Skip to content
Home » [Update] Noun คืออะไร มีการใช้อย่างไร | nationality คือ – NATAVIGUIDES

[Update] Noun คืออะไร มีการใช้อย่างไร | nationality คือ – NATAVIGUIDES

nationality คือ: คุณกำลังดูกระทู้

Noun หรือที่แปลเป็นไทยว่า “คำนาม” ถือเป็นหนึ่งในหัวข้อแกรมม่าพื้นฐานภาษาอังกฤษที่สำคัญ

สำหรับใครที่ยังไม่ค่อยแม่นเรื่อง noun ในบทความนี้ ชิววี่ก็ได้เรียบเรียงเนื้อหามาให้แล้ว ทั้งนิยามของ noun ประเภทของ noun การใช้ noun รวมไปถึงวิธีการดู noun จาก noun suffix เอาล่ะ ถ้าเพื่อนๆพร้อมแล้ว เราไปดูกันเลย

Noun คืออะไร

Noun (คำนาม) คือคำที่ใช้เรียกสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ กิจกรรม เหตุการณ์ หรือสิ่งที่เป็นนามธรรม ยกตัวอย่างเช่น

ชื่อคน ชื่อสัตว์ ชื่อสถานที่

  • John – จอห์น
  • Garfield – การ์ฟีลด์
  • Chiang Mai – จังหวัดเชียงใหม่
  • Doi Inthanon – ดอยอินทนนท์
  • Siam Paragon – ห้างสยามพารากอน
  • Suvarnabhumi Airport – สนามบินสุวรรณภูมิ

คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ กิจกรรม เหตุการณ์

  • Boy – เด็กผู้ชาย
  • Dog – สุนัข
  • Pen – ปากกา
  • School – โรงเรียน
  • Tennis – กีฬาเทนนิส
  • Wedding – งานแต่งงาน

สิ่งที่เป็นนามธรรม

  • Idea – ความคิด
  • Danger – อันตราย
  • Feeling – ความรู้สึก
  • Sadness – ความเศร้า
  • Happiness – ความสุข
  • Relationship – ความสัมพันธ์

เราจะรู้ได้ยังไงว่าคำไหนเป็น noun

นอกจากการเรียนรู้คำศัพท์แบบตรงๆแล้ว ยังมีอีกวิธีที่จะช่วยให้เรารู้ได้ว่าคำไหนเป็น noun ซึ่งก็คือการดู noun suffix

ทบทวนความรู้
Suffix คือรากศัพท์ที่ใช้วางหลังคำอื่น เพื่อให้เกิดเป็นคำใหม่ อย่างเช่น คำว่า teach ซึ่งแปลว่า “สอน” เมื่อใช้ร่วมกับ suffix -er จะเกิดเป็นคำใหม่คือ teacher ซึ่งแปลว่า “ครู”

Noun suffix คืออะไร

Noun suffix คือรากศัพท์ที่ใช้ลงท้าย noun อย่างเช่น -er ใน teacher, runner, writer หรือ -ee ใน employee, trainee, interviewee

การรู้ noun suffix ที่ใช้บ่อย จะทำให้เราสามารถเดาศัพท์ ว่าคำไหนเป็น noun ได้ถูกต้องมากขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีเวลาเราเจอศัพท์ที่ไม่รู้ความหมายหรือเวลาทำข้อสอบ

ตัวอย่าง noun suffix ที่ใช้บ่อย

Noun suffixตัวอย่าง noun-anceDistance – ระยะทาง
Insurance – ประกัน
Substance – สาร-domFreedom – อิสรภาพ
Kingdom – ราชอาณาจักร
Wisdom – ปัญญา-eeEmployee – ลูกจ้าง
Interviewee – ผู้ถูกสัมภาษณ์
Trainee – ผู้ได้รับการฝึก-eerEngineer – วิศวกร
Puppeteer – นักเชิดหุ่น
Volunteer – อาสาสมัคร-enceConfidence – ความมั่นใจ
Difference – ความต่าง
Silence – ความเงียบ-erReader – ผู้อ่าน
Teacher – ครู
Writer – นักเขียน-hoodChildhood – ช่วงวัยเด็ก
Motherhood – ความเป็นแม่
Neighborhood – ย่านใกล้เคียง-ionCelebration – การฉลอง
Decision – การตัดสินใจ
Option – ทางเลือก-ismCapitalism – ระบบทุนนิยม
Nationalism – ความเป็นชาตินิยม
Tourism – การท่องเที่ยว-istJournalist – นักข่าว
Psychologist – นักจิตวิทยา
Tourist – นักท่องเที่ยว-ityNationality – สัญชาติ
Possibility – ความเป็นไปได้
Responsibility – ความรับผิดชอบ-mentAdvertisement – โฆษณา
Entertainment – ความบันเทิง
Payment – การจ่ายเงิน, ค่าตอบแทน-nessBusiness – ธุรกิจ
Happiness – ความสุข
Thickness – ความหนา-orAuthor – นักเขียน
Doctor – หมอ
Director – ผู้กำกับ, ผู้อำนวยการ-ryDelivery – การส่งของ
Forestry – การป่าไม้
Laboratory – ห้องปฏิบัติการ-tyProperty – ที่ดิน, ทรัพย์สมบัติ
Society – สังคม
Warranty – การรับประกัน-shipFriendship – มิตรภาพ
Leadership – ความเป็นผู้นำ
Membership – ความเป็นสมาชิก

อย่างไรก็ตาม แม้ noun suffix จะช่วยให้เราเดาว่าคำไหนเป็น noun ได้ แต่ก็ไม่ได้แม่นยำ 100% เพราะคำบางคำก็ทำได้หลายหน้าที่ เช่น เป็นได้ทั้ง noun และ adjective เราต้องดูรูปประโยคประกอบ ว่าในประโยคนั้นมันทำหน้าที่อะไร

(เช่น คำว่า “military” ที่สามารถใช้เป็น noun แปลว่า “ทหาร” หรือ “การทหาร” และยังสามารถใช้เป็น adjective ได้อีกด้วย ซึ่งจะแปลว่า “ที่เกี่ยวข้องกับการทหาร”)

หรือคำบางคำที่ดูเหมือนจะลงท้ายด้วย noun suffix แต่จริงๆแล้วเป็นคำประเภทอื่น ก็พอมีอยู่บ้างเช่นกัน (เช่น คำว่า wary ที่ดูเหมือนจะลงท้ายด้วย noun suffix -ry แต่จริงๆแล้วเป็น adjective แปลว่า “ระมัดระวัง”)

Noun มีกี่ประเภท

หลักๆแล้ว เราสามารถแบ่งประเภทของ noun โดยใช้เกณฑ์ได้ 3 แบบ คือ

  • แบ่งตามปริมาณ แบ่งได้ 2 ประเภท (เอกพจน์และพหูพจน์)
  • แบ่งตามความนับได้หรือนับไม่ได้ แบ่งได้ 2 ประเภท (คำนามนับได้และคำนามนับไม่ได้)
  • แบ่งตามหมวดหมู่คำ แบ่งได้ 5 ประเภท (common noun, proper noun, concrete noun, abstract noun, collective noun)

เอกพจน์และพหูพจน์

ในด้านปริมาณ noun จะแบ่งได้เป็นคำนามเอกพจน์และคำนามพหูพจน์

คำนามเอกพจน์ (singular noun) คือคำนามที่แสดงถึงสิ่งที่มีจำนวนหนึ่งหน่วย ซึ่งก็คือคำนามรูปปกติทั่วไป เช่น student, pen, dish, foot, child

คำนามพหูพจน์ (plural noun) คือคำนามที่แสดงถึงสิ่งที่มีจำนวนตั้งแต่สองหน่วยขึ้นไป คำนามพหูพจน์จะเป็นคำนามที่เปลี่ยนรูปมาจากเอกพจน์ด้วยการเติม s หรือ es ต่อท้าย เช่น students, pens, dishes หรือบางคำก็ใช้การเปลี่ยนหรือเติมตัวอักษรอื่นแทน เช่น feet, children

ตัวอย่างคำนามเอกพจน์และพหูพจน์ก็อย่างเช่น

เอกพจน์ความหมายพหูพจน์ความหมายA studentนักเรียนหนึ่งคนTwo studentsนักเรียนสองคนA penปากกาหนึ่งด้ามFour pensปากกาสี่ด้ามThis dishจานใบนี้ (หนึ่งใบ)These dishesจานเหล่านี้ (หลายใบ)This footเท้าข้างนี้ (ข้างเดียว)My feetเท้าของฉัน (สองข้าง)A childเด็กหนึ่งคนAll childrenเด็กทุกคน

พจน์ของ noun จะมีผลต่อการเลือกใช้รูปคำกริยาในประโยค โดยเราจะใช้คำนามเอกพจน์กับคำกริยารูปเอกพจน์ (เช่น is, has, does, คำกริยารูปที่เติม s/es) และจะใช้คำนามพหูพจน์กับคำกริยารูปพหูพจน์ (เช่น are, have, do, คำกริยารูปที่ไม่ได้เติม s/es)

คำนามนับได้และคำนามนับไม่ได้

ในภาษาอังกฤษ noun จะแบ่งออกเป็นคำนามนับได้และคำนามนับไม่ได้

คำนามนับได้ (countable noun) คือคำนามที่นับจำนวนเป็นชิ้นเป็นอันได้ อย่างเช่น

  • Man (ผู้ชาย) – นับได้ว่ากี่คน
  • Cat (แมว) – นับได้ว่ากี่ตัว
  • Pen (ปากกา) – นับได้ว่ากี่ด้าม

คำนามนับไม่ได้ (uncountable noun) คือคำนามที่ตามธรรมชาติแล้วนับจำนวนเป็นชิ้นเป็นอันได้ยาก เรามักจะมองเป็นภาพรวมหรือเป็นกลุ่มก้อนมากกว่า อย่างเช่น

  • Water (น้ำ) – เราจะไม่นับน้ำว่ามีกี่หยด
  • Sugar (น้ำตาล) – เราจะไม่นับน้ำตาลว่ามีกี่เม็ด
  • Happiness (ความสุข) – ไม่สามารถนับเป็นชิ้นเป็นอันได้

เราสามารถทำคำนามนับไม่ได้ให้กลายเป็นคำนามนับได้ด้วยการกำหนดหน่วยเฉพาะให้มัน อย่างเช่น A glass of water (น้ำหนึ่งแก้ว), two teaspoons of sugar (น้ำตาลสองช้อนชา)

คำนามนับได้และนับไม่ได้จะมีความเกี่ยวข้องกับเอกพจน์และพหูพจน์คือ

  • คำนามนับได้จะมีทั้งรูปเอกพจน์และพหูพจน์ เช่น คำว่า cat เป็นเอกพจน์ มีรูปพหูพจน์คือ cats
  • คำนามนับไม่ได้จะมีแค่รูปเอกพจน์เท่านั้น (ยกเว้นเมื่อเรากำหนดหน่วยเฉพาะให้มัน) เช่น คำว่า water เป็นเอกพจน์ แต่จะไม่มีรูปพหูพจน์ (เราจะไม่ใช้ waters)

แบ่งตามหมวดหมู่คำ

Noun จะแบ่งตามหมวดหมู่คำได้เป็น 5 ประเภท คือ

  1. Common noun คือคำนามที่ใช้เรียกสิ่งทั่วไปแบบไม่เจาะจง เช่น child, student, pen, house, happiness, sadness, group, family
  2. Proper noun คือคำนามที่ใช้เรียกสิ่งต่างๆแบบเจาะจงระบุชื่อ เช่น John, Anne, Bangkok, Japan, Monday, Microsoft การใช้ proper noun เราจะใช้ตัวอักษรตัวแรกเป็นตัวใหญ่เสมอ
  3. Concrete noun คือคำนามที่เป็นรูปธรรม จับต้องได้ เช่น child, student, pen, house (concrete noun ถือเป็นส่วนหนึ่งของ common noun)
  4. Abstract noun คือคำนามที่เป็นนามธรรม จับต้องไม่ได้ เช่น happiness, sadness, love, relationship (abstract noun ถือเป็นส่วนหนึ่งของ common noun)
  5. Collective noun คือคำนามที่ใช้เรียกกลุ่มของสิ่งต่างๆ เช่น group, family, team, government (collective noun ถือเป็นส่วนหนึ่งของ common noun)

การใช้ noun ในประโยค

การใช้ noun จะใช้ได้ 4 แบบหลักๆ คือ

1. Noun ทำหน้าที่เป็นประธาน (subject)

Noun ที่ทำหน้าที่เป็นประธาน มักจะอยู่ต้นๆประโยค ตัวอย่างเช่น

Tim lives in Bangkok.
ทิมอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ

This bag is very heavy.
กระเป๋าใบนี้หนักมาก

2. Noun ทำหน้าที่เป็นกรรม (object)

กรรมคือผู้ถูกกระทำ noun ที่ทำหน้าที่เป็นกรรม มักจะอยู่หลัง verb ตัวอย่างเช่น

I play with my cat every day.
ฉันเล่นกับแมวของฉันทุกวัน

She gave me a book yesterday.
เธอให้หนังสือหนึ่งเล่มแก่ฉันเมื่อวานนี้

ตัวอย่างประโยคที่ 2 นี้ จะมีกรรม 2 ตัว โดย book จะถือเป็นกรรมตรง (direct object) เพราะเป็นสิ่งที่ถูกกระทำโดยตรง ส่วน me จะถือเป็นกรรมรอง (indirect object) เพราะเป็นผู้ที่ได้รับผลของการกระทำ

3. Noun ทำหน้าที่เป็นส่วนเติมเต็ม (complement)

ข้อแตกต่างระหว่างกรรมและส่วนเติมเต็มก็คือ กรรมเป็นผู้ถูกกระทำ แต่ส่วนเติมเต็มเป็นคำที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประธาน ซึ่งมักจะตามหลัง linking verb อย่างเช่น is, am, are, was, were, feel, seem, sound, taste เป็นต้น

Anne is a writer.
แอนเป็นนักเขียน

We are Thai.
พวกเราเป็นคนไทย

4. Noun ที่ทำหน้าที่อื่นๆ

Noun ยังสามารถทำหน้าที่อย่างอื่นนอกเหนือจากที่กล่าวมาได้อีกด้วย ซึ่งก็คือ

ทำหน้าที่ขยายความ noun ที่อยู่ข้างหน้า (appositive noun)

My friend, Joe, lives in the same town with me.
เพื่อนของฉัน ซึ่งก็คือโจ อาศัยอยู่ในเมืองเดียวกับฉัน
(คำว่า Joe ทำหน้าที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ my friend เป็นการระบุว่าคือเพื่อนคนไหน)

ทำหน้าที่เป็นคำขยาย (modifier) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ noun ที่ตามหลัง

I love leather bags.
ฉันชอบกระเป๋าหนัง
(คำว่า leather จริงๆแล้วเป็น noun แต่ในประโยคนี้จะทำหน้าที่เหมือน adjective ขยายคำว่า bags การที่ noun 2 ตัวอยู่ติดกันโดยไม่มีคอมม่าคั่น noun ตัวหน้าจะทำหน้าที่เหมือน adjective ขยาย noun ตัวหลัง)

ทำหน้าที่แสดงความเป็นเจ้าของ (possessive noun) โดยจะต้องใส่ ’s หลัง noun ที่เป็นเจ้าของ

Susan’s cat is very cute.
แมวของซูซานนั้นน่ารักมาก

แต่ถ้า noun นั้นเป็นคำนามพหูพจน์ที่ลงท้ายด้วย s เราจะใส่แค่เครื่องหมาย ’ เฉยๆ

My friends’ houses are far from school.
บ้านของเพื่อนๆฉันนั้นอยู่ไกลจากโรงเรียน

จบแล้วนะครับกับเรื่อง noun ในภาษาอังกฤษ ทีนี้เพื่อนๆก็คงจะเข้าใจกันแล้วว่า noun คืออะไร และมีการใช้อย่างไร ถ้ายังไงก็อย่าลืมทบทวนและฝึกใช้บ่อยๆนะครับ

อย่าลืมนะครับ ภาษาอังกฤษยิ่งเรียนรู้ ยิ่งฝึก ก็ยิ่งเก่ง สำหรับบทความนี้ ชิววี่ต้องขอตัวลาไปก่อน See you next time

[Update] Noun คืออะไร มีการใช้อย่างไร | nationality คือ – NATAVIGUIDES

Noun หรือที่แปลเป็นไทยว่า “คำนาม” ถือเป็นหนึ่งในหัวข้อแกรมม่าพื้นฐานภาษาอังกฤษที่สำคัญ

สำหรับใครที่ยังไม่ค่อยแม่นเรื่อง noun ในบทความนี้ ชิววี่ก็ได้เรียบเรียงเนื้อหามาให้แล้ว ทั้งนิยามของ noun ประเภทของ noun การใช้ noun รวมไปถึงวิธีการดู noun จาก noun suffix เอาล่ะ ถ้าเพื่อนๆพร้อมแล้ว เราไปดูกันเลย

Noun คืออะไร

Noun (คำนาม) คือคำที่ใช้เรียกสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ กิจกรรม เหตุการณ์ หรือสิ่งที่เป็นนามธรรม ยกตัวอย่างเช่น

ชื่อคน ชื่อสัตว์ ชื่อสถานที่

  • John – จอห์น
  • Garfield – การ์ฟีลด์
  • Chiang Mai – จังหวัดเชียงใหม่
  • Doi Inthanon – ดอยอินทนนท์
  • Siam Paragon – ห้างสยามพารากอน
  • Suvarnabhumi Airport – สนามบินสุวรรณภูมิ

คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ กิจกรรม เหตุการณ์

  • Boy – เด็กผู้ชาย
  • Dog – สุนัข
  • Pen – ปากกา
  • School – โรงเรียน
  • Tennis – กีฬาเทนนิส
  • Wedding – งานแต่งงาน

สิ่งที่เป็นนามธรรม

  • Idea – ความคิด
  • Danger – อันตราย
  • Feeling – ความรู้สึก
  • Sadness – ความเศร้า
  • Happiness – ความสุข
  • Relationship – ความสัมพันธ์

เราจะรู้ได้ยังไงว่าคำไหนเป็น noun

นอกจากการเรียนรู้คำศัพท์แบบตรงๆแล้ว ยังมีอีกวิธีที่จะช่วยให้เรารู้ได้ว่าคำไหนเป็น noun ซึ่งก็คือการดู noun suffix

ทบทวนความรู้
Suffix คือรากศัพท์ที่ใช้วางหลังคำอื่น เพื่อให้เกิดเป็นคำใหม่ อย่างเช่น คำว่า teach ซึ่งแปลว่า “สอน” เมื่อใช้ร่วมกับ suffix -er จะเกิดเป็นคำใหม่คือ teacher ซึ่งแปลว่า “ครู”

Noun suffix คืออะไร

Noun suffix คือรากศัพท์ที่ใช้ลงท้าย noun อย่างเช่น -er ใน teacher, runner, writer หรือ -ee ใน employee, trainee, interviewee

การรู้ noun suffix ที่ใช้บ่อย จะทำให้เราสามารถเดาศัพท์ ว่าคำไหนเป็น noun ได้ถูกต้องมากขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีเวลาเราเจอศัพท์ที่ไม่รู้ความหมายหรือเวลาทำข้อสอบ

ตัวอย่าง noun suffix ที่ใช้บ่อย

Noun suffixตัวอย่าง noun-anceDistance – ระยะทาง
Insurance – ประกัน
Substance – สาร-domFreedom – อิสรภาพ
Kingdom – ราชอาณาจักร
Wisdom – ปัญญา-eeEmployee – ลูกจ้าง
Interviewee – ผู้ถูกสัมภาษณ์
Trainee – ผู้ได้รับการฝึก-eerEngineer – วิศวกร
Puppeteer – นักเชิดหุ่น
Volunteer – อาสาสมัคร-enceConfidence – ความมั่นใจ
Difference – ความต่าง
Silence – ความเงียบ-erReader – ผู้อ่าน
Teacher – ครู
Writer – นักเขียน-hoodChildhood – ช่วงวัยเด็ก
Motherhood – ความเป็นแม่
Neighborhood – ย่านใกล้เคียง-ionCelebration – การฉลอง
Decision – การตัดสินใจ
Option – ทางเลือก-ismCapitalism – ระบบทุนนิยม
Nationalism – ความเป็นชาตินิยม
Tourism – การท่องเที่ยว-istJournalist – นักข่าว
Psychologist – นักจิตวิทยา
Tourist – นักท่องเที่ยว-ityNationality – สัญชาติ
Possibility – ความเป็นไปได้
Responsibility – ความรับผิดชอบ-mentAdvertisement – โฆษณา
Entertainment – ความบันเทิง
Payment – การจ่ายเงิน, ค่าตอบแทน-nessBusiness – ธุรกิจ
Happiness – ความสุข
Thickness – ความหนา-orAuthor – นักเขียน
Doctor – หมอ
Director – ผู้กำกับ, ผู้อำนวยการ-ryDelivery – การส่งของ
Forestry – การป่าไม้
Laboratory – ห้องปฏิบัติการ-tyProperty – ที่ดิน, ทรัพย์สมบัติ
Society – สังคม
Warranty – การรับประกัน-shipFriendship – มิตรภาพ
Leadership – ความเป็นผู้นำ
Membership – ความเป็นสมาชิก

อย่างไรก็ตาม แม้ noun suffix จะช่วยให้เราเดาว่าคำไหนเป็น noun ได้ แต่ก็ไม่ได้แม่นยำ 100% เพราะคำบางคำก็ทำได้หลายหน้าที่ เช่น เป็นได้ทั้ง noun และ adjective เราต้องดูรูปประโยคประกอบ ว่าในประโยคนั้นมันทำหน้าที่อะไร

(เช่น คำว่า “military” ที่สามารถใช้เป็น noun แปลว่า “ทหาร” หรือ “การทหาร” และยังสามารถใช้เป็น adjective ได้อีกด้วย ซึ่งจะแปลว่า “ที่เกี่ยวข้องกับการทหาร”)

หรือคำบางคำที่ดูเหมือนจะลงท้ายด้วย noun suffix แต่จริงๆแล้วเป็นคำประเภทอื่น ก็พอมีอยู่บ้างเช่นกัน (เช่น คำว่า wary ที่ดูเหมือนจะลงท้ายด้วย noun suffix -ry แต่จริงๆแล้วเป็น adjective แปลว่า “ระมัดระวัง”)

Noun มีกี่ประเภท

หลักๆแล้ว เราสามารถแบ่งประเภทของ noun โดยใช้เกณฑ์ได้ 3 แบบ คือ

  • แบ่งตามปริมาณ แบ่งได้ 2 ประเภท (เอกพจน์และพหูพจน์)
  • แบ่งตามความนับได้หรือนับไม่ได้ แบ่งได้ 2 ประเภท (คำนามนับได้และคำนามนับไม่ได้)
  • แบ่งตามหมวดหมู่คำ แบ่งได้ 5 ประเภท (common noun, proper noun, concrete noun, abstract noun, collective noun)

เอกพจน์และพหูพจน์

ในด้านปริมาณ noun จะแบ่งได้เป็นคำนามเอกพจน์และคำนามพหูพจน์

คำนามเอกพจน์ (singular noun) คือคำนามที่แสดงถึงสิ่งที่มีจำนวนหนึ่งหน่วย ซึ่งก็คือคำนามรูปปกติทั่วไป เช่น student, pen, dish, foot, child

คำนามพหูพจน์ (plural noun) คือคำนามที่แสดงถึงสิ่งที่มีจำนวนตั้งแต่สองหน่วยขึ้นไป คำนามพหูพจน์จะเป็นคำนามที่เปลี่ยนรูปมาจากเอกพจน์ด้วยการเติม s หรือ es ต่อท้าย เช่น students, pens, dishes หรือบางคำก็ใช้การเปลี่ยนหรือเติมตัวอักษรอื่นแทน เช่น feet, children

ตัวอย่างคำนามเอกพจน์และพหูพจน์ก็อย่างเช่น

เอกพจน์ความหมายพหูพจน์ความหมายA studentนักเรียนหนึ่งคนTwo studentsนักเรียนสองคนA penปากกาหนึ่งด้ามFour pensปากกาสี่ด้ามThis dishจานใบนี้ (หนึ่งใบ)These dishesจานเหล่านี้ (หลายใบ)This footเท้าข้างนี้ (ข้างเดียว)My feetเท้าของฉัน (สองข้าง)A childเด็กหนึ่งคนAll childrenเด็กทุกคน

พจน์ของ noun จะมีผลต่อการเลือกใช้รูปคำกริยาในประโยค โดยเราจะใช้คำนามเอกพจน์กับคำกริยารูปเอกพจน์ (เช่น is, has, does, คำกริยารูปที่เติม s/es) และจะใช้คำนามพหูพจน์กับคำกริยารูปพหูพจน์ (เช่น are, have, do, คำกริยารูปที่ไม่ได้เติม s/es)

คำนามนับได้และคำนามนับไม่ได้

ในภาษาอังกฤษ noun จะแบ่งออกเป็นคำนามนับได้และคำนามนับไม่ได้

คำนามนับได้ (countable noun) คือคำนามที่นับจำนวนเป็นชิ้นเป็นอันได้ อย่างเช่น

  • Man (ผู้ชาย) – นับได้ว่ากี่คน
  • Cat (แมว) – นับได้ว่ากี่ตัว
  • Pen (ปากกา) – นับได้ว่ากี่ด้าม

คำนามนับไม่ได้ (uncountable noun) คือคำนามที่ตามธรรมชาติแล้วนับจำนวนเป็นชิ้นเป็นอันได้ยาก เรามักจะมองเป็นภาพรวมหรือเป็นกลุ่มก้อนมากกว่า อย่างเช่น

  • Water (น้ำ) – เราจะไม่นับน้ำว่ามีกี่หยด
  • Sugar (น้ำตาล) – เราจะไม่นับน้ำตาลว่ามีกี่เม็ด
  • Happiness (ความสุข) – ไม่สามารถนับเป็นชิ้นเป็นอันได้

เราสามารถทำคำนามนับไม่ได้ให้กลายเป็นคำนามนับได้ด้วยการกำหนดหน่วยเฉพาะให้มัน อย่างเช่น A glass of water (น้ำหนึ่งแก้ว), two teaspoons of sugar (น้ำตาลสองช้อนชา)

คำนามนับได้และนับไม่ได้จะมีความเกี่ยวข้องกับเอกพจน์และพหูพจน์คือ

  • คำนามนับได้จะมีทั้งรูปเอกพจน์และพหูพจน์ เช่น คำว่า cat เป็นเอกพจน์ มีรูปพหูพจน์คือ cats
  • คำนามนับไม่ได้จะมีแค่รูปเอกพจน์เท่านั้น (ยกเว้นเมื่อเรากำหนดหน่วยเฉพาะให้มัน) เช่น คำว่า water เป็นเอกพจน์ แต่จะไม่มีรูปพหูพจน์ (เราจะไม่ใช้ waters)

แบ่งตามหมวดหมู่คำ

Noun จะแบ่งตามหมวดหมู่คำได้เป็น 5 ประเภท คือ

  1. Common noun คือคำนามที่ใช้เรียกสิ่งทั่วไปแบบไม่เจาะจง เช่น child, student, pen, house, happiness, sadness, group, family
  2. Proper noun คือคำนามที่ใช้เรียกสิ่งต่างๆแบบเจาะจงระบุชื่อ เช่น John, Anne, Bangkok, Japan, Monday, Microsoft การใช้ proper noun เราจะใช้ตัวอักษรตัวแรกเป็นตัวใหญ่เสมอ
  3. Concrete noun คือคำนามที่เป็นรูปธรรม จับต้องได้ เช่น child, student, pen, house (concrete noun ถือเป็นส่วนหนึ่งของ common noun)
  4. Abstract noun คือคำนามที่เป็นนามธรรม จับต้องไม่ได้ เช่น happiness, sadness, love, relationship (abstract noun ถือเป็นส่วนหนึ่งของ common noun)
  5. Collective noun คือคำนามที่ใช้เรียกกลุ่มของสิ่งต่างๆ เช่น group, family, team, government (collective noun ถือเป็นส่วนหนึ่งของ common noun)

การใช้ noun ในประโยค

การใช้ noun จะใช้ได้ 4 แบบหลักๆ คือ

1. Noun ทำหน้าที่เป็นประธาน (subject)

Noun ที่ทำหน้าที่เป็นประธาน มักจะอยู่ต้นๆประโยค ตัวอย่างเช่น

Tim lives in Bangkok.
ทิมอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ

This bag is very heavy.
กระเป๋าใบนี้หนักมาก

2. Noun ทำหน้าที่เป็นกรรม (object)

กรรมคือผู้ถูกกระทำ noun ที่ทำหน้าที่เป็นกรรม มักจะอยู่หลัง verb ตัวอย่างเช่น

I play with my cat every day.
ฉันเล่นกับแมวของฉันทุกวัน

She gave me a book yesterday.
เธอให้หนังสือหนึ่งเล่มแก่ฉันเมื่อวานนี้

ตัวอย่างประโยคที่ 2 นี้ จะมีกรรม 2 ตัว โดย book จะถือเป็นกรรมตรง (direct object) เพราะเป็นสิ่งที่ถูกกระทำโดยตรง ส่วน me จะถือเป็นกรรมรอง (indirect object) เพราะเป็นผู้ที่ได้รับผลของการกระทำ

3. Noun ทำหน้าที่เป็นส่วนเติมเต็ม (complement)

ข้อแตกต่างระหว่างกรรมและส่วนเติมเต็มก็คือ กรรมเป็นผู้ถูกกระทำ แต่ส่วนเติมเต็มเป็นคำที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประธาน ซึ่งมักจะตามหลัง linking verb อย่างเช่น is, am, are, was, were, feel, seem, sound, taste เป็นต้น

Anne is a writer.
แอนเป็นนักเขียน

We are Thai.
พวกเราเป็นคนไทย

4. Noun ที่ทำหน้าที่อื่นๆ

Noun ยังสามารถทำหน้าที่อย่างอื่นนอกเหนือจากที่กล่าวมาได้อีกด้วย ซึ่งก็คือ

ทำหน้าที่ขยายความ noun ที่อยู่ข้างหน้า (appositive noun)

My friend, Joe, lives in the same town with me.
เพื่อนของฉัน ซึ่งก็คือโจ อาศัยอยู่ในเมืองเดียวกับฉัน
(คำว่า Joe ทำหน้าที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ my friend เป็นการระบุว่าคือเพื่อนคนไหน)

ทำหน้าที่เป็นคำขยาย (modifier) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ noun ที่ตามหลัง

I love leather bags.
ฉันชอบกระเป๋าหนัง
(คำว่า leather จริงๆแล้วเป็น noun แต่ในประโยคนี้จะทำหน้าที่เหมือน adjective ขยายคำว่า bags การที่ noun 2 ตัวอยู่ติดกันโดยไม่มีคอมม่าคั่น noun ตัวหน้าจะทำหน้าที่เหมือน adjective ขยาย noun ตัวหลัง)

ทำหน้าที่แสดงความเป็นเจ้าของ (possessive noun) โดยจะต้องใส่ ’s หลัง noun ที่เป็นเจ้าของ

Susan’s cat is very cute.
แมวของซูซานนั้นน่ารักมาก

แต่ถ้า noun นั้นเป็นคำนามพหูพจน์ที่ลงท้ายด้วย s เราจะใส่แค่เครื่องหมาย ’ เฉยๆ

My friends’ houses are far from school.
บ้านของเพื่อนๆฉันนั้นอยู่ไกลจากโรงเรียน

จบแล้วนะครับกับเรื่อง noun ในภาษาอังกฤษ ทีนี้เพื่อนๆก็คงจะเข้าใจกันแล้วว่า noun คืออะไร และมีการใช้อย่างไร ถ้ายังไงก็อย่าลืมทบทวนและฝึกใช้บ่อยๆนะครับ

อย่าลืมนะครับ ภาษาอังกฤษยิ่งเรียนรู้ ยิ่งฝึก ก็ยิ่งเก่ง สำหรับบทความนี้ ชิววี่ต้องขอตัวลาไปก่อน See you next time


What Your Country Says About You!


👌Ayy, I created Patreon: https://www.patreon.com/zimbax
Thank you MVPerry for this video idea!
►Howdy! I’m an original content creator Zimbax and also the guy behind these educational geography series. I love creating videos about maps and geography in my own way of editing. I hope you enjoy my videos and if so, be sure to leave a thumbs up!
►Huge thanks to my channel members/patrons:
maninhades
V. Inculta
Zim
Nguyen Lan Ahn
Ukic
Ivana
Sanguine
SynergyMaxDE
Cristina

😎My Discord: https://discord.gg/eevq7YJ
📈Boost me: https://www.famousbirthdays.com/people/zimbax.html

🎵Music:
https://www.youtube.com/watch?v=mNLJMTRvyj8

►Q: When did you start Youtube?
►A: I started in around 2014 with my first channel. In total, I’ve had over 10+ channels and my biggest dream has been to hit 100K subscribers.
►Q: Where are you from?
►A: I’m from Estonia.
►Q: How many languages do you speak?
►A: Estonian and English. A bit of Russian and Spanish also. My dream is to speak 5 languages.

😋If you’re reading this, then you’re AWESOME!!!
►For copyright queries or general inquiries please get in touch: [email protected]

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูความรู้เพิ่มเติมที่นี่

What Your Country Says About You!

ประเทศอาเซียน(ASEAN) 10 ประเทศ l คำศัพท์ภาษาอังกฤษระดับประถม l ธงประเทศอาเซียน เมืองหลวง สกุลเงิน


แนะนำคำศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับประเทศอาเซียน (ASEAN) ทั้ง 10 ประเทศ พร้อมข้อมูลเมืองหลวง ธงชาติ และสกุลเงิน เหมาะสำหรับนักเรียนระดับประถมศึกษา
สนใจเรียนไวยากรณ์และแกรมม่าภาษาอังกฤษพื้นฐานแบบฟรีๆ สามารถกดติดตามเราได้ที่:
Youtube: https://bit.ly/3dldu4m
Twitter: http://bit.ly/2Yt2lqH
Blog: https://goo.gl/JthDFX
Facebook: http://bit.ly/2CIaLBa
คำศัพท์ภาษาอังกฤษ ท่องศัพท์ภาษาอังกฤษ

ประเทศอาเซียน(ASEAN) 10 ประเทศ l คำศัพท์ภาษาอังกฤษระดับประถม l ธงประเทศอาเซียน เมืองหลวง สกุลเงิน

What is his nationality?


What is his nationality?

เกี้ยวพาราสี – P-HOT ft. SPRITE [Official MV] Prod.NINO


Song : เกี้ยวพาราสี PHOT ft. SPRITE (Prod.NINO)
Lyrics / Arrange : PHOT , SPRITE
Chorus \u0026 Hype : JP1 Dancehall
Produced : NINO
Mixed : NINO \u0026 MOSSHU
Studio: NINO TRAP House
Mastered : Alex psaroudakis
DIRECTOR : Mangto
Stylish : Snackwsk
Dance : Di.Cobras

Available on
iTunes Store \u0026 Apple Music : https://apple.co/3fR7lio
Joox : https://bit.ly/3fQ2M7O
Spotify : https://spoti.fi/2RVFQfu
Tidal : https://bit.ly/3i2rIvB

Contact : PHOT
Facebook : https://www.facebook.com/mcpond99/
FB : Hype Train :https://m.facebook.com/officialhypetrain
PHOT : @p_Hot99
SPRITE : @spritezakup
HYPE TRAIN : @hypetrain.official
FOR Work: 0958268766
เกี้ยวพาราสี PHOT SPRITE NINO

เกี้ยวพาราสี - P-HOT ft. SPRITE [Official MV] Prod.NINO

บทเรียนออนไลน์ Country and Nationality Part 2


เป็นวีดิโอประกอบการเรียนออนไลน์ เรื่อง Country and Nationality
บทเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์โดยประเมินผลการเรียนผ่านแบบทดสอบออนไลน์ต้องมีผลการทดสอบที่ 70%
คณะผู้จัดทำ
1. นางสุพิน เลี้ยงพานิชย์ ครู โรงเรียนวัดหนองโพธิ์
2. นางสาวศันสนีย์ นิโครธานนท์ ครู โรงเรียนวัดเกาะเซิงหวาย
3. นางสาวตติยา โคทังคะ ครู โรงเรียนอนุบาลวิหารแดง
4. นางสาวสุทธิดา ศรีนวลจันทร์ ครู โรงเรียนอนุบาลวังม่วง
5. นางสาวเยาวรัตน์ สาละผล ครู โรงเรียนชุมชนวัดไทยงาม
6. นางสาวอรอนงค์ จูมคอม ครู โรงเรียนวัดหนองสมัคร (มูลนิธิสุขาวดีอุปถัมภ์)
7.นางสาวสโรชา ทองดี ครู โรงเรียนอนุบาลวิหารแดง
อำนวยการผลิต
1. ดร.สมเกียรติ ชิดไธสง ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระบุรี เขต 2
2. นางปาจรีย์ สังข์วงษา ศึกษานิเทศก์สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสระบุรี เขต 2
เป็นคลิปวีดิโอประกอบการเรียนออนไลน์ เรื่อง Country \u0026 Nationality

บทเรียนออนไลน์ Country and Nationality Part 2

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูวิธีอื่นๆMAKE MONEY ONLINE

ขอบคุณมากสำหรับการดูหัวข้อโพสต์ nationality คือ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *