จุดเกิดเหตุ ภาษาอังกฤษ: นี่คือโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
Table of Contents
English Tense
Tense คือรูปแบบ (หรือโครงสร้าง) ของกริยา ที่แสดงให้เราทราบว่า การกระทำหรือเหตุการณ์นั้นๆเกิดขึ้นเมื่อใดซึ่งเรื่อง tense นี้เป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเราใช้ tense ไม่ถูก เราก็จะสื่อสารภาษาอังกฤษได้อย่างไม่เต็มประสิทธิภาพ เพราะในประโยคภาษาอังกฤษนั้นจะอยู่ในรูปของ tense เสมอ ซึ่งต่างกับภาษาไทยที่เราจะมีข้อความบอกว่าเกิดขึ้นเมื่อใดมาช่วยเสมอ แต่ภาษาอังกฤษจะใช้รูป tense นี้มาเป็นตัวบอก ดังนี้การศึกษาเรื่อง tense จึงเป็นเรื่องจำเป็น
Tense ในภาษาอังกฤษนี้จะแบ่ง ออกเป็น 3 tense ใหญ่ๆ คือ
1. Present tense ปัจจุบัน
2. Past tense อดีตกาล
3. Future tense อนาคตกาล
ในแต่ละ tense ยังแยกย่อยได้ tense ละ 4 คือ
1 . Simple tense ธรรมดา (ง่ายๆตรงๆไม่ซับซ้อน)
2. Continuous tense กำลังกระทำอยู่ (กำลังเกิดอยู่)
3. Perfect tense สมบูรณ์ (ทำเรียบร้อยแล้ว)
4. Perfect continuous tense สมบูรณ์กำลังกระทำ (ทำเรียบร้อยแล้วและกำลังดำเนินอยู่ด้วย)
โครงสร้างของ Tense ทั้ง 12 ได้แก่
Present Tense
[Present]
[1.1] S + Verb 1 + ……(บอกความจริงที่เกิดขึ้นง่ายๆ ตรงๆไม่ซับซ้อน)
[1.2] S + is, am, are + Verb 1 ing + …(บอกว่าเดี๋ยวนี้กำลังเกิดอะไรอยู่)
[1.3] S + has, have + Verb 3 + ….(บอกว่าได้ทำมาแล้วจนถึงปัจจุบัน)
[1.4] S + has, have + been + Verb 1 ing + …(บอกว่าได้ทำมาแล้วและกำลังทำต่อไปอีก)
Past Tense
[Past]
[2.1] S + Verb 2 + …..(บอกเรื่องที่เคยเกิดมาแล้วในอดีต)
[2.2] S + was, were + Verb 1 +…(บอกเรื่องที่กำลังทำอยู่ในอดีต)
[2.2] S + was, were + Verb 1 +…(บอกเรื่องที่กำลังทำอยู่ในอดีต)
2.3] S + had + verb 3 + …(บอกเรื่องที่ทำมาแล้วในอดีตในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง)
[2.4] S + had + been + verb 1 ing + …(บอกเรื่องที่ทำมาแล้วอย่างต่อเนื่องไม่หยุด)
Future Tense
[Future]
[3.1] S + will, shall + verb 1 +….(บอก เรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต)
[3.2] S + will, shall + be + Verb 1 ing + ….(บอกว่าอนาคตนั้นๆกำลังทำอะไร อยู่)
[3.3] S + will,shall + have + Verb 3 +…(บอกเรื่องที่จะเกิดหรือสำเร็จ ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง)
[3.4] S + will,shall + have + been + verb 1 ing +.. ..(บอกเรื่องที่จะทำอย่างต่อเนื่องในเวลาใด – เวลาหนึ่งในอนาคตและจะทำต่อไปเรื่อยข้างหน้า)
หลักการใช้แต่ละ Tense มีดังนี้
[2.4] S + had + been + verb 1 ing + …(บอกเรื่องที่ทำมาแล้วอย่างต่อเนื่องไม่หยุด)[3.1] S + will, shall + verb 1 +….(บอก เรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต) [3.2] S + will, shall + be + Verb 1 ing + ….(บอกว่าอนาคตนั้นๆกำลังทำอะไร อยู่) [3.3] S + will,shall + have + Verb 3 +…(บอกเรื่องที่จะเกิดหรือสำเร็จ ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง) [3.4] S + will,shall + have + been + verb 1 ing +.. ..(บอกเรื่องที่จะทำอย่างต่อเนื่องในเวลาใด – เวลาหนึ่งในอนาคตและจะทำต่อไปเรื่อยข้างหน้า)
[1.1] Present simple tense เช่น He walks เขาเดิน
1. ใช้กับ เหตุการที่เกิดขึ้นตามความจริงของธรรมชาติ และคำสุภาษิตคำ พังเพย
2. ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นความจริงในขณะที่พูด (ก่อนหรือหลังจะไม่จริงก็ตาม)
3. ใช้กับกริยาที่ทำนานไม่ได้ เช่น รัก, เข้าใจ, รู้ เป็นต้น
4. ใช้กับการกระทำที่คิดว่าจะเกหิดขึ้นในอนาคตอันใกล้(จะมีคำวิเศษณ์บอกอนาคตร่วมด้วย)
5. ใช้ในการเล่าสรุปเรื่องต่างๆในอดีต เช่นนิยาย นิทาน
6. ใช้ในประโยคเงื่อนไขในอนาคต ที่ต้นประโยคจะขึ้นต้น ด้วยคำว่า If (ถ้า), unless (เว้นเสียแต่ว่า), as soon as (เมื่อ,ขณะที่), till (จนกระทั่ง) , whenever (เมื่อไรก็ ตาม), while (ขณะที่) เป็นต้น
7. ใช้กับเรื่องที่กระทำอย่างสม่ำเสมอ และมีคำวิเศษณ์บอกเวลาที่สม่ำเสมอร่วมอยู่ด้วย เช่น always (เสมอๆ), often (บ่อยๆ), every day (ทุกๆวัน) เป็นต้น
8. ใช้ในประโยคที่คล้อยตามที่เป็น [1.1] ประโยคตามต้องใช้ [1.1] ด้วยเสมอ
[1.2] Present continuous tense เช่น He is walking เขากำลังเดิน
1. ใช้ในเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในขณะที่พูด(ใช้ now ร่วมด้วยก็ได้ โดยใส่ไว้ต้น ประโยค, หลังกริยา หรือสุดประโยคก็ ได้)
2. ใช้ในเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในระยะเวลาอันยาวนาน เช่น ในวันนี้ ,ในปีนี้
3. ใช้กับเหตุการณ์ที่ผู้พูดมั่นใจว่าจะต้องเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ เช่น เร็วๆนี้, พรุ่งนี้
*หมายเหตุ กริยาที่ทำนานไม่ได้ เช่น รัก ,เข้าใจ, รู้, ชอบ จะนำมาแต่งใน Tense นี้ไม่ได้
[1.3] Present perfect tense เช่น He has walk เขาได้เดินแล้ว
1. ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต และต่อเนื่องมาจนถึง ปัจจุบัน และจะมีคำว่า Since (ตั้งแต่) และ for (เป็นเวลา) มาใช้ร่วมด้วยเสมอ
2. ใช้กับเหตุการณ์ที่ได้เคยทำมาแล้วในอดีต (จะกี่ครั้งก็ได้ หรือจะทำอีกใน ปัจจุบัน หรือจะทำในอนาคต ก็ได้)และจะมีคำ ว่า ever (เคย) , never (ไม่เคย) มาใช้ร่วมด้วย
3. ใช้กับเหตุการณ์ที่จบลงแล้วแต่ผู้พูดยังประทับใจอยู่ (ถ้าไม่ประทับใจก็ใช้ Tense
4. ใช้กับ เหตุการที่เพิ่งจบไปแล้วไม่นาน(ไม่ได้ประทับใจอยู่) ซึ่งจะมีคำเหล่านี้มาใช้ร่วมด้วยเสมอ คือ Just (เพิ่งจะ), already (เรียบร้อยแล้ว), yet (ยัง), finally (ในที่สุด) เป็นต้น
[1.4] Present perfect continuous tense เช่น He has been walking เขาได้กำลังเดินแล้ว
* มีหลักการใช้เหมือน [1.3] ทุกประการ เพียงแต่ว่าเน้นว่าจะทำต่อไปในอนาคตด้วย ซึ่ง [1.3] นั้นไม่เน้นว่าได้กระทำอย่างต่อเนื่องหรือไม่ ส่วน [1.4] นี้เน้นว่ากระทำมาอย่างต่อเนื่องและจะกระทำต่อไปในอนาคตอีกด้วย.
[2.1] Past simple tense เช่น He walked เขาเดิน แล้ว
1. ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลงแล้วในอดีต มิได้ต่อเนื่องมาถึงขณะ ที่พูด และมักมีคำต่อไปนี้มาร่วมด้วยเสมอในประโยค เช่น Yesterday, year เป็นต้น
2. ใช้กับเหตุการณ์ที่ทำเป็นประจำในอดีตที่ผ่านมาในครั้งนั้นๆ ซึ่งต้องมีคำวิเศษณ์บอกความถี่ (เช่น Always, every day ) กับคำวิเศษณ์ บอกเวลา (เช่น yesterday, last month ) 2 อย่างมาร่วมอยู่ด้วยเสมอ
3. ใช้กับเหตุการณ์ที่ได้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต แต่ปัจจุบันไม่ได้เกิด อยู่ หรือไม่ได้เป็นดั่งในอดีตนั้นแล้ว ซึ่งจะมีคำว่า ago นี้ร่วมอยู่ด้วย
4. ใช้ในประโยคที่คล้อยตามที่เป็น [2.1] ประโยคคล้อยตามก็ต้อง เป็น [2.1] ด้วย
[2.2] Past continuous tense เช่น He was walking เขากำลังเดินแล้ว
1. ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกัน { 2.2 นี้ไม่นิยมใช้ตามลำพัง – ถ้าเกิดก่อนใช้ 2.2 – ถ้าเกิดทีหลังใช้ 2.1}
2. ใช้กับเหตุการณ์ที่ ไดกระทำติดต่อกันตลอดเวลาที่ได้ระบุไว้ในประโยค ซึ่งจะมีคำบอกเวลาร่วมอยู่ด้วยในประโยค เช่น all day yesterday etc.
3. ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่กำลังทำในเวลาเดียวกัน(ใช้เฉพาะกริยาที่ทำได้นานเท่านั้น หากเป็นกริยาที่ทำนานไม่ได้ก็ใช้หลักข้อ 1 ) ถ้าแต่งด้วย 2.1 กับ 2.2 จะดูจืดชืดเช่น He was cleaning the house while I was cooking breakfast.
[2.3] Past perfect tense เช่น He had walk เขาได้เดินแล้ว
1. ใช้กับ เหตุการณ์ 2 อย่างที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอดีต มีหลักการใช้ดังนี้
เกิดก่อนใช้ 2.3 เกิดทีหลังใช้ 2.1
2. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำอันเดียวก็ได้ในอดีต แต่ต้องระบุชั่วโมงและวันให้แน่ชัดไว้ในทุกประโยคด้วยทุกครั้ง เช่น She had breakfast at eight o’ clock yesterday.
[2.4] past perfect continuous tense เช่น He had been walking
มีหลักการใช้เหมือนกับ 2.3 ทุกกรณี เพียงแต่ tense นี้ ต้องการย้ำถึงความต่อเนื่องของการกระทำที่ 1 ว่าได้กระทำต่อเนื่องไปจนถึงการกระทำที่ 2 โดยมิได้หยุด เช่น When we arrive at the meeting , the lecturer had been speaking for an hour . เมื่อพวกเราไปถึงที่ ประชุม ผู้บรรยายได้พูดมาแล้ว เป็นเวลา 1 ชั่วโมง
[3.1] Future simple tense เช่น He will walk เขาจะเดิน
ใช้กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งจะมีคำว่า tomorrow, to night, next week, next month เป็นต้น มาร่วมอยู่ด้วย.
- Shall ใช้กับ I we
Will ใช้กับบุรุษที่ 2 และนามทั่วๆไป
Will, shall จะใช้สลับกันในกรณีที่จะให้คำมั่นสัญญา, ข่มขู่บังคับ, ตกลงใจแน่วแน่
Will, shall ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติหรือจงใจก็ได้
Be going to (จะ) ใช้กับความจงใจของมนุษย์ เท่านั้น ห้ามใช้กับเหตุการณ์ของธรรมชาติและนิยมใช้ใน ประโยคเงื่อนไข
[3.2] Future continuous tense เช่น He will be walking เขากำลังจะเดิน
1. ใช้ในการบอกกล่าวว่าในอนาคตนั้นกำลังทำอะไรอยู่ (ต้องกำหนดเวลาแน่นอน ด้วยเสมอ)
2. ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่จะเกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต มีกลักการใช้ดังนี้
– เกิดก่อนใช้ 3.2 S + will be, shall be + Verb 1 ing
– เกิดทีหลังใช้ 1.1 S + Verb 1
[3.3] Future prefect tens เช่น He will have walked เขาจะได้เดินแล้ว
- ใช้กับเหตุการณ์ที่จะ เกิดขึ้นหรือสำเร็จลงในเวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต โดยจะมีคำว่า by นำหน้ากลุ่มคำที่บอกเวลา ด้วย เช่น by tomorrow , by next week เป็นต้น
2.ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่จะเกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต มีหลักดังนี้
- เกิดก่อนใช้ 3.3 S + will, shall + have + Verb 3
- เกิด ที่หลังใช้ 1.1 S + Verb 1
[3.4] Future prefect continuous tense เช่น He will have been walking เขาจะได้กำลังเดินแล้ว
ใช้เหมือน 3.3 ต่างกันเพียงแต่ว่า 3.4 นี้เน้นถึงการกระทำที่ 1 ได้ทำต่อเนื่องมาจนถึงการกระทำที่ 2 และจะกระทำต่อไปในอนาคต อีกด้วย Tense นี้ไม่ค่อยนิยมใช้บ่อย นัก โดยเฉพาะกริยาที่ทำนาน ไม่ได้ อย่านำมาแต่งใน Tense นี้เด็ดขาด
ที่มา:
marujo2524.igetweb.com
Like this:
Like
Loading…
Related
[NEW] | จุดเกิดเหตุ ภาษาอังกฤษ – NATAVIGUIDES
In chess, the pawns go first.
ในเกมหมากรุก ตัวเบี้ยลุยไปก่อน
แมคเนโต ใน X-Men: The Last Stand
1. Mob
ผู้เขียนเคยตั้งข้อสังเกตว่าการที่ภาษาไทยของสื่อมวลชนนำเอาคำว่าม็อบหรือ Mob มาใช้กับผู้ชุมนุมประท้วงเป็นการไม่ยุติธรรมนัก เพราะ mob (ตามดิกชันเนรี Macmillan ของผู้เขียน) หมายถึงฝูงชนขนาดใหญ่ที่อันตรายและยากที่จะควบคุม ดังนั้นควรใช้คำว่า protester อันหมายถึงผู้ประท้วงซึ่งมีพฤติกรรมที่สงบ สันติและเป็นไปตามกรอบของกฎหมายจึงน่าจะไม่ได้เป็นการเหมารวม นอกจากนี้คำว่า demonstrator ก็ยังสามารถนำมาใช้ในกรณีนี้ได้ แต่คำนี้ยังอาจหมายถึงกลุ่มบุคคลที่มาชุมนุมกันเพื่อสนับสนุนใครหรือประเด็นอะไรสักอย่างก็ได้
2. Illegal political participation –การมีส่วนร่วมทางการเมืองที่ผิดกฎหมาย
อย่างไรก็ตามผู้เขียนเองก็เข้าใจสื่อมวลชนที่ว่านอกจากการใช้คำว่าม็อบเพราะสะดวกและติดตาแนบหูประชาชนดีแล้ว มีผู้ประท้วงจำนวนมากโดยเฉพาะเมืองไทยในรอบหลายปีที่ผ่านมาได้ขยับขยายกิจกรรมตามวิถีของ protester มาเป็น mob เช่นการบุกเข้ายึดสถานที่ราชการ และสถานที่สำคัญของประเทศรวมไปถึงการใช้ความรุนแรงทางกายและอาวุธกับเจ้าหน้าที่บ้านเมืองรวมไปถึงผู้มีความคิดเห็นต่างกับตน จึงทำให้คำว่า Mob ดูโดดเด่นเหนือคำอื่น สำหรับผู้ประท้วงนั้นก็มีเหตุผลเป็นของตัวเอง เพราะการประท้วงแบบเรียบร้อยนั้นมักไม่ค่อยได้ผลและต้องใช้เวลานานอาจทำให้การประท้วงล้มเหลว ผู้นำการประท้วงและผู้ประท้วงจำนวนมากจึงแอบหวังลึกๆ ว่า การมีส่วนร่วมทางการเมืองที่ผิดกฎหมายเช่นนี้มักนำไปสู่ความสำเร็จเช่นการล้มรัฐบาล
3. Flash mob/smart mob
Flash mob ตามวิกิพีเดียภาษาไทยคือ การรวมตัวของกลุ่มคนในสถานที่หนึ่ง อย่างฉับพลัน เพื่อแสดงสิ่งแปลกตาและดูเหมือนไม่มีจุดมุ่งหมายในช่วงระยะเวลาอันสั้นโดยผ่านสื่อเทคโนโลยีเช่นมือถือหรืออินเทอร์เน็ต เฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ อย่างไรก็สำหรับการประท้วงทางการเมืองที่กลุ่มผู้ประท้วงมีการวางแผนอย่างดีโดยสื่อสารกันผ่านเทคโนโลยีทันสมัยต้องใช้คำว่า smart mob
4. Demagogue -นักปลุมระดมมวลชนโดยใช้กลยุทธต่างๆ
หัวใจสำหรับการประท้วงคือการมีผู้จัดตั้งและผู้นำการประท้วง การจะทำให้มวลชนซึ่งอาจมีความคิดสอดคล้องกันเพียงแค่บางประการให้คิดเหมือนกันหมด ผู้นำการประท้วงหรือนักปลุกระดมมวลชนจึงมักมีบารมี (Charisma) และเป็นที่นับถือหรือเป็นที่นิยมของมวลชนไม่ว่าเป็นนักธุรกิจชื่อดัง นักกิจกรรมทางสังคม ดารา นักการเมืองที่คว่ำหวอด หรือแม้แต่พระสงฆ์ ฯลฯ ซึ่งต้องใช้วาทศิลป์ในการกล่อมให้ฝูงชนเกิดอารมณ์คล้อยตามและปฏิบัติตามโดยไม่มีข้อถกเถียงจนสามารถยอมตายแทนได้ ซึ่งน่าสนใจว่าผู้ที่เป็นเอตทัคคะในด้านนี้ในอดีตคืออดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ซึ่งกลยุทธของเขาถูกนำมาใช้โดยนักการเมืองของประเทศต่างๆ ในยุคหลัง (ซึ่งจำนวนมากก็ได้ประณามฮิตเลอร์ไปด้วย ปฏิบัติตามฮิตเลอร์ไปด้วย) อันเป็นสาเหตุหนึ่งที่ว่าเหตุใดผีของฮิตเลอร์ยังคงสิงสู่โลกเหมือนปัจจุบัน
5. Propaganda -การโฆษณาชวนเชื่อ
หากได้ศึกษาการปลุกระดมมวลชนของบรรดาผู้นำการประท้วงแล้ว เราก็จะตกใจไม่น้อยว่าการประท้วงที่อ้างว่าเพื่อประชาธิปไตยนั้นกลับเต็มไปด้วยกิจกรรมที่ตรงกันข้ามกับประชาธิปไตยทั้งสิ้นโดยเฉพาะการตั้งเวทีเพื่อเสนอข้อมูลด้านลบเกี่ยวกับเป้าหมายของการประท้วง (เช่นรัฐบาล) ผ่านกิจกรรมทุกอย่างเท่าที่จะทำได้นอกจากการใช้วาทศิลป์ของ demagogue เช่น การแสดงภาพและตัวหนังสือบนจอที่ปลุกใจ การโฟนอินของบุคคลสำคัญ การแสดงละครและดนตรี การนำเอาเด็กหน้าใสๆ ขึ้นเวที หรือแม้แต่พิธีกรรมทางศาสนาผสมผสานกับรวมไปถึงความพยายามในการเชิดชูอุดมการณ์ที่ตนนับถืออย่างไม่ลืมหูลืมตาและเสนอภาพด้านบวกของผู้นำหรือการดำเนินกิจกรรมของกลุ่มตัวเอง เช่นนำเสนอการแต่งงานของคนที่มาเจอกันขณะประท้วง หรือผู้ประท้วงยื่นดอกไม้ให้ทหาร ทั้งหมดนี้จึงกลายเป็นการโฆษณาชวนเชื่อของผู้นำการประท้วงดูคล้ายคลึงกับโฆษณาชวนเชื่อของลัทธิชาตินิยมในประเทศต่างๆ
6. Militia -กองกำลังติดอาวุธ
หรืออย่างที่เรียกกันทั่วไปว่าเป็นฝ่ายคุ้มครองการประท้วงหรือการ์ด ซึ่งคนเหล่านั้นมีการแอบเก็บสะสมอาวุธในรูปแบบต่างๆ (ที่ต้องแอบเพราะจะได้ไม่ต้องเสียภาพพจน์ของการประท้วงแบบอหิงสา) และพร้อมจะเป็นแนวหน้าในการทำสงครามต่อสู้กับผู้มาก่อกวนหรือกลุ่มฝ่ายตรงกันข้ามได้ เมื่อเกิดเหตุปะทะกันการ์ดซึ่งมักเป็นชาวบ้านตาดำ ๆ มักเป็นฝ่ายแรกที่บาดเจ็บ และล้มตาย หรือถูกจับดำเนินคดีกับติดคุกเป็นเวลานาน อันเป็นชะตากรรมที่ค่อนข้างแตกต่างจากกลุ่มผู้นำประท้วงซึ่งมักสามารถหายตัวไปได้ก่อนจะมีการปราบปรามหรือจับกุมผู้ประท้วงครั้งใหญ่
7. Deception -การหลอกลวง
ในการโฆษณาชวนเชื่อนั้น กิจกรรมสำคัญสำหรับผู้นำการประท้วงก็คือการหลอกลวง การโกหกเพื่อให้ผู้ประท้วงเกิดความเกลียดชังเป้าหมายจนเข้าสู่สภาวะคลุ้มคลั่ง (insane) โดยใช้ข้อมูลที่เกินจริง ตัดทอนเอาข้อมูลบางส่วนที่ไม่สอดคล้องกับความเชื่อของตนออกไป เน้นแต่อารมณ์เป็นสำคัญ ส่วน demagogue หลายคนนอกจากจะใช้การด่าทอที่เต็มไปด้วยคำหยาบคาย แล้วยังพยายามใช้คำกำกวมเช่นการประกาศชัยชนะจนพร่ำเพรื่อ สู้จนตัวตาย หรือประกาศเงื่อนไขที่ดูดีแต่มีประเด็นซ่อนเร้นเช่นผู้นำมักประกาศว่าถ้าไม่ชนะก็ยินยอมให้ถูกจับกุม เพราะผู้นำฝ่ายประท้วงมักมีอำนาจทางการเมืองในการต่อรองสูง จึงมักไม่ติดคุกหรือติดคุกไม่นาน เป็นที่น่าสนใจว่าการหลอกลวงแบบนี้จะถูกหัวเราะเยาะจากฝ่ายอื่น แต่พวกเดียวกันกลับสามารถเชื่อได้อย่างน่าอัศจรรย์ อันสะท้อนให้เห็นถึงพลังของการโฆษณาชวนเชื่อ
8. Hidden dictatorship -เผด็จการแบบแอบแฝง
น่าสนใจว่าการประท้วงส่วนใหญ่ อำนาจการตัดสินใจมักรวมศูนย์อยู่ที่หัวหน้าและคณะกรรมการ เพราะการประท้วงเป็นระบบเปิดคือให้คนจากร้อยพ่อพันแม่เข้าร่วม การเปิดให้ทุกคนตัดสินใจร่วมกันในขณะเดียวกันผู้นำการประท้วงต้องการให้ผู้เข้าร่วมประท้วงปฏิบัติตามแบบซ้ายหันขวาหันจึงเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยากยิ่ง ผู้นำการประท้วงจึงมักใช้ลูกไม้ (trick) เช่นการกล่อมให้ผู้เข้าร่วมเกิดความเคลิบเคลิ้มและคล้อยตามแล้วจึงแสร้งถามความเห็นของมวลชนเพื่อให้ได้คำตอบที่ตัวเองได้เตรียมไว้แล้วและจะได้ไว้ใช้เป็นข้ออ้างว่าเป็นฉันทามติของผู้ประท้วง (และสุดท้ายย่อมอ้างไปถึงประชาชนคนไทยทั้งมวล) แน่นอนว่าเวทีการประท้วงย่อมไม่ยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างกัน (มากเกินไปนัก ) หรือไม่มีทางที่จะเปิดให้มีการถกเถียง (debate) กันอย่างเสรีระหว่างผู้เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับการประท้วง
9. Mastermind -จอมบงการ
น่าสนใจที่ว่าการประท้วงจำนวนมากจะมีจอมบงการที่อยู่เบื้องหลัง เป็นนักวางแผนตัวจริงและเป็นผู้สนับสนุนด้านทุนและกำลังคนส่วนหนึ่ง จอมบงการมักไม่ได้อยู่ในที่ชุมนุมประท้วงหรือปรากฏตัวเพียงชั่วขณะหรือส่งสัญญาณบางประการเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับกลุ่มประท้วงหรือดึงดูดใจให้มีคนเข้าร่วมประท้วงมาก ๆ จอมบงการมักเป็นผู้ที่ไม่ได้รับผลกระทบในด้านลบหากเกิดการปรามปรามของรัฐหรือความรุนแรงและเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์จากความขัดแย้งครั้งนี้อย่างแท้จริงถ้าฝ่ายตนชนะ การรับรู้ของสาธารณชนต่อตัวตนของคนเช่นนี้ค่อนข้างหลากหลายเช่นเป็นที่รู้กันทั่วไปบ้าง รู้บ้างไม่รู้บ้าง หรือสื่อไม่ได้นำเสนอแต่คนจำนวนมากก็รู้บ้าง
10. Mediator -ผู้ไกล่เกลี่ย
เมื่อเกิดความขัดแย้งระหว่าง 2 ฝ่ายที่ไม่ยอมความกันแล้ว วิธีการที่ดีที่สุดประการหนึ่งคือการหาคนกลางมาไกล่เกลี่ย แต่ปัญหาคือในช่วงความขัดแย้งนี้ทุกคนล้วนเต็มไปด้วยความไม่ไว้วางใจกัน (distrust) ดังนั้นจึงหาผู้มาไกล่เกลี่ยซึ่งเป็นที่ยอมรับกันได้ยากยิ่ง เพราะต่างฝ่ายอาจมองว่าผู้ไกล่เกลี่ยแท้ที่จริงอาจเป็นจอมบงการที่อยู่เบื้องหลังหรือแอบเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรืออาจจะเป็นมือที่ 3
11. Intervener –ผู้เข้ามาแทรกแซงหรือมือที่ 3
มือที่ 3 อาจเกิดจากจอมบงการอีกกลุ่มหนึ่งที่เข้ามาแทรกแซงเหตุการณ์อันเกิดจากความขัดแย้งระหว่างคนสองกลุ่มด้วยการเป็นตัวจุดประกายให้การเผชิญหน้าดังกล่าวเกิดระเบิดขึ้นมาเพื่อที่ตนจะได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ในภายหลัง มือที่ 3 เป็นกลุ่มผลประโยชน์ที่สังเกตได้ยากเพราะไม่แสดงตนและผู้ปฏิบัติการมักจะพรางตนให้เกิดความเข้าใจผิดจากรัฐบาลและฝ่ายประท้วงว่าเป็นอีกฝ่ายหนึ่ง วีรกรรมของมือที่ 3 ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยเช่นช่วงพฤษภาทมิฬปี 2535 ที่มีชายฉกรรจ์ไปเผาโรงพักนางเลิ้ง หรือว่าชายชุดดำในสงครามกลางเมืองของไทยเมื่อปี 2553
12. Civil war -สงครามกลางเมือง
สงครามกลางเมืองหมายถึงการต่อสู้ระหว่างกลุ่มต่างๆ ที่อยู่ในประเทศเดียวกันหรือเป็นคนชาติเดียวกัน หากดูจากเวบบอรด์ต่างๆ จะพบว่ามีหลายคนหวาดกลัวว่าการประท้วงใหญ่ครั้งนี้จะนำไทยไปสู่สงครามกลางเมืองแบบซีเรีย ผู้เขียนซึ่งสนใจการเมืองตะวันออกกลางพอสมควรคิดว่าไม่ควรที่จะนำเอาการเมืองของประเทศที่มีบริบทแตกต่างจากเรามาเปรียบเทียบ เพราะซีเรียนั้นอาจจะเริ่มต้นแบบเดียวกับไทย (หรือยูเครนหรืออื่น ๆ ) แต่เกิดการลุกลามไปได้เพราะต่างชาติเช่นตะวันตก รัสเซียและจีน รวมไปถึงกลุ่มผู้ก่อการร้ายเข้ามาแทรกแซงให้การสนับสนุนผู้ประท้วงและฝ่ายขบถในด้านอาวุธและกำลังคน ซีเรียยังเกิดความจากความขัดแย้งระหว่างนิกาย 2 นิกายคือชีอะห์และซุนนีห์ อย่างไรก็ตามเราก็ไม่สามารถตัดเอาคำว่า Civil war ออกไปจากอนาคตของการเมืองไทยได้ หากกลุ่ม 2 กลุ่มซึ่งได้รับการสนับสนุนจากคนไทยในจำนวนที่ใกล้เคียงกันหรือไม่ทิ้งห่างกันเท่าไรยังคงขัดแย้งและความเกลียดชังต่อกันอย่างสูงอยู่เช่นนี้
คาราโอเกะ จุดเกิดเหตุ – ไอดิน อภินันท์(OFFICIAL KARAOKE)
เพลง : จุดเกิดเหตุ
คำร้อง/ทำนอง : ประจักษ์ บุญตา
เรียบเรียง : ไอดิน อภินันท์
ศิลปิน : ไอดิน อภินันท์
ลิขสิทธิ์บริษัท ชาวดิน เอ็นเทอร์เทนเมนท์
ติดต่อ
043001758,0956646228
นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูเพิ่มเติม
จุดเกิดเหตุ – NILKAL x MR.LAB「OFFICIAL VISUALIZER」
ไม่อนุญาตให้นำไปทำซ้ำ (ReUpload) ดัดแปลง (Nightcore)
อนุญาตให้ Cover \u0026 Rearrange ได้
จุดเกิดเหตุ NILKAL x MR.LAB
Lyric and Vocal : NILKAL , MR.LAB
Mix\u0026Mastered : NILKAL
Album : The Throne : Lycoris Radiata
VISUALIZER BY NILKAL
Instrumental :
Produced by : TETSUMA (NILKAL, B.LEE)
จุดเกิดเหตุ
NILKAL
นิลกาฬ
ยักษ์ดำ
TETSUMA
Apple Music \u0026 itune : http://apple.co/3mGYam1
JOOX : https://bit.ly/2KLTXA2
SPOTIFY : http://spoti.fi/2Wz9K8j
Contact us
fb : https://www.facebook.com/Nilkal.Official
ig : nilkal.koshiki
Email : [email protected]
Tel : (+66)944980838
รวมเพลงเด็ก เพลงเด็กอนุบาล ฟังยาวๆ 1 ชม. By KidsMeSong
ขอบคุณมากค่ะสำหรับการดูวิดีโอนี้และสำหรับการแชร์วิดีโอของช่องหนู
Subscribe หรือสมัครสมาชิกเพื่อติดตามช่อง kids me songs |Please subscribe for new videos https://goo.gl/RXpPFZ
Mail ►► [email protected]
Facebook ►► https://www.facebook.com/KidsMeSong/
Instagram►► https://www.instagram.com/kidssongth/
twitter ►► https://twitter.com/KidssongTHAI
Line ►► kidssongth
รวมเพลง ก ไก่ ►► https://goo.gl/wIx4DS
เพลงเด็กพร้อมท่าเต้น ►► https://goo.gl/UqGBeq
รวมเพลงช้าง ►► https://goo.gl/QaP0lD
รวมเพลงเป็ด ►► https://goo.gl/dpFpuE
รวมเพลงลิง ►► https://goo.gl/CrzAt6
รวมเพลงเต่า ►► https://goo.gl/VCFjMj
รวมเพลงไก่ ►► https://goo.gl/4NLqaN
เรียนรู้ตัวเลข ►► https://goo.gl/G9LvY4
เพลงสูตรคูณ ►► https://goo.gl/LhJRqd
รวมเพลงเด็กอนุบาล ►► https://goo.gl/LTQauf
เพลงภาษาอังกฤษ ►► https://goo.gl/AOQ6RH
ปั้นแป้งโดว์ สนุกเสริมการเรียนรู้ ►► https://goo.gl/5rDSwm
เรียนรู้สี ►►https://goo.gl/f5osFA
ติดตามช่องอื่นๆของเรา
The kids song ►►https://goo.gl/mwQXzu
Happy kids thailand ►►https://goo.gl/tzlrAo
Love Me Like You Do (From \”Fifty Shades of Grey\”) – Ellie Goulding Cover By Tanner Patrick
My cover of \”Love Me Like You Do\” by Ellie Goulding! If you like it, it’s on iTunes here: https://itunes.apple.com/us/album/lovemelikeyoudosingle/id968904363 Tanner Patrick
I love this song… Hope you enjoy my version! If you like it, give it a thumbs up and leave a comment! Love you guys!
Tanner
Also, I have another cover from \”Fifty Shades Of Grey\” 😉 check it out: https://www.youtube.com/watch?v=VdiBPsBAeEg
If you enjoyed this video, you may also like my cover of \”Say Something\”: https://www.youtube.com/watch?v=MwJ4PpoLk1M
Watch the Official Music Video for my single, \”Satellites\”: https://www.youtube.com/watch?v=cGPvUv9uiOY
SUBSCRIBE and follow my official sites:
VINE: http://www.vine.co/tannerpatrick
INSTAGRAM: http://instagram.com/tannerpatrick
TWITTER: http://twitter.com/tannerpatrick
FACEBOOK: https://www.facebook.com/thetannerpatrick
Produced/Mixed/Mastered by Tanner Patrick
Video Edited by Tanner Patrick
Filmed by Cal Knapp
calknapp.com
Written by Justin Parker / Ellie Goulding
Published by Sony/ATV Music Publishing LLC
Love Me Like You Do Lyrics Official Audio Lyric Music Video Ellie Goulding Album Vine Official Music Video Single Acoustic Piano Tutorial Performance Radio Hit New Sound Preview iTunes Spotify Free Download Listen Live
Click [by Mahidol] Airports – Part 1 ภาษาอังกฤษที่ควรรู้ในสนามบิน และบนเครื่องบิน
ไม่น่าเชื่อว่าแค่การเดินทางจากสนามบินต้นทางไปยังสนามบินปลายทาง จะมีเหตุการณ์ให้เราได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษอยู่เต็มไปหมด ครูคริส (คริสโตเฟอร์ ไรท์) รายการ Click โดยมหาวิทยาลัยมหิดล ได้เรียงร้อยภาษาอังกฤษที่ควรรู้ในสนามบิน และบนเครื่องบิน ออกมาเป็นเรื่องราวสนุก ๆ ให้เราได้ทั้งความรู้ และความฮา และที่สำคัญคือได้คลิกกับคำศัพท์ที่มักใช้กันผิด เช่น พนักงานภาคพื้นดินที่หลายคนเรียกผิดว่า air ground แต่ที่ถูกต้องคือ ground staff เป็นต้น ติดตามภาษาอังกฤษในสนามบินที่ดูแล้ว \”คลิก\” กันแบบเต็ม ๆ ได้ในรายการ Click ตอน Airports Part 1
พบเคล็ดลับวิชาภาษาอังกฤษที่ไม่มีในตำราเรียน อยากได้ความรู้ ดูสนุก เข้าใจง่าย ติดตามได้ในรายการ Click ออกอากาศทาง Mahidol Channel
Facebook : http://www.facebook.com/mahidolchannel
Website | https://channel.mahidol.ac.th/
นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูวิธีอื่นๆLEARN FOREIGN LANGUAGE
ขอบคุณมากสำหรับการดูหัวข้อโพสต์ จุดเกิดเหตุ ภาษาอังกฤษ