Skip to content
Home » [Update] สรุป part of speech แบบง่ายๆ | interjection คือ – NATAVIGUIDES

[Update] สรุป part of speech แบบง่ายๆ | interjection คือ – NATAVIGUIDES

interjection คือ: นี่คือโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้

Part of speech เป็นแกรมม่าภาษาอังกฤษพื้นฐานที่ทุกคนควรรู้ เพราะมันจะทำให้เราเข้าใจและใช้คำภาษาอังกฤษได้ถูกต้องแม่นยำมากขึ้น

สำหรับใครที่ยังไม่รู้จัก part of speech หรืออยากปูพื้นฐานใหม่ ในบทความนี้ ชิววี่ก็ได้สรุป part of speech แบบง่ายๆ มาให้เพื่อนๆได้ดูกัน ถ้าพร้อมแล้ว เราไปดูกันเลย

Table of Contents

Part of speech คืออะไร

Part of speech คือการแบ่งชนิดของคำตามหลักแกรมม่า โดยอิงบทบาทหน้าที่ของคำเป็นหลัก เช่น คำนาม คำกริยา คำคุณศัพท์ ฯลฯ

การรู้ part of speech จะทำให้เราสามารถเข้าใจและใช้คำภาษาอังกฤษได้ถูกต้องมากขึ้น

Part of speech 8 ชนิด

Part of speech แบ่งได้เป็น 8 ชนิด คือ คำนาม คำสรรพนาม คำกริยา คำคุณศัพท์ คำกริยาวิเศษณ์ คำบุพบท คำเชื่อม และคำอุทาน

(บางที่อาจแบ่ง part of speech ออกเป็น 9 ชนิด โดยจะมี determiner อย่างเช่น a, an, the, these, that, those, enough, few เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งชนิด)

1. Noun (คำนาม)

Noun (ตัวย่อ n.) คือคำที่ใช้เรียกคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ กิจกรรม เหตุการณ์ หรือสิ่งที่เป็นนามธรรม อย่างเช่น ความสุข

ยกตัวอย่าง noun เช่น

  • ชื่อคน ชื่อสัตว์ ชื่อสถานที่ – Justin, Garfield, Bangkok, Mahidol University
  • คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ กิจกรรม เหตุการณ์ – woman, cat, pencil, hotel, tennis, wedding
  • สิ่งที่เป็นนามธรรม – idea, happiness, danger, relationship

ตัวอย่าง noun ในประโยค

Noun ทำหน้าที่เป็นได้ทั้งประธาน กรรม และส่วนเติมเต็มในประโยค

Noun ทำหน้าที่เป็นประธาน (subject)

Susie can write very fast.
ซูซี่เขียนได้ไวมาก

My father is a doctor.
พ่อของฉันเป็นหมอ

Noun ทำหน้าที่เป็นกรรม (object)

I bought a new car last month.
ฉันซื้อรถใหม่เมื่อเดือนที่แล้ว

John rides a bicycle every weekend.
จอห์นขี่จักรยานทุกๆวันหยุดสุดสัปดาห์

Noun ทำหน้าที่เป็นส่วนเติมเต็ม (complement)

My cousin is a student.
ลูกพี่ลูกน้องของฉันเป็นนักเรียน

All I want is happiness.
สิ่งที่ฉันต้องการก็มีเพียงแค่ความสุข

จากตัวอย่าง ข้อแตกต่างระหว่างกรรมและส่วนเติมเต็มก็คือ กรรมเป็นผู้ถูกกระทำ แต่ส่วนเติมเต็มเป็นคำที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประธาน ซึ่งมักจะตามหลัง linking verb อย่างเช่น is, am, are, was, were, feel, seem, sound, taste เป็นต้น

2. Pronoun (คำสรรพนาม)

Pronoun คือคำที่ใช้แทน noun อย่างเช่น I, you, he, she, it, we, they

ในภาษาอังกฤษ เราจะนิยมใช้ pronoun แทนคำนามที่เคยกล่าวถึง เพื่อความสะดวกและความกระชับ อย่างในประโยค John is my friend. He lives in the same town with me. คำว่า he ในที่นี้ก็หมายถึง John นั่นเอง

Pronoun มีหลายรูป ขึ้นอยู่กับการใช้งาน ยกตัวอย่างเช่น เราจะใช้คำว่า he เป็นประธานของประโยค แต่ถ้าใช้เป็นกรรม เราจะต้องใช้คำว่า him แทน

John is my friend. I live in the same town with he.
John is my friend. I live in the same town with him.

ตารางด้านล่างนี้แสดงให้เห็นถึงรูปต่างๆของ pronoun แต่ละตัว (ทุกคอลัมน์จะเป็น pronoun หมด ยกเว้นคอลัมน์ที่ 3 ที่เป็น adjective)

Pronoun ทำหน้าที่เป็นประธานPronoun ทำหน้าที่เป็นกรรมAdjective แสดงความเป็นเจ้าของPronoun แสดงความเป็นเจ้าของPronoun สะท้อนIMeMyMineMyselfYouYouYourYoursYourself/YourselvesHeHimHisHisHimselfSheHerHerHersHerselfItItItsItsItselfWeUsOurOursOurselvesTheyThemTheirTheirsThemselves

ตัวอย่าง pronoun ในประโยค

Pronoun ทำหน้าที่เป็นประธาน (subjective pronoun)

I want to be an engineer.
ฉันอยากเป็นวิศวกร

She is my girlfriend.
เธอเป็นแฟนของฉัน

Pronoun ทำหน้าที่เป็นกรรม (objective pronoun)

Anne went to the park with him.
แอนไปสวนสาธารณะกับเขา

You can tell us about your problem.
คุณเล่าปัญหาของคุณให้พวกเราฟังได้นะ

Pronoun แสดงความเป็นเจ้าของ (possessive pronoun)

ความต่างของ adjective และ pronoun แสดงความเป็นเจ้าของก็คือ pronoun แสดงความเป็นเจ้าของไม่ต้องมี noun ตามหลัง อย่างเช่น This is my pen. -> This pen is mine.

Those pens are mine.
ปากกาพวกนั้นเป็นของฉัน

Is this bag yours or hers?
กระเป๋าใบนี้เป็นของคุณหรือของเธอ

Pronoun สะท้อน (reflexive pronoun)

เราจะใช้ pronoun สะท้อนเมื่อผู้ที่กระทำและผู้ที่ได้รับผลจากการกระทำเป็นคนเดียวกัน

I hurt myself while I was cutting an apple.
ฉันทำตัวเองเจ็บในขณะที่ฉันกำลังหั่นแอปเปิ้ล

She does the makeup herself.
เธอแต่งหน้าด้วยตัวเธอเอง

3. Verb (คำกริยา)

Verb (ตัวย่อ v.) คือคำที่ใช้แสดงการกระทำ สิ่งที่เกิดขึ้น หรือสภาวะ เช่น eat, feel, is, am, are

Verb หลักและ verb ช่วย

Verb แบ่งหลักๆได้เป็น 2 ชนิด คือ verb หลัก (main verb) และ verb ช่วย (helping verb)

Verb หลัก คือ verb ที่เป็นใจความหลักของประโยค ส่วน verb ช่วย คือ verb ที่ช่วยเสริมเติมแต่งความหมายของ verb หลัก

ยกตัวอย่างประโยค I can swim. ซึ่งแปลว่า ฉันสามารถว่ายน้ำได้ คำว่า swim จะถือเป็น verb หลัก ส่วนคำว่า can จะถือเป็น verb ช่วย ซึ่งในประโยคนี้ can จะเข้าไปเสริมความหมายของคำว่า swim ให้เห็นว่าเราสามารถทำสิ่งนั้นได้

อีกตัวอย่างหนึ่งเช่น I am going to the school. ซึ่งแปลว่า ฉันกำลังไปโรงเรียน คำว่า going จะถือเป็น verb หลัก ส่วนคำว่า am จะถือเป็น verb ช่วย ซึ่งในประโยคนี้ am จะเข้าไปเสริมความหมายของคำว่า going ให้เห็นว่าเรากำลังทำสิ่งนั้นๆอยู่ (ซึ่งก็คือรูป present continuous tense นั่นเอง)

จากตัวอย่างเหล่านี้ เราจะเห็นได้ว่า verb ช่วยจะอยู่หน้า verb หลักเสมอ

ทั้งนี้ ประโยคที่สมบูรณ์จะต้องมี verb หลัก แต่ไม่จำเป็นต้องมี verb ช่วย อย่างเช่น Everyone loves chocolate. ซึ่งแปลว่า ทุกคนชอบช็อคโกแลต ประโยคนี้จะมีแค่ verb หลักเพียงอย่างเดียว ซึ่งก็คือคำว่า loves

ตัวอย่าง verb ในประโยค

ประโยคที่มีแต่ verb หลัก

I read books every day.
ฉันอ่านหนังสือทุกวัน

He is a scientist.
เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์

ประโยคที่มีทั้ง verb หลักและ verb ช่วย (verb ช่วยจะอยู่หน้า verb หลักเสมอ)

Maria may go to the party.
มาเรียอาจไปงานปาร์ตี้

We are planning for our summer trip.
พวกเรากำลังวางแผนทริปช่วงซัมเมอร์

4. Adjective (คำคุณศัพท์)

Adjective (ตัวย่อ adj.) คือคำที่ทำหน้าที่ขยาย noun หรือ pronoun อย่างเช่นคำว่า big, good, rich, slow

โดยทั่วไป adjective จะอยู่หน้า noun หรือหลัง linking verb (linking verb คือ verb หลักที่ใช้เชื่อมระหว่างประธานกับคำที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับประธาน เช่น is, am, are, feel, seem อย่างเช่นในประโยค This pen is cheap.)

ตัวอย่าง adjective ในประโยค

Adjective อยู่หน้า noun

My dog has brown ears.
สุนัขของฉันมีหูสีน้ำตาล

I want to be a good student.
ฉันอยากเป็นนักเรียนที่ดี

Adjective อยู่หลัง linking verb

They are smart.
พวกเขาฉลาด

My house is big and clean.
บ้านของฉันใหญ่และสะอาด

5. Adverb (คำกริยาวิเศษณ์)

Adverb (ตัวย่อ adv.) คือคำที่ใช้ขยาย verb, adjective, adverb หรือประโยค

Adverb ส่วนใหญ่จะลงด้วย ly อย่างเช่น quickly, slowly, happily, sadly แต่ก็มีบางคำที่ไม่ได้ลงท้ายด้วย ly เช่น always, never, very, fast

ตัวอย่าง adverb ในประโยค

Adverb ที่ขยาย verb

I always wake up at 6 a.m.
ฉันตื่นตอน 6 โมงเช้าเป็นประจำ
(always ขยายคำว่า wake up)

She ate quickly because she was late for work.
เธอกินอย่างรวดเร็วเพราะว่าเธอไปทำงานสาย
(quickly ขยายคำว่า ate)

Adverb ที่ขยาย adjective

He is a very good person.
เขาเป็นคนที่ดีมาก
(very ขยายคำว่า good)

You are really kind.
คุณใจดีมากเลย
(really ขยายคำว่า kind)

Adverb ที่ขยาย adverb

They work extremely quickly.
พวกเขาทำงานกันเร็วมากๆ
(extremely ขยายคำว่า quickly)

That cat eats very happily.
แมวตัวนั้นกินแบบมีความสุขมาก
(very ขยายคำว่า happily)

Adverb ที่ขยายประโยค

Surprisingly, many people have nothing at all in savings.
ที่น่าประหลาดใจก็คือ หลายคนไม่มีเงินเก็บเลยแม้แต่นิดเดียว
(surprisingly ขยายทั้งประโยคหลังคอมม่า)

Unfortunately, many parents let their kids having too much sugar.
ที่โชคร้ายก็คือ ผู้ปกครองหลายคนปล่อยให้ลูกได้รับน้ำตาลเยอะเกินไป
(unfortunately ขยายทั้งประโยคหลังคอมม่า)

6. Preposition (คำบุพบท)

Preposition (ตัวย่อ prep.) คือคำที่เอาไว้หน้า noun หรือ pronoun เพื่อเชื่อม noun หรือ pronoun นั้นกับคำอื่น

ตัวอย่างคำที่สามารถใช้เป็น preposition ได้ เช่น about, after, as, at, before, by, for, in, into, of, on, to, with, without

ตัวอย่าง preposition ในประโยค

The class starts at 9 o’clock.
คาบเรียนเริ่มตอน 9 โมง

I live with my older brother.
ฉันอยู่กับพี่ชาย

Do you want to go to the library with us?
คุณอยากไปห้องสมุดกับพวกเรามั้ย

7. Conjunction (คำเชื่อม)

Conjunction (ตัวย่อ conj.) คือคำที่ทำหน้าที่เชื่อมคำ วลี หรือประโยคเข้าด้วยกัน เช่น and, but, while, although

ตัวอย่าง conjunction ในประโยค

I love mom and dad.
ฉันรักแม่และพ่อ

He hates math, but he loves biology.
เขาเกลียดเลข แต่เขาชอบชีวะ

Anne called me while I was driving.
แอนโทรหาฉันตอนที่ฉันกำลังขับรถ

8. Interjection (คำอุทาน)

Interjection (ตัวย่อ interj.) คือคำสั้นๆที่ใช้แสดงอารมณ์ เช่น oh, hey, ouch, wow ถ้าเทียบกับคำไทยก็เช่น โอ้โห โอ๊ย ปัดโธ่ เป็นต้น

ตัวอย่าง interjection ในประโยค

Oh! I thought you would not come.
โอ้ ฉันคิดว่าคุณจะไม่มาซะแล้ว

Wow! Everyone is so good-looking.
ว้าว ทุกคนหน้าตาดีกันทั้งนั้นเลย

Ouch! My hand hurts.
โอ๊ย เจ็บมือจัง

จบแล้วครับกับ part of speech แบบสรุป ชิววี่หวังว่าเพื่อนๆจะเข้าใจคำแต่ละชนิด และนำไปใช้ได้ถูกต้องมากขึ้นนะครับ

อย่าลืมนะครับ ภาษาอังกฤษยิ่งเรียนรู้ ยิ่งฝึก ก็ยิ่งเก่ง สำหรับบทความนี้ ชิววี่ต้องขอตัวลาไปก่อน See you next time

[Update] Part of speech คืออะไร? “สรุป parts of speech อย่างละเอียดเข้าใจง่ายสุด” | interjection คือ – NATAVIGUIDES

288

SHARES

Facebook

Twitter

Part of speech คืออะไร มีกี่ประเภท และมีหน้าที่ทำอะไรในหลักแกรมม่า นี่คือคำถามแรกๆสำหรับผู้ที่จะเรียนรู้หลักไวยากรณ์ หรือที่เรียกกันว่าแกรมม่า

สรุป part of speech ให้เห็นภาพก่อนคร่าวๆนะครับว่า มันคือ ส่วนของคำพูด หมายความว่าประโยคในภาษาอังกฤษที่เราสื่อออกไปนั้น จะประกอบไปด้วยชนิดของคำ หรือคำชนิดต่างๆมาประกอบกัน

part of speech คือ

♥ เนื้อหา Part of Speech

♦ Part of Speech คืออะไร

ก่อนจะสรุปว่า Part of speech คืออะไร  ลองมาอ่านประโยคง่ายๆเหล่านี้ก่อนนะครับ

→ My name is Tom. ชื่อของผมคือทอม (นาม)

→ I am American. ผมคือคนอเมริกัน(สรรพนาม)

→ I’m tall and slim. ผมตัวสูงและเพรียว(คุณศัพท์)

→ I can play tennis. ผมเล่นเทนนิสเป็น (กริยา)

→ And I can run fast. และผมสามารถวิ่งได้เร็ว (กริยาวิเศษณ์)

→ I love Thailand and Thai people. ผมรักประเทศไทยและคนไทย(สันธาน)

→ It’s hot in April. มันร้อนในเดือนเมษายน (บุรพบท)

→ Well!! I must go now. Bye. อ้อ ผมต้องไปเดี๋ยวนี้ (อุทาน)

เห็นตัวหนาๆไหมครับ นั่นคือคำชนิดต่างๆครับผม ดังนั้นสรุปได้ว่า part of speech คือ คำประเภทต่างๆ ซึ่งมีด้วยกัน 8 ชนิด

♦ Part of speech แปลว่า

  • Part อ่านว่า พ๊าท แปลว่า ส่วน, ชิ้นส่วน
  • of ออฟ แปลว่า ของ
  • Speech คือ คำพูด

ตามหลักแกรมม่าแล้ว Part of Speech ภาษาอังกฤษ แปลว่า “ส่วนของคำพูด” แต่ความหมายจริงๆของมันคือ ประเภทของคำหรือชนิดของคำ หรือ พูดอีกนัยหนึ่งคือคำชนิดต่างๆนั่นเอง

หน้าที่ของมันหลักๆก็คือการรวมตัวกันเป็นวลี หรือประโยคเพื่อใช้ในการสื่อสารดังตัวอย่างเนื้อหาด้านบน

ซึ่งคำแต่ะละประเภทก็มีหน้าที่ Functions แตกต่างกันกันออกไปเช่น noun ทำหน้าที่เป็นประธานและกรรมของประโยค verb ทำหน้าที่บ่งบอกการกระทำของประธาน preposition ทำหน้าที่เชื่อมคำ เป็นต้น

การจะเรียนรู้เรื่อง part of speech อย่างละเอียด ไม่ใช่เรื่องที่จะเรียนวันเดียวให้เข้าใจได้ทั้งหมด เพราะมีทั้งเรื่องหลักๆ และรายละเอียดหยุมหยิมมากมาย ดังนั้นค่อยๆเรียนรู้ทำความเข้าใจไปทีละอย่างนะครับ

♦ Part of speech มีกีชนิดหรือกี่ประเภท

Part of speech แบ่งออกเป็น 8 ชนิด ได้แก่ คำนาม คำสรรพนาม คำคุณศัพท์ คำกริยา คำกริยาวิเศษณ์ คำสันธาน คำบุพบท และคำอุทาน ดังนี้

1. Noun (คำนาม)

Noun หรือ คำนาม คือคำที่ใช้แทนคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ และคำที่เป็นนามธรรม เช่นสภาวะ ความรู้สึก อารมณ์ กิจกรรม เหตุการณ์ เรียกว่าคำนามทั่วไป

รวมถึง ชื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นชื่อคน ชื่อสัตว์ ชื่อสิ่งของ ชื่อสถานที่ เรียกว่า คำนามเฉพาะ

คำนามทั่วไป

คน เช่น boy, girl, man, student, doctor, king, father
สัตว์ เช่น dog, cat, bird, tiger
สิ่งของ เช่น TV, radio, fan, car, soap
สถานที่ เช่น market, bank, city, country
นามธรรม เช่น love, happiness, kindness, war, peace

คำนามเฉพาะ

คน: Sam Smith, David Beckham, Barak Obama
สัตว์: Simba, Angel, Jerry, Buddy
สิ่งของ: Toyota, Lux, Samsung, Sony, Apple
สถานที่: London, Tokyo, Canada, Italy

ตัวอย่างประโยค

That boy is my friend.
เด็กชายคนนั้นคือเพื่อนฉัน

The dog is very big.
สุนัขตัวใหญ่มาก

Your car is red.
รถยนต์ของคุณมีสีแดง

My school is beautiful.
โรงเรียนของฉันสวย

 เรียนรู้เพิ่มเติม  

คำนามทั่วไป กับคำนามเฉพาะ

⇒ การเปลี่ยนนามเอกพจน์ ให้เป็นพหูพจน์ 

2. Pronoun (สรรพนาม)

Pronoun หรือ คำสรรพนาม คือ

คำสรรพนาม มีหน้าที่ใช้แทนคำนาม เพื่อเป็นการเลี่ยงการใช้คำนามเดิมๆซ้ำอีก เช่น

ฉันมีนกหนึ่งตัว นกมีสีขาว นกชอบนอนกินแมสง นกชอบบิน

จากประโยคด้านบ้าน คำนามก็คือ นก เราจะเห็นได้ว่า ถ้าใช้นก อย่างเดียวประโยคมันก็จะดูไม่ดีสักเท่าไหร่ ดังนั้นเราจึงเปลี่ยนใหม่เป็น

ฉันมีนกหนึ่งตัว มันมีสีขาว มันชอบกินแมสง มันชอบบิน

มาทำความรู้จักหน้าตาของคำสรรพนามเป็นเบื้องต้นกันก่อนครับ รายละเอียดค่อยไปเรียนรู้กัน

สรรพนามประธานสรรพนามกรรมคุณศัพท์เจ้าของสรรพนามเจ้าของสรรพนามสะท้อนImemyminemyselfYouyouyouryoursyourselfWeusouroursourselvesTheythemtheirtheirsthemselvesHehimhishishimselfSheherherhersherselfItititsitsitself

จากตารางด้านบน เขาทำขึ้นมาเพื่อให้สะดวกในการท่องจำกัน ซึ่งช่องที่ 3 ไม่ใช่สรรพนามนะครับ เป็นคำคุณศัพท์แสดงความเป็นเจ้าของ

ตัวอย่างประโยค

I am a student.
ฉันเป็นนักเรียน

She loves him.
หล่อนรักเขา

This book is mine.
หนังสือเล่มนี้คือของฉัน

I hate myself.
ฉันเกลียดตัวเอง

 เรียนรู้เพิ่มเติม  

Pronoun ที่ต้องเรียนรู้ 

3. Adjective (คุณศัพท์)

Adjective หรือคำคุณศพัท์ คือคำที่ใช้บอกลักษณะของคำนามให้รู้ว่ามีลักษณะอย่างไร เช่น tall, short, small, big, beautiful, ugly

ตัวอย่างประโยค

I am tall.
ฉันตัวสูง

She is short.
หล่อนตัวเตี้ย

This cat is big.
แมวตัวนี้ตัวใหญ่

The flower is beautiful.
ดอกไม้สวย

 เรียนรู้เพิ่มเติม

  ⇒  การเปรียบเทียบขั้นกว่า ขั้นที่สุด 

4. Verb (กริยา)

Verb หรือคำกริยา คือคำที่ใช้แสดงการกระทำ เช่น go, come, run, walk, sleep, eat ,like

คำกริยาในภาษาอังกฤษแบ่งออกเป็นหลายประเภทนะครับ อยู่ที่ว่าจะจับคู่แบบไหน ค่อยศึกษารายละเอียดเอาแต่ละตัวนะครับ เช่น

  • สกรรมกริยา (Transitive Verb) และ อกรรมกริยา (Intransitive Verb)
  • กริยาแท้ (Main Verb) และ กริยาช่วย (Helping Verb)
  • กริยาปกติ (Regular Verb) และ กริยาอปกติ (Irregular Verb)

ตัวอย่างประโยค

I go to school by car.
ฉันไปโรงเรียนโดยรถยนต์

She comes from China.
หล่อนมาจากจีน

This cat can run fast.
แมววิ่งได้เร็ว

Tom likes football.
ดอกไม้สวย

 เรียนรู้เพิ่มเติม  

⇒  กริยาประเภทต่างๆ

⇒  กริยา 3 ช่อง

⇒ เรียนรู้เพิ่มเติมสุดยอดไวยากรณ์ ⇒ Tense

5. Adverb (กริยาวิเศษณ์)

Adverb หรือคำกริยาวิเศษณ์ เป็นคำไว้ขยายกริยา ไว้อธิบายการกระทำว่า ทำอย่างไร ที่ไหน เมื่อไหร่ เช่น fast, slowly, here, there, today, yesterday

ตัวอย่างประโยค

I can run fast.
ฉันสามารถวิ่งได้เร็ว

Please come here
กรุณามาตรงนี้

This cat is walking slowly.
แมวกำลังเดินอย่างช้าๆ

I went shopping yesterday.
ฉันไปชอปปิ้งเมื่อวาน

 เรียนรู้เพิ่มเติม  

⇒  Adverb คืออะไร

6. Conjunction (คำสันธาน)

Conjunction หรือคำสันธาน คือคำที่ใช้เชื่อมคำ วลี หรือประโยค เช่น and but or so

ตัวอย่างประโยค

Please come here and sit down.
กรุณามาตรงนี้ และนั่งลง

I can run fast but I cannot swim fast.
ฉันสามารถวิ่งได้เร็วและฉันไม่สามารถว่ายน้ำได้เร็ว

Do you like cats or dogs?
คุณชอบแมวหรือหมา

I went shopping yesterday, so I won’t go today.
ฉันไปชอปปิ้งเมื่อวานดังนั้นวันนี้ฉันจะไม่ไป

เรียนรู้เพิ่มเติม  

⇒  คำเชื่อมภาษาอังกฤษ

7. Preposition (คำบุรพบท)

Preposition หรือคำบุรพบท คือคำที่ใช้แสดงความสัมพันธ์ของคำ เช่น in on at by from

ตัวอย่างประโยค

The cat is in my room.
แมวอยู่ในห้อง

The pen is on the table.
ปากกาอยู่บนโต๊ะ

Sam is at home.
แซมอยู่บ้าน

I come from Thailand.
ฉันมาจากเมืองไทย

 เรียนรู้เพิ่มเติม  

⇒  Preposition คืออะไร

8. Interjection (คำอุทาน)

Interjection หรือคำอุทาน คือคำที่ใช้แสดงอารมณ์ตื่นเต้น ดีใจ เสียใจ เช่น Hurray, Oh, Ouch, Ah, Ahem, Alas, Aha

ตัวอย่างประโยค

Hurray! We won!
ไชโย พวกเราชนะ

Oh, too bad!
โอ้ แย่จัง

Ouch! That hurt!
โอ้ย มันเจ็บนะ

Ah, I see.
อ้า ฉันเข้าใจล่ะ

Ahem, can you hear me?
อะแฮ่ม คุณได้ยินฉันไหม

 เรียนรู้เพิ่มเติม  

⇒  Interjection คืออะไร

♦ Part of speech ที่จำเป็นต้องเรียนรู้

หัวข้อรองคือ 5 6 7 8 ไม่ต้องเรียนรู้เจาะลึกมากนัก เพราะไม่มีอะไรซับซ้อน คล้ายภาษาไทยเลย

แต่ 4 ข้อแรก ต้องศึกษาให้ละเอียดแจ่มแจ้งหน่อย เพราะกฎเกณฑ์ต่างจากภาษาไทยค่อนข้างมากทีเดียว ซึ่งหัวข้อที่ควรศึกษามีรายละเอียดดังนี้

1. คำนาม

  • นามทั่วไป กับนามเฉพาะ อันนี้เรียนผ่านแล้วผ่านเลย ไม่สำคัญเท่าไหร่
  • นามเอกพจน์ พหูพจน์ อันนี้ต้องเรียนให้เข้าใจ จำให้ได้ เหตุผลเพราะ…

→ การเปลี่ยนเอกพจน์ให้เป็นพหูพจน์มีหลายแบบ ขึ้นอยู่กับว่าคำนั้นมีพยัญชนะตัวใดลงท้าย เช่น s, sh, ch, x, o, y, f เป็นต้น
→ นามพหูพจน์บางตัวไม่เปลี่ยนรูปเลย ไม่ว่าเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ เช่น deer sheep fish
→ นามบางตัวลงท้ายด้วย s ซึ่งน่าจะเป็นพหูพจน์ แต่กลับเป็นเอกพจน์เฉยเลย เช่น news, physics
→ นามบางตัวเปลี่ยนสระภายในเพื่อแสดงความเป็นพหูพจน์ เช่น men children
→ และอื่นๆ

 เรียนรู้เพิ่มเติม  

คำนามทั่วไป กับคำนามเฉพาะ

⇒ การเปลี่ยนนามเอกพจน์ ให้เป็นพหูพจน์ 

2. สรรพนาม

  •  บุรุษสรรพนาม (Personal pronoun) เรื่องนี้ต้องเอาให้เคลียร์ เพราะสรรพนามที่คนไทยสับสนเพราะมี 2 ประเภท แยกชัดเจนว่าตัวไหนเป็นประธาน ตัวไหนเป็นกรรม

 เรียนรู้เพิ่มเติม  

Pronoun ที่ต้องเรียนรู้ 

3. คุณศัพท์

  • คำคุณศัพท์ก็ไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่าย เพราะมันสามารถแปลงร่างได้ สามแบบ คือ ขั้นปกติ ขั้นกว่า ขั้นสูงสุด และมีหลักเกณฑ์แยกย่อยไปอีกว่าทำยังไงให้ถูกต้องตามหลักภาษา

 เรียนรู้เพิ่มเติม  

⇒  การเปรียบเทียบขั้นกว่า ขั้นที่สุด  ⇐

4. กริยา

ตัวนี้คือตัวที่ยากกว่าเพื่อนหน่อยนะ ต้องพยายามพอสมควรจึงจะเรียนรู้ให้ผ่านไปได้ เพราะมันมีหลายเรื่องที่ต้องเรียนนั่นเอง

  • สุดยอดของหัวใจวายากรณ์ สุดยอดแห่งความยาก (สำหรับนักเรียนส่วนใหญ่ เพราะขี้เกียจอ่าน ขี้เกี่ยจจำ ขี้เกียจทบทวน)
  • กริยาหนึ่งตัวแปลงร่างได้หลากหลายเช่น  go goes going went gone ทั้งหมดที่เห็นนี้แปลว่า ไป แต่ไปคนละแบบ ขึ้นอยู่กับว่าเอาไปใช้ Tense อะไร
  • กริยาแต่ละ Tense มีหน้าตาไม่เหมือนกันเลย หรือมีเหมือนกันบ้าง

 เรียนรู้เพิ่มเติม  

⇒  กริยาประเภทต่างๆ

⇒  กริยา 3 ช่อง

⇒ เรียนรู้เพิ่มเติมสุดยอดไวยากรณ์ ⇒ Tense

part of speech สรุปแล้วก็คือคำชนิดต่างๆนั่นเอง ซึ่งมีอยู่ด้วยกันทั้ง 8 ชนิดดังที่กล่าวมา หัวข้อไหนควรเน้น หัวข้อไหนให้เรียนผ่านๆก็ได้แนะนำให้แล้ว ขอให้สนุกกับการเรียนรู้นะครับ

ขอ 5 ดาวให้บทเรียนด้วยครับผม…

คลิกดาวดวงที่ขวามือสุดเลยครับครับ…

Average rating 4.6 / 5. Vote count: 474

ยังไม่มีใครให้ดาว คุณคือคนแรก….


เทคนิคสำคัญที่จะทำให้เรารู้ศัพท์ #ภาษาอังกฤษ คูณสอง


ตามไปเรียนภาษาอังกฤษกับครูหวานต่อที่
Facebook: https://www.facebook.com/kruwhanenglishonair
Instagram: https://www.instagram.com/english_kruwhan

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูความรู้เพิ่มเติมที่นี่

เทคนิคสำคัญที่จะทำให้เรารู้ศัพท์ #ภาษาอังกฤษ คูณสอง

C๙: พื้นฐาน Eng สำคัญสุดๆ: Parts of Speech | เรียนภาษาอังกฤษ กับ อ.พิบูลย์ แจ้งสว่าง


หมายเหตุ: ช่องยูทูปของเรามีความจำเป็นต้องถอดคลิปวิดีโอเรื่องการใช้ Articles: aanthe ออกจากช่องยูทูปสาธารณะ เนื่องจากติดลิขสิทธิ์กับคอร์สออนไลน์ที่ต้องให้ผู้เรียนลงทะเบียนเรียนโดยมี อ.พิบูลย์ เป็นผู้สอนเช่นกัน เราจึงต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ หากท่านสนใจ สามารถติดต่อลงทะเบียนเรียนคอร์สออนไลน์ สอนโดย อ.พิบูลย์ แจ้งสว่าง ได้โดยติดต่อที่เบอร์ 0959799890 หรือแอดไลน์ด้วยเบอร์โทร. โดยที่เนื้อหาในคอร์สออนไลน์ทั้งหมดจะไม่ซ้้ำกับที่เราลงให้ทุกท่านดูทางช่องยูทูปสาธารณะเลย
อ่านบทความเกร็ดความรู้ภาษาอังกฤษ (ฟรี) \u0026 ดูรายละเอียดคอร์สเรียน Eng ได้ที่
www.NakedEnglish.net หัวข้อ: บทความที่น่าสนใจ
ติดตามเราได้ที่ Facebook.com/EnglishWithPiboon
เราเน้นเรียน+สอนภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน ให้สนทนาและเข้าใจหลักการใช้ภาษาอย่างถูกต้อง
[จัดทำและสอนโดย อ. พิบูลย์ แจ้งสว่าง] Piboon Jangsawang

C๙: พื้นฐาน Eng สำคัญสุดๆ: Parts of Speech | เรียนภาษาอังกฤษ กับ อ.พิบูลย์ แจ้งสว่าง

ประโยคภาษาอังกฤษ ในร้านอาหาร สั่งอาหารและเครื่องดื่ม


ประโยคภาษาอังกฤษในร้านอาหาร มีอะไรบ้าง?
รวมประโยคภาษาอังกฤษที่ใช้ในร้านอาหาร ฝึกพูดให้คล่อง

ประโยคภาษาอังกฤษ ในร้านอาหาร สั่งอาหารและเครื่องดื่ม

50 ประโยคที่เอาไปใช้พูดกับฝรั่งได้เลย #ภาษาอังกฤษ


เรามาเรียนรู้ประโยคทั้ง 50 ประโยคที่เอาไปใช้พูดกับฝรั่งได้เลยค่าา
ติดตามเฟสบุ๊ค+ไอจีและสอบถามคอร์สเรียนที่
Facebook: https://www.facebook.com/kruwhanenglishonair
Instagram: https://www.instagram.com/english_kruwhan

50 ประโยคที่เอาไปใช้พูดกับฝรั่งได้เลย #ภาษาอังกฤษ

Day 10 ภาษาอังกฤษพื้นฐานที่ใช้ในการสนทนา | คำอุทาน | Interjections | เรียนง่ายภาษาอังกฤษ


คลิปนี้เราจะมาเรียนตัวสุดท้ายของ Part of speech นะคะก็คือคำอุทาน ภาษาอังกฤษ interjection และก็มีเพิ่มเติมคือ การทำความรู้จักกับคำนำหน้านามหรือ article นะคะแอนเดอะมอลล์วิธีใช้ใช้ยังไงกัน

Day 10 ภาษาอังกฤษพื้นฐานที่ใช้ในการสนทนา | คำอุทาน | Interjections | เรียนง่ายภาษาอังกฤษ

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูวิธีอื่นๆLEARN FOREIGN LANGUAGE

ขอบคุณที่รับชมกระทู้ครับ interjection คือ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *