Skip to content
Home » [Update] เจาะลึก! เรียน “เอกอังกฤษ” ต้องเทพอังกฤษระดับไหน และเขาเรียนอะไรกันบ้าง? | มีระดับ ภาษาอังกฤษ – NATAVIGUIDES

[Update] เจาะลึก! เรียน “เอกอังกฤษ” ต้องเทพอังกฤษระดับไหน และเขาเรียนอะไรกันบ้าง? | มีระดับ ภาษาอังกฤษ – NATAVIGUIDES

มีระดับ ภาษาอังกฤษ: นี่คือโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้

     สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว

Dek-D.com

วันนี้

พี่พิซซ่า

จะมาดูสาขาการเรียนที่เป็นสาขาในฝันของคนสนใจภาษาอังกฤษ อย่างเอกภาษาอังกฤษหรือเอกอิ๊งค์ (Eng) ที่เรียกกันโดยทั่วไปนั่นเอง หลายคนคิดว่าจะเข้าเอกอังกฤษได้คือต้องเป็นเทพภาษาอังกฤษที่พูดอังกฤษได้ประหนึ่งภาษาแม่ หรือต้องเคยไปแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศมาตอนมัธยม หรือไม่ก็จบนานาชาติเท่านั้นถึงจะเข้าได้ มาทำความรู้จักสาขานี้ให้ลึกซึ้งกันดีกว่าค่ะว่ามันเหมือนที่เขาว่ากันว่ามาจริงมั้ย


 

หมายเหตุ: บทความนี้จะเน้นไปที่เอกภาษาอังกฤษ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นหลัก
เพราะผู้เขียนบทความจบมาโดยตรง เอกอังกฤษของมหาวิทยาลัยอื่นอาจมีหลักสูตรที่แตกต่างออกไป

ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการเรียนเอกภาษาอังกฤษ

1. เป็นหลักสูตรนานาชาติที่เรียนทุกอย่างเป็นภาษาอังกฤษ

X

     จริงๆ แล้วเอกภาษาอังกฤษเป็นหลักสูตรภาคปกติไม่ใช่หลักสูตรนานาชาติค่ะ เรายังต้องเรียนวิชาพื้นฐานทั่วไปเหมือนเอกอื่นๆ ตัวอย่างวิชาพื้นฐานคณะอักษรศาสตร์ก็เช่น วรรณคดีไทย, การเขียนภาษาไทยเพื่อวิชาชีพ, อารยธรรมตะวันออก, อารยธรรมตะวันตก, ปรัชญาทั่วไป, ปริทัศน์ศิลปการละคร หรือภาษาทัศนา ซึ่งวิชาเหล่านี้เรียนเป็นภาษาไทยค่ะ แต่พอขึ้นปี 2 ที่เลือกเอกกันแล้ว เอกอังกฤษก็จะเรียนวิชาของเอกเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดไม่ว่าอาจารย์จะเป็นอาจารย์ชาวไทยหรือชาวต่างชาติก็ตาม เวลาสอนอาจารย์จะแทบไม่พูดภาษาไทยเลย ยกเว้นก็วิชาการแปลที่จะใช้ภาษาไทยเยอะเป็นพิเศษทั้งแปลอังกฤษ-ไทยและแปลไทย-อังกฤษ เพราะการใช้ภาษาไทยให้ถูกก็เป็นเรื่องสำคัญด้วยเช่นกัน ส่วนหนังสือเรียนก็ภาษาอังกฤษล้วนเลยค่ะ

2. คนที่เข้าเอกอังกฤษได้เคยไปอยู่เมืองนอกกันมาแล้วทั้งนั้น 

X

     ข้อนี้ก็ไม่ใช่ความจริงนะคะ จริงอยู่ว่าหลายคนในเอกเคยไปแลกเปลี่ยนสมัยมัธยม แต่ก็ไม่ใช่แค่เอกอังกฤษค่ะ เอกอื่นๆ ในคณะก็มีคนไปแลกเปลี่ยนมาแล้วเช่นกัน แต่ประชากรส่วนมากในคณะก็เป็นนักเรียนที่ไม่เคยไปแลกเปลี่ยนมาก่อนนะคะ หลายคนไม่เคยไปต่างประเทศเลยด้วย และก็ไม่จำเป็นว่าต้องจบจากโรงเรียนนานาชาติ โรงเรียนคริสต์ หรือโรงเรียนระบบไบลิงกวลเท่านั้นที่ระดับภาษาเก่งพอจะเข้าเอกได้ เด็กโรงเรียนรัฐบาลไทยทั่วไปจากทั่วประเทศก็สามารถเข้าเอกอังกฤษได้ทั้งนั้นค่ะ

3. คนที่เข้าเอกอังกฤษได้ต้องพูดอังกฤษปร๋อมาก่อนแล้ว 

X

     นี่ก็ไม่ใช่เรื่องจริงเช่นกันค่ะ อย่างรุ่นที่พี่เรียนมีเอกอังกฤษประมาณ 80 คน คนที่พูดอังกฤษเก่งมาก่อนในระดับเป็นภาษาแม่มีประมาณ 5 คนเอง ซึ่งพี่ก็ไม่ใช่หนึ่งในนั้นด้วย 555 ส่วนมากตอนที่อยู่ปี 2 ก็ไม่ได้เก่งกันแบบฟังพูดอ่านเขียนระดับสูงเลยนะคะ ส่วนใหญ่จะอยู่ระดับกลางๆ กัน และหลายคนไม่ได้เก่งครบทุกทักษะด้วย อย่างพี่ตอนนั้นได้แค่ฟัง ส่วนพูดอ่านเขียนนี่ระดับกลางๆ เอง แต่พอได้เข้าเอกอังกฤษแล้วก็ได้เรียนวิชาโน้นวิชานี้ จนได้พัฒนาหลายๆ ทักษะไปพร้อมๆ กัน และไปไกลกว่าตอนเป็นเฟรชชี่เยอะเลยค่ะ

4. คนที่เข้าเอกอังกฤษได้ ต้องได้เกรดรวมสูงๆ ในปี 1  

X

     ถ้าหมายถึงเกรดเฉลี่ยรวมก็บอกได้เลยว่าไม่ใช่ค่ะ เพราะวิชาเรียนในปี 1 เป็นวิชาพื้นฐานคณะอักษรศาสตร์ ที่นอกจากสายภาษาแล้วก็มีทั้ง ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ สารนิเทศ ปรัชญา และศิลปการละคร ดังนั้นจะเอาเกรดจากวิชาเหล่านี้มาเป็นตัวตัดสินว่าเข้าเอกอังกฤษได้มั้ยก็คงไม่แฟร์แน่ๆ ฉะนั้นเกรดที่เอามาตัดสินว่าจะได้เข้าเอกอังกฤษรึเปล่าคือเกรดวิชาภาษาอังกฤษ 2 (English II) และ แปลอังกฤษขั้นต้น (Introduction to Translation) ที่เป็นวิชาบังคับคณะตอนปี 1 เทอม 2 ค่ะ น้องต้องทำให้ได้อย่างน้อยเกรด B ทั้ง 2 ตัวถึงจะเข้าเอกอังกฤษได้
     ถามว่ายากมั้ย ก็ขึ้นกับตัวบุคคลนะคะ แต่น้องจะได้เรียนวิชาภาษาอังกฤษ 1 (English I) ในเทอมแรกของปี 1 วิชานี้เป็นเหมือนวิชาที่แนะนำให้น้องได้รู้จักกับการเรียนภาษาอังกฤษของอักษรศาสตร์ ซึ่งไม่เหมือนวิชาบังคับภาษาอังกฤษที่คณะอื่นเรียนกัน หลายคนได้เกรดวิชานี้ไม่ค่อยดีเพราะเพิ่งเข้ามาเลยยังปรับตัวไม่ได้ ทางภาควิชาจึงไม่เอาเกรดวิชาแรกนี้มาพิจารณาค่ะ ให้โอกาสน้องได้ปรับตัวและจับทางให้ได้ก่อน แม้วิชาในเทอม 2 จะยากกว่าแต่พอปรับตัวกับการเรียนมหาวิทยาลัยได้แล้ว หลายคนก็ทำเกรด 2 วิชานี้ได้ดีกว่าเกรดของอังกฤษ 1 อีก เลยทำให้ได้เกรดสูงพอที่จะเลือกเข้าเอกอังกฤษได้ ฉะนั้นถ้าใครเห็นเกรดอังกฤษ 1 แล้วช็อกก็ไม่เป็นไรนะคะ เทอม 2 อาจดีขึ้นก็ได้ การเข้าเอกอังกฤษไม่ได้ยากขนาดนั้นค่ะ

แนะนำหลักสูตรมัธยมที่

5. จะเข้าเอกอังกฤษได้ ต้องอ่านวรรณกรรมภาษาอังกฤษเยอะๆ

     ถ้ายิ่งอ่านเยอะก็ยิ่งทำให้มีโอกาสเข้าได้สูง แถมยังทำให้การเรียนวิชาบังคับสายวรรณคดีของเอกเป็นเรื่องง่ายขึ้นด้วย แต่ถึงไม่เคยอ่านพวกเชคสเปียร์หรือหนังสือคลาสสิกที่ได้รางวัลมากมายมาก่อน ก็ยังมีโอกาสเข้าเอกอังกฤษได้อยู่ดีค่ะ อย่างที่บอกไปว่าปี 1 เทอม 1 จะได้เรียนวิชาภาษาอังกฤษ 1 (English I) ซึ่งในวิชานี้ก็จะได้อ่านอะไรเยอะเลยค่ะ มีหนังสือนอกเวลาที่อ่านทั้งตอนเปิดเทอมและปิดเทอมด้วย ถ้าก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัยเราต้องอยู่กับหลายวิชาเพื่อทำให้ได้คะแนนสูงๆ จนไม่ได้อยู่กับภาษาอังกฤษเป็นพิเศษมาก่อน ช่วงปี 1 เทอมแรกและช่วงปิดเทอมเล็กนี่แหละที่เราต้องพัฒนาตัวเองค่ะ และหลายคนก็ใช้ช่วงเวลาแค่นี้พัฒนาตัวเองได้เยอะเลยด้วย

6. จบเอกอังกฤษแล้วพูดภาษาอังกฤษได้เหมือนฝรั่ง

     ก่อนอื่นต้องตีความก่อนว่า “พูดได้เหมือนฝรั่ง” หมายความว่าอะไร จะแปลว่าได้สำเนียงแบบฝรั่งเป๊ะ หรือพูดได้น้ำไหลไฟดับเหมือนเจ้าของภาษา จริงๆ แล้วไม่ใช่ว่าทุกคนที่จบเอกอังกฤษมาจะพูดสำเนียงบริติชหรืออเมริกันได้เป๊ะๆ นะคะ คนที่ได้เป๊ะจริงก็มี แต่อีกหลายคนก็ยังติดสำเนียงไทยบ้าง และก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะพูดได้คล่องเท่ากันค่ะ
     เรื่องแบบนี้ขึ้นกับตัวบุคคลด้วย เนื่องจากในคณะมีวิชาเรียนให้เลือกมากมาย ถ้าใครชอบด้านวรรณคดีและลงวิชาวรรณคดีเยอะๆ ส่วนวิชาที่เน้นทักษะพูดลงเรียนแค่ตัวที่เป็นวิชาบังคับเท่านั้นไม่ลงตัวอื่นเพิ่ม คนนี้ก็อาจจะพูดได้ไม่คล่องมาก แต่เขาอาจจะมีทักษะการเขียนที่เลิศเลอมากเลยก็ได้ นอกจากนี้การมีโอกาสพูดบ่อยๆ ก็เป็นอีกปัจจัยที่ช่วยให้บางคนพูดคล่องเป็นพิเศษ เช่นอาจจะไปปรึกษาพูดคุยกับอาจารย์ต่างชาติบ่อย หรือมีเพื่อนต่างชาติไว้พูดคุยด้วย ก็ทำให้มีความคล่องมากขึ้นได้ค่ะ

7. จบเอกอังกฤษต้องแปลออกหมดทุกคำ  

X

     นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่เข้าใจผิดกันไปใหญ่ จบเอกอังกฤษไม่ได้แปลว่าจะแปลศัพท์อังกฤษทุกคำออกหมดเหมือนกินพจนานุกรมเข้าไปนะคะ ทุกวันนี้เราก็ยังใช้พจนานุกรมกันอยู่ค่ะ แต่คนนอกมักคิดว่าเราแปลได้ทุกอย่างบนโลก อย่างพี่ที่ไม่เคยท่องศัพท์เลยก็ไม่รู้ศัพท์เยอะอยู่เหมือนกันค่ะ อ่านข่าวต่างประเทศบางทีก็เจอคำที่ต้องไปเสิร์ชหาอยู่ตลอด ศัพท์บางตัวที่เจอ 10 ทีแล้วยังจำคำแปลไม่ได้ก็มี แต่ส่วนมากทักษะที่เราเก่งกันคือการเดาความหมายจากบริบทรอบข้าง บางทีแปลคำนั้นตรงๆ ไม่ได้ แต่อ่านทั้งย่อหน้าแล้วก็ทำให้เดาได้ว่าคำนั้นน่าจะสื่อความประมาณไหน และมีความหมายแง่บวกหรือลบหรือยังไง เท่านี้ก็ทำให้อ่านรู้เรื่องโดยที่ไม่ต้องแปลออกครบทุกตัว

เอกอังกฤษเขาเรียนอะไรกัน

     แน่นอนว่าการเรียนเอกภาษาอังกฤษในประเทศที่ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่กับประเทศที่ภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาแม่ย่อมต่างกัน พี่พิซซ่าเลยเลือกตัวแทนหลักสูตรเอกภาษาอังกฤษมาเทียบกันจาก 4 ประเทศค่ะ คือ
 

      ประเทศไทย

ที่ใช้หลักสูตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นตัวแทน
      

เกาหลีใต้

ที่ใช้หลักสูตรของ Seoul National University เป็นตัวแทน
      

สหรัฐอเมริกา

ที่ใช้หลักสูตรของ University of California, Los Angeles เป็นตัวแทน
      และ

สหราชอาณาจักร

ที่ใช้หลักสูตรของ University of Cambridge เป็นตัวแทน

     สำหรับ

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

วิชาเอกภาษาอังกฤษเป็นวิชาเอกแบบเอก-โท แปลว่าเรียนวิชาเอกภาษาอังกฤษ 51 หน่วยกิต และต้องไปเรียนโทสาขาอื่นหรือคณะอื่นอีก 21 หน่วยกิต ซึ่งวิชาในเอกภาษาอังกฤษก็แบ่งเป็นวิชาบังคับ 24 หน่วยกิตหรือ 8 วิชา และวิชาเลือก 27 หน่วยกิตหรือ 9 วิชา แล้ววิชาเลือกในเอก 9 วิชานี้เนี่ย บังคับเป็นสายภาษา 3 วิชา สายวรรณคดี 3 วิชา และจะเลือกจากสายภาษาและ/หรือวรรณคดีก็ได้อีก 3 วิชาค่ะ จะเห็นว่าคนเรียนเอกอังกฤษเหมือนกันก็อาจถนัดและชอบไม่เหมือนกันก็ได้ อย่างพี่ที่ไม่ชอบอ่านวรรณกรรมเยอะๆ ตรงวิชาเลือกที่ให้เลือกฝั่งไหนก็ได้พี่ก็ลงสายภาษา เรียนการพูดกับการเขียนเพิ่มไปค่ะ

     สำหรับวิชาบังคับเอก 8 วิชานั้นมีทั้งสายภาษาและสายทักษะเท่าๆ กันอย่างละ 4 วิชา ได้แก่ ทักษะการพูดภาษาอังกฤษเชิงวิชาการ, เรียงความอังกฤษ 1, ทักษะการอ่านอังกฤษ, ระบบเสียงและโครงสร้างภาษาอังกฤษขั้นต้น, การศึกษาวรรณกรรมอังกฤษเบื้องต้น, การอ่านวิเคราะห์เพื่อการศึกษาวรรณกรรมอังกฤษ, ภูมิหลังของวรรณคดีอังกฤษ, และภูมิหลังของวรรณคดีอเมริกัน ถ้าถามว่าแล้วเรียนแกรมมาร์ตรงไหน แกรมมาร์สอดแทรกอยู่ในภาษาอังกฤษ 1 และ 2 ที่เป็นวิชาบังคับปี 1 ไปเรียบร้อยแล้วค่ะ
     เมื่อเข้าเอกแล้วก็เหมือนอย่างที่บอกไปว่า มีวิชาทั้งสายภาษาและวรรณคดีให้เลือกเรียนมากมาย ซึ่งหลายคนก็อยากเรียนเยอะเกินหน่วยกิตที่ต้องเรียนอีก ตัวอย่างวิชาสายภาษาก็เช่น English Business Writing, Translation: Thai – English I, Phonetics for English Pronunciation, และ Creative Writing ส่วนสายวรณคดีก็มีวิชาที่น่าเรียนมากมายเช่นกัน อาทิ Mythological and Biblical Background to English Literature, Drama from the Twentieth Century to the Present,  Literature and Film, หรือ Shakespeare สายวรรณคดีก็มีให้เลือกอีกว่าชอบเรียนร้อยแก้วหรือร้อยกรอง หรือชอบสไตล์งานยุคไหน หรือชอบทางอังกฤษหรืออเมริกันอีก ใครชอบอ่านนิยายน่าจะเลือกยาก

     ทีนี้ลองมาดู

เอกอังกฤษของมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล

กันบ้าง ที่นี่ก็เลือกเอกอังกฤษกันทีหลังเหมือนกันค่ะ แต่ของเขาจะดูทั้งเกรดเฉลี่ยรวม เกรดเฉลี่ยเฉพาะวิชาที่ต้องใช้เข้าเอก ผลสอบวัดระดับภาษาอังกฤษและข้อสอบสรุปความและแปลความระหว่างภาษาเกาหลีและอังกฤษ รวมไปถึงยังต้องเขียน study plan เพื่อเข้าเอกด้วย โดยวิชาเฉพาะที่ใช้เข้าเอกจะมี 3 ตัวคือ Introduction to English Linguistics, Introduction to English Literature และ The World of English Masterpieces มีทั้งตัวสายภาษาและสายวรรณคดีเหมือนของไทยเลย
     เมื่อเข้าเอกได้แล้วก็มีวิชาเอกให้เลือกเรียนทั้งสายภาษาและสายวรรณคดีไม่ต่างกัน เช่น English Grammar, English Composition, Structure of English, Applied English Linguistics และ History of English Language สำหรับสายภาษา หรือ 18th and 19th-Century English Novel, English Poetry 1, English Drama, หรือ English and American Literary Criticism สำหรับสายวรรณคดี

     จะเห็นว่าของไทยกับของเกาหลีมีลักษณะคล้ายกัน อาจจะเพราะเป็นหลักสูตรปกติในประเทศที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเหมือนกันด้วยก็ได้ โดยจะวัดความสามารถก่อนให้เข้าเอกเหมือนกัน และวิชาพื้นฐานที่ใช้เป็นคะแนนเข้าเอกก็จะเป็นวิชาวัดทักษะพื้นฐานทางภาษารวมถึงแกรมมาร์ด้วยค่ะ

     เอาล่ะ! มาดูของประเทศเจ้าของภาษากันบ้าง เริ่มจากของอเมริกาก่อนละกันนะคะ เพราะปริญญาตรีเรียน 4 ปีเหมือนบ้านเราค่ะ จะได้เห็นภาพง่ายๆ ส่วนปริญญาตรีของอังกฤษเรียน 3 ปี

     หลักสูตร

เอกภาษาอังกฤษของ UCLA

มีวิชาเตรียมก่อนเข้าเอกดังนี้
   – วิชา English Composition 3: English Composition, Rhetoric, and Language วิชาทักษะการเขียนขั้นสูงที่หากใครมีผลสอบ AP วิชาการเขียนมาแล้วก็ใช้แทนเกรดวิชานี้ได้
   – วิชา English 4W/4HW/4WS: Critical Reading and Writing วิชาที่เน้นทักษะการเขียนและการอ่านเชิงวิเคราะห์
   – กลุ่มวิชา English 10 (English 10A: Literatures in English to 1700; English 10B: Literatures in English, 1700-1850; English 10C: Literatures in English, 1850-Present) ทั้ง 3 วิชานี้ต้องเรียนทั้งปี เพื่อวัดความรู้ด้านวรรณคดี การอ่านและวิเคราะห์วรรณคดี และทักษะที่เกี่ยวข้อง
   
     นอกจากนี้ด้วยความที่ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักของประเทศอยู่แล้ว ทำให้มีข้อบังคับเพิ่มด้วยว่าเด็กเอกนี้ต้องได้ภาษาต่างประเทศอื่นๆ อีกอย่างน้อย 1 ภาษาในระดับ 5 (สูง) หรืออย่างน้อย 2 ภาษาในระดับ 3 (กลาง)
     เรามาดูกันต่อว่าพอเข้าเอกแล้ว เรียนอะไรกันอีกบ้าง? หลักสูตรของ UCLA จะบังคับให้เรียนวรรณคดีตามยุคสมัยอีก 4 วิชา วิชาละยุค และเรียนวรรณคดีตามธีมอีก 3 ตัว เช่น ธีมการศึกษาด้านเพศ ชาติพันธุ์ และความพิการ หรือธีมยุคหลังยุคล่าอาณานิคม นอกจากนี้ก็มีวิชาเลือกอีก 2 ตัว และมีวิชาสัมมนาทางวิชาการในชั้นปีสุดท้ายอีกตัวนึงค่ะ

     ส่วน

เอกภาษาอังกฤษของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์

นั้น จะแบ่งสไตล์การเรียนระหว่างปี 1-2 และปี 3 ที่เป็นปีสุดท้ายไว้ต่างกันค่ะ ช่วงปี 1-2 จะเน้นเรียนกว้างๆ แบบยังไม่ลงลึกมาก แต่เรียนด้านวรรณคดีล้วนๆ เลย โดยวิชาบังคับ 2 ตัวได้แก่ English Literature and its Contexts 1300-1550 และ Shakespeare จากนั้นก็มีวิชาบังคับเลือกอีก 4 จาก 5 ตัว ซึ่งก็คือยุคต่างๆ ของวรรณคดี นอกจากนี้ก็ต้องทำสารนิพนธ์อีก 2 ฉบับในธีมต่างๆ ที่สนใจเกี่ยวกับภาษาอังกฤษค่ะ
     ของปี 3 นั้นจะเรียนและทำรายงานวิชาบังคับ 2 ตัวคือ Practical Criticism และ Tragedy นอกจากนี้ก็ต้องทำวิทยานิพนธ์ 6,000-7,500 คำ 2 ฉบับ หรือจะเลือกทำวิทยานิพนธ์ 1 ฉบับ และทำสารนิพนธ์ที่บางกว่าอีก 2 ฉบับแทนก็ได้ ซึ่งธีมที่จะให้เลือกทำจะเปลี่ยนไปทุกปีการศึกษาค่ะ อย่างปีการศึกษานี้มีให้เลือก 14 หัวข้อ เช่น Shakespeare in Performance, Literature and Visual Culture และ Contemporary Writing in English

     จะเห็นว่าถ้าเป็นหลักสูตรเอกภาษาอังกฤษของประเทศเจ้าของภาษา จะไม่สอนเรื่องแกรมมาร์หรือทักษะฟังพูดอ่านเขียนระดับพื้นฐานอีก เริ่มต้นกันก็ที่การอ่านและเขียนในเชิงวิเคราะห์ระดับสูงเลย จากนั้นก็เน้นด้านวรรณคดีกันล้วนๆ ยิ่งถ้าเป็นของประเทศอังกฤษก็เน้นทำวิทยานิพนธ์กันตั้งแต่ปริญญาตรีเลยค่ะ เห็นแบบนี้แล้วนับถือนักศึกษาเคมบริดจ์เลยว่ามั้ย

    

วกกลับมาที่เรื่องการเข้าเอกภาษาอังกฤษในไทยของเรากันต่อ อย่างที่บอกไปค่ะว่ามันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะเข้า และการจบออกมาก็ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ด้วยเช่นกัน ส่วนหลักสูตรเอกภาษาอังกฤษของไทยก็ออกแบบมาให้เหมาะกับคนไทยและการนำไปต่อยอดแล้ว ใครอยากเรียนเพื่อทำงานเกี่ยวกับภาษาก็มีวิชาสายภาษาให้เลือก แต่ถ้าใครอยากไปเรียนต่อด้านวรรณคดีโดยเฉพาะก็มีวิชาด้านวรรณคดีให้เลือกมากมายเช่นกัน บทความนี้ก็น่าจะคลายข้อสงสัยต่างๆ เกี่ยวกับการเรียนเอกภาษาอังกฤษได้ไม่มากก็น้อยนะคะ

[NEW] คำด่าในภาษาอังกฤษ ด่าแบบผู้ดีๆแต่เจ็บมากกถึงทรวง | มีระดับ ภาษาอังกฤษ – NATAVIGUIDES

คำด่านั้นบางทีเราก็อาจจะไม่ได้พูดเอง แต่รู้ไว้ก้ดีเวลาได้ยินฝรั่งพูดก็จะได้ไม่สับสนงุนงงนะคะ ส่วนเนื้อหาดังต่อไปนี้ควรใช้วิจารณญาณและเด็กๆไม่ควรทำตามน้า 

ในภาษาไทยเรามีคำด่าหยาบๆมากมาย แต่ในขณะเดียวกันเราก็มีคำด่าแบบที่ไม่อยากแต่เจ็บ ที่นี้เช่นเดียวกันกับในภาษาอังกฤษ ก็มีคำด่าเหมือนกัน แต่เป็นการด่าแบบผู้ดี๊ผู้ดี ด่าแบบมีการศึกษา ด่าแบบแพง ด่าแบบฉันรวย ฉันสวย เป็นการด่าที่ไม่มีคําหยาบ เจ็บมากมากกกกกกกกกกกกกกกกกกก ก.ไก่ ต้องลากยาวไปถึงดาวอังคาร  ด่าขนาดนี้เอามีดมาแทงกันเลยดีกว่า มาดูกันว่าคำด่าที่เรามาวันนี้มีอะไรกันบ้างและจะเจ็บสักแค่ไหนกันเชียว
.
.
.

  1. “I envy everyone you have never met.” 

: อันนี้เจ็บนะ “envy” คำกริยาซึ่งแปลว่าอิจฉาริษยา ประโยคนี้แปลตรงตัวก็ประมาณว่า “ฉันอิจฉาทุกๆคนที่คุณไม่เคยเจอ” นั่นก็หมายความว่า ฉันอิจฉาคนที่เขาไม่เคยเจอคุณน่ะ เค้าคงโชคดีมากๆ ซึ่งใครที่เคยเจอคุณคือคนโชคร้ายนั่นเอง อันนี้อยู่แรงอยู่นะ แสบอยู่นะ ด่าแบบนี้เรามาตบกันไหม 555
.
.

2. “You’re not pretty enough to be that stupid.”

: “คุณไม่สวยพอที่จะโง่” บอกได้เลยอันนี้เจ็บจี๊ดดดดด เสียวหัวใจมากๆ รู้สึกเจ็บเหมือนอะไรมาแทงอก ความหมายของประโยคนี้คือการที่ โง่แล้วสวยยังโอเค แต่คุณเนี่ยไม่สวยพอที่จะโง่น่ะสิ โอ้ยยยยยย แล้วฉันต้องสวยแค่ไหนหรอออ ถามจริ๊งง
.
.

3. “I would love to insult you but I’m afraid I won’t do it as well as nature did.”

: “ฉันก็อยากจะด่า อยากจะดูถูกเธออยู่หรอกนะ ฉันกลัวว่าฉันจะทำได้ไม่ดีเท่ากับที่ธรรมชาติทำเธอน่ะ”  OMG!!!!!!! ความหมายของประโยคนี้ก็ประมาณว่า ธรรมชาติได้ลงโทษเรานั่นเองงงงงงงง เอื้ออออก อันนี้คือการบูลลี่นะคะ เราไม่ควรเอาไปพูดนะ 
.
.

4. “Are you naturally this dumb or do you have to put in effort?” 

: ประโยคที่มีคำว่า “effort” แปลว่าพยายาม/ความพยายามนั่นเอง ถ้าแปลตรงตัวนั่นก็หมายความว่า

“นี่เธอโง่โดยธรรมชาติหรือเธอต้องใส่ความพยายามเข้าไปหรอ” ก็คือการด่าใครบางคนว่า โง่มากๆนั่นเองงง โอ้ยยเจ็บ
.
.

5. “I hope your day is filled with people like you.”

: “ฉันหวังว่าวันของคุณจะเต็มไปด้วยคนอย่างคุณ” อันนี้ก็เจ็บแสบ เจ็บปวด เจ็บใจ เจ็บจี๊ด เจ็บจนไม่รู้จะเจ็บยังไง ความหมายก็คือขอให้คุณได้เจอแต่คนแบบเดียวกับคุณ ก็คือคุณเป็นคนไม่ดี เจอกับคนไม่ดีด้วยกันเอง อันนี้เจ็บมากกก
.
.

6. “If I wanted to kill myself, I’d climb up your ego, and jump to your IQ.”

: อันนี้คือเจ็บมากแต่ก็ผู้ดีมากกก เราชอบอันนี้มาก “ถ้าฉันอยากฆ่าตัวตายอะนะ ฉันคงจะปีนขึ้นไปบนอีโก้ของเธอ และดิ่งลงมายังไอคิวของเธอ” ความหมายนัยก็คือ เธอมันอีโก้สูงแต่ไอคิวต่ำไงละ

แรงงมากก ด่าแบบผู้ดี๊ผู้ดี ด่าอย่างไงให้จำ อันนี้ชอบบ
.
.

7. “Life is full of disappointments, just ask your parents.”

: “ชีวิตนั้นมันช่างเต็มไปด้วยความผิดหวัง ไม่เชื่อก็ลองไปถามพ่อกับเเม่ของเธอดูสิ” ซี๊ดดดดดด ซึ่งอันนี้คงไม่ต้องอธิบายอะไรมากเพราะมันค่อนข้างตรงตัว แต่ก็นะ ใจร้ายย
.
.

8. “When your mom dropped you off at school, she got a fine for littering.”

: “ตอนที่เเม่เธอมาส่งเธอทีี่โรงเรียนอะ แม่เธอโดนปรับด้วยนะ ข้อหาทิ้งขยะ” คือต้องอธิบายก่อนว่าในต่างประเทศบางประเทศเค้าก็เคร่งมากๆเรื่องการทิ้งขยะในสถานที่สาธารณะ บางที่ถึงกับผิดกฏหมายต้องจ่ายค่าปรับกันเลยที่เดียว เพราะฉนั้น ประโยคก็จะสื่อว่าเธอคือขยะนั่นเอง 
.
.

9. “You’re about as useful as a screen door in a submarine.”

: “เธอน่ะมีประโยยชน์พอๆกับประตูมุ้งลวดเรือดำน้ำเลย” อันนี้ต้องร้องโอเอ็มจีมากกกๆๆๆ เพราะว่าประตู screen door ของเรือดำน้ำนั้นก็จะคล้ายๆกับประตูมุ้งลวด ซึ่งเวลาดำน้ำ น้ำก็จะเข้าอยู่ดี จึงเป็นการประชดประชันที่ว่าเธอมันไม่มีโยชน์เลยนั่นเอง 
.
.

10. “You better die on a weekday, because no one will break their weekend plans to attend your funeral.”

: “เธอควรจะตายในช่วงวันจันทร์-ศุกร์ดีกว่านะ เพราะว่างคงไม่มีเวลาอยากเสียช่วงเวลาดีในสุดสัปดาห์ไปงานศพเธอหรอก” โอ้โหหหหหหห ต่อยกันป่าวพูดงี้555 ความหมายนัยก็คือไม่มีค่านั่นเอง ไม่มีค่าพอที่จะเจียดเวลาช่วงเสาร์อาทิตย์ไปงานศพ เป็นไงละเเสบไหม
.
.

11. “You are like the sun, not because you light up my world but because it hurts to look at you.”

: “เธอนี่เหมือนพระอาทิตย์เลย ไม่ใช่ให้แสงสว่างกับโลกหรอกนะ แต่มันเจ็บตามากเวลาที่มองเธอน่ะ” ก็คือไม่น่ามองนั่นเอง เป็นการประชดประชันที่ว่ามองเเล้วเจ็บตาแสบตา เหมือนกับเธอเลยยย อุ้ยยยยยยย แสบบ
.
.

12. You shouldn’t act hard-to-get when you’re hard-to-want.”

: เเละอันสุดท้ายที่นำเสนอคือ “เธอจะเล่นตัวทำไม ในเมื่อไม่มีใครต้องการเธออยู่เเล้ว” โอ้ยยย สะท้านถึงทรวง แปลตรงๆเลยไม่มีนัยยะใดๆ ไม่เห็นต้องเล่นตัวเลย เพราะก็ไม่มีใครต้องการอยู่ดี อะเฮือก ด่าอย่างงี้เอามีดมาแทงเลยดีกว่า
.
.
.

เป็นอย่างไงกันบ้างคะ แอดพิมพ์ไปเจ็บใจไป ทำไมต้องมาด่ากันเเรงขนาดนี้ ฉันไปทำอะไรให้เธอ55555 เเต่ก็เอาเป็นว่าคำด่าก็คือคำด่านะค้า เราไม่พูดสิ่งนี้เป็นเรื่องปกติน้า หวังว่าทุกคนก็เอนจอยกับบทความนี้นะคะ เเล้วเจอกันใหม่ค่ะ


Masha and The Bear – La Dolce Vita 🍭 (Episode 33) New episode 2016!


💥NEW 💥 Big Hike 🥾🗻 (Episode 80) https://youtu.be/ym315BhBDW8
Masha and The Bear. All episodes playlist: http://goo.gl/sqBrYd
Masha and The Bear. Compilations: http://bit.ly/2FLL8jY
SUMMER IN WINTER ❄️☀️ https://youtu.be/OaGQB0QPwsA
Masha wants some sweets but first she has to transform the Bear’s kitchen into a candymaking factory. As we all know, such sweet life means trouble and soon Masha gets a toothache. There is a lesson for all children who love sweets take very good care of your teeth!
Follow Masha on Instagram: https://instagram.com/mashaandthebear/
Watch more on Netflix.
Masha decides to try on the role of superhero: she bravely rushes towards exploits, but all the animals somehow laugh at her handmade costume and naive desire to rescue them. Who would have thought that Masha’s courage will truly help to save everyone? It turns out that the superhero costume is not the most essential thing to perform heroic acts.
Official website: http://mashabear.com
Download Masha’s App and watch ALL episodes, even offline!
Link: http://go.01d.com/MashaApp
Masha and the Bear are heroes of Russian folklore, known to all Russian children. Just that in the series they are different and live in the modern world, which gave the creators from Animaccord Animation Studio the ability to bring new possibilities to their interactions. Series tell us about a unique relationship between two main characters. Masha is an exceedingly active little girl who can’t sit still on one place and has to make everything a business of her own. The Bear is a big and hearty guy who loves comfort and quietness. After their first met the Bear is always in anticipation for another fun and wild adventure that Masha will surely pull him in.
Masha and The Bear. All episodes playlist: http://goo.gl/sqBrYd
ماشا والدب. جميع الحلقات : http://bit.ly/MashaArabic
Masha e Orso. Tutti gli Episodi: http://bit.ly/MashaOrso
Masha y el Oso. Todas las series: http://bit.ly/MashaOso
Masha et Michka. Tous les épisodes: http://bit.ly/MashaMichka
Masha e o Urso. Lista de reprodução: http://bit.ly/mashaurso
Mascha und der Bär. Alle Folgen: http://bit.ly/maschaundderbaer
瑪莎與熊. 全部影集: http://bit.ly/MashaTaiwan
Маша и Медведь. Все серии подряд: http://bit.ly/MashaMedved

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูความรู้เพิ่มเติมที่นี่

Masha and The Bear - La Dolce Vita 🍭 (Episode 33) New episode 2016!

แชร์วิธีเช็คระดับภาษาก่อนฝึก เก่งเร็วเป็นไวขึ้นแน่นอน! | sMo FatiiMa


สวัสดีทุกคนนน
หลายคนอาจมีปัญหาอยากเก่งภาษาอังกฤษ แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง จะต้องฝึกยังไง ฝึกแล้วก็รู้สึกว่ามันยาก ท้อ อาจจะเพราะฝึกภาษาไม่ตรงกับระดับของตัวเองนะฮะ (โมเคยเป็นมาก่อนTT)
คลิปนี้โมเลยจะชวนมาเช็คระดับภาษาอังกฤษด้วยตัวเองกันนะคะ จะได้รู้ว่าเราอยู่ระดับไหนแล้ว แล้วควรจะต้องฝึกยังไงเพื่อให้เก่งภาษาอังกฤษเร็วๆ โดยโมเล่าความคิดเห็นและประสบการณ์ส่วนตัวลงไปด้วยเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น เป็น insight จากคนไทยคนนึงที่ไม่เก่งภาษาและกลัวฝรั่งมากๆ จนตอนนี้สามารถสื่อสารได้ในระดับดี มีเพื่อนฝรั่ง แฟนฝรั่ง และกำลังจะไปเรียนต่อและใช้ชีวิตที่ต่างประเทศนะคะ หวังว่าคลิปนี้จะมีประโยชน์ค่า
จากคนไม่เก่งภาษา มามีแฟนฝรั่งได้ไง?
https://www.youtube.com/watch?v=W2NMSvaIy4
ขอบคุณที่เข้ามาชมวิดิโอนี้ อย่าลืมกด SUBSCRIBE เพื่อติดตามคลิปต่อๆไปด้วยน้า ^3^

IG : smonomad
https://www.instagram.com/smonomad/
FB : sMo Nomad
https://www.facebook.com/sMoNomad
Tik Tok : sMo Nomad
https://www.tiktok.com/@smonomad
Email : [email protected]

sMoNomad
EnglishwWithsMo

แชร์วิธีเช็คระดับภาษาก่อนฝึก เก่งเร็วเป็นไวขึ้นแน่นอน! | sMo FatiiMa

ครั้งแรก ! กับการรายงานข่าวภาษาอังกฤษของจินกับเรนนี่ พอได้มั้ยนะ ?


ครั้งแรก ! กับการรายงานข่าวภาษาอังกฤษของจินกับเรนนี่ เรื่องที่คุณอาจคาดไม่ถึง
เพราะอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เรียนออนไลน์ ไม่รู้เรื่อง ?!
ติดตาม Little Monster ได้ที่…
::: Subscribe Channel :::
Little Monster Family :
: http://bit.ly/2dIlj7F
Little Monster Kids :
https://bit.ly/2z6gsHp
Little Monster Song :
http://bit.ly/2dZiOel
Facebook :https://www.facebook.com/littlemonsterrocknroll

ครั้งแรก ! กับการรายงานข่าวภาษาอังกฤษของจินกับเรนนี่  พอได้มั้ยนะ ?

ทดสอบการพูดภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน EP.1 คุณพูดอังกฤษเก่งแค่ไหน?


อยากฝึกพูดภาษาอังกฤษตัวต่อตัว หรือเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์แบบบุฟเฟ่ต์
สมัครได้เลย ​https://www.unfoxenglish.com/
สอบถามแอดไลน์ ​https://lin.ee/5uEdKb7h
มาลองทดสอบกันดูว่าคุณสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดีแค่ไหน กับประโยคสนทนาในชีวิตประจำวัน จุดสำคัญของการพูดภาษาอังกฤษคือเราสามารถคิดและพูดออกไปได้ในทันที่ที่ต้องการจะพูด ยิ่งฝึกฝนบ่อยเท่าไหร่เราก็จะยิ่งตอบโต้ได้เร็วมากเท่านั้น
EP.2 https://youtu.be/HkstYffvCQQ
EP.3 https://youtu.be/mFdRFSUw0P
ชุมชนคนรักภาษาอังกฤษ https://www.unfoxenglish.com
FB: https://www.facebook.com/unfoxenglish
Twitter: https://www.twitter.com/unfoxenglish
Instagram: https://www.instagram.com/unfoxenglish
ติดตามช่อง YouTube ส่วนตัว
ช่อง LACTA: https://www.youtube.com/lactawarakorn
ช่อง Bell Vittawut: https://www.youtube.com/bellvittawut
Lacta’s IG: https://www.instagram.com/lactawarakorn
Bell’s IG: https://www.instagram.com/toshiroz
ติดต่องาน
Email: [email protected]

ทดสอบการพูดภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน EP.1 คุณพูดอังกฤษเก่งแค่ไหน?

ปกติไม่ด่าตำรวจด้วยกัน! ครูฝึกตำรวจสุดทน โพสต์ซัด ผบ.ตร. ปฏิบัติการได้แย่ ไม่ถูกต้องตามหลัก!


กรณีการนัดชุมนุม นำโดย กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม, กลุ่มทะลุฟ้า, กลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย DRG, กลุ่มเหล่าทัพราษฎร, ศาลายาเพื่อประชาธิปไตย, SUPPORTER THAILAND, We Volunteer และคณะรณรงค์เพื่อรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน (ครช.) ต่อมา ประกาศย้ายไปยังแยกปทุมวัน และเคลื่อนขบวนไปยังสถานทูตเยอรมัน โลกออนไลน์ร่วมกันแชร์ภาพเจ้าหน้าที่สถานทูตเยอรมันที่ออกมารอรับหนังสือจากผู้ชุมนุมบริเวณด้านหน้าสถานทูต โดยระหว่างนั้นผู้ชุมนุมยังอยู่ระหว่างการเดินทาง พร้อมมองว่านี่เป็นการกระทำของผู้ที่มาจากประเทศที่เจริญแล้ว เพราะรู้ว่าทุกเสียงมีคุณค่า
นายรัศมิ์ ชาลีจันทร์ อดีตเอกอัครราชทูตไทยใน​หลายประเทศ เจ้าของเพจทูตนอกแถว โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก แสดงความเห็นถึงกรณีดังกล่าว ระบุว่า
ตัวอย่างของนักการทูตที่ควรเป็น
เห็นข่าวและภาพนักการทูตของสถานเอกอัครราชทูตเยอรมันประจำประเทศไทยมายืนรอรับหนังสือของผู้ชุมนุมประท้วงเมื่อวานนี้ก็รู้สึกชื่นชมเหมือนกับคนไทยอีกหลายๆคน
ทั้งเคร่งขรึม สง่าผ่าเผยในสถานการณ์ที่ไม่ได้ถือว่าปลอดภัยทีเดียวเพราะก่อนหน้ามีข่าวผู้ร่วมชุมนุมถูกยิง ท่วงท่าสมกับเป็นนักการทูตโดยแท้ (แถมใส่เสื้อสีหวานอีกต่างหาก)
(และขอบอกตรงนี้ว่าเคยเห็นหนังสือภาษาอังกฤษของสถานทูตเยอรมัน คือเขียนได้ดีมากๆ กระชับสั้น ได้ใจความครบถ้วน เป๊ะๆ – ผมว่าการใช้ภาษาของเขาดีกว่าหนังสือของสถานทูตอเมริกันที่ผมเคยเห็นอีก ที่นักการทูตไทยควรเรียนรู้เป็นอย่างยิ่ง)
นี่คือตัวอย่างของนักการทูตที่ควรเป็นโดยแท้
แต่ที่อยากจะบอกอีกอย่างคือ ทางสถานทูตเขาเลือกจะรับหรือไม่รับหนังสือก็ได้นะครับ และถ้าเขาเลือกจะรับหนังสือ จริงๆเขาก็สามารถรับทางอิเล็กทรอนิกส์ได้เช่นกัน ไม่จำเป็นต้องออกมายืนรอหน้าสถานทูตหรอก แต่การที่ผู้ชุมนุมเดินทางมายื่นหนังสือเช่นนี้มันเป็นเชิงสัญลักษณ์อย่างหนึ่ง ซึ่งทางสถานทูตเขาก็เข้าใจและออกมายืนรอรับ และนี่ก็คือสิ่งที่เขาตั้งใจต้องการสื่อให้ทั้งทางการไทยรู้และเข้าใจด้วย
ตัดภาพไปยังเวทีการประชุมรายงาน UPR ของสหประชาชาติ ที่มีการรายงานเรื่องสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในบ้านเราโดยนักการทูตไทย
ผมรู้สึกเศร้าใจอย่างไรบอกไม่ถูกครับ

ด้านความเคลื่อนไหวในโลกโซเชียล พ.ต.ท.ทรงศักดิ์ ธิติธารวัฒน์ อดีตรอง ผกก.ฝอ.ภ.จว.พะเยา และเป็นอาจารย์ (สัญญาบัตร 2) กลุ่มงานอาจารย์ ศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภาค 5 ลำปาง โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวถึงเรื่องดังกล่าว
โดยระบุว่า “ปกติไม่ด่าตำรวจด้วยกัน..แต่ คฝ. โดย ผบ.ตร.คนนี้ปฏิบัติการได้เxxxxจริงๆ..!!!”

ปกติไม่ด่าตำรวจด้วยกัน! ครูฝึกตำรวจสุดทน โพสต์ซัด ผบ.ตร. ปฏิบัติการได้แย่ ไม่ถูกต้องตามหลัก!

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูวิธีอื่นๆLEARN FOREIGN LANGUAGE

ขอบคุณมากสำหรับการดูหัวข้อโพสต์ มีระดับ ภาษาอังกฤษ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *