Skip to content
Home » [Update] เรียนรู้เรื่อง TENSE ง่ายๆ | tense ง่ายๆ – NATAVIGUIDES

[Update] เรียนรู้เรื่อง TENSE ง่ายๆ | tense ง่ายๆ – NATAVIGUIDES

tense ง่ายๆ: คุณกำลังดูกระทู้

มีวิธีใช้กับเหตุการณ์ได้ดังต่อไปนี้(1) ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามความจริงของธรรมชาติ เช่น :-The earth moves round the sun. โลกหมุนรอบรอบดวงอาทิตย์ The sun rises in the east. ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก เป็นต้น(2) ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นความจริงตาม คำสุภาษิต คำพังเพย สุนทรพจน์ เช่น :-Negligence is the part of death. ความประมาทเป็นทางแห่งความตาย Honesty is the best policy. ความซื่อสัตย์เป็นนโยบายที่ดีที่สุด เป็นต้น(3) ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นความจริงในขณะที่พูด (ก่อนหน้าที่จะพูดหรือหลังพูดไปแล้วจะไม่เป็นจริงเหมือนอย่างที่พูดก็ได้ แต่ที่แน่ๆ คือต้องเป็นจริงในขณะที่พูด) เช่น :-He stands under the tree. เขายืนอยู่ใต้ต้นไม้ (เหลียวไปดูก็ยืนอยู่จริงๆ ยังไม่ทันเดินไปไหน) I have two books in the suitcase. ฉันมีหนังสือ 2 เล่มอยู่ในกระเป๋า (เปิดออกมาดูก็เห็นมี 2 เล่มจริงๆ ไม่ได้โกหก)(4) ใช้กับการกระทำที่คิดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ ส่วนมากมักจะใช้กับ Verb ที่ แสดงการเคลื่อนที่จากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่ง) และตามกฎข้อนี้ Present Simple Tense มีคำวิเศษณ์บอกเวลาที่เป็นอนาคตมาร่วมได้ เช่น :-We leave tomorrow. พวกเราจะออกเดินทางวันพรุ่งนี้ The train arrives at the station early tomorrow. รถไฟจะมาถึงสถานีเช้าตรู่วันพรุ่งนี้ เป็นต้น(5) ใช้กับเหตุการณ์ในกรณีสรุปเรื่องราวต่างๆ ที่เล่ามา แม้เหตุการณ์นั้นจะได้เกิดขึ้นแล้วในอดีตก็ตาม แต่เราก็แต่งด้วยประโยค Present Simple Tense ทั้งนี้ก็เพื่อให้เรื่องที่เล่านั้นมีชีวิตชีวาเหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน (ส่วนมากมักใช้ในการเขียนนิยาย เช่น :-……Bassanio wants to go to Belmont to woo Portia. He ask Antonio to lend him money. Antonio says that he has not any money at the moment Until his ships come to port……. …….บัสสานีโอต้องการจะไปเบลมองต์ เพื่อเกี้ยวพาราสีกับนางเปอร์เชีย เขาขอยืมเงินกับอันโตนิโอ อันโตนิโอบอกว่า ขณะนี้เข้าไม่มีเงินเลย จนกว่าเรือของเขาจะเข้าเทียบท่าแล้ว (เขาจึงจะมีเงินให้ยืม)……..(6) ใช้กับเหตุการณ์ในประโยค Subordinate Clause (อนุประโยค) ที่บ่งบอกเวลาเป็นอนาคต ซึ่งประโยคของมันเองจะขึ้นต้นด้วยคำต่อไปนี้ :-If (ถ้า) unless (เว้นเสียแต่ว่า) as soon as (เมื่อ,ขณะที่) until (จนกระทั่ง) before (ก่อนที่) whenever (เมื่อไหร่ก็ตาม) while (ขณะที่) เป็นต้น เช่น :- If you come here, we will tell you about that. ถ้าคุณมาที่นี่ เราจะบอกคุณเกี่ยวกับเรื่องนั้น As soon as he arrives, you can leave. เมื่อเขามาถึง ท่านก็ไปได้ เป็นต้น(7) การกระทำของกริยาที่ทำนานไม่ได้ หรือกริยาที่แสดงการรับรู้ (Verb of perception)ให้นำมาแต่งด้วย Present Simple Tense เท่านั้น เช่น :- Sumali loves her husband very much. สุมาลีรักสามีของเธอมาก (loves เป็นกริยาแสดงการรับรู้) I understand what you said. ผมเข้าใจสิ่งที่ท่านพุด (understand เป็นกริยาแสดงการรับรู้)(8) ใช้กับเหตุการณ์ที่บุคคลหรือสัตว์ทำเป็นประจำโดยสม่ำเสมอ หรือทำเป็นกิจวัตรโดยมิได้ขาด ตามกฎการใช้ข้อที่ 8 นี้ Present Simple Tense มักจะมีคำวิเศษณ์ (Adverb) บอกเวลาที่เป็นความสม่ำเสมอมาร่วม ได้แก่คำต่อไปนี้ :-

Tense แต่ละชนิดใหญ่ๆ ที่กล่าวมานี้ ยังแบ่งเป็น Tense เล็กๆ ไปอีกได้ 12 Tense ซึ่ง จะได้กล่าวในตอนต่อไป การเรียน Tense ให้ได้ผลและไม่สับสนนั้น ควรเรียนตามลำดับหัวข้อที่ 3 ดังต่อไปนี้คือ :-1. จำชื่อ Tense ให้ได้ที่ภาษาอังกฤษและคำแปลเป็นภาษาไทย2. เรียนรู้โครงสร้างของแต่ละ Tense ให้ได้อย่างถูกต้อง อย่าสับสน3. เรียนรู้ความหมายของแต่ละ Tense ว่าใช้กับการกระทำหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่างกรรมต่างวาระกันอย่างไร?1.1 การจำชื่อ Tense ให้ได้ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทยนั้น ควรจำโดยอาศัยหลักเกณฑ์อย่างง่ายๆ ดังต่อไปนี้….. Simple Tense คือ ธรรมดา….. Continuous Tense คือ กำลังกระทำ….. Perfect Tense คือ สมบูรณ์….. Perfect continuous Tense คือ สมบูรณ์กำลังกระทำ: จุดไข่ปลาหมายเลข 1 ให้เอาคำ Present, Past, Future เติมลงไปตามที่ต้องการ ส่วนจุดไข่ปลาหมายเลข 2 ให้เอาคำว่า ปัจจุบันกาล, อดีตกาล, อนาคตกาล ไปเติมใส่ แล้วให้ว่าภาษาอังกฤษพร้อมทั้งคำแปลเป็นภาษาไทยสลับกันไปมาเช่นนี้สัก 2-3 ครั้งแล้วในที่สุดท่านก็จะจำได้เองโดยอัตโนมัติ ขออย่างเดียวท่านอย่าขี้เกียจปฏิบัติตามคำแนะนำก็แล้วกัน1.2 จำโครงสร้างของแต่ละ Tense ให้ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ เรื่องการจำโครงสร้างของแต่ละ Tense แต่ละคนมีวิธีการในการจดจำที่ไม่เหมือนกัน บางครั้งก็ยาวเกินไป จนจำไม่ไหว มีวิธีการจำโครงสร้างของแต่ละ Tense ง่ายๆ ดังต่อไปนี้= S + Verb 1 + …………….= S + is, am, are + Verb 1 ing + ……………= S + has, have + Verb 3 + …………….= S + has, have + been + Verb 1 ing + ……………= S + Verb 2 + …………….= S + was, were + Verb 1 ing + ……………= S + had + Verb 3 + …………….= S + had + been + Verb 1 ing + ……………= S + will, shall + Verb 1 + …………….= S + will, shall + be + Verb 1 ing + ……………= S + will, shall + have + Verb 3 + …………….= S + will, shall + have + been + Verb 1 ing + …………

always เสมอๆ
every day ทุกๆ วัน

often บ่อยๆ
every week ทุกๆ สัปดาห์

sometimes บางครั้ง
every month ทุกๆ เดือน

usually โดยปกติ
once a week สัปดาห์ละครั้ง

hardly แทบจะไม่
on week days ทุกวันธรรมดา เป็นต้น

His family always go to Hong Kong.
ครอบครัวของเขาไปฮ่องกงเสมอๆ

She goes to school every day.
หล่อนไปโรงเรียนทุกๆ วัน เป็นต้น

(9) ในเหตุการณ์ของประโยค Adverb Clause (วิเศษณานุประโยค) ที่เป็นปัจจุบันกาลธรรมดา (Present Simple Tense) ประโยค Main Clause (มุขยประโยค) ต้องใช้ Present Simple Tense คล้อยตามด้วย เช่น :-

Whenever he comes here, he says hello to me.
เมื่อไหร่ก็ตามที่เขามาที่นี่ เขาพูดสวัสดีกับผม

Every time he sees me, he gives me a smile.
ทุกๆ ครั้งที่เขาเห็นผม เขายิ้มให้ผม เป็นต้น

Present Continuous Tense

มีวิธีใช้ดังต่อไปนี้

(1) ใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในขณะที่พูด เช่น :-

He is working in his garden.
เขากำลังทำงานอยู่ในสวน (มองไปก็เห็นทำอยู่จริงๆ ยังไม่หยุดทำ)

The dogs is running towards here.
สุนัขกำลังวิ่งตรงมายังที่นี่ (มองไปก็เห็นสุนัขกำลังวิ่งมาจริงๆ)

หมายเหตุ ตามกฎการใช้ข้อที่ 1 นี้ Present Continuous Tense จะนำเอา now เข้ามาใช้ร่วมด้วยก็ได้ และเมื่อนำมาใช้ร่วมแล้ว มีวิธีเรียงอยู่ 3 อย่าง คือ

ก.

เรียง now ไว้ต้นประโยค เมื่อต้องการเน้นเวลา เช่น
Now we are learning English.
เดี๋ยวนี้เรากำลังเรียนภาษาอังกฤษ

ข.

เรียงเพื่อเล่นสำนวนการพูดให้วาง now ไว้หลัง Verb to be เช่น
I am now reading a book.
เดี๋ยวนี้ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่

ค.

เรียงตามปกติการใช้แบบธรรมดา ให้วาง now ไว้สุดประโยค เช่น :-
Wilai is cooking in the kitchen now.
วิไลกำลังทำกับข้าวอยู่ในโรงครัวเดี๋ยวนี้

(2) ใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในระยะเวลาอันยาวนานของช่วง วัน,เดือน,ปี ซึ่งตามข้อเท็จจริงในขณะที่พูดประโยคนี้ออกมาแล้ว การกระทำอันนั้นอาจจะยังไม่กำลังดำเนินการเคลื่อนไหวอยู่จริงๆ ก็ได้ แต่หากว่าเมื่อพูดถึงช่วงระยะเวลาอันยาวนานแล้ว ก็กำลังกระทำสิ่งนั้นอยู่จริงๆ เช่น :-

He is studying hard in this term.
เขากำลังเรียนหนังสืออย่างขะมักเขม้นเทอมนี้

I am working at the Siam Motors Co., Ltd. This year.
ผมกำลังทำงานอยู่ที่บริษัทสยามกลการปีนี้ เป็นต้น

(3) ใช้กับเหตุการณ์ที่ผู้พูดมั่นใจว่า จะต้องเกิดขึ้นแน่นอนในอนาคตอันใกล้ ตามที่ได้ตั้งใจเอาไว้ เช่น :-

We are leaving for Paris tomorrow.
พวกเราจะออกเดินทางไปนครปารีสวันพรุ่งนี้

Mr. Tomson is coming here soon.
มร. ทอมสันจะมาที่นี่เร็วๆ นี้ เป็นต้น

กริยาที่นำแต่งเป็น Continuous Tense ไม่ได้

ถาม : กริยาทุกตัวนำมาแต่งเป็น Present Continuous Tense ได้หมดใช่หรือไม่? หรือมีข้อยกเว้นอย่างไร จงอธิบายให้เข้าใจ?

ตอบ : โดยปกติทั่วไปแล้ว กริยา (Verb) ทุกตัวนำมาแต่งเป็น Present Continuous Tense ได้ทั้งนั้น แต่มีกริยาอยู่บางจำพวกที่ไม่นิยมนำมาแต่งเป็น Present Continuous Tense ทั้งนี้ก็เพราะคนอังกฤษและอเมริกาเขาเห็นว่า กริยาเหล่านี้ทำนานไม่ได้

ได้แก่กริยาต่อไปนี้ คือ :-

(1) กริยาที่แสดงการรับรู้ (Verb of Perception) ได้แก่ :-

See (เห็น, เข้าใจ)
hear (ได้ยิน)

feel (รู้สึก)
Taste (เข้าใจ)

Smell (ดม)
 

(2) กริยาที่แสดงภาวะของจิตใจ (State of Mind) แสดงความรู้สึก (Feeling) หรือแสดงความสัมพันธ์ (Relationship) ได้แก่ :-

know (รู้จัก)
hate (เกลียด)

love (รัก)
understand (เข้าใจ)

believe (เชื่อ)
seem (ดูเหมือน)

belong (เป็นของ)
appear (ปรากฏว่า)

remember (จำได้)
like (ชอบ)

want (ต้องการ)
forgive (ให้อภัย) เป็นต้น

I see something here.
ฉันเห็นอะไรบางอย่างอยู่ที่นี่

(อย่าใช้ : I am seeing something here.)

She love me very much.
หล่อนรักผมมาก

(อย่าใช้ : She is loving me very much.)

His family always go to Hong Kong.ครอบครัวของเขาไปฮ่องกงเสมอๆShe goes to school every day.หล่อนไปโรงเรียนทุกๆ วัน เป็นต้น(9) ในเหตุการณ์ของประโยค Adverb Clause (วิเศษณานุประโยค) ที่เป็นปัจจุบันกาลธรรมดา (Present Simple Tense) ประโยค Main Clause (มุขยประโยค) ต้องใช้ Present Simple Tense คล้อยตามด้วย เช่น :-Whenever he comes here, he says hello to me.เมื่อไหร่ก็ตามที่เขามาที่นี่ เขาพูดสวัสดีกับผมEvery time he sees me, he gives me a smile.ทุกๆ ครั้งที่เขาเห็นผม เขายิ้มให้ผม เป็นต้นมีวิธีใช้ดังต่อไปนี้(1) ใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในขณะที่พูด เช่น :-He is working in his garden.เขากำลังทำงานอยู่ในสวน (มองไปก็เห็นทำอยู่จริงๆ ยังไม่หยุดทำ)The dogs is running towards here.สุนัขกำลังวิ่งตรงมายังที่นี่ (มองไปก็เห็นสุนัขกำลังวิ่งมาจริงๆ)ตามกฎการใช้ข้อที่ 1 นี้ Present Continuous Tense จะนำเอา now เข้ามาใช้ร่วมด้วยก็ได้ และเมื่อนำมาใช้ร่วมแล้ว มีวิธีเรียงอยู่ 3 อย่าง คือเรียง now ไว้ต้นประโยค เมื่อต้องการเน้นเวลา เช่นNow we are learning English.เดี๋ยวนี้เรากำลังเรียนภาษาอังกฤษเรียงเพื่อเล่นสำนวนการพูดให้วาง now ไว้หลัง Verb to be เช่นI am now reading a book.เดี๋ยวนี้ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่เรียงตามปกติการใช้แบบธรรมดา ให้วาง now ไว้สุดประโยค เช่น :-Wilai is cooking in the kitchen now.วิไลกำลังทำกับข้าวอยู่ในโรงครัวเดี๋ยวนี้(2) ใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในระยะเวลาอันยาวนานของช่วง วัน,เดือน,ปี ซึ่งตามข้อเท็จจริงในขณะที่พูดประโยคนี้ออกมาแล้ว การกระทำอันนั้นอาจจะยังไม่กำลังดำเนินการเคลื่อนไหวอยู่จริงๆ ก็ได้ แต่หากว่าเมื่อพูดถึงช่วงระยะเวลาอันยาวนานแล้ว ก็กำลังกระทำสิ่งนั้นอยู่จริงๆ เช่น :-He is studying hard in this term.เขากำลังเรียนหนังสืออย่างขะมักเขม้นเทอมนี้I am working at the Siam Motors Co., Ltd. This year.ผมกำลังทำงานอยู่ที่บริษัทสยามกลการปีนี้ เป็นต้น(3) ใช้กับเหตุการณ์ที่ผู้พูดมั่นใจว่า จะต้องเกิดขึ้นแน่นอนในอนาคตอันใกล้ ตามที่ได้ตั้งใจเอาไว้ เช่น :-We are leaving for Paris tomorrow.พวกเราจะออกเดินทางไปนครปารีสวันพรุ่งนี้Mr. Tomson is coming here soon.มร. ทอมสันจะมาที่นี่เร็วๆ นี้ เป็นต้น: กริยาทุกตัวนำมาแต่งเป็น Present Continuous Tense ได้หมดใช่หรือไม่? หรือมีข้อยกเว้นอย่างไร จงอธิบายให้เข้าใจ?: โดยปกติทั่วไปแล้ว กริยา (Verb) ทุกตัวนำมาแต่งเป็น Present Continuous Tense ได้ทั้งนั้น แต่มีกริยาอยู่บางจำพวกที่ไม่นิยมนำมาแต่งเป็น Present Continuous Tense ทั้งนี้ก็เพราะคนอังกฤษและอเมริกาเขาเห็นว่า กริยาเหล่านี้ทำนานไม่ได้ได้แก่กริยาต่อไปนี้ คือ :-(1) กริยาที่แสดงการรับรู้ (Verb of Perception) ได้แก่ :-(2) กริยาที่แสดงภาวะของจิตใจ (State of Mind) แสดงความรู้สึก (Feeling) หรือแสดงความสัมพันธ์ (Relationship) ได้แก่ :-I see something here.ฉันเห็นอะไรบางอย่างอยู่ที่นี่She love me very much.หล่อนรักผมมาก

เมื่อแต่งด้วย Present Continuous Tense ไม่ได้ให้นำไปแต่งด้วย Present Simple Tense ตามกฎข้อที่ 7 ดังที่อธิบายไว้แล้ว

อย่างไรก็ตาม กริยาที่แสดงการรับรู้ แสดงภาวะของจิตใจ หรือแสดงการสัมพันธ์เหล่านี้ก็อาจจะนำไปแต่งด้วย Present Continuous Tense ได้ ถ้ากริยาเหล่านี้มีความหมายเป็นอย่างอื่น นอกจากความหมายเดิม เช่นคำว่า “see” ถ้าแปลว่า “ไปพบ, ไปส่ง” (ตามความหมายเดิมแปลว่า เห็น) ก็นำมาแต่งเป็น Present Continuous Tense ได้ เช่น :-

Kukrit is seeing Turng Siew Ping tomorrow.
คึกฤทธิ์จะพบกับเติ้ง เสี่ยว ผิง วันพรุ่งนี้ (seeing = meeting)

I am seeing my friend off at Don Muang Airport.
ฉันจะไปส่งเพื่อนของฉันที่ท่าอากาศยานดอนเมือง (seeing = saying goodbye) Feel ถ้าแปลว่า “คลำหา” (ตามความหมายเดิมแปลว่า รู้สึก) ก็นำมาแต่งเป็น Present Continuous Tense ได้ เช่น :

– The blind man is feeling his way along the street.
ชายตาบอดคนนั้นกำลังคลำหาทางของเขาไปตามถนน (feeling = groping)

Present Perfect Tense มีวิธีใช้ดังต่อไปนี้

(1) ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีตและต่อเนื่องมาจนถึงเวลาปัจจุบัน (คือเวลาที่พูดประโยคนี้ออกไป) และตามกฎการใช้ข้อที่ 1 นี้มักจะมีคำว่า since (ตั้งแต่), for (เป็นเวลา), มาใช้ร่วมเสมอ เพื่อบ่งบอกเวลาที่เกิดขึ้นจากอดีตมาถึงปัจจุบัน เช่น :-

He has lived in America since 2500.
เขาอาศัยอยู่อเมริกาตั้งแต่ปี พ.ศ.2500 (ขณะที่พูดเขาก็อยู่ที่อเมริกา ยังไม่ได้กลับมา)

I have worked in this company for six years.
ฉันได้ทำงานอยู่ที่บริษัทนี้มาแล้วเป็นเวลา 6 ปี (ขณะพูดก็ยังทำอยู่ ไม่ได้ลาออก ไปทำที่อื่น)

ถาม : since และ for ใช้ต่างกันอย่างไร?

ตอบ : since แปลว่า “ตั้งแต่” ใช้บอกเวลาเป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นในอดีต มาจนถึงปัจจุบันว่า เกิดขึ้นเมื่อไร วัน เดือน ปี อะไร เป็นต้น เช่น :

– She has lived in Bangkok since 2515.
หล่อนได้มาอยู่กรุงเทพตั้งแต่ พ.ศ.2515

We have studied English since January.
พวกเราเรียนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เดือน มกราคม

Kukrit is seeing Turng Siew Ping tomorrow.คึกฤทธิ์จะพบกับเติ้ง เสี่ยว ผิง วันพรุ่งนี้ (seeing = meeting)I am seeing my friend off at Don Muang Airport.ฉันจะไปส่งเพื่อนของฉันที่ท่าอากาศยานดอนเมือง (seeing = saying goodbye) Feel ถ้าแปลว่า “คลำหา” (ตามความหมายเดิมแปลว่า รู้สึก) ก็นำมาแต่งเป็น Present Continuous Tense ได้ เช่น :- The blind man is feeling his way along the street.ชายตาบอดคนนั้นกำลังคลำหาทางของเขาไปตามถนน (feeling = groping)(1) ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีตและต่อเนื่องมาจนถึงเวลาปัจจุบัน (คือเวลาที่พูดประโยคนี้ออกไป) และตามกฎการใช้ข้อที่ 1 นี้มักจะมีคำว่า since (ตั้งแต่), for (เป็นเวลา), มาใช้ร่วมเสมอ เพื่อบ่งบอกเวลาที่เกิดขึ้นจากอดีตมาถึงปัจจุบัน เช่น :-He has lived in America since 2500.เขาอาศัยอยู่อเมริกาตั้งแต่ปี พ.ศ.2500 (ขณะที่พูดเขาก็อยู่ที่อเมริกา ยังไม่ได้กลับมา)I have worked in this company for six years.ฉันได้ทำงานอยู่ที่บริษัทนี้มาแล้วเป็นเวลา 6 ปี (ขณะพูดก็ยังทำอยู่ ไม่ได้ลาออก ไปทำที่อื่น): since และ for ใช้ต่างกันอย่างไร?: since แปลว่า “ตั้งแต่” ใช้บอกเวลาเป็นจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นในอดีต มาจนถึงปัจจุบันว่า เกิดขึ้นเมื่อไร วัน เดือน ปี อะไร เป็นต้น เช่น :- She has lived in Bangkok since 2515.หล่อนได้มาอยู่กรุงเทพตั้งแต่ พ.ศ.2515We have studied English since January.พวกเราเรียนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เดือน มกราคม

หรือบางครั้งอาจเป็นประโยคก็ได้ ซึ่งเรียกว่า Adverb Clause ที่มาเรียงตามหลัง since เพื่อบ่งบอกเวลาจุดเริ่มต้น เช่น :-

He has worked hard since he left his parents.
เขาทำงานหนักตั้งแต่เขาหนีจากพ่อแม่ เป็นต้น

He has worked hard since he left his parents.เขาทำงานหนักตั้งแต่เขาหนีจากพ่อแม่ เป็นต้น

for ใช้สำหรับบอกช่วงเวลาอันยาวนานของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากอดีตมาจนถึงปัจจุบันว่า นานแล้วได้เท่านั้นวัน, เท่านั้นเดือน, เท่านั้นปี (แต่ไม่ได้บอกจุดเริ่มต้นของการกระทำ) เช่น :-

We have studied English for two months.
พวกเราเรียนภาษาอังกฤษมาแล้วเป็นเวลา 2 เดือน

He has worked in the garden for five hours.
เขาทำงานอยู่ในสวนเป็นเวลา 5 ชั่วโมงแล้ว เป็นต้น

(2) ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่ได้เคยทำในอดีต จะเป็นครั้งเดียวหรือหลายครั้งก็ได้ และการกระทำที่ว่านั้น อาจกระทำอีกในปัจจุบัน หรืออนาคตก็ได้ (แต่ไม่ได้ทำทุกวันหรือทำบ่อย) และการใช้ตามกฎข้อที่ 2 นี้ มักจะมี ever (เคย), never (ไม่เคย) นำมาใช้ร่วมเสมอ เช่น

Has he ever eaten rice at this restaurant many time ?
เขาเคยทานข้าวที่ภัตตาคารนี้หลายครั้งแล้วหรือ?

My father has never spoken English wish me.
คุณพ่อของฉันไม่เคยพูดภาษาอังกฤษกับฉัน เป็นต้น

(3) ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่จบลงแล้ว แต่ผลของการจบลงนั้นยังคงประทับจิตใจของผู้พูดอยู่ หมายความว่า ผู้พูดไม่ลืมกับการที่ได้กระทะสิ่งที่จบลงไปนั้น เช่น:-

I have turned on the light in this room.
ผมได้ปิดไฟในห้องนี้แล้ว (ผมจะเปิดไฟเมื่อใดไม่สำคัญ ผมต้องการจะบอกแต่เพียงว่า ผลการกระทำคือการเปิดไฟนั้นเปิดเสร็จไปแล้ว และขณะนี้ไฟนั้นยังสว่างอยู่ยังไม่ดับ โดยอาศัยแสงสว่างนี้ท่านจะเล่นการพนัน ฉันข้าวเย็นหรืออ่านหนังสือก็เชิญตามสบาย)

The train has left the station.
รถไฟได้ออกจากสถานีไปแล้ว (รถไฟได้ออกจากสถานีเมื่อใดไม่สำคัญ ข้อสำคัญอยู่ตรงที่ว่า การที่รถไฟออกไปจากสถานีซึ่งผมเห็นเป็นรูปขบวนยาวเหยียดแล้วนั้น ผมยังไม่ลืมยังคงประทับจิตใจผมจึงใช้ Present Perfect Tense พูด)

หมายเหตุ ถ้าการกระทำที่จบเสร็จสิ้นลงไปแล้วนั้นไม่ประทับจิตใจเราอยู่ หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ว่าจบไปแล้วก็แล้วกันไปอะไรทำนองนี้ ไม่น่าจะมีอะไรหลงเหลืออยู่เลยเช่นนี้ ก็ให้พูดด้วยประโยคอดีตกาลธรรมดา (Past Simple Tense) เท่านั้นเอง

(4) ใช้กับเหตุการณ์ที่พึ่งจะจบลงไปไม่นาน ซึ่งการใช้ตามกฎข้อนี้มักจะมีคำว่า just (พึ่งจะ), already (เรียบร้อยแล้ว), yet (ยัง), family (ในที่สุด) เป็นต้น มาร่วมอยู่ในประโยคด้วยเสมอ เช่น :-

The train has just arrived at the station.
รถไฟพึ่งจะมาถึงสถานี

(หมายความว่า รถไฟเข้ามาจอดที่ชานชาลายังไม่ทันนาน เครื่องจักรยังร้อนระอุอยู่ ผมจึงใช้ประโยคนี้พูดออกมา เพื่อแสดงว่า การเข้ามายังไม่ทันนาน)

I have already opened the window.
ผมได้เปิดหน้าต่างเรียบร้อยแล้ว

(หมายความว่า ผมได้เปิดหน้าต่างไว้แล้วไม่นานก็เดินมาพบท่าน พอท่านถามว่าเปิดหน้าต่างแล้วหรือยัง? ผมก็ตอบทันทีว่า ผมได้เปิดไว้เรียบร้อย พอเดินลงมาก็พบท่านพอดี แต่ความข้อนี้มิได้มุ่งเอาผลแห่งการประทับจิตประทับใจ มุ่งเพียงได้กระทำสิ่งนั้นแล้วไม่นาน)

Present Perfect Continuous Tense มีวิธีใช้ดังต่อไปนี้

We have studied English for two months.พวกเราเรียนภาษาอังกฤษมาแล้วเป็นเวลา 2 เดือนHe has worked in the garden for five hours.เขาทำงานอยู่ในสวนเป็นเวลา 5 ชั่วโมงแล้ว เป็นต้น(2) ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่ได้เคยทำในอดีต จะเป็นครั้งเดียวหรือหลายครั้งก็ได้ และการกระทำที่ว่านั้น อาจกระทำอีกในปัจจุบัน หรืออนาคตก็ได้ (แต่ไม่ได้ทำทุกวันหรือทำบ่อย) และการใช้ตามกฎข้อที่ 2 นี้ มักจะมี ever (เคย), never (ไม่เคย) นำมาใช้ร่วมเสมอ เช่นHas he ever eaten rice at this restaurant many time ?เขาเคยทานข้าวที่ภัตตาคารนี้หลายครั้งแล้วหรือ?My father has never spoken English wish me.คุณพ่อของฉันไม่เคยพูดภาษาอังกฤษกับฉัน เป็นต้น(3) ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่จบลงแล้ว แต่ผลของการจบลงนั้นยังคงประทับจิตใจของผู้พูดอยู่ หมายความว่า ผู้พูดไม่ลืมกับการที่ได้กระทะสิ่งที่จบลงไปนั้น เช่น:-I have turned on the light in this room.ผมได้ปิดไฟในห้องนี้แล้ว (ผมจะเปิดไฟเมื่อใดไม่สำคัญ ผมต้องการจะบอกแต่เพียงว่า ผลการกระทำคือการเปิดไฟนั้นเปิดเสร็จไปแล้ว และขณะนี้ไฟนั้นยังสว่างอยู่ยังไม่ดับ โดยอาศัยแสงสว่างนี้ท่านจะเล่นการพนัน ฉันข้าวเย็นหรืออ่านหนังสือก็เชิญตามสบาย)The train has left the station.รถไฟได้ออกจากสถานีไปแล้ว (รถไฟได้ออกจากสถานีเมื่อใดไม่สำคัญ ข้อสำคัญอยู่ตรงที่ว่า การที่รถไฟออกไปจากสถานีซึ่งผมเห็นเป็นรูปขบวนยาวเหยียดแล้วนั้น ผมยังไม่ลืมยังคงประทับจิตใจผมจึงใช้ Present Perfect Tense พูด)ถ้าการกระทำที่จบเสร็จสิ้นลงไปแล้วนั้นไม่ประทับจิตใจเราอยู่ หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ว่าจบไปแล้วก็แล้วกันไปอะไรทำนองนี้ ไม่น่าจะมีอะไรหลงเหลืออยู่เลยเช่นนี้ ก็ให้พูดด้วยประโยคอดีตกาลธรรมดา (Past Simple Tense) เท่านั้นเอง(4) ใช้กับเหตุการณ์ที่พึ่งจะจบลงไปไม่นาน ซึ่งการใช้ตามกฎข้อนี้มักจะมีคำว่า just (พึ่งจะ), already (เรียบร้อยแล้ว), yet (ยัง), family (ในที่สุด) เป็นต้น มาร่วมอยู่ในประโยคด้วยเสมอ เช่น :-(หมายความว่า รถไฟเข้ามาจอดที่ชานชาลายังไม่ทันนาน เครื่องจักรยังร้อนระอุอยู่ ผมจึงใช้ประโยคนี้พูดออกมา เพื่อแสดงว่า การเข้ามายังไม่ทันนาน)(หมายความว่า ผมได้เปิดหน้าต่างไว้แล้วไม่นานก็เดินมาพบท่าน พอท่านถามว่าเปิดหน้าต่างแล้วหรือยัง? ผมก็ตอบทันทีว่า ผมได้เปิดไว้เรียบร้อย พอเดินลงมาก็พบท่านพอดี แต่ความข้อนี้มิได้มุ่งเอาผลแห่งการประทับจิตประทับใจ มุ่งเพียงได้กระทำสิ่งนั้นแล้วไม่นาน)

Tense นี้มีวิธีใช้เช่นเดียวกันกับ Present Perfect Tense ทุกกรณี เพียงแต่ว่า เมื่อเราใช้ Present Perfect Continuous Tense พูดก็ย่อมหมายความว่า เราต้องการเน้นถึงการกระทำที่ได้กระทำมาต้องแต่อดีตติดต่อมาจนถึงปัจจุบัน และจะกระทำต่อไปในอนาคต เช่น

I have been staying here for five years.
ผมได้อยู่ที่นี่มาแล้วเป็นเวลา 5 ปี (ขณะนี้ผมก็อยู่ที่นี่)

I have been staying here for five years.ผมได้อยู่ที่นี่มาแล้วเป็นเวลา 5 ปี (ขณะนี้ผมก็อยู่ที่นี่)

ประโยคนี้หมายความว่า ผมได้อยู่ที่นี่มาแล้วเป็นเวลา 5 ปี ซึ่งเน้นหนักลงไปว่า
ตลอดระยะเวลา 5 ปี ที่ผ่านมา ผมไม่ได้ย้ายไปไหน ปัจจุบันนี้ก็อยู่ที่นี่และอนาคตก็คงอยู่ที่นี่อีก รับรองว่าไม่ย้ายไปไหนแน่

We have been studying English for three years.
พวกเราได้เรียนภาษาอังกฤษมาแล้วเป็นเวลา 3 ปี (ขณะนี้ก็เรียนอยู่) ประโยคนี้ก็เช่นเดียวกัน เน้นให้เห็นว่าระยะเวลา 3 ปี ที่ผ่านมานี้ ได้เรียนภาษาอังกฤษ จริงๆไม่ใช่เรียนแล้วก็หยุดหรือหยุดแล้วก็เรียน และปีที่ 4-5 ก็จะเรียนต่อไปอีกอย่างนี้เป็นต้น

ถาม : Present Perfect Continuous Tense กับ Present Perfect Tense เหมือนกันจริงๆ พอจะอธิบายให้ฟังได้ไหมว่า มีข้อแตกต่างกันบ้างสักนิดหรือไม่?

ตอบ : มีครับ… ข้อแตกต่างมีดังนี้คือ :-

We have been studying English for three years.พวกเราได้เรียนภาษาอังกฤษมาแล้วเป็นเวลา 3 ปี (ขณะนี้ก็เรียนอยู่) ประโยคนี้ก็เช่นเดียวกัน เน้นให้เห็นว่าระยะเวลา 3 ปี ที่ผ่านมานี้ ได้เรียนภาษาอังกฤษ จริงๆไม่ใช่เรียนแล้วก็หยุดหรือหยุดแล้วก็เรียน และปีที่ 4-5 ก็จะเรียนต่อไปอีกอย่างนี้เป็นต้น: Present Perfect Continuous Tense กับ Present Perfect Tense เหมือนกันจริงๆ พอจะอธิบายให้ฟังได้ไหมว่า มีข้อแตกต่างกันบ้างสักนิดหรือไม่?: มีครับ… ข้อแตกต่างมีดังนี้คือ :-

ถ้าใช้ Present Perfect Tense พูดไม่แสดงความต่อเนื่องการกระทำ อาจจะทำแล้วก็หยุด หรือหยุดแล้วก็ทำต่อไปอีกก็เป็นได้

ถ้าใช้ Present Perfect Continuous Tense พูดแสดงความต่อเนื่องของการกระทำติดต่อกันจริงๆ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แล้วก็จะทำต่อไปอีกในอนาคต ดูตัวอย่างนี้เปรียบเทียบ เช่น

:-

He has studied English for two years.

He has been studying English for two years.

:-He has studied English for two years.He has been studying English for two years.

ทั้ง 2 ประโยค แปลว่า เขาได้เรียนภาษาอังกฤษมาแล้วเป็นเวลา 2 ปี (ประโยคที่ 1 เป็นการพูดแบบธรรมดาว่า ได้เรียนมาแล้ว 2 ปี ส่วนประโยคที่ 2 เป็นการพูดแบบเน้นให้เห็นชัดเจนว่า ตลอดระยะเวลา 2 ปี ได้เรียนภาษาอังกฤษมาแล้วจริงๆ ไม่ได้หยุดเรียน เรียนหยุดอะไรทำนองนี้ ซึ่งหมายถึงว่า ปีที่ 3-4 ก็จะเรียนต่อไปอีก

อธิบายการใช้ Past Tense

Past Simple Tense มีวิธีใช้ดังต่อไปนี้ คือ :-

(1) ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีตและก็จบลงไปแล้วในอดีตโน้น มิได้ต่อเนื่องมาถึงเวลาในขณะที่พูด การใช้ Past Simple Tense ตามกฎข้อนี้มักจะมีคำบ่งเวลาที่เป็นอดีตมาร่วมเสมอได้แก่คำว่า

yesterday เมื่อวานนี้
last week สัปดาห์ที่แล้ว

last year ปีที่แล้ว
ago ล่วงมาแล้ว

last night เมื่อคืนที่แล้ว
last month เดือนที่แล้ว

this morning เมื่อเช้านี้
recently เมื่อเร็วๆ นี้

และในปี พ.ศ., ค.ศ. ที่ผ่านมาทั้งหมด เช่น B.E. 2520, A.D. 1970

Porn and Wanna went to Japan last year.
พรและวรรณาไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นเมื่อปีที่แล้ว (ขณะพูดไปกลับมาแล้ว)

He saw me at the market yesterday.
เขาพบฉันที่ตลาดเมื่อวานนี้ (ขณะพูดการพบได้เสร็จสิ้นไปแล้ว) เป็นต้น

(2) ใช้กับเหตุการณ์ที่กระทำเป็นประจำในอดีต ซึ่งตามกฎข้อนี้มี กริยาวิเศษณ์บอกความถี่มาร่วมได้ แต่ต้องให้มีคำบอกเวลาที่เป็นอดีตมากำกับไว้อีกครั้งหนึ่ง (เพื่อป้องกันมิให้ไปสับสนกับการใช้ Present Simple Tense ตามกฎข้อที่ 8) เช่น :-
Somsri always went to Puket last month.
สมศรีไปเที่ยวภูเก็ตเสมอๆ เมื่อเดือนที่ผ่านมา

He played football every day last year.
เขาเล่นฟุตบอลทุกๆ วัน เมื่อปีที่แล้ว เป็นต้น

(3) ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วชั่วระยะเวลาหนึ่งในอดีต และระยะเวลานั้นก็ผ่านพ้นมาแล้วจะเป็นกี่วัน เดือน ปี ได้ทั้งนั้น ตามกฎข้อนี้มี ago (ล่วงมาแล้ว) มาใช้ร่วมเสมอ เช่น :-

He lived there ten years ago.
เขาอยู่ที่นั่นเมื่อ 10 ปี ล่วงมาแล้ว

(1) ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีตและก็จบลงไปแล้วในอดีตโน้น มิได้ต่อเนื่องมาถึงเวลาในขณะที่พูด การใช้ Past Simple Tense ตามกฎข้อนี้มักจะมีคำบ่งเวลาที่เป็นอดีตมาร่วมเสมอได้แก่คำว่าและในปี พ.ศ., ค.ศ. ที่ผ่านมาทั้งหมด เช่น B.E. 2520, A.D. 1970Porn and Wanna went to Japan last year.พรและวรรณาไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นเมื่อปีที่แล้ว (ขณะพูดไปกลับมาแล้ว)He saw me at the market yesterday.เขาพบฉันที่ตลาดเมื่อวานนี้ (ขณะพูดการพบได้เสร็จสิ้นไปแล้ว) เป็นต้น(2) ใช้กับเหตุการณ์ที่กระทำเป็นประจำในอดีต ซึ่งตามกฎข้อนี้มี กริยาวิเศษณ์บอกความถี่มาร่วมได้ แต่ต้องให้มีคำบอกเวลาที่เป็นอดีตมากำกับไว้อีกครั้งหนึ่ง (เพื่อป้องกันมิให้ไปสับสนกับการใช้ Present Simple Tense ตามกฎข้อที่ 8) เช่น :-Somsri always went to Puket last month.สมศรีไปเที่ยวภูเก็ตเสมอๆ เมื่อเดือนที่ผ่านมาHe played football every day last year.เขาเล่นฟุตบอลทุกๆ วัน เมื่อปีที่แล้ว เป็นต้น(3) ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วชั่วระยะเวลาหนึ่งในอดีต และระยะเวลานั้นก็ผ่านพ้นมาแล้วจะเป็นกี่วัน เดือน ปี ได้ทั้งนั้น ตามกฎข้อนี้มี ago (ล่วงมาแล้ว) มาใช้ร่วมเสมอ เช่น :-He lived there ten years ago.เขาอยู่ที่นั่นเมื่อ 10 ปี ล่วงมาแล้ว

ประโยคนี้หมายความว่า ขณะที่พูดเขาไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว แต่เมื่อ 10 ปี ก่อนนั้น เขาอยู่ที่นั่น

This land belonged to me three years ago.
ที่ดินแปลงนี้เป็นของผมเมื่อ 3 ปีล่วงมาแล้ว

This land belonged to me three years ago.ที่ดินแปลงนี้เป็นของผมเมื่อ 3 ปีล่วงมาแล้ว

ประโยคนี้หมายความว่า ขณะที่พูดนี้ ผมไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินแปลงนี้เสียแล้วแต่ผมเป็นเจ้าของเมื่อ 3 ปีก่อน ดังนั้นผมไม่มีสิทธิ์ที่จะเอาที่ดินแปลงนี้ไปจำนองได้ เพราะมันเป็นกรรมสิทธิ์ของคน

อื่นไปเสียแล้ว

(4) ในกรณีที่ประโยค Adverb Clause เป็น Past Simple Tense ประโยค Main Clause (มุขยะประโยค) ต้องเป็น Past Simple Tense ตลอดไป เช่น :-

Whenever he came here, he said hello to me.
เมื่อไรที่เขามาที่นี่ เขาพูดสวัสดีกับผม

Every time he saw her, he gave her a smile.
ทุกๆ ครั้งที่เขาพบเธอ เขายิ้มให้เธอ (ทันที) เป็นต้น

Past Continuous Tense มีวิธีใช้ดังนี้

(1) ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกัน (อย่าลืมว่า Past Continuous Tense เขาไม่นิยมใช้แต่มันโดยลำพัง มักจะใช้ควบคู่กับเหตุการณ์ 2 อย่าง) โดยมีหลักการแต่งดังนี้:-

อื่นไปเสียแล้ว(4) ในกรณีที่ประโยค Adverb Clause เป็น Past Simple Tense ประโยค Main Clause (มุขยะประโยค) ต้องเป็น Past Simple Tense ตลอดไป เช่น :-Whenever he came here, he said hello to me.เมื่อไรที่เขามาที่นี่ เขาพูดสวัสดีกับผมEvery time he saw her, he gave her a smile.ทุกๆ ครั้งที่เขาพบเธอ เขายิ้มให้เธอ (ทันที) เป็นต้น(1) ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกัน (อย่าลืมว่า Past Continuous Tense เขาไม่นิยมใช้แต่มันโดยลำพัง มักจะใช้ควบคู่กับเหตุการณ์ 2 อย่าง) โดยมีหลักการแต่งดังนี้:-

เหตุการณ์ใดทำก่อนหรือเกิดขึ้นก่อนใช้ Past Continuous Tense
(Subject + was, were + Verb 1 ing + ……….)

เหตุการณ์ใดทำทีหลังหรือเกิดขึ้นทีหลังใช้ Past Simple Tense
(Subject + Verb 2 + ……….) ตัวอย่างเช่น

โจทย์ : When we (eat) our dinner, the light (go) out.

เฉลย : When we were eating our dinner, the light went out.
เมื่อเรากำลังทานอาหารอยู่ไฟก็ดับ

: When we (eat) our dinner, the light (go) out.: When we were eating our dinner, the light went out.เมื่อเรากำลังทานอาหารอยู่ไฟก็ดับ

ประโยคนี้หมายความว่า การทานอาหารเกิดขึ้นก่อน หรือลงมือทำก่อน และในขณะที่กำลังทานอาหารอยู่อย่างเอร็ดอร่อยนั้น บังเอิญไฟเจ้ากรรมนายเวรก็เกิดดับเอาเสียดื้อๆ ดังนั้น การทานอาหารเกิดขึ้นก่อนจึงต้องใช้ Past Continuous Tense ส่วนการที่ไฟดับเกิดขึ้นทีหลังจึงใช้ Past Simple Tense คงไม่มีใครที่คิดว่า ไฟดับเกิดขึ้นก่อนแล้วจึงลงมือทานข้าวกันทีหลัง

โจทย์ : He (see) an accident while he (walk) along the street.

เฉลย : He saw an accident while he was walking along the street.
ขาเห็นอุบัติเหตุขณะที่เขาเดินไปตามถนน

: He (see) an accident while he (walk) along the street.: He saw an accident while he was walking along the street.ขาเห็นอุบัติเหตุขณะที่เขาเดินไปตามถนน

ประโยคนี้หมายความว่า การที่จะเห็นอุบัติเหตุได้ต้องอาศัยการเดิน เพราะฉะนั้นการเดินจึงต้องเกิดขึ้นก่อน เมื่อมีการเดินไปตามถนนแล้ว การกระทำอย่างที่ 2 คือ การได้เห็นอุบัติเหตุจึงเกิดขึ้นตามมา

(2) ใช้กับเหตุการณ์ที่ได้กระทำติดต่อกันตลอดช่วงเวลาที่ได้ระบุไว้ในประโยค เช่น

My father was working all day yesterday.
เมื่อวานนี้คุณพ่อของผมทำงานตลอดทั้งวันเลย

(2) ใช้กับเหตุการณ์ที่ได้กระทำติดต่อกันตลอดช่วงเวลาที่ได้ระบุไว้ในประโยค เช่นMy father was working all day yesterday.เมื่อวานนี้คุณพ่อของผมทำงานตลอดทั้งวันเลย

ประโยคนี้หมายความว่า การที่ผมใช้ Past Continuous Tense พูด ก็เพราะผมต้องการเน้นให้เห็นว่า เมื่อวานนี้ตลอดทั้งวันพ่อของผมไม่ได้อยู่นิ่งเฉยๆ แต่หากทำงานทั้งวัน และขอให้สังเกตด้วยว่า จะมีคำบ่งบอกช่วงเวลามากำกับอยู่ในประโยคด้วย (คือ all day yesterday) ความจริงประโยคเช่นนี้เราพูดด้วย Past Simple Tense ก็ได้ โดยพูดว่า :-

My father worked all day yesterday.
เมื่อวานนี้พ่อของผมทำงานทั้งวัน

My father worked all day yesterday.เมื่อวานนี้พ่อของผมทำงานทั้งวัน

แต่ฟังดูแล้ว คนอังกฤษเขาเห็นว่า มันเป็นประโยคที่มีเนื้อความเนือยๆ จืดๆ ไม่กระฉับกระเฉงเหมือนประโยคแรก ถึงคำแปลในภาษาไทยจะแปลไว้เหมือนกันก็ตาม ขอให้ท่านสังเกตเอาไว้

(3) ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่าง ที่กำลังกระทำในเวลาเดียวกันก็ได้ (นิยมใช้กับกริยาที่ทำได้นานด้วยกันทั้ง 2 เท่านั้น หากเป็นกริยาที่ทำไม่นาน ก็ให้นำไปแต่งตามกฎข้อที่ 1) เช่น :-

He was cleaning the house while I was cooking breakfast.
เขากำลังทำความสะอาดบ้านในขณะที่ผมกำลังทำอาหารเช้า

(3) ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่าง ที่กำลังกระทำในเวลาเดียวกันก็ได้ (นิยมใช้กับกริยาที่ทำได้นานด้วยกันทั้ง 2 เท่านั้น หากเป็นกริยาที่ทำไม่นาน ก็ให้นำไปแต่งตามกฎข้อที่ 1) เช่น :-He was cleaning the house while I was cooking breakfast.เขากำลังทำความสะอาดบ้านในขณะที่ผมกำลังทำอาหารเช้า

ประโยคนี้หมายความว่า ขณะที่ผมกำลังทำอาหารเช้าอยู่นั้น ก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่เขาทำความสะอาดอยู่ ดังนั้น กริยาทั้ง 2 นี้ ถือเป็นกริยาที่ทำนานด้วยกันทั้งคู่ จึงนำมาแต่งตามกฎข้อที่ 3 นี้ได้ ในทางตรงกันข้ามหากแต่งประโยคหนึ่งด้วย Past Simple Tense และอีกประโยคหนึ่งด้วย Past Continuous Tense เช่นนี้ เนื้อความทั้งสองก็จะจืดจางไปเลย

Table of Contents

[Update] สรุป ! ทั้ง 12 Tense อย่างละเอียด มาดูกัน | tense ง่ายๆ – NATAVIGUIDES

สรุป 12 Tenses

ก่อนที่จะเข้าสู่บทเรียน สรุป Tenses ทั้ง 12 Tenses น้อง ๆควรได้รู้ภาพรวมคร่าว ๆ ของเนื้อหาตัวนี้ก่อน ซึ่งคำถามยอดฮิตคือ

Q: Tenses คืออะไร?

A: คือไวยกรณ์เหมือนภาษาไทยนี่แหละจ้า เรียนเพื่อให้เราใช้ประโยคได้ถูกต้อง รู้เรื่อง

Q: แล้ว Tenses มีอะไรบ้าง

A: มีทั้งหมด 12 ชนิด แบ่งตามเวลา 3 ช่วง (อดีต ปัจจุบัน และอนาคต) กับ ลักษณะของการกระทำอีก 4 แบบ

 

สรุป เทคนิคเข้าใจ Tenses ง่าย ๆ ไม่ต้องท่องก็จำได้ ! 

ให้เราจินตนาการว่า tenses คือ โรงเรียนที่มี 3 ช่วงชั้น คือ อดีต ปัจจุบัน อนาคต แล้วในโรงเรียนก็มีกีฬาสีแบ่งออกเป็น 4 สี คือ simple, continuous, perfect และสีสุดท้าย perfect continuous โดยแต่ละสีจะมีนิสัยพิเศษ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของสีนั้น ๆ

 

ช่วงเวลา

x

การกระทำ

Past

Present

Future

Simple

S + V.2
S + V.1
S + will + V.inf

Continuous

S + was/were + V.ing
S + is/am/are + V.ing
S + will + be + V.ing

Perfect

S + had + V.3
S + has/have + V.3
S + will + have + V.3

Perfect Continuous

S + had + been + V.ing
S + has/have + been + V.ing
S + will + have + been + V.ing

 

S = ประธาน, V = กริยา, V.inf = กริยาต้นฉบับ (ไม่ผันหรือเปลี่ยนรูปใด ๆ ส่วนใหญ่หน้าตาเหมือน V.1)

 

 

มาเริ่มที่สีแรก simple : สีนี้จะมีนิสัยเรียบง่าย ไม่เรื่องเยอะตามชื่อ simple

  1. Past simple: S + V.2

  • ใช้กับเรื่องที่จบไปแล้วในอดีต เอาไว้บอกว่าการกระทำนั้น ๆ เสร็จสิ้นไปแล้ว

ตัวอย่างประโยค

  • I

    loved

    you. แปลว่า ฉันเคยรักเธอ (ในอดีตเคยรัก และหมดรักไปแล้ว)

  • You

    gave

    him your heart. แปลว่า คุณให้ใจกับเขาไปแล้ว (ให้ไปตั้งแต่ในอดีตแล้ว ให้ไปนานแล้ว)

  • She

    was

    my best friend. แปลว่า เธอเคยเป็นเพื่อนรักของฉัน (เคยเป็นเพื่อนกันในอดีต แต่ความเป็นเพื่อนมันจบไปแล้ว)

อ่านเนื้อหานี้เพิ่มเติมแบบละเอียด คลิ๊กตรงนี้

 

  1. Present simple: S + V.1

  • ใช้กับข้อเท็จจริงต่าง ๆ เช่น น้ำเดือดที่ 100 องศาเซลเซียส, ฉันเป็นผู้หญิง, ชื่อของเขาคือต้น

  • ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ เป็นประจำ เช่น เทศกาลปีใหม่ (เกิดขึ้นเป็นประจำในวันที่ 1 มกราคม)

  • ใช้กับนิสัยหรือรสนิยมส่วนตัว เช่น ฉันเป็นคนรักเด็ก เธอเป็นคนนอนตื่นสาย

ตัวอย่างประโยค

  • I

    love

    you.  แปลว่า ฉันรักคุณ (รักจริง ๆ นะ ไม่ได้โม้ ถือเป็นข้อเท็จจริง)

  • We

    celebrate

    Christmas on December 25. แปลว่า เราเฉลิมฉลองคริสต์มาสกันวันที่ 25 ธันวาคม (เป็นเทศกาลที่เกิดขึ้นเป็นประจำ)

  • I

    like

    dogs. แปลว่า ฉันชอบสุนัข (เป็นรสนิยมส่วนตัว)

อ่านเนื้อหานี้เพิ่มเติมแบบละเอียด คลิ๊กตรงนี้

 

  1. Future simple: S + will/be going to + V.inf

*** บางโรงเรียนสอนให้ใช้ V.1 เป็นความรู้ที่ผิดนะคะ ต้องเป็น V.inf เพราะกริยาทุกตัวที่ตามหลังกริยาช่วย (ในที่นี้คือตามหลัง will นั่นเอง) ต้องเป็นกริยาดั้งเดิมซึ่งก็คือ V.inf เพียงแต่ V.inf ส่วนใหญ่จะมีหน้าตาเหมือนกันกับ V.1 แต่จำไว้เสมอว่า ไม่ได้เหมือนกันทุกตัว ***

  • ใช้กับเรื่องที่คาดว่า/วางแผนว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น

ตัวอย่างประโยค

  • I

    will make

    you happy. แปลว่า ฉันจะทำให้คุณมีความสุข (คาดว่าจะทำ)

  • He

    is going to be

    a better person. แปลว่า เขาจะเป็นคนที่ดีขึ้น (วางแผนว่าจะปรับปรุงตัว)

อ่านเนื้อหานี้เพิ่มเติมแบบละเอียด คลิ๊กตรงนี้

 

ต่อกันที่สีที่ 2 continuous: สีนี้จะมีนิสัยกระตือรือร้น กำลังทำอะไรอยู่ตลอด ทำอะไรอย่างต่อเนื่อง

  1. Past continuous: S + was/were + V.ing

* Tense นี้สามารถใช้คู่กับ Past simple ได้ ในกรณีเกิดเหตุการณ์สองเหตุการณ์แทรกกัน เรียนเพิ่มเติมอีกบท *

  • ใช้กับเรื่องที่จบไปแล้วในอดีต เอาไว้เล่าถึงการกระทำที่กำลังดำเนินอยู่ ณ ตอนนั้น

ตัวอย่างประโยค

  • I

    was eating

    rice. แปลว่า ตอนนั้นฉันกำลังทานข้าวอยู่ (ตอนนี้ทานเสร็จไปแล้ว แต่เล่าถึงว่าในอดีตกำลังทำอะไรอยู่)

  • You

    were having

    fun. แปลว่า ตอนนั้นคุณกำลังสนุกเลย (ตอนนี้ไม่ได้รู้สึกแบบนั้นแล้ว แต่ตอนนั้นกำลังสนุก)

  • He

    was running

    . แปลว่า ตอนนั้นเขากำลังวิ่งอยู่  (ตอนนี้ไม่ได้วิ่งแล้ว แต่ตอนนั้นกำลังวิ่งอยู่)

อ่านเนื้อหานี้เพิ่มเติมแบบละเอียด คลิ๊กตรงนี้

 

  1. Present continuous: S + is/am/are + V.ing

  • ใช้กับเรื่องที่กำลังเกิดขึ้น หรือกำลังทำอยู่ในขณะที่พูด 

ตัวอย่างประโยค

  • I

    am studying

    .  แปลว่า ฉันกำลังเรียนหนังสืออยู่ (ตอนนี้กำลังเรียนอยู่อย่างต่อเนื่อง)

  • They

    are sleeping

    . แปลว่า พวกเขากำลังหลับอยู่ (กำลังกลับอยู่ในขณะที่คนพูดพูดอยู่)

  • The cat

    is sitting

    on my computer. แปลว่า แมวกำลังนั่งอยู่บนคอมของฉัน (กำลังนั่งอยู่ในขณะที่ฉันพูด)

อ่านเนื้อหานี้เพิ่มเติมแบบละเอียด คลิ๊กตรงนี้

 

  1. Future continuous: S + will + be + V.ing

  • ใช้กับเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต เอาไว้เล่าว่าในอนาคตตอนนั้นจะกำลังทำอะไรอยู่

ตัวอย่างประโยค

  • I

    will be celebrating

    on my birthday. แปลว่า ในวันเกิดฉันน่าจะกำลังฉลองอยู่ (ยังไม่ถึงวันเกิด แต่เดาว่าในวันเกิดต้องกำลังฉลองอยู่แน่)

  • He

    will be crying

    after the announcement of exam results. แปลว่า หลังจากการประกาศผลสอบเขาต้องร้องไห้แน่ๆ (ผลสอบยังไม่ประกาศ แต่เดาว่าในอนาคตเมื่อประกาศแล้วเขาจะร้องไห้)

อ่านเนื้อหานี้เพิ่มเติมแบบละเอียด คลิ๊กตรงนี้

 

สีที่ 3 perfect: สีนี้จะมีนิสัยครองทุกยุค อยู่ในทุกช่วงเวลา มักทำอะไรนาน ๆ ขี้โม้ ชอบเล่าประสบการณ์

  1. Past perfect: S + had + V.3

* Tense นี้สามารถใช้คู่กับ Past simple ได้ ในกรณีเกิดเหตุการณ์สองเหตุการณ์ต่อกัน เรียนเพิ่มเติมอีกบท *

  • ใช้กับเรื่องที่จบไปแล้วในอดีต แล้วมีอีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดตามมา

ตัวอย่างประโยค

  • When Janny arrived, the exam

    had

    already

    started

    . แปลว่า ตอนเจนนี่มาถึง การสอบก็ได้เริ่มไปแล้ว (การสอบเริ่มไปก่อน เจนนี่มาถึงทีหลัง)

  • Kai was depleted. He

    had studied

    hard all day. แปลว่า ไคเหนื่อยล้ามาก เขาเรียนหนักมาทั้งวัน  (เรียนหนักมาทั้งวันก่อน แล้วจึงเหนื่อย)

อ่านเนื้อหานี้เพิ่มเติมแบบละเอียด คลิ๊กตรงนี้

 

  1. Present perfect: S + has/have + V.3

  • ใช้กับเรื่องที่เริ่มต้นในอดีตและยังคงดำเนินต่อมาจนถึงปัจจุบัน (และน่าจะดำเนินต่อไปอีกในอนาคต)

ตัวอย่างประโยค

– We have studied in the same school for four years. (เรียนโรงเรียนเดิมมาสี่ปีแล้ว ตอนนี้ยังเรียนอยู่ และในอนาคตน่าจะเรียนต่อ)

  • ใช้กับเรื่องที่เริ่มต้นในช่วงเวลาหนึ่ง และช่วงเวลานั้นยังไม่หมด

ตัวอย่างประโยค

– Coronavirus has spread around the world this year. (เริ่มต้นในปีนี้และปีนี้ยังไม่หมด)

  • ใช้กับเรื่องที่เพิ่งจะเสร็จไป

ตัวอย่างประโยค

– I have just finished my homework. (เพิ่งจะทำการบ้านเสร็จ)

  • ใช้กับเรื่องที่ไม่ระบุเวลา และต้องการแค่เล่าว่าเคยทำ ไม่เคยทำ ประสบการณ์ หรือ ผลลัพธ์

ตัวอย่างประโยค

– I have learned Japanese, Korean, Italian, and English.

– Have you ever been to France?

– Someone has stolen my eraser!

อ่านเนื้อหานี้เพิ่มเติมแบบละเอียด คลิ๊กตรงนี้

  1. Future perfect: S + will + have + V.3

  • ใช้กับเรื่องที่คาดว่าจะจบลงในอนาคต

ตัวอย่างประโยค

–  He will have studied English for a year next week. (เขาจะเรียนภาษาอังกฤษครบหนึ่งปีในอาทิตย์หน้า)

– They will have seen the doctor Tuesday morning. (พวกเขาจะไปพบแพทย์วันอังคารตอนเช้า)

  • ใช้คู่กับ Present Simple เมื่อเรื่องที่คาดว่าจะจบในอนาคตจบแล้ว มีอีกเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นต่อกันพอดี

– She will have cleaned the dishes when I get home. (เธอคงจะล้างจานเสร็จแล้วตอนฉันมาถึงบ้าน)

– By the time you arrive, I will have gone to bed. (กว่าคุณจะมาถึง ฉันคงจะเข้านอนแล้ว)

อ่านเนื้อหานี้เพิ่มเติมแบบละเอียด คลิ๊กตรงนี้

สีสุดท้าย perfect continuous: สีนี้จะมีนิสัยคล้ายกันกับ perfect แต่จะเน้นความต่อเนื่องของการกระทำ

  1. Past perfect continuous: S + had + been + V.ing

* Tense นี้สามารถใช้คู่กับ Past simple ได้ ในกรณีเกิดเหตุการณ์สองเหตุการณ์แทรกกัน เรียนเพิ่มเติมอีกบท *

  • ใช้กับเรื่องที่กำลังเกิดขึ้น กำลังทำอยู่ในอดีต แล้วมีอีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดแทรกกลางคัน 

ตัวอย่างประโยค

– We had been walking for 30 minutes when it started to rain. (ตอนนั้นเรากำลังเดินเล่นกันอยู่ประมาณ 30 นาที ก่อนที่ฝนจะตกลงมากลางคัน)

– When the phone rang, I had been watching TV. (โทรศัพท์ดังขึ้นมากลางคั่นในขณะที่ฉันกำลังดูทีวีอยู่)

อ่านเนื้อหานี้เพิ่มเติมแบบละเอียด คลิ๊กตรงนี้

 

  1. Present perfect continuous: S + has/have + been + V.ing

  • ใช้กับเรื่องที่เริ่มต้นในอดีตและยังคงดำเนินต่อมาจนถึงปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง โดยจะเสร็จแล้วหรือไม่เสร็จก็ได้

ตัวอย่างประโยค

– It has been raining for four hours. (ฝนตกอย่างต่อเนื่องมาสี่ชั่วโมงแล้ว)

– They have been running for 20 minutes. (พวกเขาวิ่งอย่างต่อเนื่องมา 20 นาทีแล้ว)

อ่านเนื้อหานี้เพิ่มเติมแบบละเอียด คลิ๊กตรงนี้

 

3. Future perfect continuous: S + will + have + been + V.ing

  • ใช้คู่กับ Present Simple เมื่อเรื่องที่หนึ่งกำลังดำเนินอยู่ แล้วมีเรื่องที่สองเกิดขึ้นต่อกันพอดี โดยที่เรื่องที่หนึ่งอาจจะเสร็จแล้วหรือไม่เสร็จก็ได้

ตัวอย่างประโยค

– I will have been exercising when you arrive. (ฉันคงจะออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องอยู่ตอนที่คุณมาถึง)

– When he wakes up, she will have been watering flowers. (ตอนที่เขาตื่นนอน เธอคงจะกำลังรดน้ำดอกไม้อย่างต่อเนื่องอยู่)

อ่านเนื้อหานี้เพิ่มเติมแบบละเอียด คลิ๊กตรงนี้

 

การทำประโยคบอกเล่าให้เป็นประโยคปฏิเสธ และประโยคคำถาม

กรณีที่ 1 : เป็นคำถาม yes/no

ถ้าในประโยคมี Verb to be ( is,  am,  are หรือ was, were)

  • ทำให้เป็น

    ปฏิเสธ

    โดยการเติม not หลัง verb to be ได้เลย เช่น

– I am a good cook. 🡪 I am not a good cook.

  • ทำให้เป็น

    คำถาม

    โดยการเอา verb to be มาไว้หน้าสุด เช่น

– I am a good cook. 🡪 Am I a good cook? **อย่าลืมใส่ ? ท้ายคำถามนะคะทุกคน

เวลาตอบคำถามประเภทนี้ก็ตอบทวนคำถาม เช่น Yes, you are. / No, you are not.

ถ้าในประโยคมี Verb to have (have, has, had)

  • ให้เอา Do กับ Does มาช่วยโดยการเอามาวางไว้หน้า verb to have (จะใช้ do หรือ does ก็ขึ้นอยู่กับประธาน)

    • Do + ประธานพหูพจน์

    • Does + ประธานเอกพจน์

** ยกเว้นในกรณีถามประสบการณ์ใน Perfect tense จะใช้

 

S + verb to have + never… ในปฏิเสธ

verb to have + S + ever + …? ในคำถาม

  • ทำให้เป็น

    ปฏิเสธ

    โดยการเติม not หลัง do/does ได้เลย เช่น

– He has a big house. 🡪 He does not have a big house.

  • ทำให้เป็น

    คำถาม

    โดยการเอา do/does มาไว้หน้าสุด เช่น

– He has a big house. 🡪 Does he have a big house?

เวลาตอบคำถามประเภทนี้ก็ตอบทวนคำถาม เช่น Yes, he does. / No, he doesn’t.

ถ้าในประโยคมี Modal verb (can, should, must)

  • ทำให้เป็น

    ปฏิเสธ

    โดยการเติม not หลัง Modal verb ได้เลย เช่น

– This bird can fly. 🡪 This bird cannot fly.  **ไม่ต้องเว้นวรรคระหว่าง can กับ not

– I should go outside. 🡪 I should not go outside.

  • ทำให้เป็น

    คำถาม

    โดยการเอา Modal verb มาไว้หน้าสุด เช่น

– This bird can fly. 🡪 Can this bird fly?

– I should go outside. 🡪 Should I go outside?

เวลาตอบคำถามประเภทนี้ก็ตอบทวนคำถาม เช่น Yes, it can. / No, it can’t.

 

ถ้าในประโยคมีกริยาอื่น ๆ นอกเหนือจากข้างบน

ให้เอา Do กับ Does มาช่วยโดยการเอามาวางไว้หน้าคำกริยา (จะใช้ do หรือ does ก็ขึ้นอยู่กับประธาน)

  • ทำให้เป็น

    ปฏิเสธ

    โดยการเติม not หลัง do/does ได้เลย เช่น

– We go to school together. 🡪 We do not go to school together.

  • ทำให้เป็น

    คำถาม

    โดยการเอา do/does มาไว้หน้าสุด เช่น

– I love you. 🡪 Do you love me?

เวลาตอบคำถามประเภทนี้ก็ตอบทวนคำถาม เช่น Yes, I do. / No, I don’t.

 

กรณีที่ 2 : เป็นคำถามที่ต้องการคำตอบเป็นข้อมูลไม่ใช่ yes/no

ให้นำคำถามขึ้นต้นประโยค (Wh- question) มาไว้ด้านหน้าประโยคคำถามแบบ yes/no ได้เลย

 

  • What = อะไร มักใช้ถามเกี่ยวกับสิ่งของ เวลาวันที่ เช่น

What is your favorite animal?

What time is it?

  • Where = ที่ไหน มักใช้ถามเกี่ยวกับสถานที่ เช่น

Where do we meet?

Where are you?

  • When = เมื่อไร มักใช้ถามเกี่ยวกับวันเวลา เช่น

When is Christmas?

When will they sleep?

  • Why = ทำไม มักใช้ถามเกี่ยวกับเหตุผล เช่น

Why are you so cute?

Why did you do that?

  • Who = ใคร มักใช้ถามเกี่ยวกับคน เช่น

Who does he like?

Who is she?

  • Whose = ของใคร มักใช้ถามเกี่ยวกับความเป็นเจ้าของ (ถามว่าเป็นของใคร) เช่น

Whose pen is it?

Whose are these?

  • Whom = ใคร มักใช้ถามเกี่ยวกับคนเหมือน who แต่คนที่ถูกพูดถึงจะต้องเป็นกรรม เช่น

Whom are you waiting for?

Whom do you serve?

  • Which = อันไหน/สิ่งไหน มักใช้ถามเวลาให้เลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น

Which dress do you like?

Which is nicer?

  • How = อย่างไร/เท่าไร มักใช้ถามเรื่องราคา จำนวน สุขภาพ อายุ ความถี่ วิธีการทำ เช่น

How much is this?

How many pets do you have?

How do you do? หรือ How are you?

How old are you?

How often do you exercise?

How do you go to work?

 


หลักการใช้ present simple tense ฉบับเข้าใจง่ายสุดๆ


เรียนคอร์สออนไลน์: http://www.learningtreeuk.com
ติดตามทางเฟสบุ๊ค: http://www.facebook.com/learninguk
ติดต่อสอบถาม: https://line.me/R/ti/p/%40ttw7272u
และไลน์ของครูพิม pimolwan1984

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูความรู้เพิ่มเติมที่นี่

หลักการใช้ present simple tense ฉบับเข้าใจง่ายสุดๆ

วิธีจำ 12 Tenses จำแบบนี้ ไม่มีลืม!! (ง่ายๆ ไม่ต้องท่อง)


วิธีจำ 12 tenses : Present Simple , Past Simple, Future Simple, Present Continuous, Past Continuous, Future Continuous, Present Perfect, Past Perfrct, Future Perfect, present Prrfect Continuous, Past Perfect Continuous, Future Perfect Continuous
ติว TOEIC, ติวโทอิคฟรี, ติวข้อสอบReading, เรียนภาษาอังกฤษฟรี, ติวก.พ., tense, สรุปtenses
เรียนภาษาอังกฤษกับครูฟาง, ฝึกภาษาอังกฤษ, อยากเก่งภาษาอังกฤษ, ติวสอบภาษาอังกฤษ, ติวภาษาอังกฤษ, ภาษาอังกฤษพื้นฐาน, ประโยคภาษาอังกฤษ, ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน, อยากเก่งภาษาอังกฤษ, คำศัพท์อังกฤษ, English lesson, แกรมม่าภาษาอังกฤษ, บทเรียนภาษาอังกฤษ

วิธีจำ 12 Tenses จำแบบนี้ ไม่มีลืม!! (ง่ายๆ ไม่ต้องท่อง)

สรุปทุก Tenses รวมดาว ภาษาอังกฤษ


ติดตาม ครูเชอรี่ English Bright แนะแนวเรียนภาษาอังกฤษที่สิงคโปร์ และ UK
https://www.facebook.com/cherry.englishbright
http://www.englishbright.net/

สรุปทุก Tenses รวมดาว ภาษาอังกฤษ

[อังกฤษ] หลักการใช้ 12 Tense พืชิต GAT ENG


ใหม่!! WINNER SHORTNOTE คอร์สเรียนออนไลน์ ติวเข้มหนังสือจากหนังสือ WINNER SHORTNOTE ให้น้องๆเตรียมพร้อมทุกสนามสอบ
⭐เนื้อหา WINNER SHORTNOTE วันนี้มาเพิ่มความรู้ เรื่อง หลักการใช้ 12 TENSE
Past
Present
Future
⭐ดูจบแล้วกดกระดิ่ง เพื่อตั้งเตือน จะได้ไม่พลาด EP ถัดไป รับรองว่าจะจัดให้ทุกวิชาเลย!
TCAS 9วิชาสามัญ ONET GAT อังกฤษ
____________________________________________________________________
ฝากหนังสือจาก WINNER STUDY นะคะ ทุกเล่มตั้งใจเขียนโดยทีม นิสิตจุฬา
เพื่อสำหรับเตรียมสอบเข้าคณะที่ใช่มหาลัย ที่ชอบ
สั่งซื้อได้ตลอด 24 ชม.ทาง LINE @winnerstudy
🍒WINNER SHORTNOTE
ครบ8วิชา ม.46(ไทย อังกฤษ สังคม วิทย์ คณิต ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ)
ใช้ได้ทุกสนามสอบ ทั้งใน โรงเรียน GAT PAT ONET 9 วิชาสามัญ
🍒WINNER 1000Q พันคิว วิทย์
รวม1000ข้อสอบ วิทย์ 4 วิชาม.46 (ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ดาราศาสตร์)
คล้ายข้อสอบจริงสุด โจทย์มี 3 ระดับ (ง่ายกลางยาก) ใช้สอบ ONET, PAT, 9 วิชาสามัญได้
เฉลยเข้าใจสุด และละเอียดมาก เหมือนได้ติวเตอร์ดีกรีจุฬาส่วนตัวตลอด 24 ชม.
ดูเพิ่มเติมได้ที่
YOUTUBE: https://www.youtube.com/channel/UCtSb…
IG: https://www.instagram.com/winnerstudyth/

[อังกฤษ] หลักการใช้ 12 Tense พืชิต GAT ENG

สรุป 12 Tense คลิปเดียวจบ เข้าใจง่ายไม่ต้องท่องจำ!


ถ้าไม่อยากพลาดคลิปการสอนเจ๋งๆจากครูพี่แอน อย่าลืม กดsubscribe และดกดกระดิ่งแจ้งเตือนช่อง YOUTUBE ของครูพี่แอนไว้ด้วยน้า (จะเป็นกำลังใจให้ครูพี่แอนได้มากที่สุดในโลกเลยยยย)
ครูพี่แอนมาแจกสูตรลับเรื่องของ Tense ให้เข้าใจอย่างกระจ่าง!!
เปลี่ยนการเรียน Tense แบบเดิมๆ ที่เคยเรียนมา
หลักสูตรการสอนแบบ Speed up โดย ครูพี่แอน
ที่จะทำให้นักเรียนเข้าใจเรื่อง Tense แบบไม่ต้องท่องจำอีกต่อไป
ติดตามครูพี่แอนได้ที่ช่องทาง
Perfect English : https://www.facebook.com/englishforfunbyann
IG : https://www.instagram.com/krupann.english/
twitter : https://twitter.com/englishbykruann
Tiktok : https://www.tiktok.com/@krupann.english

Tense 12tense ครูพี่แอน KruPAnn ภาษาอังกฤษ OnlineEnglish คอร์สเรียนออนไลน์ เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์

สรุป 12  Tense คลิปเดียวจบ เข้าใจง่ายไม่ต้องท่องจำ!

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูบทความเพิ่มเติมในหมวดหมู่LEARN FOREIGN LANGUAGE

ขอบคุณที่รับชมกระทู้ครับ tense ง่ายๆ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *