ตัวอย่าง ประโยค past simple tense 20 ประโยค: นี่คือโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
Post on 16 / 02 / 20
1.6K viewed
Table of Contents
ประโยคคำถาม (Question Sentences หรือ Interrogative sentence)
หมายถึง ประโยคหรือกลุ่มคำที่ผู้พูดหรือผู้เขียนต้องการให้ผู้ฟังหรือผู้อ่านให้คำตอบ ซึ่งอาจจะเป็นคำตอบสั้น ๆ ว่า yes หรือ no หรือเป็นคำตอบที่เป็นคำเดียว เป็นกลุ่มคำ หรือเป็นประโยค
ประเภทของประโยคคำถาม
1. Yes/No questions
- Yes/No questions ได้แก่คำถามที่ผู้ตอบมักจะต้องตอบรับหรือตอบปฏิเสธ คือ ตอบ yes หรือ no คำถามประเภทนี้ สร้างขึ้นจากประโยคบอกเล่า ในประโยคที่ใช้ tense ต่าง ๆที่มีกริยาช่วย หรือในประโยค ที่มี BE เป็นกริยาแท้เป็น present simple tense หรือ past simple tense มักวางประธานและกริยา สลับที่กันกลายเป็นประโยคคำถาม Yes/No questions การตอบคำถามส่วนมากจะเริ่มด้วยคำตอบ yes หรือ no ตามข้อเท็จจริงที่ผู้ตอบต้องการสื่อและตามด้วยข้อมูลเพิ่มเติมซึ่งอาจจะเป็นข้อความสั้น ๆ ที่อยู่ในรูปของ declarative sentence
กริยาช่วย + ประธาน + กริยาแท้……..?
Declarative Sentence
Question
Answer
That is our new English teacher.
Is that our new English teacher?
Yes./ Yes, that’s right./ Yes, it is.
I am from Thailand.
Are you from Thailand?
Yes, I am.
He is studying at my university.
Is he studying at your university?
Yes, he is.
He has left for the airport.
Has he left for the airport?
Yes./ Yes, he has.
ประโยคที่มีกริยาอื่น ๆ เช่น walk, play, leave, study, etc. เป็นกริยาแท้และอยู่ใน present simple tense ต้องใช้กริยาช่วย do หรือ does ในประโยคคำถาม ดังตัวอย่าง
Declarative Sentence
Question
Answer
He walks to school.
Does he walk to school?
Yes./ Yes, he does.
They play tennis.
Do they play tennis?
Yes, they do./ No, they don’t.
I play badminton.
Do you play badminton?
Yes, I do./ No, I don’t.
We like Italian food.
Do you like Italian food?
Yes, we do./ No, we don’t.
ใช้กริยาช่วย did ในประโยคที่มีกริยาแท้อยู่ใน past simple tense เมื่อเปลี่ยนประโยคบอกเล่าเป็นประโยคคำถาม ดังตัวอย่าง
Declarative Sentence
Question
Answer
Korn studied in Bangkok.
Did Korn study in Chiang Rai?
No, he didn’t. He studied in Bangkok.
The boys studied in Bangkok.
Did the boys study in Bangkok?
Yes, they did./ No, they didn’t.
ในประโยคที่มี do และ have เป็นกริยาแท้และอยู่ใน present simple tense ต้องใช้กริยาช่วย do หรือ does ในประโยคคำถาม และใช้กริยาช่วย did เมื่อ do หรือ have อยู่ใน past simple tense ดังตัวอย่าง
Declarative Sentence
Question
Answer
He does his homework after school.
Does he do his homework after school?
Yes, he does./ No, he doesn’t.
They always do the work by themselves.
Do they always do the work by themselves?
Yes, they do./ No, they don’t.
I did that alone.
Did you do that alone?
Yes, I did./ No, I didn’t.
We have Italian food once a week.
Do you have Italian food once a week?
Yes, we do./ No, we don’t.
We had Chinese food yesterday.
Did you have Chinese food yesterday?
Yes, we did./ No, we didn’t.
2. Wh-questions
- Wh-questions ได้แก่คำถามที่ผู้ตอบจะต้องให้ข้อมูลแก่ผู้ถามตาม Wh-word ที่วางไว้ต้นประโยคคำถาม เช่น
Q: Where did Korn study?
A: He studied in Bangkok.
Wh-words ซึ่งใช้นำหน้าประโยคคำถาม ได้แก่คำต่อไปนี้ who (ใคร = subject), whom (ใคร = object), what (อะไร = subject และ object), when (เมื่อไร), where (ที่ไหน),
how (อย่างไร), which (คน/อัน/สิ่งไหน), whose (ของใคร), why (ทำไม) การสร้างประโยคคำถามด้วย Wh-words
2.1 Who ใช้เมื่อถามถึงประธานของประโยคที่เป็นคน
การเรียงคำในประโยคคำถามเหมือนการเรียงคำในประโยคบอกเล่าดังนี้
Wh-word (= ประธานของประโยค) + กริยา (= present simple หรือ past simple)?
Wh-word (= ประธานของประโยค) + กริยา (= aux. verb + main verb เมื่อเป็น tense อื่น)?
นอกจาก who ที่ใช้ถามถึงประธานของประโยคแล้วยังใช้ what, which, whose, how many ได้ ซึ่งเรียงคำในประโยคแบบเดียวกับ who
2.2 Whom ใช้เมื่อถามถึงบุคคลที่เป็นกรรมของประโยค
หมายเหตุ ปัจจุบันนิยมใช้ who แทน whom โดยเฉพาะในภาษาพูดและภาษาไม่เป็นทางการ
การเรียงคำในประโยคคำถาม ประธานของประโยค จะต้องวางสลับกับ กริยาช่วย ดังนี้
– ในประโยคที่ใช้ tense ต่าง ๆ ที่มีกริยาช่วย วางประธานและกริยาช่วยสลับที่กัน ในประโยคที่มี BE เป็นกริยาแท้ อยู่ใน present simple tense หรือ past simple tense ต้องวางประธานและกริยา BE สลับที่กัน
– ในประโยคที่มีกริยาอื่น เช่น walk, buy, come, etc. เป็นกริยาแท้ อยู่ใน present simple ต้องใช้ does วางหน้าประธานที่เป็นบุรุษที่ 3 เอกพจน์ และใช้ do วางหน้าประธานที่เป็นบุรุษอื่น ๆ แล้วเปลี่ยนกริยาแท้ให้อยู่ในรูป V base form วางไว้หลังประธาน ถ้ากริยานั้นเป็น past simple ให้ใช้ did วางหน้าประธานได้ทุกบุรุษ แล้วเปลี่ยนกริยาแท้ให้อยู่ในรูป V base form วางไว้หลังประธาน
2.3 Whose ใช้เพื่อถามว่าใครเป็นเจ้าของของสิ่งของสิ่งหนึ่งหรือจำนวนหนึ่ง ใช้คังนี้
whose: Whose are these? หรือ
whose + noun: Whose car ran the fastest? ประโยคคำถามนี้ “Whose car”
เป็นประธานของประโยค รูปประโยคมีลักษณะดังนี้
whose + noun (= ประธานของประโยค) + กริยา (= present simple หรือ past simple)
Whose book are you reading? ประโยคคำถามนี้ Whose book เป็นกรรมของประโยค
รูปประโยคมีลักษณะดังนี้
whose + noun (=กรรม) + กริยาช่วย + ประธาน + กริยาแท้
2.4 Which ใช้เพื่อถามว่า คนไหน/อันไหน/สิ่งไหน ใช้ในลักษณะเดียวกับ whose คือมีนามตามมา หรือไม่มีคำนามตามมา และใช้เป็นประธานหรือกรรมของประโยคก็ได้ เช่น
Which car ran the fastest? (Which car = subject) การเรียงคำในประโยคมีลักษณะดังนี้
which + noun (= ประธานของประโยค) + กริยา (= present simple หรือ past simple)
Which book did you buy? (Which book = object) การเรียงคำในประโยคมีลักษณะดังนี้
which + noun (= กรรม) + กริยาช่วย + ประธาน + กริยาแท้
2.5 What มีความหมายว่าอะไร ส่วนมากใช้เพื่อถามถึงสิ่งของ มีคำนามตามมาหรือไม่มีคำนามตามมาก็ได้ และใช้เป็นประธานหรือกรรมของประโยคได้ เช่น
What made that noise? (What = subject)
What animals live on plants? (What animals = subject) การเรียงคำในทั้ง 2 ประโยค มีลักษณะดังนี้
what/ what + noun (= ประธานของประโยค) + กริยา(= present simple หรือ past simple)
What did he drink? (What = object)
What musical instrument does he play? (What musical instrument = object)
การเรียงคำในทั้ง 2 ประโยคมีลักษณะดังนี้
what/ what + noun (= กรรม) + กริยาช่วย + ประธาน + กริยาแท้
2.6 When มีความหมายว่าเมื่อไร ใช้ถามถึงเวลาซึ่งทำหน้าที่เป็นส่วนขยายของประโยค เช่น
When did he leave?
When will they arrive?
การเรียงคำในทั้ง 2 ประโยคมีลักษณะดังนี้
when + กริยาช่วย + ประธาน + กริยาแท้
2.7 Where มีความหมายว่าที่ไหน ใช้ถามถึงสถานที่ ซึ่งทำหน้าที่เป็นส่วนขยายของประโยค เช่น
Where are the boys?
Where were the boys?
ใน 2 ประโยคนี้มี BE เป็นกริยาแท้ อยู่ใน present simple tense และ past simple tense
ต้องวางประธานและกริยา BE สลับที่กันดังนี้
where + BE (= กริยาแท้) + ประธาน
Where did he study?
Where are they going?
ในประโยคที่กริยาแท้เป็นกริยาอื่น เช่น study, go walk, eat, etc. การเรียงคำในประโยค
ต้องมีลักษณะดังนี้
where + กริยาช่วย + ประธาน + กริยาแท้
2.8 Why มีความหมายว่าทำไม ใช้ถามถึงเหตุผล ซึ่งทำหน้าที่เป็นส่วนขยายของประโยค เช่น
Why did he leave early?
Why is he crying?
การเรียงคำในทั้ง 2 ประโยคมีลักษณะดังนี้
why + กริยาช่วย + ประธาน + กริยาแท้
2.9 How มีความหมายว่าอย่างไร ใช้ถามถึงลักษณะการกระทำว่าเป็นอย่างไร
-ทำหน้าที่เป็นส่วนขยายของประโยค
Ex: How are the boys?
How were the boys?
ใน 2 ประโยคนี้มี BE เป็นกริยาแท้ อยู่ใน present simple tense และ past simple tense ต้องวางประธานและกริยา BE สลับที่กันดังนี้
how + BE (= กริยาแท้) + ประธาน
Ex: How did he go to school?
How are they going to the station?
ในประโยคที่กริยาแท้เป็นกริยาอื่น เช่น study, go, walk, eat, etc.
การเรียงคำในประโยค ต้องมีลักษณะดังนี้
how + กริยาช่วย + ประธาน + กริยาแท้
how ใช้กับคำคุณศัพท์หรือคำกริยาวิเศษณ์ได้ เช่น
How old is the boy?
How often did he go to the cinema?
How many people came to the party?
How much water must we drink?
สำหรับ how many + N และ how much + N ใช้เป็นประธานได้และเรียงคำในประโยคเหมือน who หรือใช้เป็นกรรมของประโยคและเรียงคำในประโยคเหมือน whom
ตัวอย่างการตั้งคำถามและการตอบคำถามให้สอดคล้องกับคำถาม
QUESTION
ANSWER
Wh-word as subject
Aux. verb
Main verb
Others (Adv. / Prep phr.)
Who
came
yesterday?
Lily.
Who
is
in the room?
Peter.
Who
has
got
John’s address?
The secretary.
Which boy
won
the game?
Henry from Class A.
Whose student
is going to
enter
the competition?
Mr. Brown’s.
What
made
him cry?
The loud noise.
การเรียงคำในประโยคคำถามข้างต้นเหมือนในประโยคบอกเล่า
QUESTION
ANSWER
WH-word
Aux. verb
Subject
Aux. verb
Main verb
Others (Adv./Prep phr.)
Whom
did
you
ask?
His father.
What
is
he
doing?
He’s studying for the exam.
Why
did
she
leave
early?
She wasn’t feeling well.
When
will
he
move
to Bangkok ?
Soon./ Next month.
Where
does
he
live?
He lives on Wireless Road.
How
did
you
open
that can?
I used this opener.
How long
has
he
been
working
there?
For 4 years.
การเรียงคำในประโยคคำถามข้างต้น ประธานของประโยค จะต้องวางสลับกับกริยาช่วย
การตอบคำถามผู้ตอบจะต้องให้ข้อมูลแก่ผู้ถามตาม Wh-word ที่วางไว้ต้นประโยคคำถาม
3. Tag Questions
- Tag Questions ได้แก่คำถามที่ส่วนหน้าเป็นรูปประโยคบอกเล่าหรือรูปประโยคปฏิเสธ และต่อท้ายหรือต่อส่วนสร้อยด้วยข้อความสั้น ๆ มีรูปเป็นคำถามคือ วางประธานและกริยาสลับที่กัน Tag question มีโครงสร้างดังนี้
ประโยคบอกเล่า, ส่วนสร้อยกริยาอยู่ในรูปปฏิเสธ
ผู้ถามคาดหวังคำตอบ yes
Peter has already gone home, hasn’t he?
ประโยคปฏิเสธ, ส่วนสร้อยกริยาอยู่ในรูปบอกเล่า
ผู้ถามคาดหวังคำตอบ no
Peter hasn’t gone home yet, has he?
ส่วนที่เป็นคำถามต่อท้ายของ tag question จะประกอบด้วยกริยาช่วยและประธานที่เป็นคำสรรพนาม กริยาช่วยจะเป็นกริยาช่วยตัวเดียวกับที่อยู่ในส่วนหน้า แต่เป็นรูปที่ต่างกัน คือ ถ้าส่วนหน้าเป็นรูปประโยคบอกเล่า กริยาช่วยส่วนท้ายจะเป็นรูปปฏิเสธย่อ ถ้าส่วนหน้าเป็นรูปประโยคปฏิเสธ กริยาช่วยส่วนต่อท้ายจะเป็นบอกเล่า เช่น
John can come, can’t he?
John can’t come, can he?
Your sister has arrived, hasn’t she?
Your sister hasn’t arrived, has she?
Henry is working in the garden, isn’t he?
Henry isn’t working in the garden, is he?
ถ้าประโยคบอกเล่าส่วนหน้ามีกริยาแท้ที่เป็น present tense ส่วนสร้อยจะต้องใช้ don’t หรือ doesn’t แทนกริยาเดิม ถ้ากริยาแท้เป็น past tense ส่วนสร้อยจะต้องใช้ didn’t เช่น
You like Chinese food, don’t you?
He always comes to class late, doesn’t he?
Jim came home late, didn’t he?
ถ้าประโยคบอกเล่าส่วนหน้ามีกริยา BE หรือ have เป็นกริยาแท้ ส่วนสร้อยจะใช้กริยา BE หรือ have รูปปฏิเสธ เช่น
He was late, wasn’t he?
She has two children, hasn’t she?
แต่ I am late, aren’t I? (รูปปฏิเสธของ am ให้ใช้ aren’t)
การทำประโยคคำสั่งเป็น tag question ให้เติม ‘will you?’/ ‘won’t you?’/ ‘can’t you?’ ต่อท้ายซึ่งใช้เมื่อพูดขอร้องโดยอาจจะแสดงถึงความรำคาญ หรือในการเชื้อเชิญอย่างเป็นกันเอง และสำหรับพูดขอร้องธรรมดา อาจจะใช้ could you?/ can you?/ would you? ต่อท้ายประโยคคำสั่ง เช่น
Stop talking, will you?
Sit down, will you?
Stop making that noise, can you?
Come a little bit early, can you?
ที่มา: http://www.stou.ac.th/schools/sla/b.a.english
[Update] สรุปการใช้ tense ทั้ง 12 tenses อย่างละเอียด ครอบคลุม เข้าใจง่าย – NSRU BLOG | ตัวอย่าง ประโยค past simple tense 20 ประโยค – NATAVIGUIDES
Table of Content
- Tense คืออะไร
- โครงสร้าง tense ทั้ง 12 เป็นอย่างไร แตกต่างกันอย่างไร
- หลักการใช้ในสถานการณ์ต่างๆ ใช้ต่างกันอย่างไร
- ตัวอย่างประโยคของเทนส์ทั้งหมด เพิ่มเติมเสริมความเข้าใจ
Tense คืออะไร
ความหมายของ Tense คือ รูปแบบของประโยคที่มีคำกริยา แสดงระบุเวลากำกับการกระทำในขณะที่พูด
นี่คือความหมายคร่าวๆนะครับ ถ้าย่นย่อกันจริงๆในการเรียนหลักภาษาแล้ว Tense คือ กาล (เวลา)
โครงสร้างของ 12 Tense และหลักการใช้
ว่ากันไปแล้ว Tense ใหญ่ๆแค่ 3 เท่านั้นเอง แต่แยกย่อยออกอีก 4 จึงรวมกันได้ 12 tense
- Present Tense (ปัจจุบันกาล) กล่าวถึงเรื่องราวในปัจจุบัน
- Past Tense (อดีตกาล)กล่าวถึงเรื่องราวในอดีต
- Future Tense (อนาคตกาล)กล่าวถึงเรื่องราวในอนาคต
PRESENT TENSE
บอกเล่าเรื่องราวในปัจจุบัน
Present Simple Tense
โครงสร้าง: S. + V.1(s/es)
หลักการใช้:
- บอกเล่าข้อเท็จจริงทั่วไป ของคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ …
ตัวอย่างประโยค:
- I eat rice everyday. ฉันกินข้าวทุกวัน
- A dog has four leg. สุนัขมีสี่ขา
- Bangkok is the capital city of Thailand. กรุงเทพเป็นเมืองหลวงของประเทศไทย
- My class statrs at 9.00 ชั่วโมงเรียนของฉันเริ่มเวลา 9 นาฬิกา
Present Continuous Tense
Tense นี้อีกชื่อหนึ่งคือ Present Progressive Tense
โครงสร้าง: S. + is, am, are + Ving
หลักการใช้:
- บอกเล่าเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นขณะนี้
- บอกเล่าเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดในอนาคตแน่ๆ
ตัวอย่างประโยค:
- I am eating rice now. ฉันกำลังกินข้าวอยู่ตอนนี้
- A dog is walking. สุนัขกำลังเดิน
- I’m going to London next week. ฉันกำลังจะไปลอนดอนสัปดาห์หน้า
- We are visiting our granddad tomorrow. พวกเรากำลังจะไปเยี่ยมปู่พรุ่งนี้
Present Perfect Tense
โครงสร้าง: S. + has, have + V3
หลักการใช้:
- บอกเล่าเหตุการณ์ที่ดำเนินเสร็จแล้ว
- บอกเล่าเหตุการณ์ที่ดำเนินมาได้ในระยะเวลาหนึ่งจนถึงปัจจุบัน
ตัวอย่างประโยค:
- I have eaten rice. ผมกินข้าวแล้ว (กินเสร็จแล้ว)
- She has finished her homework. หล่อนทำการบ้านเสร็จแล้ว
- I have eaten rice for 20 minutes. ผมกินข้าวมาแล้ว 20 นาที
- He has lived here since 2000. เขาอาศัยอยู่ที่นี่ตั้งแต่ปี 2000
Present Perfect Continuous Tense
โครงสร้าง: S. + has, have +been+ Ving
หลักการใช้:
- บอกเล่าเหตุการณ์ที่ดำเนินมาได้ในระยะเวลาหนึ่งจนถึงปัจจุบันคล้าย present perfect tense แต่เป็นการเน้นย้ำว่าทำอย่างต่อเนื่อง
ตัวอย่างประโยค:
- I have been playing foootball since 8 o’clock. ฉันเล่นฟุตบอล (อย่างต่อเนื่อง) ตั้งแต่ 8 โมง
- She has been walking for 30 munites. หล่อนเดิน (อย่างต่อเนื่อง) เป็นเวลา 30 นาที
- Toon has been running for 4 hours. ตูนวิ่ง (อย่างต่อเนื่อง) เป็นเวลา 4 ชั่วโมง)
- He has been working here since 1999 . เขาทำงานที่นี่ (อย่างต่อเนื่อง)ตั้งแต่ปี 1999 (ไม่เคยย้ายไปไหน)
PAST TENSE
บอกเล่าเรื่องราวในอดีต
Past Simple Tense
โครงสร้าง: S. + V2
หลักการใช้:
- บอกเล่าเหตุการณ์ในอดีต ที่เกิดขึ้น ณ จุดเวลาใดเวลาหนึ่ง
ตัวอย่างประโยค:
- I went to school yesterday. ฉันไปโรงเรียนเมื่อวานนี้
- I ate bananas last week. ฉันกินกล้วยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
- My dad washed his car last Sunday. พ่อของผมล้างรถของเขาเมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว
- She watched this movie last year. หล่อนดูหนังเรื่องนี้ปีที่แล้ว
- Sam visited his parents five years ago. แซมไปเยี่ยมพ่อแม่ของเขาเมื่อห้าปีที่แล้ว
Past Continuous Tense
โครงสร้าง: S. + was, were + Ving
หลักการใช้:
- บอกเล่าเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในอดีต แล้วมีอีกเหตุการณ์หนึ่งแทรกขึ้นมา
ตัวอย่างประโยค:
- I saw a big elephant while I was walking to school . ฉันเห็นช้างตัวหนึ่งขณะที่ฉันกำลังเดินไปโรงเรียน
- We were eating dinner when dad came home. พวกเรากำลังกินข้าวเย็นอยู่ ตอนที่พ่อมาถึงบ้าน
- The light went out when they were watching TV. ไฟดับตอนที่พวกเขากำลังดูทีวีอยู่
- She was taking a bath when I called her. หล่อนกำลังอาบน้ำอยู่ ตอนที่ผมโทรหาหล่อน
- Sam was driving home when it started to rain. แซมกำลังขับรถกลับบ้าน ตอนที่ฝนเริ่มตก
Past Perfect Tense
โครงสร้าง: S. + had + V3
หลักการใช้:
- บอกเล่าเหตุการณ์ที่สิ้นสุดแล้วในอดีต ก่อนจะมีอีกเหตุการณ์ตามมา
ตัวอย่างประโยค:
- I had eaten a pizza before I went to bed.ฉันได้กินพิซซ่า ก่อนที่ฉันเข้านอน (กินก่อน )
- John called me after I had left. จอห์นโทรหาฉัน หลังจากที่ฉันได้ออกจากบ้านแล้ว
- All people had gone home when we reached the cinema. คนได้กลับบ้านหมดแล้ว เมือเราไปถึงโรงหนัง
- They had had dinner before they did homework. พวกเขาได้เขากินข้าว ก่อนพวกเขาทำการบ้าน
- The train had left when we got to the station. รถไฟออกไปแล้ว ตอนที่เราไปถึงสถานี
Past Perfect Tense
โครงสร้าง: S. + had + been + ฺฺ Ving
หลักการใช้:
- บอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต และดำเนินมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง เน้นการบอกเวลามากกว่าการกระทำ
ตัวอย่างประโยค:
- I had been waiting for the train for three hours before it arrived. ฉันได้รอคอยรถไฟเป็นเวลา(ตั้ง) 3 ชั่วโมง (นะ) ก่อนที่มันจะมาถึง
- We had been walking for one hour when we saw that bird.
พวกเราได้เดิน (ตั้ง) 1 ชั่วโมง (แน่ะ) ตอนที่พวกเราเห็นนกตัวนั้น - They had been playing football for four hours when it started to rain.
พวกเขาได้เล่นฟุตบอล (ตั้ง) 4 ชั่วโมง ก่อนที่ฝนเริ่มตก (วันนี้เล่นได้นาน ปกติไม่เกินชั่วโมงก็ตกแล้ว)
FUTURE TENSE
บอกเล่าเรื่องราวในอนาคต
Future Simple Tense
โครงสร้าง: S. + will + ฺฺ V1
หลักการใช้:
- บอกเล่า คาดการณ์เหตุการที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ตัวอย่างประโยค:
- I will go to school tomorrow. ฉันจะไปโรงเรียนพรุ่งนี้ (คิดว่าต้องไป เดี๋ยวหมดสิทธิ์สอบ)
- I will watch Chin Jang this evening. ฉันจะดูชินจังเย็นนี้ (เพื่อนบอกว่าสนุก จะลองดูหน่อย)
- You will eat papaya salad tonight. คุณจะกินส้มตำคืนนี้ (คุณเคยบอกไว้ ว่าจะกินคืนนี้)
- He will clean the car next week. เขาจะล้างรถสัปดาห์หน้า (เขาบอกมา ว่าจะล้าง)
- She will buy a bike next month. หล่อนจะซื้อจักรยานเดือนหน้า (หล่อนว่าเดินไปเรียนแล้วเหนี่อย)
Future Continuous Tense
โครงสร้าง: S. + will + ฺฺ be + Ving
หลักการใช้:
- บอกเล่าเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในอนาคต
ตัวอย่างประโยค:
- I will be reading books at 8 o’clock tomorrow. ฉันจะกำลังอ่านหนังสือเวลา 8 นาฬิกา วันพรุ่งนี้
- At nine o’clock tomorrow, we will be working on farm.พรุ่งนี้เวลา 9 นาฬิกา พวกเราจะกำลังทำงานในฟาร์ม
- At six oclock, we will be eating dinner with our granddad. เวลา 6 นาฬิกา พวกเราจะกำลังกินข้าวกับปู่ของพวกเรา
- She will be waiting when you arrive. หล่อนจะกำลังรอคอย เมื่อคุณมาถึง
Future Perfect Tense
โครงสร้าง: S. + will + ฺฺ have + V3
หลักการใช้:
- บอกเล่าเหตุการณ์ที่สิ้นสุดแล้วในอนาคต
ตัวอย่างประโยค:
- I will have eaten breakfast at 8 o’clock tomorrow. ฉันจะกินข้าวเช้าเรียบร้อยแล้ว เวลา 8 นาฬิกา วันพรุ่งนี้
- Tomorrow morning, we will have finished our project. พรุ่งนี้เช้า พวกเราจะดำเนินโครงการของพวกเราเสร็จแล้ว
- She will have gone when you arrive. หล่อน(คง)จะไปแล้ว เมื่อคุณมาถึง
- I will have cleaned the floor when my mom gets home. ฉัน(คง)จะทำความสะอาดพื้นเรียบร้อยแล้ว ตอนที่แม่มาถึง
Future Perfect Continuous Tense
โครงสร้าง: S. + will + ฺฺ have + been + Ving
หลักการใช้:
- บอกเล่าเหตุการณ์ที่ดำเนิมมาได้ระยะเวลาหนึ่งในอนาคต ก่อนมีอีกเหตุการณ์หนึ่งแทรกเข้ามา
ตัวอย่างประโยค
- I will have been eating breakfast for 30 minutes at 8 o’clock tomorrow.
ฉันจะได้กำลังกินข้าวเช้าเป็นเวลา 30 นาทีแล้ว ณ เวลา 8 นาฬิกา วันพรุ่งนี้ - At 10 o’clock tomorrow, we will have been working on farm for two hours.
เวลา 10 นาฬิกาพรุ่งนี้ พวกเราจะได้กำลังทำงานในฟาร์ม เป็นเวลา 2 ชั่วโมงแล้ว - You will have been waiting for two hours when the plane arrives.
คุณจะได้กำลังรอ เป็นเวลาสองชั่วโมง เมื่อเครื่องบินมาถึ’
ที่มา : https://xn--12cl9ca5a0ai1ad0bea0clb11a0e.com/%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%9B%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89-12-tense-%E0%B8%89%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%AD/
หลักการใช้ past perfect continuous tense เข้าใจง่ายสุดๆ
ขอบคุณมากค่ะที่ติดตามครูมา สนใจเรียนรู้ภาษาอังกฤษฟรีเพิ่มเติมกับครูพิมได้ทาง:
🍇Instagram : ค้นหาคำว่า pim_pimolwan :เรียนรู้ประโยคสำเร็จรูปจากวิดีโอและรูปภาพ ที่ใช้บ่อยและนำไปใช้พูดได้ทันที พร้อมฝึกออกเสียง ครูพิมเขียนคำอ่านให้ด้วยค่ะ เพื่อง่ายต่อการออกเสียง
🍊Twitter: ค้นหาคำว่า \”ฝึกพูดภาษาอังกฤษกับครูพิม\” :เรียนรู้ประโยคสำเร็จรูปจากรูปภาพ ที่ใช้บ่อยและนำไปใช้พูดได้ทันที
🍄 Youtube:ช่อง \”ฝึกพูดภาษาอังกฤษกับครูพิม\” : วิดีโอการสอนที่ละเอียด เน้นให้ผู้เรียนเข้าใจง่ายสุดๆ พร้อมมีคำอ่านและภาพประกอบค่ะ
🌽Facebook: ชื่อว่า \”LearningTree\” : ชมการสอนถ่ายทอดสดกับครูพิมฟรีพร้อมรับข่าวสารและโปรโมชั่นส่วนลดคอร์สเรียน
🍎Line: แอ้ดมาได้ที่เบอร์ 0954855364 : สอบถามรายละเอียดคอร์สเรียนและโปรโมชั่นส่วนลดคอร์สเรียน
นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูความรู้เพิ่มเติมที่นี่
Mất gốc Tiếng Anh, tự học thế nào để giỏi lên? | VyVocab Ep.47 | Khánh Vy
Ở nhà mùa này thật hợp lý để tận dụng học và ôn tiếng anh đó.
Nếu các bạn cần dụng cụ học tập hay sách vở để học thì cứ lên Shopee nha, vừa có Flash Sale 3 khung giờ, giá bình ổn mà còn freeship từ nay đến 24.04. Đặc biệt ngày 15 và 24 là 2 ngày sale lớn đó: https://bit.ly/2UZ1GgN
onhacoShopee
Cảm ơn Shopee đã đồng hành cùng Vy trong tập này.
✪ Nhấn Đăng kí tại: https://bit.ly/2H6G8cO
➥ FACEBOOK VÀ INSTAGRAM CỦA TỚ\”
» Facebook: https://www.facebook.com/khanhvytran218
» Fanpage: https://www.facebook.com/khanhvyofficial.
» IG: @khanhvyccf
/
© Bản quyền thuộc về Khánh Vy OFFICIAL
© Copyright by Khanh Vy OFFICIAL ☞ Do not Reup
Future Continuous VS Future Perfect Tense ตอนที่ 11 ภาษาอังกฤษ ป.4 – ม.6
Future Continuous VS Future Perfect Tense
ภาษาอังกฤษ ป.4 ม.6
มาตราฐาน ต 2.2
มาดูหลักการใช้และความแตกต่างระหว่าง Future Continuous และ Future Perfect กับ Bobby และผองเพื่อนกัน
โครงการพัฒนาคุณภาพการศึกษาด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ DLIT (Distance Learning Information Technology)
http://www.dlit.ac.th
หลักการใช้ Past Perfect Tense ง่ายสุดๆ
ขอบคุณมากค่ะที่ติดตามครูมา สนใจเรียนรู้ภาษาอังกฤษฟรีเพิ่มเติมกับครูพิมได้ทาง:
🍇Instagram : ค้นหาคำว่า pim_pimolwan :เรียนรู้ประโยคสำเร็จรูปจากวิดีโอและรูปภาพ ที่ใช้บ่อยและนำไปใช้พูดได้ทันที พร้อมฝึกออกเสียง ครูพิมเขียนคำอ่านให้ด้วยค่ะ เพื่อง่ายต่อการออกเสียง
🍊Twitter: ค้นหาคำว่า \”ฝึกพูดภาษาอังกฤษกับครูพิม\” :เรียนรู้ประโยคสำเร็จรูปจากรูปภาพ ที่ใช้บ่อยและนำไปใช้พูดได้ทันที
🍄 Youtube:ช่อง \”ฝึกพูดภาษาอังกฤษกับครูพิม\” : วิดีโอการสอนที่ละเอียด เน้นให้ผู้เรียนเข้าใจง่ายสุดๆ พร้อมมีคำอ่านและภาพประกอบค่ะ
🌽Facebook: ชื่อว่า \”LearningTree\” : ชมการสอนถ่ายทอดสดกับครูพิมฟรีพร้อมรับข่าวสารและโปรโมชั่นส่วนลดคอร์สเรียน
🍎Line: แอ้ดมาได้ที่เบอร์ 0954855364 : สอบถามรายละเอียดคอร์สเรียนและโปรโมชั่นส่วนลดคอร์สเรียน
Past simple VS Past continuous ใช้กับอดีตทั้งคู่ แต่ใช้ต่างกันยังไง | Eng ลั่น [by We Mahidol]
Past simple กับ Past continuous ใช้กับอดีตทั้งคู่ แต่ใช้ต่างกันยังไง?
หลายคนมักสับสนกับ 2 tense นี้
Past simple ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต เช่น I studied for exams.
Past Continuous ใช้เฉพาะเจาะจงเวลา เน้นความต่อเนื่องของเหตุหารณ์ เช่น I was studying for exams.
วันนี้พี่คะน้า รุ่นพี่วิทยาลัยนานาชาติ ม.มหิดล จะมาสรุปความแตกต่างให้ทุกคนฟังแบบเข้าใจง่าย ไปดูกัน
WeMahidol Mahido Engลั่น PastSimple PastContinuous
YouTube : We Mahidol
Facebook : http://www.facebook.com/wemahidol
Instagram : https://www.instagram.com/wemahidol/
Twitter : https://twitter.com/wemahidol
TikTok : https://www.tiktok.com/@wemahidol
มหาวิทยาลัย มหิดล Mahidol University : https://www.mahidol.ac.th/th/
Website : https://channel.mahidol.ac.th/
นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูบทความเพิ่มเติมในหมวดหมู่LEARN FOREIGN LANGUAGE
ขอบคุณมากสำหรับการดูหัวข้อโพสต์ ตัวอย่าง ประโยค past simple tense 20 ประโยค