้นได้พลังมาจาก Speedster คนอื่นๆ Bart จึงยอมเสียสละพลังของเขาให้ Barry กลับไปเปลี่ยนอดีตให้จงได้ เพื่อให้อนาคตกลับมาเป็นเช่นเดิม และในที่สุด Barry ก็วิ่งไปเจอตัวเองที่กำลังจะไปช่วยแม่ของเขา และขัดขวางไม่ให้ตัวเขาเองทำสำเร็จ จึงส่งผลต่อจักรวาลทั้งหมดอักครั้งเป็นจักรวาล New 52

ความสามารถ

– Speed Force คือ พลังความเร็วที่สามารถเดินทางย้อนเวลาหรือข้ามอนาคตได้เลยทีเดียว โดยพลังความเร็วของเขานั้นสามารถควบคุมให้ส่วนใดในร่างกายก็ได้เร็วขึ้น เช่นหมุนแขนเป็นวงกลมจนเกิดเป็นพายุเล็กๆ ที่ควบคุมด้วยแขนของเขา การสั่นโมเลกุลเพื่อทะลุผ่านสิ่งต่างๆ และอื่นๆ อีกมาก

– ความฉลาด ถือว่า Barry เองเป็นคนที่ฉลาดพอสมตัวเลยทีเดียว และด้วยความเร็วของเขา เขาสามารถอ่านหนังสือเเละเรียนรู้ในสิ่งที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย ถือว่าเพิ่มความฉลาดให้ตัวเองแบบก้าวกระโดดเลยทีเดียว

บทความโดย Agent K

แปลจาก http://dc.wikia.com/wiki/Flash

Share this:

• Twitter

• Facebook

Like this:

Like

Loading…

Below the Line คือ การส่งเสริมการขายด้วยการโฆษณาที่ไม่ใช่การใช้สื่อหลักอย่าง โฆษณาทางทีวี วิทยุ หรือ สื่อสิ่งพิมพ์อย่างหนังสือพิมพ์ (ที่เรียกว่า Above the Line)

โดยการโฆษณาแบบ Below the Line ในปัจจุบันมักจะเป็นการโฆษณาทางสื่อ Internet โดยส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ในปัจจุบัน Internet เข้าถึงคนทั่วไปมากขึ้น

ตัวอย่างการโฆษณาแบบ Below the Line ที่เห็นบ่อยๆ ได้แก่ การโฆษณาผ่าน Ads แต่ละเจ้า การลงโฆษณาบทเว็บไซต์ Email Marketing หรือ การจ้าง Influencer เพื่อโฆษณาสินค้า เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม Below the Line ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่เพียงแค่การโฆษณาบน Internet อย่างที่บอกไว้ว่าอะไรก็ตามที่ไม่ใช่สื่อหลัก (Above the Line) ก็คือ Below the Line ทั้งนั้น

ไม่ว่าจะเป็น การออกบูธตามงานต่างๆ การจัดงานขึ้นมา การเป็นสปอนเซอร์ให้กับกิจกรรมบางอย่าง การจัดงานประกวด และกิจกรรมส่งเสริมการขายอื่น ๆ

ข้อดีของ Below the Line

ข้อดีของ Below the Line คือ ด้านตรงข้ามของ Above the Line ที่ Above the Line ไม่สามารถทำได้ นั่นก็คือความละเอียด และความสามารถในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงกลุ่มเป้าหมาย

เลือกกลุ่มเป้าหมายได้ชัดเจน ถ้าออกบูธก็ไปงานที่กลุ่มเป้าหมายไป หรือ การลงโฆษณาบน Internet ก็สามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายได้อย่างละเอียดไม่ว่าจะเป็นเพศ อายุ ภูมิภาค Lifestyle หรือด้วยเงื่อนไขอื่นๆ

วัดผลได้ชัดเจนจากตัวเลขสถิติ สามารถเก็บสถิติได้อย่างชัดเจน ว่าการประชาสัมพันธ์ของเราเข้าถึงใครบ้าง โดยเฉพาะโฆษณาบน Internet ที่ผู้ลงโฆษณาสามารถรู้ได้แม้กระทั่งคนดูโฆษณาไปจนถึงวินาทีที่เท่าไหร่

ต้นทุนต่ำกว่า Above the Line (ในหลายๆ กรณี) เพราะสามารถเลือกยิงโฆษณาให้กับกลุ่มเป้าหมายที่สนใจสินค้าเราจริงๆได้ ทำให้ค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการหว่านโฆษณาไปแบบ Above the Line

ข้อเสียของ Below the Line

ข้อเสียหลักของการใช้ Below the Line คือ ต้องอาศัยทรัพยากรมนุษย์ที่สูงกว่า Above the Line อย่างมาก

ถ้าเป็นการลงโฆษณาบน Internet ก็จะต้องใช้เวลาศึกษาก่อนอย่างถี่ถ้วนว่าลงควรจะโฆษณาตรงไหนจึงจะตรงกลุ่มเป้าหมาย

ส่วนการจัดบูธ นอกจากจะต้องศึกษาว่าจะไปที่ไหน ก็ยังต้องใช้เวลาในการออกแบบและจัดบูธ

ซึ่งผลที่ตามมาของความผิดพลาดในการส่งเสริมการขายด้วยวิธีแบบ Below the Line ก็คือ การกลับบ้านมือเปล่าเสียเวลาฟรีแบบไม่ได้อะไร เช่น ยิงโฆษณาใส่กลุ่มเป้าหมายผิดกลุ่ม ออกบูธผิดงาน