Skip to content
Home » [Update] 20 สำนวนอังกฤษน่าใช้ พูดได้เหมือนเจ้าของภาษา | หากเธอนั้นได้รู้อะไรบางอย่าง – NATAVIGUIDES

[Update] 20 สำนวนอังกฤษน่าใช้ พูดได้เหมือนเจ้าของภาษา | หากเธอนั้นได้รู้อะไรบางอย่าง – NATAVIGUIDES

หากเธอนั้นได้รู้อะไรบางอย่าง: นี่คือโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้

แชร์บทความนี้

เมื่อคุณได้ยินเพื่อนต่างชาติของคุณพูดว่า hitting books (ตีหนังสือ) อีกคนพูดถึง twisting someone’s arm (บิดแขนใครคนหนึ่ง) และ ดูเหมือนว่า someone’s been stabbed in the back (ใครบางคนถูกแทงจากข้างหลัง) นี่มันกำลังเกิดอะไรขี้นเนี่ย? คุณอาจจะเกาหัวและสงสัยว่าทำไมคุณไม่เข้าใจทั้งๆที่คุณสามารถแปลออกได้ทุกคำ เพราะจริงๆแล้วเพื่อนคุณกำลังใช้สำนวนภาษาอังกฤษกับคุณอยู่น่ะสิ

สำนวนภาษาอังกฤษนั้นเป็นกลุ่มคำที่มีความหมายไม่ชัดเจนหากคุณแปลมันคำต่อคำ การเรียนสำนวนภาษาอังกฤษที่ใช้ในชีวิตประจำวันจะช่วยให้คุณเข้าถึงสถาณการณ์ต่างๆได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในสนามเกมส์บาสเก็ตบอล ในวงเหล้า ในการเรียน หรือแม้แต่การออกเดทกับสาวสุดสวยหรือหนุ่มสุดหล่อ หลักสำคัญในการเข้าใจสำนวนภาษาอังกฤษคือการมองข้ามความหมายจากการแปลตรงตัว ถ้าคุณรู้ไต๋ของสำนวนภาษาอังกฤษแล้ว สำนวนเหล่านี้ก็จะไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคุณอีกต่อไป!

เราได้รวบรวม 20 สำนวนภาษาอังกฤษที่ชาวอเมริกันใช้บ่อยที่สุดมาให้คุณ เพื่อช่วยให้คุณคุ้นเคยกับสำนวนภาษาอังกฤษมากขึ้น ซึ่งมีประโยชน์มากสำหรับนักเรียน ESL หรือใครก็ตามที่กำลังเรียนภาษาอังกฤษอยู่ เราลองมาดูกันเถอะ!

Table of Contents

(to) hit the books — เรียน, อ่านหนังสือ

hit the books แปลตรงตัวว่า ตี ต่อย หรือตบหนังสือที่คุณอ่าน แต่จริงๆแล้ววลีนี้เป็นสำนวนที่ใช้กันโดยทั่วไปในกลุ่มนักเรียน โดยเฉพาะนักเรียนมหาวิทยาลัยในอเมริกาที่ต้องเรียนหนังสืออย่างหนัก หลักๆแล้วสำนวนนี้ให้ความหมายว่า เรียนหนังสือหรืออ่านหนังสือ และมันยังเป็นวิธีบอกเพื่อนของคุณว่าคุณกำลังจะไปเรียน ซึ่งอาจจะเป็นการเรียนเพื่อการสอบปลายภาค กลางภาค หรือแม้แต่การสอบภาษาอังกฤษ

Sorry but I can’t watch the game with you tonight, I have to hit the books. I have a huge exam next week!
ขอโทษด้วยนะ แต่คืนนี้ฉันคงไปดูการแข่งกีฬากับเธอไม่ได้ ฉันต้องอ่านหนังสือ เพราะฉันมีสอบใหญ่ในสัปดาห์หน้า

(to) hit the sack — เข้านอน

คล้ายกับสำนวนก่อนหน้านี้ ความหมายโดยตรงแปลว่า ตีหรือตบกระสอบ แต่จริงๆแล้ว to hit the sack นั้นคือการเข้านอน ซึ่งคุณสามารถใช้สำนวนนี้เพื่อบอกเพื่อนหรือครอบครัวของคุณว่าคุณเหนื่อยมากๆ คุณจะไปเข้านอนแล้ว นอกจากนี้ แทนที่จะพูดว่า hit the sack คุณยังสามารถพูดว่า hit the hay ได้เหมือนกัน

It’s time for me to hit the sack, I’m so tired.
ฉันได้เวลาเข้านอนแล้ว ฉันเหนื่อยมาก

(to) twist someone’s arm — โน้วน้าวใจ

To twist someone’s arm แปลตรงๆได้ว่า การจับแขนใครสักคนแล้วหมุนบิด ซึ่งฟังดูเจ็บถ้าคุณแปลแบบนี้ การบอกว่า my arm has been twisted ก็แปลว่าใครบางคนพูดโน้วน้าวใจคุณให้ทำอะไรบางอย่างที่คุณไม่ได้ปรารถนาที่จะทำ และการบอกว่าคุณสามารถ twist someone else’s arm ได้ ก็หมายความว่า คุณโน้วน้าวใจคนอื่นเก่ง และพวกเขายอมที่จะทำตามที่คุณบอก

Jake, you should really come to the party tonight!
แจ็ค คุณควรมางานปาร์ตี้คืนนี้จริงๆ นะ

You know I can’t, I have to hit the books (study).
คุณก็รู้ว่าฉันไปไม่ได้ ฉันต้องอ่านหนังสือนะ

C’mon, you have to come! It’s going to be so much fun and there are going to be lots of girls there. Please come?
เอาน่า คุณต้องมานะ! งานนี้สนุกมากและยังมีสาวๆมาอีกเพียบ ได้โปรดมาเถอะนะ?

Pretty girls? Oh, all right, you’ve twisted my arm, I’ll come!
สาวๆสวยๆใช่ไหม? อ้า งั้นก็ได้นะ นายนี่โน้วน้าวใจฉันเก่งจริงๆ ฉันจะไป!

(to be) up in the air — ไม่แน่ไม่นอน

เมื่อได้ยิน something’s floating หรือ flying in the sky เรามักมีความคิดว่ามีอะไรบางอย่างลอยหรือบินอยู่บนท้องฟ้า อาจจะเป็นเครื่องบินหรือลูกโป่ง แต่ถ้าใครบอกคุณว่า things are up in the air มันหมายความว่าสิ่งนั้นไม่แน่นอนหรือไว้วางใจไม่ได้ ยังไม่มีการวางแผนที่แน่นอน

Jen, have you set a date for the wedding yet?
เจน คุณได้เลือกวันแต่งงานแล้วหรือยัง?

Not exactly, things are still up in the air and we’re not sure if our families can make it on the day we wanted. Hopefully, we’ll know soon and we’ll let you know as soon as possible.
ยังเลยนะ หลายอย่างๆยังไม่แน่นอนและเรายังไม่แน่ใจว่าครอบครัวของเราว่างในวันที่เราต้องการหรือเปล่า หวังว่าเราจะตกลงกันได้เร็วๆนี้และเราจะบอกให้คุณทราบให้เร็วที่สุด

(to) stab someone in the back — หักหลัง ทรยศ

ถ้าเราฟังจากคำแปลโดยตรงของสำนวนนี้แล้ว ดูเหมือนว่าเราอาจจะมีปัญหากับตำรวจได้ถ้าเรานำมีดจริงๆหรือของมีคมไปแทงหลังของใครเข้า อย่างไรก็ตาม เมื่อมาเป็นสำนวนแล้ว to stab someone in the back แปลว่า ทำร้ายจิตใจ หรือทำให้คนที่สนิทและรักเราเสียใจโดยการหักหลังพวกเขาอย่างเงียบๆ และทำลายความเชื่อใจที่พวกเขามีให้ เราเรียกคนเหล่านี้ว่า a backstabber

Did you hear that Sarah stabbed Kate in the back last week?
คุณได้ยินเรื่องที่ซาร่าหักหลังเคทเมื่ออาทิตย์ก่อนไหม?

No! I thought they were best friends, what did she do?
ไม่นะ! ฉันคิดว่าเขาเป็นเพื่อนสนิทกันเสียอีก ซาร่าทำอะไรเคทหรอ?

She told their boss that Kate wasn’t interested in a promotion at work and Sarah got it instead.
เธอบอกกับเจ้านายของพวกเธอว่าเคทไม่สนใจเรื่องการขึ้นตำแหน่งที่ทำงาน แล้วซาร่าเลยได้ขึ้นตำแหน่งแทนเลยน่ะสิ

Wow, that’s the ultimate betrayal! No wonder they’re not friends anymore.
โอ้โห นั่นถือเป็นเป็นการทรยศกันเลยนะ! มิน่าล่ะ พวกเขาเลยไม่ใช่เพื่อนกันแล้วตอนนี้

(to) lose your touch — หมดฝีมือ

ตามความหมายตรงตัวแล้วจะแปลว่า สูญเสียความรู้สึกสัมผัสที่นิ้วหรือมือขอคุณ แต่ to lose your touch จริงๆแล้วแปลว่าคุณสูญเสียความสามารถหรือพรสวรรค์ที่คุณเคยมี ไม่ว่าจะเป็นการรับมือกับส่ิ่งต่างๆ คนหรือสถาณการณ์ เราจะใช้สำนวนนี้สำหรับคนที่มีความสามารถอะไรสักอย่าง แต่สามารถนั้นเริ่มแย่ลง ไม่เก่งเหมือนเดิม

I don’t understand why none of the girls here want to speak to me.
ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากจะพูดกับฉัน

It looks like you’ve lost your touch with the ladies.
ดูเหมือนว่าคุณจะหมดฝีมือเกี่ยวกับเรื่องผู้หญิงนะ

Oh no, they used to love me, what happened?
โอ้ ไม่นะ สาวๆเคยชอบฉันมาก แล้วมันเกิดอะไรขึ้นล่ะเนี่ย?

(to) sit tight — อย่ารีบร้อน

To sit tight เป็นสำนวนภาษาอังกฤษที่แปลก ตามความหมายแปลว่าคุณต้องนั่งลงแน่นๆ เกร็งตัวของคุณ ซึ่งถ้าคุณทำแบบนั้น ก็คงจะเป็นอะไรที่ไม่สบายตัวน่าดู แล้วยังดูประหลาดอีกด้วย แต่ถ้าใครบอกคุณ to sit tight เขาแค่อยากให้คุณรอหรือใจเย็นๆ ก่อน อย่าเพิ่งรีบร้อนก่อนที่จะได้รับข้อมูลครบถ้วน

Mrs. Carter, do you have any idea when the exam results are going to come out?
คุณคาร์เตอร์ครับ คุณรู้ไหมว่าผลสอบจะออกเมื่อไร?

Who knows Johnny, sometimes they come out quickly but it could take some time. You’re just going to have to sit tight and wait.
ใครจะรู้ล่ะ จอร์นนี่ บางครั้งผลสอบก็ออกเร็ว แต่ยังไงมันก็ใช้เวลาสักพัก เธอต้องใจเย็นๆแล้วรอไปก่อน

(to) pitch in — ช่วยเหลือกัน

สำนวนนี้จะเห็นได้ว่าไม่สามารถหาความหมายได้เมื่อแปล อย่างไรก็ตาม ให้คุณนึกภาพตามความหมายของมันเป็นการแสดงถึงการกระทำที่ให้บางสิ่งบางอย่างหรือการเข้าร่วมร่วมกัน เช่น ถ้าพ่อของคุณบอกกับครอบครัวว่า เขาอยาก pitch in สุดสัปดาห์นี้ และช่วยทำความสะอาดสวนหลังบ้าน มันหมายความว่า อยากให้ทุกคนมาช่วยกันทำความสะอาดสวนและทำให้มันเสร็จเร็วขึ้น

What are you going to buy Sally for her birthday?
คุณจะซื้ออะไรให้ซอลลี่ ในวันเกิดของเธอหรอ?

I don’t know. I don’t have much money.
ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ฉันไม่ค่อยมีเงิน

Maybe we can all pitch in and buy her something great.
ถ้างั้นเราลองมารวมเงินช่วยกันซื้อของขวัญดีๆสักอย่างให้เธอกันไหม

จากตัวอย่างสนทนาขัางบน แสดงให้เห็นว่า เพื่อนของซอลลี่ทุกๆคนควรร่วมลงเงินกันคนละเล็กละน้อยเพื่อที่พวกเขาจะซื้อของขวัญที่ใหญ่กว่าดีกว่าให้ซอลลี่ได้

(to) go cold turkey — เลิกหรือหยุดในทันที

ฟังดูแปลกๆใช่ไหม? ใช่แล้วล่ะ มันฟังดูแปลก เพราะใครจะไปเป็นไก่งวงเย็นได้ล่ะ? คนๆหนึ่งไม่สามารถกลายร่างเป็นไก่ที่ใครๆก็ชอบกินเพื่อเฉลิมฉลองในงานเทศกาลอย่าง คริสมาสต์ หรือ Thanksgiving ได้หรอก ที่มาของสำนวนนี้นั้นแปลกประหลาดมาก to go cold turkey แปลว่า เลิกหรือหยุด เสพติดหรือพฤติกรรมที่อันตราย เช่น การสูบบุหรี่หรือการดื่มแอลกอฮอล์ สำนวนนี้เริ่มมีการใช้เมื่อสมัยปลายศตวรรษที่ 20 และหมายถึง คนที่เลิกเสพติดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น ยาหรือแอลกอฮอล์ เนื่องจากได้รับผลข้างเคียงที่ทำให้ดูเหมือน ไงงวงที่ยังดิบและเย็น อาการที่ทำให้ผิวซีดขาวและขนลุกตลอดเวลา

Shall I get your mom a glass of wine?
ฉันควรรินไวน์ให้แม่ของคุณสักแก้วหนึ่งไหม?

No, she’s stopped drinking.
ไม่นะ แม่ฉันเลิกดื่มไวน์แล้วล่ะ

Really, why?
จริงหรอ ทำไมล่ะ?

I don’t know. A few months ago, she just announced one day she’s quitting drinking.
ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน เมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ อยู่ดีๆเธอก็บอกว่าเธอเลิกดื่มแล้ว

She just quit cold turkey?
เธอเลิกไปกระทันหันเลยหรอ

Yes, just like that!
ใช่ แบบนั้นเลย

(to) face the music — เผชิญหน้ากับความจริง

ฟังดูเหมือนสำนวนจะบอกให้คุณหันหน้าไปทางเครื่องเสียงแล้วยืนฟังเพลง ในความเป็นจริงแล้วเมื่อใดก็ตามที่เพื่อนหรือพ่อแม่ของคุณบอกคุณว่า to face the music นั้นมีความหมายโหดร้ายเสียยิ่งกว่าคำแปลเสียอีก มันหมายความว่า เผชิญหน้าความจริงหรือยอมรับความจริง ยอมรับกับผลลัพท์ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี (แต่ส่วนใหญ่แล้วจะไม่ดีนะ) คุณอาจจะหลบหนีอะไรบางอย่างที่ไม่มั่นใจหรือกลัวผลลัพท์ที่จะเกิด คุณอาจจะหลอกคุณครูของคุณและเขาค้นพบความจริง ตอนนี้คุณต้อง face the music และยอมรับการลงโทษได้แล้วล่ะ

I can’t understand why I failed math.
ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมฉันสอบคณิตศาสตร์ไม่ผ่าน

You know you didn’t study hard, so you’re going to have to face the music and take the class again next semester if you really want to graduate when you do.
คุณก็รู้ว่าคุณไม่ตั้งใจเรียน เพราะฉะนั้นคุณต้องยอมรับกับผลที่เกิดขึ้นและลงเรียนใหม่ในเทอมถัดไปถ้าคุณยังอยากจะเรียบจบตามกำหนด

(to be) on the ball — มีความเตรียมพร้อม

สำนวนนี้ แปลตรงตัวจะหมายถึง การยืนหรือนั่งอยู่บนลูกบอล สำนวน you’re on the ball แปลว่า คุณมีการเตรียมพร้อม รับมือกับสถาณการณ์ได้อย่างรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณกำลังวางแผนงานแต่งงานที่จะจัดขึ้นในอีกหนึ่งปีข้างหน้าและคุณได้เตรียมแผนงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว you’re on the ball อย่างแน่นอน เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะเตรียมตัวเยอะขนาดนี้!

Wow, you’ve already finished your assignments? They are not due until next week, you’re really on the ball. I wish I could be more organized.
ว้าว คุณทำการบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้วหรอ? มีกำหนดส่งตั้งอาทิตย์หน้าเลยนะ คุณนี่เตรียมพร้อมดีจังนะ ฉันอยากจะเป็นคนที่มีระเบียบมากกว่านี้บ้างจัง

(to) ring a bell — คุ้นหู เคยได้ยิน

สำนวนนี้อาจจะมีความหมายว่า ตีระฆังหรือกระดิ่ง เหมือนกับตอนตีกระดิ่งให้เข้าเรียนหรือกดกริ่งเพื่อให้คนที่อยู่ในบ้านมาเปิดประตู แต่ในสำนวนจะแปลว่าใครบางคนได้พูดถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่คุ้นหูให้คุณได้ยิน ซึ่งบางทีคุณอาจจะเคยได้ยินมาก่อน หรือพูดอีกนัยคือ ใครพูดถึงบางอย่างที่คุณเชื่อว่าคุณเคยได้ยินมาก่อนในอดีต เหมือนกับกระดิ่งดังขึ้นมาในหัวและคุณพยายามคิดว่าคุณเคยได้ยินชื่อหรือสถานที่เหล่านั้นจากที่ไหนกัน

You’ve met my friend Amy Adams, right?
คุณเคยเจอเพื่อนของฉันที่ชื่อเอมี่ อดัมส์ ใช่ไหม?

Hmmm, I’m not sure, but that name rings a bell. Was she the one who went to Paris last year?
อืม ฉันไม่ค่อยแน่ใจนะ แต่ชื่อนี้คุ้นหูอยู่ ใช่คนที่ไปปารีสเมื่อปีที่แล้วหรือเปล่า?

rule of thumb — กฏเกณฑ์ปากเปล่า เป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไป

นิ้วโป้งสามารถที่จะวางกฏเกณฑ์หรือคุณสามารถวางกฏเกณฑ์ให้กับนิ้วมือได้? ฟังดูแล้ววลีนี้แทบไม่มีความหมายใดๆเลย อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณได้ยินใครพูดว่า as a rule of thumb พวกเขาหมายถึงกฏเกณฑ์ปากเปล่าที่เป็นที่รู้กันทั่วไป rule of thumb นี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับหลักวิทยาศาสตร์หรืองานวิจัย แต่เป็นเพียงหลักการทั่วไป ยกตัวอย่างเช่น ไม่มีกฏวิทยาศาตร์ใดๆบอกไว้ว่าคุณต้องใส่น้ำมันลงไปในน้ำที่เดือดอยู่ในขณะที่คุณกำลังทำพาสต้า แต่มันคือ a rule of thumb และได้รับการปฏิบัติโดยคนส่วนใหญ่เพื่อที่เส้นพาสต้าจะไม่ติดก้นหม้อ

As a rule of thumb, you should always pay for your date’s dinner.
โดยหลักการทั่วไป คุณควรเป็นคนจ่ายค่าอาหารเย็นให้กับคู่เดทของคุณนะ

Why? There’s no rule stating that!
ทำไมต้องทำแบบนั้นล่ะ? ไม่มีกฏข้อไหนกล่าวไว้เลย!

Yes, but it’s what all gentlemen do.
ก็ใช่ แต่มันคือสิ่งที่สุภาพบุรุษเขาทำกัน

(to be) under the weather — ไม่สบาย ไม่ปกติ

คุณสามารถเข้าไปอยู่ข้างใต้ของสภาพอากาศได้หรือไม่? อาจจะจริงอยู่ ถ้ามองว่าตอนนี้คุณก็ยืนอยู่ใต้ก้อนเมฆ ฝน พระอาทิตย์ แต่ก็ฟังดูไม่มีเหตุผลใช่ไหมล่ะ จริงๆแล้วถ้าคุณ feeling under the weather นัั้นหมายความว่า คุณมีอาการไม่ปกติ หรือรู้สึกป่วย ความรู้สึกป่วยที่ไม่ได้ สาหัส แต่อาจจะเป็นอาการเหนื่อยจากการเรียนอย่างหนัก หรือปวดหัวจากไข้หวัด

What’s wrong with Katy, mom?
เคที่เป็นอะไรเหรอคะแม่?

She’s feeling a little under the weather so be quiet and let her rest.
เธอรู้สึกไม่ค่อยสบายน่ะ อย่าเสียงดังนะ ให้เธอได้พักผ่อน

(to) blow off steam — ระบายอารมณ์

ในความเป็นจริง คนเราไม่สามารถเป่าไอน้ำออกมาได้ถ้าไม่ใช่อุปกรณ์ไฟฟ้าอย่างกระติกน้ำร้อน (อุปกรณ์สำหรับการต้มน้ำเพื่อทำกาแฟ) แล้วมันหมายความว่าอย่างไรเวลาที่คน blows off steam? ถ้าคุณกำลังโกรธ เครียด หรือประสบกับความรู้สึกที่รุนแรง และคุณอยากจะระบายออกมาเพื่อที่คุณจะได้รู้สึกดีอีกครั้ง คุณจะ blow off steam ด้วยการทำบางสิ่งบางอย่าง เช่น การออกกำลังกายเพื่อคลายเครียด

Why is Nick so angry and where did he go?
ทำไมนิคดูโกรธเคืองแบบนั้นแล้วเขาไปไหนเสียแล้วล่ะ?

He had a fight with his brother, so he went for a run to blow off his steam.
เขาทะเลาะกับน้องชายของเขา เขาเลยออกไปวิ่งเพื่อระบายอารมณ์น่ะ

(to) look like a million dollars/bucks — ดูดี ดูเป๊ะปัง

มันคงจะดีไม่ใช่น้อยถ้ามีคงบอกว่าเราดูเหมือนเศรษฐีเงินล้านใช่ไหมล่ะ? ใช่ มันจะดีมาก แต่นั่นไม่ใช่ความหมายของสำนวนนี้หรอกนะ แต่ถ้าใครบอกคุณว่า you look like a million bucks ถือว่าคุณได้รับคำชมที่ดีเลยทีเดียว เพราะว่ามันหมายถึงคุณปัง ดูดีมีสเน่ห์มากๆ มีบ้างที่เราใช้สำนวนนี้กับผู้ชายแต่มักจะใช้ชมพวกผู้หญิงเสียมากกว่า เพื่อนผู้หญิงของคุณจะดีใจมากถ้าคุณใช้สำนวนนี้ชมพวกเเธอในโอกาสพิเศษต่างๆ เช่น งานเต้นรำ หรืองานแต่งงาน

Wow, Mary, you look like a million dollars this evening. I love your dress!
ว้าว แมรี่ คืนนี้คุณดูดีดูปังมากๆเลยนะ ฉันชอบเดรสของคุณมาก!

(to) cut to the chase — พูดประเด็นสำคัญ พูดเข้าเรื่อง

ถ้าใครบอกคุณว่า cut to the chase นั้นหมายถึงคุณพูดยืดเยื้อและยังไม่เข้าเรื่องสักที เมื่อพวกเขาใช้สำนวนนี้ พวกเขากำลังพยายามบอกกับคุณว่า รีบๆพูดและเข้าเรื่องสักที ไม่ต้องเล่ารายละเอียดแล้ว ในการใช้สำนวนนี้ต้องระวังเพราะคุณถ้าใช้ตอนที่อาจารย์หรือเจ้านายของคุณกำลังพูดอยู่ล่ะก็ ถือว่าไม่สุภาพและไม่ให้เกียรติมากๆเลยนะ ถ้าคุณพูดกับคนกลุ่มใหญ่ เช่นลูกจ้างของคุณ คุณใช้ I’m going to cut to the chase นั่นหมายความว่า คุณมีเวลาไม่เพียงพอที่จะพูดทุกเรื่อง เพราะฉะนั้นคุณจะพูดเพียงประเด็นสำคัญให้ทุกคนได้ทราบ

Hi guys, as we don’t have much time here, so I’m going to cut to the chase. We’ve been having some major problems in the office lately.
สวัสดีทุกคน เนื่องจากว่าเราไม่มีเวลามากนัก ฉันจะเข้าเรื่องเลยละกัน ในช่วงระยะหลังมานี้ เรากำลังประสบกับปัญหาใหญ่ในที่ทำงานของเรา

(to) find your feet — ปรับตัว ทำตัวให้ชิน

เป็นไปไม่ได้ ที่เราจะทำเท้าของเราหาย ใช่ไหม? ก็เพราะมันเชื่อมอยู่กับร่างกายเราจะหายได้อย่างไรล่ะ! แล้วมันหมายความว่าอย่างไร เมื่อมีคนพูดว่า find their feet ถ้าเกิดว่าคุณตกอยู่ในสถาณการณ์แปลกใหม่ อย่างเช่น อาศัยอยู่ในต่างประเทศและต้องปรับตัวให้เข้ากับโรงเรียนใหม่ คุณควรพูดว่า I’m still finding my feet เพราะมันหมายความว่า คุณกำลังปรับตัวอยู่หรือกำลังทำตัวให้ชินกับสภาพแวดล้อมใหม่นี้

Lee, how’s your son doing in America?
ลี ลูกของคุณใช้ชีวิตอยู่อเมริกาแล้วเป็นอย่างไรบ้าง?

He’s doing okay. He’s learned where the college is but is still finding his feet with everything else. I guess it’ll take time for him to get used to it all.
เขาสบายดี เขารู้ทางที่จะไปโรงเรียนแล้วล่ะ แต่ก็ยังต้องปรับตัวกับหลายๆอย่าง ฉันคิดว่าเขาคงใช้เวลาสักพักให้ชินกับทุกสิ่ง

(to) get over something — ทำใจได้แล้ว หายแล้ว (อาการป่วย)

ถ้าคุณอ่านสำนวนนี้ คุณอาจจะเห็นภาพของการเดินข้ามบางอย่าง อย่างเช่น ข้ามรั้ว แต่ว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่สำนวนนี้หมายถึง ลองนึกถึงช่วงเวลาที่ยากลำบาก อย่างเช่น เวลาที่คุณเลิกกับแฟนของคุณสิ มันยากใช่ไหมล่ะ แต่เมื่อเวลาผ่านไป คุณก็จะไม่คิดถึงแฟนเก่าของคุณอีกต่อไป นั่นหมายความว่า คุณทำใจเรื่องแฟนของคุณได้แล้ว (you’ve gotten over him/her) คุณไม่ต้องกังวลเกี่่ยวกับมัน หรือมันไม่ผลอะไรกับคุณในทางที่ไม่ดี คุณสามารถใช้สำนวนดังกล่าวเมื่อคุณหายจากอาการเจ็บไข้ได้เช่นเดียวกัน ซึ่งหมายความว่าคุณหายดีแล้ว

How’s Paula? Has she gotten over the death of her dog yet?
พอลล่าเป็นอย่างไรบ้าง? เธอทำใจที่หมาของเธอตายได้แล้วหรือยัง?

I think so. She’s already talking about getting a new one.
ฉันคิดว่าคงได้แล้วแหละ เธอเริ่มบอกเหมือนกันว่าจะซื้อตัวใหม่อยู่

(to) keep your chin up — เข้มแข็งไว้

คุณเคยทะเลาะกับเพื่อนของคุณแล้วแพ้ไหม? เคยสอบภาษาอังกฤษแล้วตก? หรือเคยตกงาน? ถ้าคุณตอบว่า “ใช่” ต่อเหตุการณ์เหล่านี้ล่ะก็ คุณคงจะรู้สึกเศร้าและหดหู่ใช่ไหม? ในสถาณการณ์เหล่านี้ เพื่อนที่แคร์คุณก็อาจจะพูดว่า keep your chin up เพื่อให้กำลังใจคุณและเป็นการบอกให้คุณเข้มแข็ง คุณจะผ่านมันไปได้ อย่าให้เรื่องเหล่านี้มาทำลายคุณ

Hey, Karen, have you had any luck finding work yet?
เฮ้ คาเรน เธอหางานทำได้หรือยัง?

No, nothing, it’s really depressing, there’s nothing out there!
ไม่เลย ฉันรู้สึกหดหู่มาก หางานไม่ได้เลย

Don’t worry, you’ll find something soon, keep your chin up buddy and don’t stress.
ไม่ต้องกังวลไปนะ เดี๋ยวเธอก็หางานได้ในเร็วๆนี้แหล่ะ เข้มแข็งไว้นะเพื่อน และอย่าเครียดมาก

ถ้าคุณจริงจังกับการเรียนภาษาอังกฤษและอยากจะ finding your feet กับภาษาเวลาไปอยู่ต่างประเทศล่ะก็ คุณควรเรียนสำนวนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารด้วย ภาษาอังกฤษก็จะเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น โชคดีและ keep your chin up นะคะ

ติดตามเราเพื่อได้รับความรู้มากขึ้น

แชร์บทความนี้

[Update] โลกต้องการคนที่รู้ว่าตัวเองไม่รู้ และคงไม่เป็นไร หากเราเข้าใจผิด | หากเธอนั้นได้รู้อะไรบางอย่าง – NATAVIGUIDES

พวกเราล้วนใช้เวลามากมายในการจับผิดคนอื่น แต่มักลืมสำรวจความเข้าใจผิดตัวเองในแบบเดียวกัน … เราเลยอยากชวนมาสำรวจตัวเองกัน

 

ฉันคงเปลี่ยนใจคุณไม่ได้

ความรู้สึกที่ว่าเราเป็นคนถูกมันดีใช่ไหม เมื่อพบบทความที่ชอบ ข้อความที่ชอบ เรารีบกดแชร์ออกไปเพื่อแสดงออกว่า ‘อ่านนี่สิ เห็นไหม ฉันถูก’  

ลองนึกถึงครั้งล่าสุดที่คุณอ่านอะไรสักอย่างแล้วเปลี่ยนความคิดโดยสิ้นเชิง มันเคยเกิดขึ้นจริงๆ เหรอ? น่าจะเกิดขึ้นยากมากใช่ไหม? The Atlantic ได้มีบทความที่ชื่อว่า ‘บทความนี้เปลี่ยนความคิดคุณไม่ได้’ ที่ชี้ให้เห็นว่า การนำเสนอข้อเท็จจริงนั้นอาจยังไม่เพียงพอที่จะเปลี่ยนใจผู้อ่านที่มีความเชื่อขัดแย้งกับข้อเท็จจริง และหลายๆ ครั้งคนเรามักเลือกอ่านอันความคิดเห็นและข้อมูลที่ตรงกับความคิดเดิมของเราอยู่แล้ว

นอกจากหลักฐานและข้อเท็จจริงอาจจะไม่ช่วยให้เราเปลี่ยนใจแล้ว บางครั้งความจริงที่ไม่ตรงกับความเชื่อกลับทำให้เรายิ่งจมไปในความเชื่อเดิมหนักขึ้นอีก สิ่งนี้เรียกว่า Backfire Effect สิ่งที่มักเกิดขึ้นคือ เมื่อความเชื่อถูกท้าทายด้วยหลักฐานที่ไม่สอดคล้องหรือต่อต้าน ความเชื่อกลับยิ่งรุนแรงเข้มข้นฝังลึกขึ้นไปอีก แม้ในอุดมคติ เราอาจคิดว่า เมื่อเราถูกท้าทายด้วยข้อมูลแล้วจะเปลี่ยนความเห็นและยินยอมรับข้อมูลนี้ แต่เรามักอยากเชื่อว่าเราเลือกถูกข้าง หรือมาถูกทางแล้วแหละ

 

หนังสือ Mistakes Were Made (But Not by Me): Why We Justify Foolish Beliefs, Bad Decisions, and Hurtful Acts โดย Carol Tavris และ Elliot Aronson เล่าถึงงานวิจัยในปี 1979 จาก Stanford University ที่ให้กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยคนที่เห็นด้วยและคนที่ไม่เห็นด้วยกับโทษประหารชีวิต (Capital Punishmment) โดยให้กลุ่มตัวทั้งหมด อ่าน 2 บทความ ที่อันหนึ่งสนับสนุนและอีกอันหนึ่งไม่สนับสนุนโทษประหารชีวิต ซึ่งเป็นบทความวิชาการที่เขียนโดยมีข้อมูลรองรับเท่าๆ กันทั้งคู่ โดยคาดหวังว่า หลังจากอ่านจบ ทั้งสองฝั่งจะเข้าใจว่าประเด็นมันซับซ้อนกว่าที่พวกเขาคิด ได้เห็นมุมมองของฝั่งตรงข้ามที่หนักแน่น และเบาความเชื่อตัวเองลง

แต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะกลุ่มตัวอย่างทั้งสองกลุ่ม บอกว่าบทความที่ตรงความเชื่อตัวเองนั้นน่าเชื่อถือกว่า พยายามหาจุดด้อยและข้อบกพร่องในบทความที่ไม่ตรงกับความคิดของตัวเอง ซึ่งจุดบกพร่องเล็กน้อยได้ถูกขยายใช้อ้างเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงไม่ควรคล้อยตาม สรุปว่า ยิ่งเราพบหลักฐานที่ตรงข้ามกับความเชื่อเราที่มี  เรายิ่งจะยึดมั่นกับความเชื่อนั้นรุนแรงขึ้นไปอีก

Leon Festinger นักสังคมจิตวิทยาได้ศึกษาและสังเกตกลุ่มลัทธิหนึ่งซึ่งเชื่อว่าโลกจะแตกในวันที่ 21 ธันวาคม 1954 พวกเขาเชื่อว่าจะมีจานบินมารับพวกเขาให้ปลอดภัยจากโลกอวสาน ตอนเที่ยงคืนวันที่ 20 ธันวคม แม้คนนอกจะมองว่าพวกเขาเพี้ยน แต่ผู้ศรัทธานั้นเอาจริงเอาจังมาก พวกเขาลาออกจากงาน สละบ้านและทรัพย์สินของตัวเอง (เพราะถ้าโลกล่มสลาย เงินจะมีประโยชน์อันใดในอวกาศ) Festinger อยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากคำทำนายไม่เป็นจริง และเมื่อถึงวันเวลาที่กำหนด ทุกคนมารวมตัวกัน แน่นอนว่า เมื่อผ่านเวลาเที่ยงคืนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกคนดูตึงเครียดและกังวล เวลาตีสี่ Mrs.Keech ผู้นำกลุ่มได้ประกาศนิมิตใหม่ ลุกขึ้นชี้แจงว่า ‘โลกได้ถูกรักษาไว้แล้วโดยพระเจ้า’ ทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นเปลี่ยนจากวิตกเป็นยินดีที่โลกไม่แตก และหวังดีรีบส่ง Press Release ไปแจ้งข่าวดีของโลกให้คนอื่นๆ รับรู้

 

เราแทบไม่เคยได้ยินใครพูดว่า “ฉันผิดเอง ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองโง่ขนาดเชื่อเรื่องไร้สาระขนาดนั้นไปได้”

 

หลายๆ ครั้ง เราพบว่าคนอื่นเข้าใจผิดหรือมีความคิดประหลาดๆ (คนอื่นที่ไม่ใช่เรา ต้องไม่ใช่เราแน่ๆ !!) พวกเขาไม่ได้เกลียดความฉลาด ความลึกลํ้า เรื่องวิชาการ การเรียนรู้สิ่งใหม่ พวกเขาแค่ไม่อยากรู้สึกโง่ คนเราไม่อยากรู้ว่าตัวเองได้เข้าใจผิดพลาดไป เพราะความอยากรู้สึกฉลาดตลอดไป จึงเลือกที่จะเชื่อและคิดในแบบเดิมๆ ต่อไป

Leon Festinger เขาเสนอทฤษฏี Cognitive Dissonance คือคนเราสามารถมีความเชื่อหลายอย่างในตัวเองที่ขัดแย้งกันได้ โดยเราจะสามารถหาข้ออ้างให้ความเชื่อและการกระทำของตัวเองได้เสมอ คนเราพยายามหาเหตุผลให้กับความเชื่ออันขัดแย้งของตัวเองเพื่อดำรงชีวิตที่มีความหมายต่อไปได้อย่างราบลื่น

ยิ่งเจอหลักฐานที่ขัดแย้งจากความเข้าใจ หรือหลักฐานที่บ่งชี้ว่าเราตัดสินใจผิดพลาด เราจะยิ่งปกป้องตัวเองด้วยเหตุผลว่า สิ่งที่ฉันทำคือทางเลือกที่ดีที่สุดแล้วจริงๆ

 

Surprise Journal บันทึกความเข้าใจผิดเป็นกิจวัตร

Julia Galef นักสถิติและนักจัดรายการพอดแคสต์ ‘Rationally Speaking’ อธิบายว่าเราต่างมี Motivated Reasoning หรือการให้เหตุผลโดยมีแรงจูงใจ คือการที่เราพยายามและตั้งใจอยากให้บางไอเดียชนะเป็นพิเศษ หรืออยากให้บางไอเดียแพ้ มีแรงจูงใจที่จะโจมตีหรือปกป้องความคิดบางอย่าง เพราะเราต่างมี Pet Theory  ‘ทฤษฎีโปรดปรานส่วนตัว’ (เหมือนสัตว์เลี้ยงที่เรารัก) เราพร้อมที่จะเสาะหาหลักฐานที่สอดคล้องมาอุ้มชูสิ่งที่เราเชื่อ มายืนยันว่าเราเข้าใจถูกแล้วแหละ

เรามักเห็นความประหลาด หรือความไม่เข้าท่าในวิธีคิดของคนอื่น แต่เรามักไม่เห็นปัญหาในความคิดของเราเอง เพื่อทำลายวิธีคิด Motivated Reasoning ในตัวเรา Julia Galef จึงแนะนำวิธีท้าทายความคิดของตัวเองโดยให้ทุกคนลองบันทึกถึงความเข้าใจผิด ความผิดพลาด เรื่องน่าประหลาดใจในชีวิต หรือ ‘Surprise Journal’ โดยแบ่งเป็นการเขียนเหตุการณ์ที่ทำให้ประหลาดใจ แล้วถามตัวเองว่าทำไมมันถึงน่าประหลาดใจ จากนั้นก็ไตร่ตรองว่ามันบอกอะไรเราบ้าง

มีครูได้นำไปใช้จริงในชั้นเรียนโดยให้นักเรียนบันทึกเหตุการณ์ที่ทำให้ประหลาดใจคนละ 15 อันในเวลา 3 เดือน  เด็กๆ สามารถบันทึกได้รวมกันเป็นพันเหตุการณ์ที่น่าประหลาดใจเกี่ยวกับตัวเอง และหลายๆ ครั้งเป็นความผิดพลาดที่สามารถป้องกันไม่ให้เกิดได้ ผลคือนักเรียนพบว่าตัวเองผิดพลาดและคาดการณ์ผิดมากกว่าที่ตัวเองคิด  ทักษะที่สำคัญคือการสำรวจและมองเห็นสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของเร

 

ผู้ใหญ่ควรสอนให้เด็กๆ ตระหนักว่า พวกเขาผิดพลาดได้และฝึกให้เด็กยอมรับว่าการเข้าใจผิดเป็นเรื่องธรรมดา ฝึกมองหาความผิดพลาด เรื่องที่ทำให้ประหลาดใจ ผ่านการจดบันทึก

 

คนเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่พร้อมจะอัพเดตความคิดและความเชื่อได้ตลอดชีวิต ไม่จำเป็นต้องติดอยู่กับความเข้าใจผิดๆ ตลอดไปทั้งชีวิต  Isaac Asimov ได้พูดไว้ว่า สิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดในวิทยาศาสตร์ เมื่อคนบางคนค้นพบอะไรใหม่ ไม่ใชคำว่า ‘ยูเรก้า!’ แต่เป็น ‘นี่มันตลกดีนะ…’ ”

วิทยาศาสตร์สร้างความรู้จากการต่อยอดความไม่รู้ โดยพยายามทดลองเพื่อหักล้างสมมติฐานตั้งต้น และทดลองซํ้าจนแน่ใจว่าผลที่พบนั้นมีแนวโน้มใกล้เคียงความจริงที่สุด และความจริงนั้นถูกถอนคืนได้หากพบว่าผิดพลาด

 

Scout Mindset ฝึกมอง-คิดแบบผู้สังเกตการณ์

นอกจากนี้ Julia Galef ยังได้พูดใน TEDxPSU ในหัวข้อ “Why you think you’re right — even if you’re wrong?” หรือ “ทำไมเราถึงคิดว่าเราถูก ทั้งที่เราผิด”  

 

TEDxPSU: Julia Galef “Why you think you’re right — even if you’re wrong?”

 

เธอเล่าถึงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ Dreyfus Affiar ซึ่งเกิดในปี 1894 ทางการฝรั่งเศสได้กล่าวหาว่า Alfred Dreyfus (ซึ่งเป็นชาวยิวคนเดียวในกองทัพ)ในข้อหาทรยศต่อชาติ ขายความลับทางการทหารให้กับเยอรมัน พยายามเปรียบเทียบลายมือของเขากับลายมือสายลับปริศนาในจดหมายที่พบ แม้จะไม่เหมือนกันเสียทีเดียว และเมื่อไปค้นที่พักก็ไม่พบอะไร แต่พวกเขาก็คิดว่า นี่ไม่ชอบมาพากลแน่ๆ น่าสงสัยเข้าไปอีก  Dreyfus ถูกตัดสินว่าผิดแต่ครอบครัวของเขาไม่เชื่อ พยายามร้องเรียน ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้ได้แบ่งแยกฝรั่งเศสออกเป็น 2 ฝั่ง คือฝั่งที่คิดว่า Dreyfus ผิดแน่นอน พวกเขาเชื่อจริงๆ ว่า หลักฐานนั้นแน่นหนา และอาจผสมกับอคติเหยียดในชาติพันธุ์ยิว (Antisemitism) และฝั่งที่คิดว่า Dreyfus ไม่ผิด หลักฐานไม่เพียงพอ เขาไม่ได้เป็นสายลับ เพราะหลังจากเขาถูกจับก็ยังมีการขายความลับเกิดขึ้น

แต่อย่างไรก็ดีฝั่งที่เชื่อว่าเขาผิด ไม่ว่าจะเจอหลักฐานใหม่อย่างไรก็ยังไม่เชื่อ การต่อสู้หาความจริงใช้เวลานานหลายปีกว่าจะสรุปว่า Dreyfus บริสุทธิ์แต่ก็ติดคุกฟรีๆ ไปหลายปี ซึ่งเหตุการณ์นี้ Galef ได้แบ่งวิธีคิดออกเป็น 2 ประเภท

1. ความคิดแบบทหาร (Soldier Mindset)

  • ให้เหตุผลอย่างมีแรงจูงใจ (motivated reasoning) (เช่นเชื่อว่า ยัยนี่มันไม่จริงใจ ดูสิ)

  • ความปรารถนาอยากให้ความคิดของเราชนะ และความคิดอื่นแพ้

  • มีความกลัว ความต้องการ และความเป็นหมู่คณะ (Tribalism) มาส่งอิทธิพลกับการตัดสินข้อมูล

  • เชื่อว่าคนที่เปลี่ยนใจคือคนที่อ่อนแอ

2. ความคิดแบบนักสังเกตการณ์ (Scout Mindset)

  • ไม่พยายามหรือต้องการจะให้ความคิดไหนชนะหรือแพ้ แต่เห็นสิ่งต่างๆ ตามที่มันเป็น

  • พยายามเข้าใจ Condition หรือบริบทนั้นๆ

  • มองเห็นสิ่งที่เป็นอย่างชัดเจน จดบันทึกตามที่เห็น

  • สนุกที่ได้สงสัยและแก้ปริศนา

  • ไม่คิดว่าคนที่เปลี่ยนใจคือคนที่อ่อนแอ ภูมิใจที่เจอจุดบกพร่องหรือความผิด

โดยสิ่งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับ IQ หรือสติปัญญาและความฉลาดแต่อย่างใด การที่จะทำให้เราเห็นสิ่งต่างๆ ตามที่เป็น และสามารถตัดสินใจได้ดี แต่มันก็ขึ้นอยู่ว่าเราอยากเป็นคนที่ปกป้องความเชื่อของตัวเอง หรืออยากที่จะเห็นโลกในแบบที่เป็นจริงๆ

ความรู้สึก ‘ฉันถูก แต่เธอผิด’ มันรู้สึกดีใช่ไหม? เราย่อมมีแรงจูงใจให้อยากหาเหตุผลมารองรับความเชื่อของเรา ซึ่งต่อให้อยากโอบกอดเก็บความคิด ความเชื่อและทฤษฎีของเราแค่ไหน ก็ควรเปิดใจรับหลักฐานใหม่ๆ เสมอ เพื่อที่เราจะเข้าใกล้ความจริงมากขึ้นโดยปราศจากอคติ

 

‘คนฉลาด’ ไม่ได้ ‘รู้ทุกอย่าง’ และ ‘ถูกทุกครั้ง’

หากไม่อยากรู้สึกโง่ให้ระลึกไว้เสมอว่าคนฉลาดที่สุดในโลกก็เข้าใจผิดได้ ในเรียงความโดย W. Daniel Hillis นักฟิสิกส์และนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ได้เขียนว่า เขาโคตรอิจฉาอเล็กซานเดอร์มหาราชที่มีอริสโตเติ้ลเป็นที่ปรึกษาส่วนตัว ในยุคสมัยนั้น อาจกล่าวได้ อริสโตเติ้ลคือคนที่รู้ทุกอย่าง ตัวอริสโตเติ้ลคือองค์ความรู้ของโลก

แต่เวลาผ่านไป หลายสิ่งที่อริสโตเติ้ลเข้าใจได้ถูกพิสูจน์แล้วว่าไม่จริง เช่น เลือดผู้ชายอุณหภูมิร้อนกว่าผู้หญิง, ของหนักจะตกลงมาเร็วกว่าของเบา, หัวใจคือศูนย์กลางของเหตุผลและสติปัญญา, หน้าที่ของสมองคือทำให้เลือดเย็นลง, โลกคือศูนย์กลางของจักรวาล จักรวาลได้คงอยู่ตลอดมาและจะอยู่ตลอดไป, คนบางคนเกิดมาเป็นทาส ดังนั้นจึงมีสิทธิ์ที่จะจำกัดให้เป็นทาสต่อไป

แม้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่าอริสโตเติ้ลเข้าใจ ‘ความจริง’ ผิดไปมากมาย แต่เขาเกิดก่อนพวกเราหลายพันปี สมัยนั้นไม่มีเครื่องมือและเทคโนโลยีแบบที่เรามี ต่อให้เข้าใจผิดแต่เขาก็ยังเป็นนักคิดคนสำคัญของโลกและเป็นรากฐานความรู้สำคัญของประวัติศาสตร์

ในยุคเรา ไม่มีใครที่จะรู้ทุกสิ่งที่มนุษย์รู้ได้อีกแล้ว เพราะมีความรู้ขยายกว้างใหญ่และมีจำนวนข้อมูลมากมายเกินกว่าใครจะรู้ทุกอย่างได้อีกต่อไป มีเพียงผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจการค้นพบใหม่ๆ ในวิทยาศาสตร์ แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญเองยังมีปัญหาที่จะตามความรู้ใหม่ๆ ทัน

ในคลื่นสายธารแห่งกระแสข้อมูล Information Overload ที่เราพบเจอทุกวัน มันช่างสะกดจิตให้เราต้องรู้และมีความเห็นต้องแสดงออกอย่างรวดเร็วให้ทันโลกทันเหตุการณ์ แต่ยิ่งข้อมูลมีมากเท่าไหร่ ทักษะการกลั่นกรองและตรวจสอบข้อมูลนั้นก็ยิ่งจำเป็น Michael J. Socolow แนะนำให้ ‘รอก่อน’ วิธีการคือ ถามตัวเองว่า ‘ฉันพูดเรื่องนี้ทำไม?’ ‘สิ่งที่ฉันพูดไปจะเพิ่มคุณค่าอะไรให้กับประเด็นนี้ไหม?’ (แปลได้ว่า ‘Why am I Talking?’ ตัวย่อคือ WAIT = รอก่อน !) เมื่อเราลองฉุกคิดให้ดีก่อนพูดอะไร อาจทำให้เรามีสติ ไม่ปากไว ไม่ด่วนประกาศว่าเห็นไหม ฉันถูก เรียนรู้ที่จะเก็บข้อมูลไว้ก่อน อย่าเป็นคนฉลาดที่ส่งต่อข้อมูลผิดๆ เพราะความไม่รอบคอบ

เมื่อได้อ่านหนังสือ ‘What have you changed your mind about?’ ของ John Brockman ซึ่งเขาได้ชวนให้นักวิทยาศาสตร์ นักปรัชญา และนักวิชาการมาเขียนเรียงความคุยในหัวข้อ ‘อะไรบ้างที่ได้เปลี่ยนความคิดไป’ ทำให้เราได้รู้ว่าต่อให้เป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้นๆ สามารถเข้าใจผิด และเปลี่ยนความคิดได้ เพราะความจริงนั้นที่แท้อาจต้องอัพเดตอยู่เสมอ เราสามารถคิดใหม่ได้เสมอเพราะเราล้วนเริ่มจากความไม่รู้กันทั้งนั้น โดย Nick Bostrom นักปรัชญาจาก Oxford University ได้ตอบว่า ทุกอย่างเลย เนื่องจากผมเริ่มชีวิตจากการไม่รู้อะไรเลย ดังนั้นผมเลยได้เปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างเลย’

สมัยเด็กๆ เราเคยเชื่อว่า ‘เราเป็นมนุษย์คนเดียวบนโลก คนอื่นๆ คือหุ่นยนต์ที่เกิดมาเพื่อทำตามความต้องการของเรา’ นอกจากโตมาจะพบว่าเป็นความเชื่อที่ผิด นอกจากนี้ยังพบว่า เราไม่ได้พิเศษแต่อย่างใด ไม่ใช่แค่เราคนเดียวที่เป็นเด็กที่มีความเชื่อนี้ (เมื่อเข้าไปดูในเว็บไซต์ ‘I used to believe’ รวมความเชื่อผิดๆ ของเด็กๆ เอาไว้มากมาย) นอกจากนี้เรายังเคยเข้าใจผิดว่า ‘ทิศเหนือนั้นอยู่บนฟ้า’ และ ‘ดวงอาทิตย์ยังติดตามเราไปทุกหนแห่ง’ อีกด้วย เหล่านี้เป็นความเชื่อสมัยเด็กที่ตลกดี เชื่อไปได้อย่างไร เราต่างเคยมีความคิดที่เปลี่ยนไปแล้วนับไม่ถ้วน และความคิดที่ยังไม่มีข้อสรุปและไม่แน่ใจก็อีกมากมาย

 

คุณอาจเปลี่ยนใจได้…แม้ไม่ใช่วันนี้

David McRaney ผู้เขียนหนังสือ  ‘You are not so smart’ หรือ ‘คุณไม่ได้ฉลาดนักหรอก’ เพื่อบอกว่ามนุษย์นั้นเข้าใจผิดและมีความเชื่อผิดๆ ได้อย่างไรบ้าง เขาสนใจว่า คนเราเปลี่ยนความคิดได้อย่างไร? จึงไปพูดคุยกับคนที่เคยเปลี่ยนใจไม่ว่าจะเรื่องการเมืองหรือประเด็นความหลากหลายทางเพศ LGBTQ

เขาเคยคิดว่า คนจะเปลี่ยนใจอย่างรวดเร็วเมื่อเจอหลักฐานที่ประจักษ์ชัดเจนแจ่มแจ้ง สิ่งที่เขาพบจากการพูดคุยกับคนที่เคยเปลี่ยนใจคือ จริงๆ แล้วความคิดคนเรานั้นเปลี่ยนยากมากและไม่ได้เกิดขึ้นฉับพลัน แต่ไม่ต้องสิ้นหวังว่าสิ่งที่เราพูดออกไปจะไร้ความหมาย และเปลี่ยนใจใครไม่ได้เลย McRaney พบว่าการเปลี่ยนใจสามารถเกิดขึ้นได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป การเปลี่ยนความคิดคนอื่นอาจทำได้ยาก แต่การเปลี่ยนความคิดของตัวเองก็ทำได้ยากพอกัน แต่ไม่ใช่จะทำไม่ได้เลย

เมื่อมีใครมาแสดงหลักฐานบางอย่างที่เป็นปฏิปักษ์กับความเชื่อ เราไม่จำเป็นเลือกระหว่าง ‘ปัดข้อมูลนั้นตกไปทันที’ หรือ ‘สละความเชื่อและความคิดของเราที่เคยมีทิ้งไปทันใด’ แต่สามารถรับเอาข้อมูลนี้มาเก็บไว้พิจารณาก่อนได้ รับเอาข้อมูลนั้นมาปรับปรุงทฤษฏีที่เรามี ซึ่งเราอาจไม่ได้เปลี่ยนใจ คิดใหม่ได้ในทันที แต่แค่การยอมให้ถูกสั่นคลอนเบาๆ ความมั่นใจลดลงก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี การเปลี่ยนใจไม่ได้แปลว่าเราสละความคิดและตัวตน กลายเป็นคนโลเล อ่อนแอ เปลี่ยนใจไปมาทันที

ทักษะสำคัญของการเรียนรู้ตลอดชีวิตคือการฝึก Mindset อันเปิดใจยอมรับว่า สิ่งที่เรารู้ ความเชื่อที่เรามี หรือทฤษฎีที่เรารัก สามารถอัพเดตได้โดยไม่จำเป็นต้องถูกทำลายลงแบบไม่เหลือเศษซากจนทั้งหมดสูญเปล่า เพียงแค่เราเริ่มคิดว่า ‘บางทีฉันอาจจะผิดก็ได้ วันหน้า ฉันอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้ แม้ไม่ใช่วันนี้’ อาจจะทำให้เราเริ่มตั้งใจฟังมากขึ้น สนใจเก็บข้อมูลที่แม้ไม่ตรงกับความคิดของเรามากขึ้น ไม่ด่วนสรุป ด่วนตัดสินใจ และเรียนรู้ที่จะยอมรับความไม่แน่ใจ

 

การเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้เราทันโลกแต่การอัพเดตความรู้เดิมตามหลักฐานใหม่ๆ ก็สำคัญไม่แพ้กัน สิ่งที่เราเคยรู้ อาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เรารู้แล้วก็ได้ ตราบใดที่เรายังไม่ตายก็ยังไม่สายที่จะอัพเดต บอกตัวเองไว้เสมอว่า เราเปลี่ยนใจได้ และให้อภัยตัวเอง รวมถึงยินดีเมื่อพบว่า ‘อ้าวที่ผ่านมา เราเข้าใจผิดหรือนี่’ !

นอกจากคนฉลาดแล้ว โลกยังต้องการคนที่รู้ว่าตัวเองไม่รู้ และคนที่ยอมรับว่าตัวเองเข้าใจผิด

 

อ้างอิงข้อมูลจาก

  • Quora: What was Aristotle wrong about?
    www.quora.com
  • Why “scout mindset” is crucial to good judgment | Julia Galef | TEDxPSU
    www.youtube.com
  • This Article Won’t Change Your Mind: The facts on why facts alone can’t fight false beliefs
    www.theatlantic.com
  • A New Technique For Creating More Aha Moments: The Surprise Journal
    www.fastcompany.com
  • Mistakes Were Made (But Not by Me): Why We Justify Foolish Beliefs, Bad Decisions, and Hurtful Acts  By Carol Tavris and Elliot Aronson
    www.amazon.com/Mistakes-Were-Made-But-Not
  • What Have You Changed Your Mind About?: Today’s Leading Minds Rethink Everything by John Brockman
    www.amazon.com/What-Have-Changed-Your-About-ebook
  • “Why you think you’re right — even if you’re wrong?” – Julia Galef
    www.youtube.com
  • Neutrinos not faster than light: ICARUS experiment contradicts controversial claim.
    www.nature.com
  • How to Prevent Smart People From Spreading Dumb Ideas By Michael J. Socolow
    www.nytimes.com
  • Biased Assimilation and Attitude Polarization: The Effects of Prior Theories on Subsequently Considered Evidence : Charles G. Lord, Lee Ross, and Mark R. Lepper Stanford University
    citeseerx.ist.psu.edu

 

Illustration by  Yanin Jomwong
Share this article



ILLSLICK – ถ้าเธอต้องเลือก [Official Lyrics Video]


ดาวน์โหลดเพลงรอสาย เพลงเต็ม และริงโทน เพลง ถ้าเธอต้องเลือก โทร. 491585529 (Available on iTunes)
เนื้อเพลง….
ถ้าเธอต้องเลือกระหว่างเขาและฉัน
ถ้าเป็นอย่างนั้นเธอไม่ต้องเลือกฉันเลย
ฉันขออยู่ของฉันเหมือนเคย
ให้เธอลงเอยกับเขา
เธอคงมีคำถามที่เธอนั้นไม่กล้าบอก
เพราะว่าเธอคงคิดว่าฉันก็คงจะไม่กล้าตอบ
มองตากันเธอก็ยังไม่กล้ามอง
แล้วจะให้ฉันไปกับเธอ ฉันคงจะไม่กล้าลอง
เอาเลยแล้วแต่เธอ เอาตามที่ใจต้องการ
เลือกสักทางไม่มีใครหรอกที่เขาเดินสองทาง
ไปเถอะไปกับเขา ถ้าหากว่าใจเธอต้องกัน…เท่านั้นก็พอ
มันคงวิเศษที่เขาได้เจอเธอ
พรหมลิขิตสุดท้ายก็ได้เจอ
ฉันก็เลยต้องกลายเป็นส่วนเกิน
ไม่มีอะไรเหมือนเดิม
ถ้าเธอต้องเลือกระหว่างเขาและฉัน
ถ้าเป็นอย่างนั้นเธอไม่ต้องเลือกฉันเลย
ฉันขออยู่ของฉันเหมือนเคย
ให้เธอลงเอยกับเขา
การที่เธอลังเลก็แปลว่าเขาดีกว่า
ไม่ต้องเลยขอร้องอย่าเลย เวลาของเธอมีค่า
ขอให้ได้ดั่งใจอย่างที่ไม่เคยมีมา
ที่เธอทำต้องมีเหตุผล ทุกอย่างต้องมีที่มา
เธอคงเกินจะทน อะไรที่มันซ้ำซาก
ที่ผ่านมาแค่ลืมมันไป ใครๆก็เคยทำพลาด
ไม่ว่าเลือกทางไหน เพียงให้หัวใจนำทางเท่านั้น…ก็พอ
มันคงวิเศษที่เขาได้เจอเธอ
พรหมลิขิตสุดท้ายก็ได้เจอ
ฉันก็เลยต้องกลายเป็นส่วนเกิน
ไม่มีอะไรเหมือนเดิม
ถ้าเธอต้องเลือกระหว่างเขาและฉัน
ถ้าเป็นอย่างนั้นเธอไม่ต้องเลือกฉันเลย
ฉันขออยู่ของฉันเหมือนเคย
ให้เธอลงเอยกับเขา…ก็เท่านั้น
ถ้าเธอต้องเลือกระหว่างเขาและฉัน
ถ้าเป็นอย่างนั้นเธอไม่ต้องเลือกฉันเลย
ฉันขออยู่ของฉันเหมือนเคย
ให้เธอลงเอยกับเขา…ไม่เป็นไร

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูเพิ่มเติม

ILLSLICK - ถ้าเธอต้องเลือก [Official Lyrics Video]

คนนั้นต้องเป็นเธอ Ost.เพราะเรา(ยัง)คู่กัน Still 2gether – วิน เมธวิน


เพลง คนนั้นต้องเป็นเธอ (เพลงประกอบซีรีส์เพราะเรา(ยัง)คู่กัน Still 2gether)
นักร้อง วิน เมธวิน
เนื้อร้อง / ทำนอง : อัจฉริยา ดุลยไพบูลย์
เรียบเรียง : ชลทัศน์ ชาญศิริเจริญกุล
Executive Producer : อัจฉริยา ดุลยไพบูลย์
Producer : อัจฉริยา ดุลยไพบูลย์ , ชลทัศน์ ชาญศิริเจริญกุล
( Achariya Dulyapaiboon , Chonlatas Chansiri )
Guide / Background Vocals : อัจฉริยา ดุลยไพบูลย์
Vocal Director : อัจฉริยา ดุลยไพบูลย์ / ชลทัศน์ ชาญศิริเจริญกุล , ครูกรีน
Digital Editor : ชลทัศน์ ชาญศิริเจริญกุล
Mix Mastering : ระวี กังสนารักษ์ (Rawee Kangsanarak)
Digital Download 1232323
JOOX : https://api.joox.com/s/rd?k=NcdH
Spotify | iTunes
คนบางคน ได้เจอแค่ครั้งหนึ่ง
คำบางคำ ก็ดังในหัวใจ
คำนั้นบอก ว่าเขาใช่
อย่างที่ยังหาเหตุผลไม่ได้เลย
คนบางคน ไม่เหมือนฝันเท่าไหร่
แต่รู้ไหม ยังไงก็ต้องเธอ
เพียงแค่เธอ เท่านั้นเลย
ที่ฉันต้องการหยุด ตรงนี้
ต่อให้ย้อนวันเวลาสักกี่ครั้ง
มั่นใจนะว่าทุกครั้งต้องเป็นเธอ
คนที่ฉันจะได้พบ และรู้เลยเมื่อได้เจอ
ว่าเธอคือคนนั้นที่ฉันรอ
ไม่ต้องเหมือนคนที่มาจากในฝัน
แค่เป็นเธอที่เหมือนเธอแค่นั้นพอ
คนที่ยืนข้างๆฉัน และพร้อมเดินด้วยกันต่อ
ถ้าถามคนแบบไหนที่ดีพอ คนนั้นต้องเป็นเธอ
เพลงเพลงหนึ่ง อาจไม่เพราะเท่าไหร่
แต่คนหนึ่ง อยากให้เธอได้ฟัง
อาจไม่ได้บอก คำว่า รัก
แต่เธอคงรู้สึกได้อยู่ใช่ไหม
ต่อให้ย้อนวันเวลาสักกี่ครั้ง
มั่นใจนะว่าทุกครั้งต้องเป็นเธอ
คนที่ฉันจะได้พบ และรู้เลยเมื่อได้เจอ
ว่าเธอคือคนนั้นที่ฉันรอ
ไม่ต้องเหมือนคนที่มาจากในฝัน
แค่เป็นเธอที่เหมือนเธอแค่นั้นพอ
คนที่ยืนข้างๆฉัน และพร้อมเดินด้วยกันต่อ
ถ้าถามคนแบบไหนที่ดีพอ คนนั้นต้องเป็นเธอ
ต่อให้ย้อนวันเวลาสักกี่ครั้ง
มั่นใจนะว่าทุกครั้งต้องเป็นเธอ
คนที่ฉันจะได้พบ และรู้เลยเมื่อได้เจอ
ว่าเธอคือคนนั้นที่ฉันรอ
ไม่ต้องเหมือนคนที่มาจากในฝัน
แค่เป็นเธอที่เหมือนเธอแค่นั้นพอ
คนที่ยืนข้างๆฉัน และพร้อมเดินด้วยกันต่อ
ถ้าถามคนแบบไหนที่ดีพอ คนนั้นต้องเป็นเธอ
เพราะเรา(ยัง)คู่กัน Still 2gether [Official Trailer]
https://www.youtube.com/watch?v=NGRiLviOM0
ติดตามทุกความเคลื่อนไหวได้ที่\r
FB | https://www.facebook.com/GMMTVOFFICIAL \r
Twitter | https://www.twitter.com/GMMTV \r
IG | https://www.instagram.com/GMMTV \r
Weibo | http://www.weibo.com/u/6146914790 \r
YouTube | https://www.youtube.com/GMMTV \r
YouTube | https://www.youtube.com/GMMTVRECORDS\r
Website | http://www.gmmtv.com\r
\r
คนนั้นต้องเป็นเธอ GMMTV GMMTVRECORDS GMMGRAMMY
Subtitles
Spanish : @14torxe
Russian : @fsg_fair
Japanese : Kana
Korean : @bnw4bvcwmo

คนนั้นต้องเป็นเธอ Ost.เพราะเรา(ยัง)คู่กัน Still 2gether - วิน เมธวิน

ต่อหน้าฉัน (เธอทำอย่างนั้นได้อย่างไร) : D2B | Official MV


ต่อหน้าฉัน (เธอทำอย่างนั้นได้อย่างไร) : D2B อัลบั้ม D2B [2544]
Download MP3 : http://bit.ly/RbvnoQ
โหลดลงมือถือ โทร. 3390
RShomecoming D2B โตมากับอาร์เอส ต่อหน้าฉันเธอทำอย่างนั้นได้อย่างไร

ต่อหน้าฉัน (เธอทำอย่างนั้นได้อย่างไร) : D2B | Official MV

เพื่อน – พอง พอง


ฟัง \” เพลง \” http://www.facebook.com/music2heart

เพื่อน - พอง พอง

[Vietsub + Kara] Still Together – Bright Vachirawit \u0026 Win Metawin


ALL COPYRIGHT BELONG TO GMMTV
Thank you so much for bringing us such an excellent work
Official MV: https://youtu.be/baxAeqMlU
Mình không có bản quyền về gì cả trừ lời dịch 😀
Trans Typeset: Lyn
Time Encode: Russia
Designer: Lyn

[Vietsub + Kara] Still Together - Bright Vachirawit \u0026 Win Metawin

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูวิธีอื่นๆLEARN FOREIGN LANGUAGE

ขอบคุณมากสำหรับการดูหัวข้อโพสต์ หากเธอนั้นได้รู้อะไรบางอย่าง

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *