Skip to content
Home » [Update] หลักการเติม s และ es หลังคำนาม พร้อมตัวอย่าง | แบบฝึกหัดเติม s es – NATAVIGUIDES

[Update] หลักการเติม s และ es หลังคำนาม พร้อมตัวอย่าง | แบบฝึกหัดเติม s es – NATAVIGUIDES

แบบฝึกหัดเติม s es: นี่คือโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้

ในภาษาอังกฤษ การเปลี่ยนคำนามเอกพจน์ให้เป็นพหูพจน์ เรามักจะเติม s หรือ es ต่อท้าย อย่างเช่น boy เป็น boys, cat เป็น cats, dish เป็น dishes

แต่ก็มีบางคำที่ต้องเปลี่ยนตัวอักษรก่อนแล้วค่อยเติม es อย่างเช่น candy เป็น candies, fly เป็น flies หรือบางคำก็เปลี่ยนตัวอักษรอย่างเดียว โดยที่ไม่ต้องเติม s หรือ es อย่างเช่น foot เป็น feet, man เป็น men

จากที่เขียนมานี้ หลายๆคนก็คงสงสัยว่า แล้วเราจะรู้ได้ยังไง ว่าคำไหนต้องใช้รูปพหูพจน์แบบไหน

สำหรับใครที่ยังไม่รู้ก็ขอให้วางใจได้ เพราะในบทความนี้ ชิววี่ได้เรียบเรียงเนื้อหาเกี่ยวกับกฏการเติม s และ es หลังคำนาม มาให้ได้เรียนรู้กันแบบง่ายๆแล้ว ถ้าเพื่อนๆพร้อมแล้ว เราไปดูกันเลย

ทบทวนความรู้
คำนามเอกพจน์ คือคำนามที่แสดงถึงสิ่งที่มีจำนวนหนึ่งหน่วย ซึ่งก็คือคำนามรูปปกติทั่วไป เช่น friend, pen, bus, foot, ox
คำนามพหูพจน์ คือคำนามที่แสดงถึงสิ่งที่มีจำนวนตั้งแต่สองหน่วยขึ้นไป มักจะเป็นคำนามรูปที่เติม s หรือ es ต่อท้าย เช่น friends, pens, buses แต่ก็มีบางคำที่ใช้การเปลี่ยนหรือเติมตัวอักษรอื่นแทน เช่น feet, oxen

Table of Contents

หลักการเติม s และ es หลังคำนาม

การเปลี่ยนคำนามเอกพจน์ให้เป็นพหูพจน์ หลักๆแล้วจะแบ่งได้เป็น 5 แบบ คือ

  1. เติม s ได้เลย เช่น cat เป็น cats, girl เป็น girls
  2. เติม es ได้เลย เช่น dish เป็น dishes, potato เป็น potatoes
  3. เปลี่ยนตัวอักษรท้ายคำแล้วค่อยเติม es เช่น wolf เป็น wolves, enemy เป็น enemies
  4. เปลี่ยนหรือเพิ่มตัวอักษรบางตัวหรือเปลี่ยนทั้งคำ เช่น tooth เป็น teeth, ox เป็น oxen, person เป็น people
  5. บางคำก็ใช้รูปพหูพจน์เหมือนเอกพจน์ เช่น deer, sheep

ซึ่งถ้าเจาะรายละเอียด จะแบ่งได้เป็นหลักการ 10 ข้อดังนี้

1. คำนามทั่วไปเติม s ต่อท้ายได้เลย

คำนามที่ไม่เข้าข่ายหลักการข้ออื่น เราสามารถเติม s ต่อท้ายตรงๆได้เลย ตัวอย่างเช่น

เอกพจน์พหูพจน์ความหมายAntAntsมดBookBooksหนังสือGirlGirlsเด็กผู้หญิงHouseHousesบ้านTableTablesโต๊ะ, ตารางTreeTreesต้นไม้

2. คำนามที่ลงท้ายด้วย s, ss, sh, ch, x หรือ z ให้เติม es ต่อท้าย

คำนามที่ลงท้ายด้วย s, ss, sh, ch, x หรือ z เราจะต้องเติม es ต่อท้ายแทน s ตัวอย่างเช่น

เอกพจน์พหูพจน์ความหมายBusBusesรถโดยสารประจำทางLensLensesเลนส์ClassClassesชั้นเรียน, คาบเรียนDressDressesชุดเดรสBrushBrushesแปรงDishDishesจานBeachBeachesชายหาดWatchWatchesนาฬิกาBoxBoxesกล่องFoxFoxesสุนัขจิ้งจอกBlitzBlitzesการโจมตีแบบสายฟ้าแลบBuzzBuzzesความรู้สึกตื่นเต้น, เสียงหึ่ง เช่น เสียงผึ้ง

3. คำนามบางคำที่ลงท้ายด้วย s หรือ z ต้องซ้ำ s หรือ z แล้วค่อยเติม es

คำนามที่ลงท้ายด้วย s หรือ z ปกติแล้วจะเติม es ได้เลย แต่ก็มีบางคำที่เราจะต้องซ้ำ s หรือ z ก่อน แล้วค่อยเติม es ตัวอย่างเช่น

เอกพจน์พหูพจน์ความหมายGasGassesแก๊สQuizQuizzesแบบทดสอบWhizWhizzesผู้มากความสามารถในบางด้าน

4. คำนามที่ลงท้ายด้วย f หรือ fe ให้เปลี่ยน f หรือ fe เป็น v แล้วค่อยเติม es

คำนามที่ลงท้ายด้วย f หรือ fe เราจะเปลี่ยน f หรือ fe เป็น v ก่อน แล้วค่อยเติม es ตัวอย่างเช่น

เอกพจน์พหูพจน์ความหมายLeafLeavesใบไม้ShelfShelvesชั้นวางของWolfWolvesหมาป่าKnifeKnivesมีดLifeLivesชีวิตWifeWivesภรรยา

แต่บางคำที่ลงท้ายด้วย f หรือ fe ก็จะเติม s โดยที่ไม่ต้องเปลี่ยน f หรือ fe เป็น v

คำพวกนี้ส่วนใหญ่มักจะเป็นคำที่หน้า f เป็นสระ 2 ตัวติดกัน (a, e, i, o, u) แต่บางคำก็ไม่ใช่ อย่างเช่น chef, safe

เอกพจน์พหูพจน์ความหมายBeliefBeliefsความเชื่อChefChefsเชฟทำอาหารProofProofsหลักฐานReefReefsแนวหินโสโครกใต้ทะเลRoofRoofsหลังคาSafeSafesตู้เซฟ

5. คำนามที่ลงท้ายด้วย y ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม es ยกเว้นถ้าหน้า y เป็นสระ (a, e, i, o, u) ให้เติม s ได้เลย

คำนามที่ลงท้ายด้วย y เราจะเปลี่ยน y เป็น i แล้วค่อยเติม es ตัวอย่างเช่น

เอกพจน์พหูพจน์ความหมายBabyBabiesเด็กทารกCityCitiesเมืองขนาดใหญ่EnemyEnemiesศัตรูFlyFliesแมลงวันLibraryLibrariesห้องสมุดPuppyPuppiesลูกสุนัข

แต่ถ้าหน้า y เป็นสระ (a, e, i, o, u) เราจะเติม s ได้เลย

เอกพจน์พหูพจน์ความหมายBoyBoysเด็กผู้ชายDayDaysวันMonkeyMonkeysลิงToyToysของเล่นTrayTraysถาดWayWaysหนทาง, วิธี

6. คำนามที่ลงท้ายด้วย o ให้เติม es

คำนามที่ลงท้ายด้วย o เราจะเติม es ต่อท้าย ตัวอย่างเช่น

เอกพจน์พหูพจน์ความหมายDominoDominoesโดมิโน่EchoEchoesเสียงสะท้อนHeroHeroesฮีโร่MosquitoMosquitoesยุงPotatoPotatoesมันฝรั่งTomatoTomatoesมะเขือเทศ

แต่ก็มีบางคำที่ใช้การเติม s แทน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคำที่หน้า o เป็นสระ (a, e, i, o, u) แต่บางคำก็ไม่ใช่ อย่างเช่น piano

เอกพจน์พหูพจน์ความหมายAudioAudiosเสียงBambooBamboosต้นไผ่, ไม้ไผ่PianoPianosเปียโนStudioStudiosสตูดิโอVideoVideosวิดีโอZooZoosสวนสัตว์

นอกจากนี้ ยังมีบางคำที่สามารถเติมได้ทั้ง s และ es คือใช้ได้ทั้ง 2 แบบเลย อย่างเช่น

เอกพจน์พหูพจน์ความหมายBuffalo*Buffalos
BuffaloesควายCargoCargos
Cargoesสินค้าที่บรรทุกโดยยานพาหนะขนาดใหญ่ เช่น เรือ เครื่องบินMangoMangos
Mangoesมะม่วงMottoMottos
Mottoesคติพจน์TornadoTornados
Tornadoesพายุทอร์นาโดVolcanoVolcanos
Volcanoesภูเขาไฟ

*คำว่า buffalo สามารถใช้รูปพหูพจน์ได้หลายแบบ ทั้ง buffalos (แบบเติม s), buffaloes (แบบเติม es) และ buffalo (เหมือนรูปเอกพจน์)

7. คำนามที่มาจากภาษาอื่น บางคำจะมีรูปพหูพจน์เฉพาะ

คำนามที่มาจากภาษากรีกที่ลงท้ายด้วย sis เมื่อเป็นรูปพหูพจน์ เราจะเปลี่ยนให้เป็น ses ตัวอย่างเช่น

เอกพจน์พหูพจน์ความหมายAnalysisAnalysesการวิเคราะห์, ผลวิเคราะห์BasisBasesหลักสำคัญ, ส่วนประกอบหลักCrisisCrisesช่วงวิกฤติNeurosisNeurosesโรคประสาทOasisOasesโอเอซิส, แหล่งน้ำกลางทะเลทรายThesisThesesวิทยานิพนธ์

คำนามที่มาจากภาษาลาตินที่ลงท้ายด้วย us เราจะเปลี่ยนให้เป็น i ตัวอย่างเช่น

เอกพจน์พหูพจน์ความหมายAlumnusAlumniศิษย์เก่าCactusCacti (หรือ cactuses)ต้นกระบองเพชรFungusFungiเห็ด, เชื้อรา

แต่คำที่มาจากภาษาอื่นบางคำก็ใช้รูปพหูพจน์ได้หลายแบบ อย่างเช่น

เอกพจน์พหูพจน์ความหมายAppendixAppendices
AppendixesภาคผนวกCactusCacti
Cactusesต้นกระบองเพชรCurriculumCurricula
CurriculumsหลักสูตรFormulaFormulae
Formulasสูตร เช่น สูตรคณิตฯStadiumStadia
Stadiumsสนามกีฬาขนาดใหญ่ThesaurusThesauri
Thesaurusesพจนานุกรมคำพ้อง

นอกจากตัวอย่างเหล่านี้แล้ว ยังมีคำต่างประเทศลักษณะอื่นอีก ที่มีรูปพหูพจน์เฉพาะ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นคำที่พบเจอได้ไม่บ่อย หรือไม่ก็เป็นคำที่มักจะใช้รูปพหูพจน์เป็นปกติอยู่แล้ว (เช่น data, criteria ซึ่งเป็นรูปพหูพจน์ของ datum และ criterion ตามลำดับ)

8. คำนามบางคำใช้การเปลี่ยนหรือเติมตัวอักษรบางตัว โดยที่ไม่ต้องเติม s หรือ es

คำนามบางคำจะใช้การเปลี่ยนตัวอักษรที่เป็นสระ (a, e, i, o, u) เช่น เปลี่ยนจาก o เป็น e หรือเปลี่ยนจาก a เป็น e ตัวอย่างเช่น

เอกพจน์พหูพจน์ความหมายFiremanFiremenพนักงานดับเพลิงFootFeetเท้าGooseGeeseห่านManMenผู้ชายToothTeethฟันWomanWomenผู้หญิง

และบางคำก็ใช้การเติมตัวอักษรอื่นที่ไม่ใช่ s หรือ es อย่างเช่น

เอกพจน์พหูพจน์ความหมายChildChildrenเด็กOxOxenวัว

9. คำนามบางคำจะเปลี่ยนแทบทั้งคำ โดยที่ไม่ได้เติม s หรือ es

คำนามบางคำจะมีรูปพหูพจน์ที่แตกต่างจากเดิมมาก เหมือนเป็นคนละคำกันเลย ตัวอย่างเช่น

เอกพจน์พหูพจน์ความหมายMouseMiceหนูPersonPeopleคน

10. คำนามบางคำมีรูปเอกพจน์และพหูพจน์เหมือนกัน

คำนามบางคำจะมีรูปเอกพจน์และพหูพจน์เหมือนกัน ตัวอย่างเช่น

เอกพจน์พหูพจน์ความหมายAircraftAircraftอากาศยานDeerDeerกวางDiceDiceลูกเต๋าFish*FishปลาSheepSheepแกะSpeciesSpeciesสายพันธุ์

*คำว่า fish จริงๆแล้วมีรูปพหูพจน์ 2 แบบ คือ fish และ fishes แต่ในกรณีทั่วไป เช่นการบอกว่ามีปลาหลายตัว เราจะนิยมใช้ fish มากกว่า ส่วน fishes นั้นมักจะใช้เมื่อพูดถึงปลาหลายๆสายพันธุ์

เป็นยังไงบ้างครับกับกฏการเปลี่ยนคำนามเอกพจน์ให้เป็นพหูพจน์ ทีนี้เพื่อนๆก็คงจะเข้าใจและสามารถเปลี่ยนพจน์ของคำนามได้ถูกต้องมากขึ้นแล้วนะครับ

อย่าลืมนะครับ ภาษาอังกฤษยิ่งเรียนรู้ ยิ่งฝึก ก็ยิ่งเก่ง สำหรับบทความนี้ ชิววี่ต้องขอตัวลาไปก่อน See you next time

[NEW] คำนามเอกพจน์ (Singular Noun) และคำนามพหูพจน์ (Plural Noun) | แบบฝึกหัดเติม s es – NATAVIGUIDES

noun1-opt

PART 1  คำนามเอกพจน์ (Singular Noun) และคำนามพหูพจน์ (Plural Noun)

คำนามเอกพจน์ คือ คำนามที่แสดงถึงสิ่งของเพียงชิ้นเดียว คนๆเดียว หรือสัตว์ตัวเดียว เช่น กระเป๋า 1 ใบ (a bag) ผู้ชาย 1 คน (a man) พูดง่ายๆเลยก็คือ อะไรก็ตามที่มีเพียงหนึ่งหน่วย เราเรียกว่า คำนามเอกพจน์

คำนามพหูพจน์ คือ คำนามที่แสดงถึงสิ่งของที่มีมากกว่า 1 ชิ้น เช่น กระเป๋า 2 ใบ (2 bags) ผู้ชาย 4 คน (4 men) เป็นต้น

อย่างที่เรารู้กันดีว่า ในภาษาอังกฤษเวลาที่เราต้องการเปลี่ยน “คำนามเอกพจน์ให้เป็นพหูพจน์” เพื่อบอกปริมาณสิ่งของที่เพิ่มขึ้นนั้นสามารถทำได้หลายวิธี มาดูกันว่ามีวิธีการใดบ้าง

วิธีการเปลี่ยนคำนามเอกพจน์ให้เป็นพหูพจน์

มีทั้งหมด 7 วิธีด้วยกัน

1. เติม –s ท้ายคำนามได้เลย

ได้ยินกันบ่อยมากกก เรื่องของการ เติม –s  เวลาที่เราต้องการพูดถึงคำนามที่มีมากกว่าหนึ่ง ส่วนมากเราสามารถเติม –s ไปหลังคำนามได้เลย

เช่น ห้างสรรพสินค้า 3 แห่ง จากเดิมที่ใช้ Mall ก็ให้เติม –s ลงไป เป็น Malls แทน

ตัวอย่าง  I heard that Central will renovate three of their shopping malls this year.

           ฉันได้ยินมาว่าเซนทรัลจะทำการปรับปรุงห้างสรรพสินค้า 3 แห่งในปีนี้ล่ะ

2. หากคำนามลงท้ายด้วย ch, s,  ss, sh, x,  และ z  ต้องเติม -es ท้ายคำนั้นๆ

Singular

Plural

คำแปล

bush (บุช)

bushes (บุช-เชส)

พุ่มไม้

bus (บัส)

buses (บัส-เซส)

รถเมล์

dress (เดรส)

dresses (เดรส-เซส)

ชุดกระโปรง

church (เชิร์ช)

churches (เชอร์-เชส)

โบสถ์

 

NOUN-S-ES1-opt

ฝึกออกเสียง -s และ-es คลิ๊กเลย !

3.   คำนามที่ลงท้ายด้วย O แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ เติม –s หรือ เติม –es

แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า คำไหนเติม –s คำไหนเติม –es ? คำตอบคือ ต้องจำและใช้บ่อยๆค่ะ

– ส่วนมากแล้วคำนามที่ลงท้ายด้วย –o มักจะเติม –s ได้เลย

เช่น          Studio (สตูดิโอ)    เปลี่ยนเป็น     studios (สตูดิโอส)

    Zoo (ซู)                 เปลี่ยนเป็น     zoos (ซูส)

– บางคำที่ลงท้ายด้วย –o จะต้องเติม –es เช่น

Singular

Plural

คำแปล

buffalo (บัฟ-ฟา-โลว์)

buffaloes (บัฟ-ฟา-โลว์ส)

ควาย

domino (ดอ-มิ-โนว์)

dominoes (ดอ-มิ-โนว์ส)

โดมิโน่

hero (ฮี-โรว์)

heroes (ฮี-โรว์ส)

ฮีโร่

echo (เอ็ค-โคว์)

echoes (เอ็ค-โคว์ส)

เสียงก้อง

mosquito (มอส-กี-โทว์)

mosquitoes (มอส-กี-โทว์ส)

ยุง

potato (เพอะ-เท-โทว์)

potatoes (เพอะ-เท-โทว์ส)

มันฝรั่ง

tomato (โท-เม-โทว์)

tomatoes (โท-เม-โทว์ส)

มะเขือเทศ

** รู้หรือไม่ บางคำที่ลงท้ายด้วย –o สามารถเติมได้ทั้ง –s และ –es เช่น

Singular

Plural

คำแปล

cargo (คาร์-โกว์)

cargos        หรือ  cargoes  (คาร์-โกว์ส)

คลังสินค้า

flamingo (ฟละ-มิง-โกว์)

flamingos   หรือ  flamingoes  (ฟละ-มิง-โกว์ส)

นกฟลามิงโก้

halo (เฮย์-โลว์)

halos           หรือ  haloes  (เฮย์-โลว์ส)

รัศมี

mango (แมง-โกว์)

mangos       หรือ  mangoes  (แมง-โกว์ส)

มะม่วง

motto (ม็อท-โทว์)

mottos         หรือ  mottoes  (ม็อท-โทว์ส)

คติ

tornado (ทอร์-เน-โดว์)

tornados      หรือ  tornadoes  (ทอร์-เน-โดว์ส)

ทอร์นาโด

volcano (โฟล-เค-โนว์)

volcanos      หรือ  volcanoes  (โฟล-เค-โนว์ส)

ภูเขาไฟ

4.  คำนามที่ลงท้ายด้วย –y แบ่งเป็น 2 ประเภท คือเติม-s หรือเติม –es

แล้วจะรู้ได้ไงว่าเติม –s หรือ –es มีวิธีแยกดังต่อไปนี้

  • ถ้าหน้า –y เป็นสระ –a, -e, -i, -o, -u คำนามตัวนั้นจะต้องเติม –s ค่ะ เช่น

Singular

Plural

คำแปล

monkey (มัง-คิ)

monkeys (มัง-คิส์)

ลิง

birthday (เบิร์ธ-เดย์)

birthdays (เบิร์ธ-เดย์ส)

วันเกิด

key (คีย์)

keys (คีย์ส)

กุญแจ

way (เวย์)

ways (เวย์ส)

เส้นทาง 

chimney (ชิม-นีย์)

chimneys (ชิม-นีย์ส)

ปล่องไฟ 

 

สระในภาษาอังกฤษมีอยู่ 5 ตัว คือ a, e, i, o, u

  • ถ้าหน้า –y เป็นพยัญชนะ เราต้องตัด y เป็น i แล้วเติม –es ค่ะ เช่น

Singular

Plural

คำแปล

enemy (เอเน-มิ่)

enemies (เอเนมิ่ส์)

ศัตรู

berry (เบร์-ริ่)

berries (เบร์ริ่ส์)

ลูกเบอร์รี่ 

duty (ดิว-ทิ่)

duties (ดิว-ทิ่ส์)

หน้าที่ 

spy (สปาย)

spies (สปายส์)

สายลับ 

library (ไล-แบร-ริ่)

libraries (ไล-แบร-ริ่ส์)

ห้องสมุด 

 

5. คำนามที่ลงท้ายด้วย –f หรือ –fe ให้เปลี่ยนตัว –f หรือ –fe เป็น –v แล้วเติม –es เช่น

Singular

Plural

คำแปล

 life (ไลฟ)

lives (ลายฟส์)

ชีวิต

 shelf (เชลฟ์)

shelves (เชลฟส์)

ชั้นวางของ 

 loaf (โลฟ)

loaves (โลฟส์)

ก้อนขนมปัง 

 thief (ธีฟ)

thieves (ธีฟส์)

โจร 

 wife (ไวฟ)

wives (ไวฟส์)

ภรรยา 

6. คำนามบางคำ เวลาทำให้เป็นพหูพจน์ เราต้องเปลี่ยนรูปคำนั้นทันที 

อันนี้เรามักจะพบเห็นกันอยู่บ่อยๆค่ะ เช่น

Singular

Plural

คำแปล

child (ชายลด์)
children (ชิล-เดริน)
เด็ก

tooth (ทูธ)
teeth (ทีธ)
ฟัน

foot (ฟุท)
feet (ฟีท)
เท้า

mouse (เมาส์)
mice (ไมส์)
หนู

man (แมน)
men (เม็น)
ผู้ชาย

 

7. คำนามบางคำ สามารถใช้รูปเดิมได้ทั้งเวลาเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ 

อันนี้ง่ายเลยค่ะ ไม่ต้องเปลี่ยนรูป หรือเติมอะไรเลย สบ๊าย สบาย ส่วนมากก็จะเป็นคำที่เกี่ยวกับสัตว์ทั้งนั้น มาดูกันว่ามีคำไหนบ้าง  เช่น

fish  ฟิช   (ปลา)
deer  เดียร์   (กวาง)
sheep   ชีพ   (แกะ)

8. คำนามบางคำเป็นพหูพจน์อยู่เสมอ

ง่ายๆคือต้องมี –s หรือ –es ต่อท้ายตลอด ไม่มีไม่ได้  เช่น

scissors ซิส-เซอร์ส  (กรรไกร)
pants แพ้นท์ส   (กางเกง)
clothes โคลธส์   (เสื้อผ้า)
jeans จีนส์   (กางเกงยีนส์)
glasses แกลส-เซส   (แว่นตา)
noodles นู-เดิลส์   (บะหมี่)
goods กู้ดส์   (สินค้า) 

 

พอเข้าใจเรื่องการเปลี่ยนคำนามเอกพจน์เป็นพหูพจน์แล้วใช่มั้ยคะ? ลองมาฝึกทำแบบฝึกหัด และฝึกออกเสียงได้เลย

ทำแบบฝึกหัดคำนามเอกพจน์และคำนามพหูพจน์ คลิ๊ก (กำลังอัพเดท)

ฝึกอ่านออกเสียง -s และ -es  คลิ๊ก (กำลังอัพเดท)

Part 2  คำนามนับได้ (Countable Noun) และคำนามนับไม่ได้ (Uncountable Noun) คลิ๊ก

Part 3  คำนามทั่วไป (Common Noun)  แบะคำนามเฉพาะ (Proper Noun)  คลิ๊ก

Part 4  คำนามที่ใช้บอกอาการ (Abstract Noun) คลิ๊ก


Do กับ Make ใช้ต่างกันอย่างไร


สอบถามเรื่องคอร์ส Line: Aj.Adam, Info.Hollywood, KhunBaiTuey
โทร 02 612 9300, 081 353 7810, 089 422 4546
สนใน sponsor คลิปอาจารย์อดัมติดต่ออีเมล [email protected] หรือโทร 02 612 9300
เรียนกับอดัม: http://www.facebook.com/hollywoodlearning
เรียนออนไลน์กับอดัม: http://www.ajarnadam.tv
FBของอดัม: http://www.facebook.com/AjarnAdamBradshaw
Twitter: http://twitter.com/AjarnAdam
FBของซู่ชิง: http://www.facebook.com/jitsupachin
YouTube ของซู่ชิง: http://www.youtube.com/user/jitsupachin
Twitter ซูชิง: http://twitter.com/Sue_Ching

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูเพิ่มเติม

Do กับ Make ใช้ต่างกันอย่างไร

แบบฝึกหัดการเติม s,es ป. 3 (8 ก.ค.2564)


แบบฝึกหัดการเติม s,es ป. 3 (8 ก.ค.2564)

การเติม s, es, ies ที่คำกริยา


มาทบทวนการเติม s, es, ies ที่คำกริยากันครับ

การเติม s, es, ies ที่คำกริยา

หลักการเติม s/es ท้ายคำกริยา


นางสาวหัทยา ทองประเสริฐ 6212113028 sec.1

หลักการเติม s/es  ท้ายคำกริยา

21/07/2563 ป.4 วิชาภาษาอังกฤษ เรื่อง หลักการเติม s หรือ es หลังคำนาม


21/07/2563 ป.4 วิชาภาษาอังกฤษ เรื่อง หลักการเติม s หรือ es หลังคำนาม

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูวิธีอื่นๆLEARN FOREIGN LANGUAGE

ขอบคุณมากสำหรับการดูหัวข้อโพสต์ แบบฝึกหัดเติม s es

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *