Skip to content
Home » [Update] Present simple tense คืออะไร มีการใช้อย่างไร | present simple tense แปล ว่า – NATAVIGUIDES

[Update] Present simple tense คืออะไร มีการใช้อย่างไร | present simple tense แปล ว่า – NATAVIGUIDES

present simple tense แปล ว่า: นี่คือโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้

Present simple tense เป็น tense พื้นฐานที่มีโครงสร้างเรียบง่ายมากที่สุด แต่ก็ถือว่ามีความสำคัญมาก เพราะเป็นหนึ่งใน tense ที่ใช้บ่อย และเป็นพื้นฐานของแกรมม่าหัวข้ออื่นๆอีกมากมาย

สำหรับใครที่ยังไม่ค่อยแม่นเรื่อง present simple tense ในบทความนี้ ชิววี่ก็ได้เรียบเรียงเนื้อหามาให้ได้เรียนรู้กันแบบง่ายๆแล้ว เอาล่ะ ถ้าเพื่อนๆพร้อมแล้ว เราไปดูกันเลย

Present simple tense คืออะไร

Present simple tense คือรูปคำกริยาที่ใช้กับข้อเท็จจริงทั่วไป สิ่งที่เป็นกิจวัตร หรือแผนการและตารางเวลา ซึ่งจะใช้คำกริยาช่อง 1 (เช่น go, come, eat) อย่างเช่น

I go to school every day.
ฉันไปโรงเรียนทุกวัน

แต่ถ้าประธานเป็นเอกพจน์บุรุษที่ 3 เราจะต้องใช้คำกริยารูป s/es แทน (เช่น goes, comes, eats) อย่างเช่น

He goes to school every day.
เขาไปโรงเรียนทุกวัน

โครงสร้าง present simple tense

เมื่อเทียบกับ tense อื่นๆ present simple tense นั้นถือว่ามีโครงสร้างที่เรียบง่าย โดยหัวใจหลักอย่างหนึ่งของมันก็คือการใช้คำกริยาช่อง 1

แต่ present simple tense ก็มีความซับซ้อนนิดหน่อยตรงที่ว่า จะมีการใช้คำกริยารูป s/es ด้วย โดยจะมีหลักการคือ

  • ถ้าประธานเป็นพหูพจน์ (เช่น we, they, boys, teachers, cats, pens) หรือเป็นเอกพจน์บุรุษที่ 1 และ 2 (I และ you) เราจะต้องใช้คำกริยารูปปกติ (เช่น go, come, eat)
  • ถ้าประธานเป็นเอกพจน์บุรุษที่ 3 (เช่น he, she, it, boy, teacher, cat, pen) เราจะต้องใช้คำกริยารูปที่เติม s/es (เช่น goes, comes, eats)

นอกเหนือจากนี้แล้ว ยังมีประเด็นในเรื่องชนิดของประโยคอีก ซึ่งประโยคแต่ละชนิด อย่างเช่น ประโยคบอกเล่า ประโยคปฏิเสธ และประโยคคำถาม ก็จะมีโครงสร้างและรายละเอียดการใช้ tense ที่ต่างกัน ซึ่งก็คือ

ทบทวนความรู้
Subject แปลว่า ประธาน
Verb แปลว่า คำกริยา
Object แปลว่า กรรม หรือ ผู้ถูกกระทำ เช่นในประโยค I love you.
Complement แปลว่า ส่วนเติมเต็ม ซึ่งก็คือคำที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประธาน เวลาใช้มักจะตามหลัง linking verb (เช่น is, am, are, feel, seem) เช่นในประโยค I am a student.

ประโยคบอกเล่า

การใช้ present simple tense ในประโยคบอกเล่า จะมีโครงสร้างและตัวอย่างประโยคดังนี้

โครงสร้าง
Subject + verb 1 + (object/complement)

ตัวอย่างประโยคเช่น

I love my cat.
ฉันรักแมวของฉัน

The sun rises in the east.
พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก

ประโยคปฏิเสธ

การใช้ present simple tense ในประโยคปฏิเสธ จะมีโครงสร้างหลักๆ 2 แบบ คือ

1. ประโยคที่ใช้ verb to be เป็นคำกริยาหลัก

ถ้าประโยคมี verb to be (is, am, are) เป็นคำกริยาหลัก เราสามารถใช้ not หลัง verb to be ได้เลย โดยเราสามารถเขียนย่อ is not ให้เป็น isn’t และย่อ are not ให้เป็น aren’t ได้ แต่สำหรับ am not นั้น เราจะไม่ใช้รูปย่อ

โครงสร้าง
Subject + verb to be + not + (object/complement)

He isn’t an engineer.
เขาไม่ใช่วิศวกร
(รูปประโยคบอกเล่าคือ He is an engineer.)

They aren’t students.
พวกเขาไม่ได้เป็นครู
(รูปประโยคบอกเล่าคือ They are students.)

2. ประโยคที่ไม่ได้ใช้ verb to be เป็นคำกริยาหลัก

ถ้าประโยคมีคำกริยาหลักเป็นคำกริยาอื่นที่ไม่ใช่ verb to be เราจะใช้ do/does + not ไว้หน้าคำกริยาหลัก โดยเราสามารถเขียนย่อ do not เป็น don’t และย่อ does not ให้เป็น doesn’t ได้

โครงสร้าง
Subject + do/does + not + verb 1 + (object/complement)

(ในประโยคปฏิเสธที่ใช้ do/does เราจะใช้ does กับประธานเอกพจน์บุรุษที่ 3 และจะใช้ do กับประธานชนิดอื่นๆ และเราจะใช้คำกริยาหลัก เป็นคำกริยารูปปกติที่ไม่ได้เติม s/es เสมอ)

He doesn’t love me.
เขาไม่ได้รักฉัน
(รูปประโยคบอกเล่าคือ He loves me.)

Her friends don’t like me.
เพื่อนๆของเธอไม่ชอบฉัน
(รูปประโยคบอกเล่าคือ Her friends like me.)

ประโยคคำถาม

การใช้ present simple tense ในประโยคคำถาม จะมีโครงสร้างหลักๆ 2 แบบ คือ

1. ประโยคที่ใช้ verb to be เป็นคำกริยาหลัก

ถ้าประโยคมี verb to be (is, am, are) เป็นคำกริยาหลัก เราจะขึ้นต้นประโยคด้วย verb to be

โครงสร้าง
Verb to be + subject + (object/complement)?

ตัวอย่างประโยคเช่น

Is she angry?
เธอโกรธรึเปล่า
(รูปประโยคบอกเล่าคือ She is angry.)

Are they students?
พวกเขาเป็นนักเรียนรึเปล่า
(รูปประโยคบอกเล่าคือ They are students.)

2. ประโยคที่ไม่ได้ใช้ verb to be เป็นคำกริยาหลัก

ถ้าประโยคมีคำกริยาหลักเป็นคำกริยาอื่นที่ไม่ใช่ verb to be เราจะขึ้นต้นประโยคด้วย do/does แล้วคงคำกริยาหลักไว้หลังประธาน เหมือนประโยคบอกเล่า

โครงสร้าง
Do/Does + subject + verb 1 + (object/complement)?

(ในประโยคคำถามที่ใช้ do/does เราจะใช้ does กับประธานเอกพจน์บุรุษที่ 3 และจะใช้ do กับประธานชนิดอื่นๆ และเราจะใช้คำกริยาหลัก เป็นคำกริยารูปปกติที่ไม่ได้เติม s/es เสมอ)

ตัวอย่างประโยคเช่น

Does he eat spicy food?
เขากินอาหารเผ็ดมั้ย
(รูปประโยคบอกเล่าคือ He eats spicy food.)

Do they speak English?
พวกเขาพูดภาษาอังกฤษมั้ย
(รูปประโยคบอกเล่าคือ They speak English.)

หลักการใช้ present simple tense

ใช้ present simple tense เมื่อใด

เราจะใช้ present simple tense เมื่อ

1. กล่าวถึงสิ่งที่เป็นจริงในปัจจุบัน

I am a student.
ฉันเป็นนักเรียน

Joe lives in Japan with his friend.
โจอาศัยอยู่ที่ญี่ปุ่นกับเพื่อน

My parents own a restaurant.
พ่อแม่ฉันเป็นเจ้าของร้านอาหาร

2. กล่าวถึงสิ่งที่เป็นกิจวัตร

I play football every day.
ฉันเล่นฟุตบอลทุกวัน

The train leaves every morning at 7 a.m. 
รถไฟจะออกทุกๆเช้าตอน 7 โมง

We often watch movies together.
พวกเราดูหนังด้วยกันบ่อยๆ

3. กล่าวถึงข้อเท็จจริงตามธรรมชาติ

The sun rises in the east.
พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก

Water boils at 100°C.
น้ำเดือดที่ 100 องศาเซลเซียส

Students don’t generally have much money.
เด็กนักเรียนโดยทั่วไปแล้วไม่ได้มีเงินมาก

4. กล่าวถึงแผนการหรือตารางเวลา

The bus arrives at the bus stop every 15 minutes.
รถบัสจะมาถึงป้ายทุกๆ 15 นาที

The party starts at 9 o’clock.
ปาร์ตี้จะเริ่มตอน 9 โมง

The school term starts next month.
โรงเรียนจะเปิดเทอมในเดือนหน้า

5. ให้คำแนะนำ ข้อมูล หรือรายละเอียดขั้นตอนต่างๆ

To start the program, first you click the icon on the desktop.
ในการเริ่มโปรแกรม ก่อนอื่นให้คุณคลิกที่ไอคอนบนเดสก์ท็อป

First of all, you break the eggs and whisk with sugar.
ก่อนอื่นให้คุณตอกไข่และตีไข่กับน้ำตาล

You go straight along the road and turn right at the corner.
คุณตรงไปตามถนนแล้วเลี้ยวขวาตรงหัวมุม

(การให้คำแนะนำ หรือรายละเอียดขั้นตอนต่างๆ เราอาจละประธานได้ เช่น Go straight along the road and turn right at the corner. ซึ่งเราจะเรียกรูปประโยคที่ละประธานนี้ว่า imperative form)

เกร็ดความรู้
นอกจากกรณีเหล่านี้แล้ว เรายังสามารถใช้ present simple tense ในการเล่ามุขตลก หรือเล่าเรื่องราวต่างๆ (เช่น เรื่องราวชีวิต เรื่องราวคนอื่น เรื่องราวจากหนังสือ เรื่องราวจากหนัง) ได้อีกด้วย การใช้ present simple tense ในการเล่าเรื่อง จะช่วยให้เรื่องที่เล่านั้นดูสดใหม่และดูใกล้ตัวมากขึ้น เมื่อเทียบกับการใช้ past tense

คำบอกเวลากับ present simple tense

เนื่องจาก present simple tense จะถูกใช้เมื่อกล่าวถึงสิ่งที่เป็นกิจวัตร เราจึงมักจะเห็นคำบอกเวลาจำพวกคำบอกความถี่ (adverbs of frequency) ใน present simple tense บ่อยๆ ซึ่งคำเหล่านี้นั้นได้แก่

Adverbs of frequencyความหมายAlwaysเป็นประจำ, เสมอUsuallyมักจะNormallyโดยปกติGenerallyโดยปกติOftenบ่อยครั้งFrequentlyบ่อยครั้งSometimesบางครั้งOccasionallyเป็นครั้งคราวSeldomไม่ค่อยRarelyนานๆครั้งHardlyนานๆครั้งNeverไม่เคย

ตัวอย่างประโยคก็อย่างเช่น

I always wake up at 6 o’clock.
ฉันตื่นนอนตอน 6 โมงเป็นประจำ

Peter often takes notes during conference.
ปีเตอร์จดโน้ตบ่อยๆเวลาประชุม

He is never late.
เขาไม่เคยสาย

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่า adverbs of frequency นั้นจะถูกใช้ใน present simple tense บ่อยๆ แต่จริงๆแล้วก็สามารถใช้กับ tense อื่นๆได้ด้วยเช่นกัน ตัวอย่างเช่น

I always woke up at 6 o’clock when I was a student.
ฉันตื่นนอนตอน 6 โมงเป็นประจำ เมื่อตอนที่ฉันยังเป็นนักเรียน
(เป็นกิจวัตรในอดีต ปัจจุบันไม่ใช่แล้ว เราจึงใช้ past simple tense)

I will always love you.
ฉันจะรักคุณเสมอ
(เป็นการพูดถึงอนาคต เราจึงใช้ future simple tense)

สรุป present simple tense

  • Present simple tense คือรูปคำกริยาที่ใช้กับข้อเท็จจริงทั่วไป สิ่งที่เป็นกิจวัตร หรือแผนการและตารางเวลา ซึ่งจะใช้คำกริยาช่อง 1 (เช่น go, come, eat)
  • แต่ถ้าประธานเป็นเอกพจน์บุรุษที่ 3 (เช่น he, she, it, boy, teacher, cat, pen) เราจะต้องใช้คำกริยารูปที่เติม s/es (เช่น goes, comes, eats) แทน
  • ประโยคบอกเล่า ประโยคคำถาม และประโยคปฏิเสธ จะมีโครงสร้างประโยคและรายละเอียดการใช้ tense ที่ต่างกัน สำหรับประโยคคำถามและประโยคปฏิเสธ ถ้าคำกริยาหลักไม่ใช่ verb to be เราจะต้องนำ do/does เข้ามาใช้ด้วย
  • เราจะใช้ present simple tense เมื่อ
    • กล่าวถึงสิ่งที่เป็นจริงในปัจจุบัน
    • กล่าวถึงสิ่งที่เป็นกิจวัตร
    • กล่าวถึงข้อเท็จจริงตามธรรมชาติ
    • กล่าวถึงแผนการหรือตารางเวลา
    • ให้คำแนะนำ ข้อมูล หรือรายละเอียดขั้นตอนต่างๆ
    • ใช้เล่าเรื่องหรือเล่ามุขตลก เมื่อเราต้องการให้เรื่องนั้นดูสดใหม่หรือใกล้ตัวมากขึ้น
  • เรามักเจอคำบอกความถี่ (เช่น always, often, sometimes) ใน present simple tense บ่อยๆ เพราะเป็นคำที่ใช้บ่งบอกถึงความเป็นกิจวัตร แต่คำเหล่านี้ จริงๆแล้วก็สามารถใช้กับ tense อื่นๆได้ด้วยเช่นกัน ขึ้นอยู่กับใจความของประโยค

จบแล้วนะครับกับ present simple tense ทีนี้เพื่อนๆก็คงจะเข้าใจ และสามารถนำไปใช้ได้ถูกต้องมากขึ้นแล้วนะ

อย่าลืมนะครับ ภาษาอังกฤษยิ่งเรียนรู้ ยิ่งฝึก ก็ยิ่งเก่ง สำหรับบทความนี้ ชิววี่ต้องขอตัวลาไปก่อน See you next time

[NEW] แบบทดสอบภาษาอังกฤษ ม.6 เรื่อง Present Simple Tense | present simple tense แปล ว่า – NATAVIGUIDES

Tense แรกที่คุณครูมักสอนในห้องเรียนส่วนใหญ่คงหนีไม่พ้น Present Simple Tense นี่แหละ หลังจากเพื่อน ๆ ได้ทบทวนบทเรียนออนไลน์เรื่อง Tense 12 แบบ กันไปแล้ว ก็คงจะพอสู้กับข้อสอบที่ StartDee รวบรวมมาให้ได้บ้างแล้วล่ะ ลองทำกันดูสักตั้ง !

ตะลุยทำข้อสอบกับ StartDee กันได้ แค่ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน StartDee แอปเดียวครบจบทุกวิชา

 

  1. Which of the following adverbs CANNOT be used with present simple tense?

    A. Frequently
    B. Never
    C. By the time
    D. Rarely
    E. Hardly

 

เฉลย: ข้อ C

คำที่ใช้คู่กับ Present Simple มักจะเป็นคำที่”บอกความถี่” ใช้สื่อถึงสิ่งที่ทำเป็นประจำ หรือ คำที่บอกกิจวัตรประจำวัน แต่คำว่า by the time แปลว่า “เมื่อ” หรือ “ในเวลาที่” จะสื่อถึงเหตุการณ์เกิดก่อนเกิดหลัง มากกว่าการแสดงถึงการบอกกิจวัตรประจำวันหรือความถี่ 

ข้อ A.  ผิด เพราะ frequently มีความหมายว่า “บ่อยๆ ถี่ๆ” ใช้ในการบอกความถี่ หรือสิ่งที่เป็นกิจวัตรประจำวัน 

ข้อ B.  ผิด เพราะ  never มีความหมายว่า “ไม่เคย” ซึ่งสามารถบอกเป็นกิจวัตรได้ว่าไม่เคยทำสิ่งนี้

ข้อ D. และ E.  ผิด เพราะ rarely และ hardly  มีความหมายว่า “แทบจะไม่” ใช้ในการบอกว่าแทบจะไม่ได้ทำสิ่งนั้นในชีวิตประจำวันเลย

  1. Lora always ________________ by bus.
    A. commute
    B. commutes
    C. is commuting
    D. has been commuting
    E. will commute

 

เฉลย: ข้อ B

จากโจทย์สามารถแปลได้ว่า “ลอร่ามักจะเดินทางไปกลับโดยรถเมล์เสมอ” สังเกตจากคีย์เวิร์ดคำว่า  “always” บอกถึงสิ่งที่ทำเป็นประจำสม่ำเสมอ

และจากโจทย์ Lora คือประธานของประโยคที่อยู่ในรูปเอกพจน์ จึงต้องตามด้วย กริยาในรูปเอกพจน์ที่ เติม s/es  นั่นเอง

ข้อ A.  ผิด เพราะ Lora เป็นประธานเอกพจน์ ดังนั้น commute จึงต้องเติม s 

ข้อ C.  ผิด เพราะ คำว่า always จะเป็นตัวบ่งบอกถึง Present Simple ไม่ใช่ Present Continuous ที่มีโครงสร้าง v. to be + v.ing (is commuting)

ข้อ D.  ผิด เพราะ has + been + v.ing (commuting) จะเป็นรูป Present Perfect Continuous ไม่ใช่ Present Simple

ข้อ E.  ผิด เพราะ การใช้ will + v.infinitive (commute) จะบ่งบอกถึงการใช้ในรูปแบบ Future Simple ไม่ใช่ Present Simple

  1. Which of the following structures is INCORRECT according to the present simple tense?
    A. Do + s + v.infinitive ?
    B. Does + s + v2 ?

     

    C. Is + s + adj ?
    D. What + do/does + s + v.infinitive ?
    E. How often do/does + s + v.infinitive ? 

 

เฉลย: ข้อ B

เพราะในการตั้ง ประโยคคำถาม ของรูป Present Simple ถ้าหากประโยคนั้น ไม่มีกริยาช่วยที่จะนำมาวางข้างหน้า ให้เราเอา v. to do เข้ามาช่วย ซึ่งถ้าหากเรามีการใช้ v. to do ในประโยค กริยาแท้ของประโยคนั้นๆ จะห้ามผันรูปเด็ดขาด โดยจะมีโครงสร้างของประโยคคำถามคือ Do/Does + s +  v.infinitive + ? ดังนั้นการที่ใช้ v2 จึงผิด

 

ข้อ A. ผิด เพราะ ถูกตามหลักการตั้งประโยคคำถามโดยใช้ v.to do ซึ่งมีโครงสร้างคือ Do/Does + S +  v.infinitive + ?

ข้อ C. ผิด เพราะ ถูกตามหลักการตั้งประโยคคำถามโดยใช้ v.to be ซึ่งมีโครงสร้างคือ  Is/Am/Are + s + adj/n. ?

ข้อ D. และ E.  ผิด เพราะถูกตามหลักการตั้งประโยคคำถามโดยใช้ Wh-question แล้ว ซึ่งมีโครงสร้างคือ  Wh-question + do/does + s + v.infinitive?

  1. Bobby: _______________ a foreigner ?

    Liliana: ________________ He can’t understand our language.

A. Is he / Yes, he isn’t.
B. Is he / No, he isn’t.
C. Is he / Yes, he is.
D. He is / Yes, he is.
Is he / Yes, he does.

 

เฉลย: ข้อ C

จากโจทย์สามารถแปลได้ว่า:   บ็อบบี้: “_______คนต่างชาติรึเปล่านะ”

                                            ลิเลียน่า: “_______ เขาฟังภาษาพวกเราไม่ออก”

จากโจทย์ ในประโยคแรกจะต้องเป็นประโยคคำถามเนื่องจากประโยคมีการลงท้ายด้วย ? ซึ่งโครงสร้างของประโยคคำถามคือของ present simple คือ  Is/ Am / Are + S +  complement (adj /n) ?

และในประโยคที่สองที่ต้องเป็นคำตอบต้องเป็นเชิงบวก เนื่องจาก He can’t understand our language. เป็นตัวบ่งบอกว่าเขาที่พูดถึงคือคนต่างชาติจริงๆ ดังนั้นในการตอบจึงต้องใช้โครงสร้าง Yes, s + is/ am /are. และในที่นี้ประโยคที่เป็นคำตอบสื่อถึงประธานเอกพจน์ (He) จึงต้องใช้ “is”

ข้อ A.  ผิด เพราะ การตอบแบบเห็นด้วย จะมีโครงสร้าง Yes, s + is/ am /are. ห้ามใช้ not  และจากบริบทของโจทย์ต้องการรูปประโยคปฏิเสธ ไม่ใช่ประโยคบอกเล่า

ข้อ B.  ผิด เพราะ เนื่องจาก He can’t understand our language. เป็นตัวบ่งบอกว่าเขาที่พูดถึงคือคนต่างชาติจริงๆ ดังนั้นรูปประโยคปฏิเสธ (No, he isn’t.) จึงไม่เข้ากับบริบท

ข้อ D.  ผิด เพราะ ในประโยคแรกจะต้องเป็นประโยคคำถามเนื่องจากประโยคมีการลงท้ายด้วย ? แต่ในตัวเลือกเป็นประโยคบอกเล่า (He is)

ข้อ E.  ผิด เพราะ ในประโยคที่สองต้องการการตอบที่ลงท้ายด้วย is, am, are เนื่องจากคำถามขึ้นต้นด้วย Is จึงไม่สามารถใช้ does ในการตอบได้

  1. Change the sentence into the negative form of present simple:

    “ Kimberly is always late to class.”

A. Kimberly does not always late to class.
B. Is Kimberly not always late to class?
C. Kimberly are not always late to class.
D. Kimberly is not always late to class.
E. Kimberly do not always late to  class.

 

เฉลย: ข้อ D

เพราะในโจทย์จะแปลได้ว่า “ คิมเบอรี่มักจะมาเข้าชั้นเรียนสาย”

โครงสร้างในประโยคปฏิเสธของ present simple ที่ใช้คู่กับ v. to be  คือ S + is am are + not + complement (adj / n).  ซึ่งจากโจทย์เราเห็น adj. หรือคำคุณศัพท์ late เพราะฉะนั้นเราต้องใช้ v. to be ในประโยค และเนื่องจากประธานของประโยคซึ่งก็คือ Kimberly เป็นเอกพจน์จึงต้องใช้ is คำตอบที่ถูกต้องคือ D. Kimberly is not always late to class.

 ข้อ A. และ E. ผิด เพราะโจทย์ต้องการโครงสร้างประโยคปฏิเสธที่ใช้ v.to be เป็นกริยาช่วย ไม่ใช่ v.to do 

 ข้อ B.  ผิด เพราะโจทย์ต้องการโครงสร้างประโยคปฏิเสธ ไม่ใช่ประโยคคำถาม

 ข้อ C.  ผิด เพราะ Kimberly เป็น ประธานเอกพจน์ ต้องใช้ กริยา is ไม่ใช่ are 

  1. Durian is the king of fruit, but I _______________
    A. like it.
    B. do not like it.
    C. am not like it.
    D. not like it.
    E. does not like it.

เฉลย: ข้อ B

เพราะในประโยคนี้แปลว่า “ทุเรียนคือราชาผลไม้แต่_______”

จากโจทย์ มีการใช้ but ที่แปลว่าแต่ ซึ่งเป็นคำที่แสดงถึงความขัดแย้งกันของประโยคข้างหน้าและข้างหลัง ทำให้ประโยคด้านหลังต้องกลายเป็นประโยคปฏิเสธที่มีโครงสร้าง S + do/ does + not + v

เนื่องจากประธานเป็น I จึงต้องใช้ “do”  เข้ามาเป็นกริยาช่วย จึงได้ประโยคสมบูรณ์ว่า  Durian is the king of fruit, but I do not like it. หรือ “ทุเรียนคือราชาผลไม้แต่ฉันไม่ชอบมัน”

 

ข้อ A.  ผิด เพราะโจทย์ มีการใช้ but ที่แปลว่า “แต่” ซึ่งเป็นคำที่แสดงถึงความขัดแย้งกันของประโยคข้างหน้า และข้างหลัง ทำให้ประโยคหลังต้องการความหมายในเชิงปฏิเสธ จึงต้องเปลี่ยนจาก like it. เป็น do not like it.

ข้อ C.  ผิด เพราะโครงสร้างประโยคปฏิเสธในข้อนี้ โจทย์ต้องการกริยาช่วยที่จะมาขยายคำว่า like เราจึงต้องใช้ v. to do (ใช้ขยายกริยาทั่วไป) ไม่ใช่ v.to be (ใช้ขยาย adj. / noun)

ข้อ D.  ผิด เพราะโครงสร้างประโยคปฏิเสธในข้อนี้ โจทย์ต้องการกริยาช่วยที่จะมาขยายคำว่า like ตามโครงสร้าง S + do/does + not + v.infinitive  จึงต้องเติม do ข้างหน้า not 

ข้อ E.  ผิด เพราะ I  เป็นประธานที่ต้องใช้คู่กับคำกริยาพหูพจน์ ดังนั้นต้องใช้ do not ไม่ใช่ does not 

 

เป็นยังไงกันบ้าง ถูกกันหมดทุกข้อไหมเอ่ย ถ้าเพื่อน ๆ ถูกหมด ก็ถือว่ามีความเข้าใจเรื่อง Present Simple Tense พอสมควรเลยทีเดียว ส่วนเพื่อน ๆ ที่ทำบางข้อผิด ลองอาจเฉลยแสนละเอียดของเราดูได้นะ รับรองว่าถ้าเจอข้อสอบสไตล์นี้อีกในวันข้างหน้า เพื่อน ๆ ต้องทำได้แน่นอน สู้ ๆ นะทุกคน

 


Present Simple Tense – ครูฝ้าย อิงลิชชีวิตจริง


Present Simple Tense = ประโยคที่ใช้กับเหตุการณ์ในปัจจุบันที่เป็นปกติธรรมดา
👉 โครงสร้างประโยค: Subject + V.1(s,es)

ช่องทางการติดต่อ👇
👉 Youtube: https://www.youtube.com/user/0835737705
👉FB: https://m.facebook.com/110986900286637/?ref=bookmarks
👉Line​: https://line.me/ti/p/QWnPEfB5rg
ครูฝ้าย​อิงลิชชีวิตจริง เรียนภาษาอังกฤษ สอนภาษาอังกฤษ

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูความรู้เพิ่มเติมที่นี่

Present Simple Tense - ครูฝ้าย อิงลิชชีวิตจริง

สรุปวิธีใช้ Past Simple Tense แบบเข้าใจง่ายๆ


สรุปวิธีใช้ Past Simple Tense แบบเข้าใจง่ายๆ
คลิปนี้แยกมาจากคลิป \”Past Simple Tense ใช้ตอนไหน \u0026 แบบฝึกหัดท้ายบท\” เพื่อให้สะดวกแก่ผู้ชมที่ต้องการแยกศึกษาเฉพาะหลักการใช้ในคลิปเดียวค่ะ

สรุปวิธีใช้ Past Simple Tense แบบเข้าใจง่ายๆ

สรุป Tense แบบกระจ่าง เข้าใจใน 30 นาที!! โดย ครูพี่แอน


ถ้าไม่อยากพลาดคลิปการสอนเจ๋งๆจากครูพี่แอน อย่าลืม กดsubscribe และดกดกระดิ่งแจ้งเตือนช่อง YOUTUBE ของครูพี่แอนไว้ด้วยน้า (จะเป็นกำลังใจให้ครูพี่แอนได้มากที่สุดในโลกเลยยยย)
สนใจคอร์สเรียน Perfect English ของครูพี่แอน รีบแอดไลน์มารับโปรส่วนลด พร้อมเรียนทวนฟรีได้ตลอดชีพ!
สามารถติดต่อได้ที่ Line : @chula_tutor (มี @ ด้วยนะน้า) หรือคลิกที่ http://line.me/ti/p/@chula_tutor เพื่อติดต่อทางไลน์โดยตรงได้เลยค่ะ

เชื่อว่านักเรียนทุกคนเคยเรียน Tense กันมาตั้งแต่เด็กๆ
เรียนกันมานานหลายปี แต่ทุกวันนี้ก็ยังไม่เข้าใจจริงๆว่ามันคืออะไร
ใช้ยังไง แบบไหนเรียกว่าอะไร
ครูพี่แอนจะมาแจกสูตรลับเรื่องของ Tense ให้เข้าใจอย่างกระจ่าง!!
เปลี่ยนการเรียน Tense แบบเดิมๆ ที่เคยเรียนมา
หลักสูตรการสอนแบบ Speed up โดย ครูพี่แอน
ที่จะทำให้นักเรียนเข้าใจเรื่อง Tense ใน 30 นาที!!!

ติดตามครูพี่แอนได้ที่ช่องทาง
Perfect English : https://www.facebook.com/englishforfunbyann
IG : https://www.instagram.com/krupann.english/
twitter : https://twitter.com/englishbykruann
Tiktok : https://www.tiktok.com/@krupann.english
ครูพี่แอน KruPAnn ภาษาอังกฤษ OnlineEnglish คอร์สเรียนออนไลน์ เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์

สรุป Tense แบบกระจ่าง เข้าใจใน 30 นาที!! โดย ครูพี่แอน

เพิ่มเติมPresent simple Tense


เพิ่มเติมPresent simple Tense

สอนภาษาอังกฤษฟรี – Present simple


สอนภาษาอังกฤษฟรี Present simple

สอนภาษาอังกฤษฟรี - Present simple

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูบทความเพิ่มเติมในหมวดหมู่MAKE MONEY ONLINE

ขอบคุณมากสำหรับการดูหัวข้อโพสต์ present simple tense แปล ว่า

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *