Skip to content
Home » [Update] 15 แกรมม่าอังกฤษ ที่ใช้ผิดกันบ่อย ๆ | หลัก แก รม ม่า – NATAVIGUIDES

[Update] 15 แกรมม่าอังกฤษ ที่ใช้ผิดกันบ่อย ๆ | หลัก แก รม ม่า – NATAVIGUIDES

หลัก แก รม ม่า: นี่คือโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้


แม้ว่าภาษาอังกฤษจะไม่ใช่ภาษาราชการของคนไทยเรา แต่ก็ต้องปรบมือให้ที่อย่างน้อยเราก็สามารถสื่อสารกับคนต่างชาติได้ดีในระดับหนึ่ง แม้จะเป็นภาษาพูดที่สปีคกันแบบสเนค ๆ ฟิช ๆ (งู ๆ ปลา ๆ) แต่ก็ยังคุยกันได้รู้เรื่อง (แม้บางครั้งอาจมีการใช้ภาษาสากลอย่างภาามือและภาษากายเข้ามาช่วยด้วยก็ตาม ^^”) แต่เมื่อมาถึงการสื่อสารที่เป็นทางการขึ้นอย่างการเขียนแล้วล่ะก็ ต้องยอมรับเลยว่าเรายังไม่ค่อยแม่นเรื่องไวยากรณ์หรือแกรมม่ากันสักเท่าไหร่ ก็เลยมีใช้ผิดใช้ถูกกันอยู่เรื่อย บ้างก็มาจากความสับสนจากการพูด เพราะชินแต่พูดอย่างเดียว แถมยังออกเสียงกันแบบถูกบ้างผิดบ้าง พอให้มาเขียนก็เลยไม่รู้ว่าจะต้องสะกดอย่างไร

วันนี้กระปุกดอทคอมก็เลยหยิบเรื่องราวไวยากรณ์ภาษาอังกฤษน่ารู้ จากเว็บไซต์ copyblogger มาฝากกัน เขาพูดถึงเรื่องแกรมม่าภาษาอังกฤษ 15 รูปแบบ ที่คนมักใช้ผิดกันบ่อย ๆ ไม่ใช่แค่กับคนไทยเท่านั้น แต่เป็นกับคนในประเทศที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักทั่วโลกเลยล่ะ

ใครที่สนใจหรือได้ใช้ภาษาอังกฤษกันอยู่บ่อย ๆ มาดูไปพร้อม ๆ กันเลยจ้า

1. YOUR / YOU’RE

Your เป็นสรรพนามใช้แสดงความเป็นเจ้าของ ว่าของสิ่งนั้น อันนั้น เป็นของคู่สนทนา เช่น I’m your girlfriend. (ฉันเป็นแฟนของเธอนะจ๊ะ)

You’re เป็นรูปย่อของคำว่า you are อันมีความหมายว่า “คุณคือ…” เช่น You’re my boyfriend. (คุณคือแฟนของฉันนะ) ทว่าเมื่อถูกนำมาย่อในรูป you’re แล้วดันออกเสียงเหมือนกับ your ซะเนียนเลย เมื่อมาสู่ภาษาเขียนก็เลยสร้างความสับสนอยู่ไม่น้อย เพราะออกเสียงกันเพลินจนไม่รู้ว่าจริง ๆ ต้องใช้คำไหนกันแน่ เรื่องนี้ไม่ยากจ้ะ แค่ลองสังเกตจากบริบทโดยรอบก็จะพอให้เดาได้ไม่มีพลาดว่าควรจะเป็น your หรือ you’re

2. IT’S / ITS

It’s เป็นรูปย่อของคำว่า it is, it was และ it has

Its เป็นสรรพนามใช้แสดงความเป็นเจ้าของว่าคือ ของมัน เช่น This dog is very old. Its fur starts to fall off. (เจ้าตูบตัวนี้แก่มากแล้ว ขนของมันเริ่มจะหลุดร่วง)

เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนในการพูดที่จะนำไปซึ่งการเขียนผิด เวลาต้องการใช้ It’s ก็ให้พูดออกมาดัง ๆ เลยว่ามันคือ It is ทีนี้จะได้ไม่เขียนผิดอีกนะ

3. THERE / THEIR / THEY’RE

มาดูที่ there และ their ซึ่งออกเสียงเหมือนกันอย่างกับแกะกันก่อนเลย ทั้งสองคำนี้แม้จะออกเสียงเช่นเดียวกัน แต่ว่าความหมายต่างกันอย่างสิ้นเชิง there ใช้แทนสถานที่ หมายถึง ที่นั่น ในขณะที่ their เป็นสรรพนามใช้แสดงความเป็นเจ้าของ แปลว่า ของพวกเขา หากรู้ความหมายที่ถูกต้องแบบนี้แล้ว ก่อนจะเขียนก็ลองทำความเข้าใจกับประโยคนั้นก่อนว่าต้องการสื่อความว่าอย่างไร รับรองว่าจากนี้ไปไม่ใช้ผิดแน่นอน

ส่วน they’re คำนี้พบว่าออกเสียงคล้าย ๆ กับ there และ their แต่หากออกเสียงช้า ๆ ชัด ๆ แล้วล่ะก็จะพบว่ามันไม่เหมือนกันเลยล่ะ ทั้งนี้ they’re เป็นรูปย่อของ they are ซึ่งแปลว่า “พวกเขาเป็น/อยู่/คือ…” เช่น They’re the hottest idols at this moment. (พวกเขาคือเหล่านักร้องที่ฮ็อตที่สุดในตอนนี้) รู้ทั้งการออกเสียงและความหมายที่ถูกต้องของพวกมันแล้ว จะใช้คำไหน ๆ ในครั้งต่อไปคงจะไม่สับสนกันแล้วนะจ๊ะ

4. AFFECT / EFFECT

Affect เป็นกริยา หมายความว่า มีผลต่อหรือส่งผลกระทบ เช่น Your ability to communicate clearly will affect your income. (ความสามารถในการสื่อสารอย่างชัดเจนจะส่งผลต่อรายได้ของคุณนะจ๊ะ ^^)

Effect มักใช้เป็นคำนาม แปลว่า ผลกระทบ เช่น The effect of poor grammar on a person’s income is well documented. (มีข้อสนับสนุนอย่างชัดเจนว่า ผลกระทบจากการใช้แกรมม่าผิด ๆ นั้นส่งผลต่อรายได้ของบุคคลคนหนึ่ง ๆ )

เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากให้ effect จากการใช้แกรมม่าผิด ๆ มา affect เงินเดือนของคุณ จากนี้ไปก็อย่าใช้ผิดอีกนะ ;D

5. THEN / THAN

สองคำนี้แม้จะออกเสียงต่างกัน (then/than – เด็น/แดน) แต่ถ้าไม่ระวัง หรือออกเสียงผิด ๆ มาตั้งแต่ตอนพูดแล้วก็จะก่อให้เกิดความสับสนต่อการเขียนได้

Then มักใช้เป็นคำวิเศษณ์ (adverb) สามารถใช้ได้ในหลายความหมาย ทั้งแปลว่า นับแต่นั้นเป็นต้นมาในแง่ของเวลา เช่น I had a serious argue with her, she never talks to me again since then. (ผลทะเลาะกับเธอหนักมาก แล้วเธอก็ไม่คุยกับผมอีกเลยนับแต่นั้นมา) หรือใช้เพื่อบอกลำดับขั้นตอน เช่น To make a cake, put the flour in a bowl then crack an egg.. (ในการทำเค้ก ให้ใส่แป้งลงในชาม จากนั้นตอกไข่ลงไป..)

Thanใช้ในการเปรียบเทียบของสองสิ่งที่มีคุณสมบัติแตกต่างกัน เช่น Watermelon is bigger than orange. (แตงโมลูกใหญ่กว่าส้ม)

เห็นหรือยังว่าทั้งสองคำนี้ต่างกันทั้งในเรื่องของเสียงและความหมายอย่างชัดเจนเลยทีเดียว

6. LOOSE / LOSE

มาถึงสุดยอดคำที่มักใช้กันผิดอีกคู่หนึ่งอย่าง loose กับ lose ที่ออกเสียงคล้ายกัน (ลูส) แต่ความหมายไม่ได้ใกล้เคียงกันเลย loose แปลว่า หลวม ในขณะที่ lose แปลว่า แพ้หรือทำหาย ลองมาดูความแตกต่างจากตัวอย่างต่อไปนี้

If your pants are too loose, you might lose your pants. แปลว่า ถ้าหากกางเกงของคุณมันหลวมเกินไป คุณก็มีสิทธิ์ที่จะทำกางเกงหายไปได้นะจ๊ะ (หลวมจนหลุดนั่นเอง หรือกางเกงหายไปจากสะโพกนั่นเอง)

7. ME, MYSELF, AND I

Me/I ด้วยทั้ง me และ I ต่างก็แปลว่า “ฉัน” หลาย ๆ คนจึงสับสนว่าทั้งคู่ใช้แตกต่างกันอย่างไร me ใช้เป็นกรรมของประโยค ส่วน I นั้นใช้เป็นประธาน ตัวอย่างง่าย ๆ เช่น I love you and you love me. (ฉันรักเธอ และ เธอรักฉัน) นั่นไงล่ะจ๊ะ บอกความแตกต่างของคำทั้งสองได้ดีทีเดียว

Myself คำนี้เป็นสรรพนาม แปลว่า ตัวของฉัน เช่น I always think to myself, ‘how wonderful that you love me.’ (ฉันคิดกับตัวเองอยู่เสมอว่า ช่างวิเศษอะไรอย่างนี้ที่คุณรักฉัน) โดยคำในตำแหน่ง myself นั้น จะไม่สามารถนำ I หรือ me ไปวางแทนที่ได้เด็ดขาด (หากนำไปวางก็คงรู้สึกแปลก ๆ อยู่ล่ะ)

8. การใช้ เครื่องหมาย ” ‘ “

ภาษาอังกฤษเรียกเครื่องหมายวรรคตอนนี้ “ ‘ ” ว่า อะโพสโทรฟี (apostrophe) ส่วนภาษาไทยเรียกตามลักษณะที่ปรากฎว่าเครื่องหมาย ฝนทอง เพราะมันเหมือนหยาดฝน หรือจะว่าไปก็เหมือนกับไม้เอก เครื่องหมายวรรณยุตก์ของเรานี่เอง

ในภาษาอังกฤษจะใช้ ฝนทอง หรือเครื่องหมายอะโพสโทรฟี ใน 2 กรณี คือ

– ใช้ในคำย่อต่าง ๆ เช่น isn’t จาก is not, don’t จาก do not เป็นต้น และ

– ใช้เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ เช่น This is Paula’s chilli paste. (นี่คือน้ำพริกของพรหล้า) โดยคำนามที่อยู่ด้านหน้าเครื่องหมาย ” ‘ ” จะแสดงความเป็นเจ้าของนามที่อยู่ด้านหลังเครื่องหมาย ” ‘ ” เสมอ (ในที่นี้ คำว่า chilli paste อยู่หลังเครื่องหมายอะโพสโทรฟี มันจึงต้องกลายเป็นสมบัติในครอบครองของ Paula ไป กลายเป็น น้ำพริกของพรหล้านั่นเอง)

9. COULD OF, WOULD OF, SHOULD OF คำเหล่านี้ไม่มีใช้กันนะ

คำว่า could’ve , would’ve และ should’ve (ซึ่งเป็นคำย่อของ could have, would have และ should have) เมื่อใช้ในภาษาพูดแล้ว ยามฟังเหมือนกำลังออกเสียงคำว่า could of, would of และ should of (ลองออกเสียงกันดูนะจ๊ะ) แต่ทั้งสามคำนี้ล้วนเป็นคำที่ไม่มีความหมายใด ๆ เพราะฉะนั้น ยามจะนำคำพูดมาเขียนก็อย่าเผลอเขียน could/would/should of ลงไปนะจ๊ะ ท่องให้ขึ้นใจว่ามันคือ could’ve , would’ve และ should’ve ต่างหาก !!

10. COMPLEMENT / COMPLIMENT

สองคำนี้แม้จะออกเสียงคล้าย ๆ กัน (แต่ถ้าตั้งใจฟัง ตัว -ple- ของคำว่า complement จะออกเสียงยาวกว่า -pli- ของ compliment อยู่นิดหนึ่ง) แต่ความหมายแตกต่างกันไปคนละทิศละทางเลยล่ะ

Complementเป็นคำนาม แปลว่า ส่วนที่เพิ่มหรือเติมเข้าไป หรือเป็นกริยาที่แปลว่า เพิ่ม/เติมเข้าไปก็ได้ เช่น Paula and Jon complemented each other well. (พรหล้าและจ้อนต่างเติมเต็มกันและกันได้เป็นอย่างดี

Complimentเป็นคำนาม แปลว่าคำชม เช่น Tidtie was so pround by the compliment of her teacher. (ติ๊ดตี่รู้สึกปลาบปลื้มมากที่ได้รับคำชมจากคุณครู) หรือ She can’t stop compliment about the groom that he’s the complement of her life. (เธอไม่สามารถจะหยุดชื่นชมเจ้าบ่าวของเธอได้ ว่าเขาเป็นคนที่เติมเต็มชีวิตของเธอ)

11. FEWER / LESS

ทั้งสองคำนี้ต่างมีความหมายเชิงเปรียบเทียบในทางที่น้อยลงหรือด้อยกว่า แต่ข้อแตกต่างคือ fewer ใช้กับจำนวนที่นับได้ ส่วน less ใช้กับจำนวนที่นับไม่ได้ เช่น

Robert has written fewer poems since he got a real job. (โรเบิร์ตเขียนโคลงกลอนน้องลงกว่าเดิม ตั้งแต่เขาได้งานจริง ๆ จัง ๆ) ในกรณีนี้ใช้ fewer เพราะว่า poem (โคลงกลอน) สามารถนับจำนวนได้

Compare with Robert, Howard has less inspiration to write a poem. (หากเทียบกับโรเบิร์ตแล้วล่ะก็ โฮวาร์ดมีแรงบันดาลใจที่จะเขียนโคลงกลอนน้อยกว่าเสียอีก) ใช้ less กับกรณีนี้เพราะ inspiration (แรงบันดาลใจ) เป็นเรื่องของนามธรรมที่ไม่มีหน่วยนับ จับต้องไม่ได้นั่นเอง

12. HISTORIC / HISTORICAL

สองคำนี้ต่างเป็นคำคุณศัพท์ (adjective) ที่ทำหน้าที่ขยายคำนามเหมือนกัน เขียนคล้าย ๆ กัน แถมความหมายก็เป็นไปในเชิงใกล้เคียงกัน ก็เลยสร้างความสับสนได้ไม่น้อย จึงขอไขข้อข้องใจถึงความแตกต่างของทั้งสองคำไว้ดังนี้

Historic หมายความว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ชวนให้จดจำจารึกระลึกไว้ เช่น The accident of the Titanic is a historic disaster. (อุบัติเหตุเรือไททานิคนับเป็นความหายนะทางประวัติศาสตร์)

Historical หมายความว่า อะไรอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในอดีต แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งสำคัญที่ควรค่าแก่การจดจำของคนหมู่มาก เป็นเรื่องที่ไม่สลักสำคัญอะไรนักก็ได้ ตัวอย่างต่อเนื่องมาจากด้านบนว่า The accident of the Titanic is a historic disaster but Jack and Rose were not the historical figure. (แม้อุบัติเหตุเรือไททานิคจะเป็นความหายนะทางประวัติศาสตร์ แต่แจ็คกับโรสไม่ได้เป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ที่มีตัวตนอยู่จริง)

13. PRINCIPAL / PRINCIPLE

สองคำนี้ออกเสียงคล้ายกันมากจนฟังแต่ศัพท์เดี่ยว ๆ แล้วอาจแยกไม่ออก แต่เมื่อฟังเมื่อมันในรูปประโยคก็จะสามารถแยกแยะออกได้โดยดูจากบริบทรอบข้าง

Principal เป็นคำนามแปลว่า ผู้มีอำนาจสูงสุด หรือเมื่อเป็นคำคุณศัพท์ก็แปลว่า ซึ่งสำคัญที่สุด เช่น He is the the principal of a kindergarten school. (เขาเป็นครูใหญ่ของโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่ง)

Principleแปลว่าหลักการ ทฤษฎี กฏ หรือหลักศีลธรรมก็ได้ เช่น It’s against the principle to accept gifts from clients. (การรับของขวัญจากลูกค้านับเป็นเรื่องที่ผิดกฎ)

14. LITERALLY

หลาย ๆ คนคงรู้สึกงุนงงเมื่อเห็นเจ้าคำนี้ปรากฏอยู่ในข้อความใด ๆ ว่าตกลงมันมีความหมายว่าอย่างไรกันหนอ คำว่า literally นี้แปลว่า หมายความตามตัวอักษร ไร้ซึ่งการเทียบเคียงหรือเปรียบเปรยใด ๆ เช่น I’m literally dying of shame. ประโยคนี้หากแปลผ่าน ๆ ก็แปลว่า ฉันกำลังจะตายเพราะความอับอายอยู่แล้ว แต่คำว่า literally ที่เติมเข้าไป เน้นให้เห็นจริง ๆ ว่า คนพูดกำลังอับอายขายขี้หน้าถึงขีดสุดจนจะตายอยู่รอมร่อแล้วจริง ๆ นั่นเองจ้ะ (ประมาณว่าเสียหน้ายับเยินจนจิตตก พาลให้ป่วยใกล้ตายซะอย่างนั้น)

15. สื่อความผิดพลาดจากการเรียงคำที่มีน่าสับสน

นี่เป็นข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้บ่อย ๆ หากมีคำซึ่งสามารถแปลได้หลายความหมายตามตำแหน่งต่าง ๆ ที่วางลงไปในประโยค เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนและเห็นภาพ ไปดูตัวอย่างกันเลย

After rotting in the cellar for weeks, my brother brought up some oranges. ประโยคนี้มีความหมายตามตัวว่า หลังจากเปื่อยเน่าอยู่ที่ห้องใต้ดินตั้งหลายสัปดาห์ ที่ชายของฉันก็ขนส้มขึ้นมาจำนวนหนึ่ง ..ฟังดูแล้วงง ๆ ปนสยอง ว่าพี่ชายเนี่ยนะที่เน่าเปื่อยอยู่ในห้องใต้ดิน ตกลงนี่มันคนหรือซอมบี้กันล่ะเนี่ย !

ทั้งที่ความจริงแล้วการสื่อความที่ถูกต้องน่าจะเรียงประโยคแบบต่อไปนี้ My brother brought up some orange that had been rotting in the cellar for weeks. ซึ่งแปลตามตัวได้อย่างชัดเจนว่า พี่ชายขนส้มที่เน่าจากการถูกเก็บลืมไว้ในห้องใต้ดินขึ้นมาจำนวนหนึ่ง หรือเอาง่าย ๆ ว่า พี่ชายขนส้มเน่าขึ้นมาจากห้องใต้ดินนั่นเอง

ด้านบนนี้เป็นตัวอย่างความกำกวมของการเรียงคำในประโยค ซึ่งความจริงทั้งสองประโยคต่างก็แปลออกมาได้เหมือนกัน แต่ประโยคที่แปลออกมาแล้วมีความหมายที่เป็นเหตุเป็นผลก็คือประโยคหลังนั่นเอง นอกจากตัวอย่างนี้แล้วก็ยังมีประโยคที่สามารถเข้าข่ายกำกวมได้อีกมากมาย เพราะฉะนั้นเขียนเสร็จแล้วก็ต้องอ่านตรวจทานดูดี ๆ ว่าประโยคที่คุณเขียนลงไปนั้นแปลออกมาแล้วได้ความหมายที่เข้าใจได้หรือไม่ด้วยนะ

from:http://education.kapook.com/view38926.html

Share this:

Like this:

ถูกใจ

กำลังโหลด…

[Update] PANTIP.COM : K6414015 ฝรั่งเจ้าของภาษาพูดไม่ถูกแกรมม่าทุกคน{แตกประเด็นจาก K6407842} [ห้องเรียนภาษาอังกฤษ] | หลัก แก รม ม่า – NATAVIGUIDES

    ความคิดเห็นที่ 7

    ตอบคำถามแรกนะครับ  ถ้าคนไทย(ที่โตแล้ว)มาอยู่เมกา แล้วพูดผิด(ไปจากภาษาัอังกฤษแบบที่เราเรียนๆกันอยู่) จนกลายเป็น pattern  ขึ้นมา จะถือว่าเป็นที่ยอมรับด้วยหรือเปล่า

    ผมตอบไม่ได้ครับ เพราะว่าผมคิดว่ามันเกิดขึ้นไม่ได้   (แต่ว่ากระทู้นี้เราพูดกันถึง “เจ้าของภาษา” ไม่ใช่หรือครับ)  คนที่โตแล้วเรียนมาเรียนภาษาอื่นถึงแม้จะมีแบบแผนลักษณะการพูด แต่นั่นก็ไม่ใช่ภาษาถิ่นหนิครับ และก็ไม่ถือเป็นเจ้าของภาษา ซึ่งต่างจากกรณี เช่น ภาษาอังกฤษแบบอินเดีย ซึ่งมี pattern ในตัวของมันเอง  เช่นเดียวกันกับภาษาอังกฤษแบบออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แบบอัฟริกาใต้ หรือแบบแคนาดา  แต่ถามว่าภาษาอังกฤษแบบต่างๆนี้ได้รับการ “ยอมรับ” มากแค่ไหน  ก็ต้องตอบว่า กลุ่มที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม ผิวขาว ฯลฯ เป็นพวกที่ได้รับการยอมรับมากกว่า (เช่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แคนาดา)  ส่วนพวก “อื่นๆ” เช่น อินเดีย  ศรีลังกา สิงคโปร์ ก็ได้รับการยอมรับน้อยลงไปตามลำดับ (ทั้งๆที่ภาษาอังกฤษแบบนี้มี pattern ที่ตายตัว แต่ทำนายได้และเป็นระบบ)

    กลับมาที่ภาษาอังกฤษแบบไทยๆ  ผมยัีงไม่เคยเห็นนักภาษาศาสตร์คนไหนจัดระบบว่าภาษาอังกฤษแบบไทยๆมี pattern ที่เป็นระบบ (ส่วนใหญ่จะเห็นคนไทยทำผิดแบบ randomly  ทั้งนั้นอ่ะครับ ) เพราะฉะนั้นมันคงยากที่จะมี pattern   แบบที่พี่ถามมาได้ และประเทศไทยไม่เหมือนมาเล สิงคโปร์ หรืออินเดียตรงที่ภาษาอังกฤษ ไม่เคยเป็นภาษาราชการ  เพราะฉะนั้นการพูดภาษาอังกฤษอย่างไทยๆที่เป็นระบบจึงเกิดขึ้นไม่ได้อ่ะครับ  

    เราต้องแยกระหว่างถูำกไวยากรณ์ (ธรรมชาิติ) กับถูกไวยากรณ์(อย่างที่คนบางกลุ่มอยากให้เป็น) ไม่ดีกว่าหรือครับ   คนที่เกิดมาและใช้ภาษาใดภาษาหนึ่งเป็นภาษาแม่่จะ”รู้อยู่”ว่าอะไรพูดได้ และอะไรพูดไม่ได้  เช่น เค้ารู้ว่า  I ain’t plan goin’ yonder พูดได้   แต่ plan aint I yonder going พูดไม่ได้หรือในภาษาไทยพูดได้ว่า “ทำให้หน่อยสิ” แต่พูดไม่ได้ว่า “สิทำหน่อยให้” ดังนั้นเจ้าของภาษาไม่พูดอะไรที่ผิดไวยากรณ์ของภาษานั้นๆอยู่แล้วครับ

    “ไวยากรณ์”ตามความคิดของคนทั่วๆไป เป็น  concept ที่แปลก เพราะว่าหาเหตุผลอะไรไม่ได้  ไม่มีเหตุผลอะไรรองรับว่าผิดน่ะผิดตรงไหน  เพราะฉะนั้นจึงเป็น concept ที่นักภาษาศาสตร์ว่า ไม่น่าสนใจ และไม่มีมูล และไม่ควรเป็น topic ของการศึกษาภาษา  

    จำได้ว่า ตอนเด็กๆ เคยเรียนภาษาไทยมาเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่าง “แด่” กับ “แก่”  อาจารย์สอนว่า “ให้แด่” ใช้กับคนสูงกว่า “ใ้ห้แก่” ใช้กันคนต่ำกว่าหรือเท่ากัน  แต่ถ้าลองหาเหตุผลดู หรือไปถามอาจารย์  ทำไมถ้าใช้สลับกันมันผิด  ก็คงไม่มีเหตุผลที่ให้ได้นอกจาก  “ก็มันสุภาพกว่า”  “ก็มันถูกกว่า” “ก็เค้าบัญญัติมาอย่างนี้” ฯลฯ  แต่ถ้าถามว่าให้หา “เหตุผล”ที่เป็นหนักแน่น เช่น  “เพราะว่ากริยานี้เป็นกริยาที่ต้องตามด้วยกรรม” ฯลฯ  มันหาไม่ได้อ่ะครับ  

    หรือเรื่องของ ain’t   ก็เช่นกัน  ผมถามหน่อยว่า “ทำไม” มันผิดนักผิดหนา มันมี “เหตุผล” ที่มันเป็นเหตุเป็นผลอะไรที่มันผิด  หรือเพราะ ain’t   เป็นคำพูดของคนผิวดำเลยผิด ??  บางคนก็ตอบว่า เพราะที่ถูกต้องเป็น is, am, are, have, had, etc  ผมก็ต้องตามคนพวกนี้ต่อว่า แล้วทำไมที่ถูกมันต้องเป็น is, am, are, etc  ก็วนเรื่อยกันไปเช่นนี้ เพราะมันไม่มีเหตุผลว่าสิ่งที่คนทั่วๆไปคิดว่าผิด ทำไมจึงผิด

    มิลรอย (Milroy in “Authority in Language”)  นักภาษาศาสตร์สังคมชื่อดัง เปรียบเทียบ concept ไวยากรณ์ที่กันในหมุ่คนทั่วไป (lay people’s concept of “grammar”) ว่า  เปรียบเทียบได้กับคนบางกลุ่มต้องการ”บัญญัติ”ให้ภาษาเป็นอย่างที่ตนต้องการให้เป็น  เหมือนกับการบัญญัติให้คนแต่งทักซิโด้ไปงาน เพราะมัน “สุำภาพ” กว่า แต่จริงๆถามว่ามีเหตุผลอะไรในความ “สุภาพ” (หรือ “ถูกต้อง”) ในการสวมทักซิโด้ (สำหรับผู้ชาย) หรือไม่ ตอบว่า “ไม่มี”  ไม่มีเหตุผลว่า tuxedo “สุภาพ” หรือ “ถูกต้อง” กว่าการใส่ยีนส์ หรือเสื้อยืดตรงไหน  (แค่ว่ามันเป็นเพราะว่าคนกลุ่มหนึี่ง “บัญญัติ” หรือ “กำหนด” ว่า “ทักซีโด้” คือสิ่งที่ “สุภาพ” กว่าเท่านั้นเอง)

    แต่ไวยากรณ์ธรรมชาติ เป็นสิ่งที่ไม่มีใครบัญญัติขึ้น  เจ้าของภาษาเรียนรู้จากคนรอบข้างและสมองส่วนที่ทำงานด้านภาษา และเนื่องจากไม่มีใครพูดสิ่งที่ไม่ถูกไวยากรณ์ธรรมชาติอยู่แล้ว  ทำให้เด็กที่โตมาเรียนรู้แต่สิ่งที่ถูกไวยากรณ์(ของภาษานั้นๆและภาษาถิ่่นนั้นๆ) ทำให้เด็กเหล่านั้นไม่เคยพูดผิดไวยากรณ์ (ของภาษานั้นๆและภาษาถิ่นนั้นๆ)

    typos corrected

    จากคุณ :
    texanprofessor (krisdauw)
    – [
    12 มี.ค. 51 04:30:07

    ]

 


ไวยากรณ์มีความสำคัญหรือไม่ – Andreea S. Calude


รับชมบทเรียนเต็มๆ: http://ed.ted.com/lessons/doesgrammarmatterandreeascalude
บางครั้งมันก็ไม่ง่ายเลยที่จะจดจำกฎไวยากรณ์ทั้งหมดที่แนะแนวการเขียนของเราในขณะที่เราสนทนา เมื่อไรที่เราสามารถพูดได้ว่า \”the dog and me\” (หมากับฉัน[ประธาน]) และเมื่อไรที่มันควรจะเป็น \”the dog and I\” (หมากับฉัน[กรรม]) มันสำคัญจริง ๆ หรือ แอนเดรีย เอส. คาลูด ดำดิ่งสู่ข้อถกเถียงเก่าแก่ระหว่างภาษาศาสตร์แบบกำหนดและแบบบรรยาย ซึ่งต่างก็มีข้อคิดเห็นที่แตกต่างกันในประเด็นนี้
สอนโดย Andreea S. Calude, แอนนิเมชั่นโดย Mike Schell

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูความรู้เพิ่มเติมที่นี่

ไวยากรณ์มีความสำคัญหรือไม่ - Andreea S. Calude

ติว TOEIC Grammar : Subject-Verb Agreement คืออะไร? จำยังไงไม่ให้ลืม!


✿ ติวสอบ TOEIC® เริ่มจากพื้นฐาน เทคนิคแกรมม่า แนวข้อสอบ TOEIC® ล่าสุด! ✿
👉 ทดลองติวฟรี! ➡️ https://bit.ly/2wR4Gmu
แกรมม่า TOEIC เรื่อง SubjectVerb Agreement นี้ หลายคนสับสนมาก จะเติม หรือไม่เติม s ดี?
คลิปนี้ครูดิวมีคำตอบ พร้อมเทคนิคจำง่ายๆ มาให้ค่าาา (เต้นตามครูดิวไปด้วยนะคะ ^^)
✿ คอร์สครูดิว ติวสอบ TOEIC® มีอะไรให้บ้าง? ✿
✅ติวเทคนิคสอบ TOEIC® รวม Grammar ที่ใช้สอบ ครบถ้วน สอนจากพื้นฐาน เรียนได้ทุกคนแน่นอน
✅เก็งศัพท์สอบ TOEIC® ออกข้อสอบบ่อย ๆ ให้ครบ ไม่ต้องเสียเวลาไปนั่งรวบรวมเอง
✅ ติวข้อสอบ TOEIC® ล่าสุด ทั้ง Reading และ Listening
✅สามารถสอบถามข้อหรือจุดที่สงสัยได้ตลอด
✅การันตี 750+ (ถ้าสอบแล้วไม่ถึง สามารถทวนคอร์สได้ฟรี)
📣 ถ้าไม่อยากพลาดคลิปดีๆแบบนี้ อย่าลืมกด ❤️ Subscribe ❤️กันนะคะ

ติว TOEIC Grammar : Subject-Verb Agreement คืออะไร? จำยังไงไม่ให้ลืม!

เคลียร์ให้จบเรื่องแกรมม่าร์ จะได้ไม่งงกันอีกต่อไป Grammar


ใครๆก็รู้ว่า Grammar เป็นเรื่องที่น่าปวดหัวที่สุดของการเรียนภาษาอังกฤษ แต่เคยคิดกันมั้ยว่า เราจำเป็นต้องเรียนแกรมมาร์จริงๆหรือ? เก่งแกรมมาร์แล้วจะพูดอังกฤษได้? มาทำความเข้าใจเรื่องแกรมมาร์กันให้ชัดๆ แล้วเรียนภาษาอังกฤษแบบไม่ต้องมีอุปสรรค์เรื่องนี้อีกต่อไป
อยากฝึกพูดภาษาอังกฤษตัวต่อตัว หรือเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์แบบบุฟเฟ่ต์
สมัครได้เลย ​https://www.unfoxenglish.com/
สอบถามแอดไลน์ ​https://lin.ee/5uEdKb7h
ติดตามช่อง YouTube ส่วนตัว
ช่องยูทูปของแล็คต้า https://www.youtube.com/lactawarakorn
ช่องยูทูปของเบล https://www.youtube.com/bellvittawut
ติดตามช่องทางอื่นๆ และพูดคุยกันได้ที่
ชุมชนคนรักภาษาอังกฤษ https://www.unfoxenglish.com
FB: https://www.facebook.com/unfoxenglish
Twitter: https://www.twitter.com/unfoxenglish
Lacta’s IG: https://www.instagram.com/lactawarakorn
Bell’s IG: https://www.instagram.com/toshiroz
ติดต่องาน
Email: [email protected]
Line: http://nav.cx/oOH1Q6T

เคลียร์ให้จบเรื่องแกรมม่าร์ จะได้ไม่งงกันอีกต่อไป Grammar

Content 6 || จะจำ Grammar ทั้งหมดได้อย่างไร


หลักสูตร Bright English Basics
OMO Bright Future Academy 2016
โอโมชวนคุณเรียนภาษาอังกฤษกับครูลูกกอล์ฟ มูลค่ากว่า 1,000 บาทฟรี!
ติดตามคลาสเรียนภาษาอังกฤษหลักสูตร Bright English Basics ได้ที่ลิ้งค์ด้านล่างเลย!

Content 1 || 3 วิธีเตรียมความพร้อมก่อนเรียนภาษาอังกฤษ : https://youtu.be/H9bPJku0P0E
Content 2 || 5 สิ่งที่คุณต้องมีในการพูดภาษาอังกฤษ : https://youtu.be/qnUNGX8JDmY
Content 3 || การฟัง พูด อ่าน เขียน ต้องเริ่มจากไหน : https://youtu.be/hZC5YbGqjKw
Content 4 || ออกเสียงอย่างไรให้ถูกต้อง : https://youtu.be/Ty0DPJ4bEIw
Content 5 || ความมั่นใจในการพูดภาษาอังกฤษมาจากไหนบ้าง : https://youtu.be/vKsWsPdY1k
Content 6 || จะจำ Grammar ทั้งหมดได้อย่างไร : https://youtu.be/EpYmzG2b1Vw
Content 7 || เรียนรู้วิธีเอาตัวรอดได้ด้วย Vocab : https://youtu.be/SgliCJPYilc
Content 8 || เทคนิคสุดไบร์ทมัดใจเจ้าของภาษา : https://youtu.be/jTcvUsANxNI
Content 9 || สื่อสารภาษาอังกฤษง่าย ๆ ด้วย Grammar ที่ถูกต้อง : https://youtu.be/ziqzXE04

หรือติดตามความเคลื่อนไหวของ OMO Bright Future Academy บนเฟซบุ๊คได้ที่นี่ : https://www.facebook.com/OMOThailand/

Content 6 || จะจำ Grammar ทั้งหมดได้อย่างไร

เก่ง Grammar แกรมม่าภาษาอังกฤษในเพียง 150 นาที!!!


สมัครเป็นสมาชิกช่องนี้!!
กดปุ่ม \”สมัคร\” ข้างล่างวีดีโอใน Youtube หรือกดลิงค์นี้ได้เลยนะครับ https://www.youtube.com/channel/UC93A91EZTtZW55WEKCz_jYA/join
สั่งซื้อหนังสือได้จากแอดมิน
@LINE ID = @EnglishbyChris
รับสอนตัวต่อตัว ติดต่อผมได้ที่
@LINE ID = @TeacherChris
http://www.EnglishbyChris.com/ร้านค้า
WEBSITE
http://www.EnglishbyChris.com
Facebook
ค้นหา = EnglishbyChris
00:00:10 Articles คำนำหน้านาม
00:23:09 Pronouns สรรพนาม
00:37:05 Conjunctions คำเชื่อม
00:58:57 Modal verbs กริยาช่วย
01:17:21 Spelling rules กฎไวยากรณ์
01:37:06 Prefix and Suffix คำเติมหน้า/หลัง
01:45:56 Tenses โครงสร้างเวลา
02:29:01 Do / Are ใช้อย่างไร
02:32:50 Relative Pronouns ประพันธสรรพนาม

เก่ง Grammar แกรมม่าภาษาอังกฤษในเพียง 150 นาที!!!

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูวิธีอื่นๆLEARN FOREIGN LANGUAGE

ขอบคุณที่รับชมกระทู้ครับ หลัก แก รม ม่า

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *