[Update] สรุปหนังฟอร์มยักษ์ ซัมเมอร์ 2020 เมื่อโควิด-19 ยังไม่ซา หนังใหญ่ย้ายไปไหนกันบ้าง? | ซัมเมอร์ ต่าง ประเทศ ราคา ถูก – NATAVIGUIDES

2020-08-07 18:00:00

สรุปหนังฟอร์มยักษ์ ซัมเมอร์ 2020

เมื่อโควิด-19 ยังไม่ซา หนังใหญ่ย้ายไปไหนกันบ้าง?

 

HIGHLIGHTS

 

• จากสถานการณ์โควิด

  -19

  ที่ทำให้โรงภาพยนตร์ในอเมริกาต้องหยุดทำการนานเกือบครึ่งปีแล้ว ส่งให้ค่ายหนังยักษ์ใหญ่ต้องพาเหรดหนังฟอร์มยักษ์เกือบทั้งหมดไปไว้ปีหน้า ไม่ว่าจะเป็น

  Fast & Furious 9, Minions 2

  ส่งผลให้ซัมเมอร์ปีนี้ จำนวนหนังใหม่คือ

  0

  เรื่อง ในขณะที่ซัมเมอร์ปีหน้าอัดแน่นไปด้วยหนังบล็อกบัสเตอร์จำนวนมาก

 

• แม้สถานการณ์โควิดในอเมริกาจะยังไม่ดีขึ้น แต่ในหลายๆประเทศทั่วโลกเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ โรงหนังเปิดกันแล้ว ทำให้ค่ายหนังบางค่ายอย่าง วอร์เนอร์ และดิสนีย์ ตัดสินใจไม่ทำตามธรรมเนียมเดิมในการฉายหนังพร้อมกันทั่วโลก เลือกฉายในหลายประเทศนอกอเมริกาก่อน อาทิ

  TENET

  ที่เข้าฉายใน

  70

  ประเทศนอกอเมริกาก่อน

 

• ชะตากรรมของหนังฟอร์มกลางถึงเล็ก ส่วนใหญ่ที่วางโปรแกรมไว้ในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา ต้องเจอกับผลลัพธ์ด้วยการอดเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ แล้วไปปรากฏตัวในระบบ

  Video on Demand

  แทน ภาพยนตร์หลายเรื่องก็ถูกส่งต่อให้ไปฉายใน

  Netflix

  อาทิ หนังแอนิเมชั่น

  The SpongeBob Movie

  ภาคใหม่ ที่นอกอเมริกานั้น จะได้ชมผ่านบริการสตรีมมิ่งยักษ์ใหญ่นี้

 

********************************************

 

สำหรับแวดวงภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด ช่วงเวลาทองสำหรับทุกสตูดิโอที่ต่างจับจองโปรแกรมฉายให้กับหนังฟอร์มยักษ์ของตัวเอง คือช่วง “ซัมเมอร์ของอเมริกา” นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม จนถึงปลายเดือนสิงหาคม นี่คือ 4 เดือนทอง แต่ละค่ายต่างเลือกจะฉายหนังใหญ่ของตัวเองในช่วงระหว่างเวลานี้ เพราะเป็นช่วงปิดเทอม กลุ่มวัยรุ่นมีเวลาที่จะเข้าโรงหนังมากกว่าช่วงอื่น ดังนั้นในทุกๆปี นี่คือช่วงเวลาที่คอหนังรอคอยและตื่นเต้นมากที่สุด ในแต่ละสัปดาห์ก็จะมีหนังยักษ์เข้าฉายชนกันมากมาย จนกระทั่งมีการวางโปรแกรมล่วงหน้าไป 2-3 ปีแล้วก็มี

 

ย้อนกลับไปเมื่อต้นปี ภาพที่คอหนังฝันหวานรอคอย คือการมาถึงของหนังใหม่จากมาร์เวล, แอนิเมชั่นใหม่จากพิกซาร์, ภาคต่อของ Wonder Woman, ภาคใหม่ของ Fast & Furious, ภาคต่อของ Minions, หนังใหม่ของ คริสโตเฟอร์ โนแลน ทุกคนต่างรอคอยการมาถึงของหนังโปรแกรมยักษ์เหล่านี้ แต่เมื่อเดือนมีนาคมมาถึง ฝันของทุกคนต่างดับสิ้น เพราะโรคระบาดโควิด-19 ทำให้โรงภาพยนตร์ทั่วโลกต้องปิดลง โดยเฉพาะในอเมริกาที่ยังคงปิดจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ในเมืองใหญ่ๆอย่าง นิวยอร์กและลอสแองเจลิส ปิดจนถึงสิ้นเดือนสิงหาคมอย่างแน่นอน นั่นหมายความว่า “ซัมเมอร์ 2020” สูญสิ้นไปเป็นที่เรียบร้อย เม็ดเงินนับพันล้านเหรียญฯ ในแวดวงภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดหายวับไปกับตา

 

มาจนถึงวันนี้ คอหนังพอจะเห็นภาพรวมแล้ว ว่าหนังเรื่องไหนถูกขยับ ถูกเลื่อน ถูกย้ายไปอยู่ที่ไหนบ้าง บางเรื่องก็ยังโชคดีได้ดูกันในโรงภาพยนตร์ บางเรื่องโชคร้าย กลายเป็นหนังในระบบสตรีมมิ่งแทน ต้องดูบนจอเล็กๆเท่านั้น สัปดาห์นี้คอลัมน์ So Watch ขอฉายภาพรวมให้เห็นว่า โปรแกรมยักษ์ซัมเมอร์ 2020 แตกสลาย กระจายไปทางไหนกันบ้าง !

 

 

เมื่อค่ายหนังขอฉายโรงแค่บางประเทศ !

 

โดยปกติแล้ว ประเพณีในการฉายหนังฟอร์มใหญ่ของฮอลลีวู้ดนั้น มักปูพรมฉายพร้อมกันทั่วโลกในสัปดาห์เดียวกัน เพื่อสร้างปรากฏการณ์ไปพร้อมๆกัน การโปรโมทในโลกออนไลน์ก็สามารถทำได้รวดเดียว ผู้ชมจากทั่วโลกก็สามารถแชร์ความเห็นกันได้ รวมไปถึงหนังที่มักเก็บความลับเอาไว้ มีตอนจบที่คาดเดาไม่ได้ หรือมีจุดพลิกผันในระหว่างเรื่อง การฉายพร้อมกันทั่วโลก ทำให้ความลับเหล่านี้ไม่รั่วไหล จะไม่มีประเทศไหนถูกสปอยล์ก่อนหนังเข้าฉาย

 

เช่นเดียวกับ TENET ผลงานใหม่ล่าสุดของผู้กำกับ คริสโตเฟอร์ โนแลน ซึ่งหนังเรื่องนี้ถูกเก็บรายละเอียดของหนัง แม้แต่พล็อตไว้เป็นความลับสุดยอด เพื่อให้ผู้ชมได้รู้พร้อมกันในกลางเดือนกรกฎาคม แต่จนแล้วจนรอด สถานการณ์โควิด-19 ในสหรัฐอเมริกาฯก็ยังไม่ดีขึ้น ทำให้ทางวอร์เนอร์ต้องเลื่อนหนังออกไปเรื่อยๆ จนกลางเดือนกรกฎาคม เป็นปลายเดือนกรกฎาคม เป็นกลางเดือนสิงหาคม จนกระทั่งล่าสุด ทางวอร์เนอร์ตัดสินใจแหกขนบเดิมของตน ที่ทุกประเทศจะต้องเข้าพร้อมกันนั้น ด้วยการให้หนังฉายใน 70 ประเทศนอกอเมริกาก่อน เริ่มตั้งแต่ 26 สิงหาคมนี้ ก่อนที่จะเข้าอเมริกาในวันที่ 4 กันยายน ในบางเมืองของสหรัฐฯที่โรงภาพยนตร์พร้อมทำการแล้ว จะไม่รอเข้าฉายพร้อมกันทั่วโลกอีกต่อไป ประเทศไหนพร้อมก็ฉาย ไม่พร้อมก็ไม่ต้องฉาย กลายเป็นข่าวดีสำหรับประเทศที่ปลอดภัยจากโควิด-19  แล้ว แต่ก็เป็นข่าวร้ายสำหรับหลายๆประเทศ โดยเฉพาะคอหนังในเมืองใหญ่ของอเมริกา ที่ต้องรอดูหลังคนอื่น และอาจโดนสปอยล์หนังได้ง่ายๆ

 

เช่นเดียวกับ Mulan หนังแอ็กชั่นฟอร์มยักษ์จากดิสนีย์ที่เดิมทีจะเข้าฉายตั้งแต่ 27 มีนาคม เพียงแค่สัปดาห์กว่าๆเท่านั้นก่อนที่โรงหนังจะปิดเพราะโควิด-19 เดิมทีดิสนีย์ขยับวันฉายมารอที่ 24 กรกฎาคม แต่โรงหนังในอเมริกาก็ยังต้องปิด ขยับมา 21 สิงหาคมที่จะถึงนี้ โรงหนังในอเมริกาก็ยังต้องปิด ดิสนีย์จึงตัดสินใจเอาหนังเข้าฉายในบางประเทศที่โรงหนังเปิด ไม่รอเข้าพร้อมกันทั่วโลกแล้ว โดยในหลายๆประเทศที่มีบริการสตรีมมิ่งแพลตฟอร์มของตนอย่าง Disney+ ก็สามารถซื้อหนังดูผ่านบริการดังกล่าวได้เลยตั้งแต่วันที่ 4 กันยายนนี้เป็นต้นไป ประกอบด้วยในสหรัฐอเมริกา, แคนาดา, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์ และบางประเทศในยุโรป โดยหนังจะขายในราคา 29.99 เหรียญฯ หรือเกือบพันบาท แต่สามารถดูซ้ำกี่รอบก็ได้ ส่วนในไทยข่าวดีคือหนังยังเข้าโรงในวันที่ 3 กันยายนที่จะถึงนี้

 

จากการที่สองค่ายหนังยักษ์ใหญ่อย่าง วอร์เนอร์และดิสนีย์ ตัดสินใจทิ้งอเมริกาไว้ทีหลัง ไม่ต้องฉายหนังใหญ่พร้อมกันทั่วโลกอีกต่อไป เลือกฉายในประเทศที่โรงหนังพร้อมก่อน ทำให้แฟนๆเริ่มจับตาไปที่ 2 โปรแกรมใหญ่ประจำเดือนตุลาคมอย่าง Wonder Woman 1984 ของวอร์เนอร์ และ Black Widow ของดิสนีย์ ว่าทั้งสองเรื่องนี้ ซึ่ง ณ ปัจจุบันยังคงวางโปรแกรมฉายพร้อมๆกันทั่วโลกอยู่ จะมีการเลือกฉายในบางประเทศก่อนอีกหรือไม่ ถ้าโรงหนังในอเมริกายังคงไม่เปิดทำการ ถ้าการที่ Mulanไปขายใน Disney+ แล้วดันเวิร์ก ถ้าการฉายของ Tenet ทั่วโลกก่อนอเมริกา ยังคงทำรายได้อย่างน่าพอใจให้กับค่ายหนัง นี่คือสิ่งที่ต้องติดตามกันต่อไป 

 

 

มหกรรมเลื่อนหนังใหญ่ ขยับไปปี 2021

 

จนถึง ณ ขณะนี้ ค่ายหนังน้อยใหญ่ก็ยังคงหวั่นไหวว่า โปรแกรมต่างๆที่ถูกวางไว้ในอีก 5 เดือนที่เหลือของปีจะปลอดภัยหรือไม่ ดังนั้นหนังใหญ่จากช่วงซัมเมอร์ปีนี้ จึงถูกขยับไปเป็นปีหน้าเลย ก่อนที่วันฉายจะว่างน้อยลงเรื่อยๆ ใครที่ขยับไปปีหน้้า ก็อาจจะได้วันฉายที่ดีสู้หนังบางเรื่องไม่ได้ (หลายๆค่ายมักจะรีบจับจองช่วงวันหยุดยาว เพราะสามารถกวาดรายได้ได้มากกว่าสุดสัปดาห์ทั่วไป) จนถึงตอนนี้ โปรแกรมฉายตลอดทั้งปี 2021 เริ่มแน่นแล้ว เพราะมีหนังฟอร์มยักษ์จากปีนี้ย้ายไปมากมาย บวกกับหนังฟอร์มยักษ์ของปีหน้าเองที่วางโปรแกรมไว้ก่อนหน้าแล้ว

 

เริ่มต้นกันที่ ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ ที่ขยับไวก่อนใครเพื่อน เลื่อน No Time To Die หนังบอนด์ภาคล่าสุดที่ตนเองจัดจำหน่ายนอกอเมริกา จากเมษายนไปเป็นพฤศจิกายน ซึ่งตอนนี้กลายเป็นหนังฟอร์มยักษ์เรื่องเดียวของปีเท่านั้นที่ทางค่ายยังเหลืออยู่ นอกเหนือจากนี้ก็เป็นหนังฟอร์มกลางแล้ว อาทิ Candyman หนังเขย่าขวัญรีเมก ที่เลื่อนจากมิถุนายน ไปเป็นช่วงตุลาคม รับฮัลโลวีน ส่วนโปรแกรมยักษ์ที่เหลือของปีนี้ ถูกขยับไปปีหน้าหมดตั้งแต่แรกแล้ว เริ่มจากหนัง Fast & Furious 9 ที่ขยับจากพฤษภาคมปีนี้ ไปเป็นเมษายน 2021, หนังแอนิเมชั่นภาคต่อ Minions 2 ที่เลื่อนจาก กรกฎาคมปีนี้ ไปเป็นกรกฎาคม 2021, Halloween Kills หนังระทึกขวัญภาคต่อ จาก ตุลาคมปีนี้ ไปเป็น ตุลาคม 2021 ขอไม่เสี่ยงแบบดิสนีย์กับวอร์เนอร์ ที่ยังคงวางโปรแกรมหนังใหญ่ไว้ช่วงหน้า ขอปลอดภัยปีหน้าเลยทีเดียว นอกจากนี้ปีหน้าทางค่ายยังมีหนัง Jurassic World ภาคใหม่ในเดือนมิถุนายนอีกด้วย ทำให้ตารางฉายของ ยูนิเวอร์แซล ค่อนข้างแน่นพอสมควร

 

เช่นเดียวกับ พาราเมาต์ พิคเจอร์ ที่เลื่อนหนังปี 2020 ออกไปทั้งหมดจนเกลี้ยงตาราง แทบจะไม่มีหนังของตัวเองเหลืออยู่เลยตลอดปีนี้ เหลือเพียง Coming 2 America หนังตลกภาต่อของพระเอก เอ็ดดี้ เมอร์ฟีย์ ที่มีโปรแกรมฉายช่วงคริสต์มาส ซึ่งก็ลือกันหนาหูว่า หนังอาจจะถูกขายให้ Netflix ก็เป็นอันได้ เช่นเดียวกับหนังของค่ายหลายๆเรื่องก่อนหน้านี้ สำหรับเหล่าหนังฟอร์มโตที่เลื่อนไปปีหน้าของค่ายนั้น ประกอบด้วย A Quiet Place Part II หนังระทึกขวัญภาคต่อที่เลื่อนจาก มีนาคมที่ผ่านมา ไปเป็นเมษายนปีหน้า, Infinite หนังแอ็กชั่นของพระเอก มาร์ค วอห์ลเบิร์ก ที่ขยับจากสิงหาคมปีนี้ ไปเป็น พฤษภาคมปีหน้า, Top Gun : Maverick หนังแอ็กชั่นภาคต่อของ ทอม ครูซ ที่เลื่อนจากมิถุนายนปีนี้ ไปเป็น กรกฎาคมปีหน้าเลย (จากเดิมเลื่อนไปคริสต์มาสปีนี้ แต่ทางค่ายไม่ขอเสี่ยง เลื่อนไปปีหน้าทั้งหมด) รวมถึง G.I.Joe : Snake Eye หนังแอ็กชั่นภาคแยกที่ขยับจากตุลาคมปีนี้ ไปเป็นปี 2021 เป็นที่เรียบร้อย

 

รวมไปถึงค่ายโซนี่ พิคเจอร์ ที่ในอีก 5 เดือนที่เหลือของปี เหลือเพียง Connected หนังแอนิเมชั่นเรื่องใหม่จากผู้สร้าง Spider-Man : Into The Spider-Verse เท่านั้นที่วางโปรแกรมไว้ในเดือนตุลาคม หนังฟอร์มดีที่เหลือของค่าย ถูกโยกไปปีหน้าทั้งหมดเพื่อความปลอดภัย เริ่มจาก Peter Rabbit 2 ที่วางโปรแกรมไว้เดือนต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ถูกขยับไปเป็น มกราคม 2021, Ghostbusters : Afterlife หนังแอ็กชั่นเบาสมองภาคใหม่ของ บริษัทกำจัดผี ที่เลื่อนจาก กรกฎาคมปีนี้ ไปเป็นมีนาคมปีหน้า เช่นเดียวกับ Morbius หนังเขย่าขวัญที่หยิบเอาคาแร็คเตอร์ตัวร้ายในจักรวาลไอ้แมงมุมมาสร้าง ก็ขยับจากกรกฎาคมปีนี้ ไปเป็น มีนาคมปีหน้าเช่นกัน และ Venom ภาคใหม่ ที่ถูกขยับจากตุลาคมปีนี้ ไปเสียบไว้มิถุนายนปีหน้า ใจกลางช่วงซัมเมอร์ ซึ่งถือว่าเป็นโปรแกรมกองเลยทีเดียว 

 

 

หมดลุ้นดูบนจอยักษ์ รวมหนังใหญ่ที่ย้ายไปสตรีมมิ่ง

 

เกือบครึ่งปีที่ผ่านมา ที่โรงหนังในอเมริกาต้องปิดไฟมืด ทำให้ภาพยนตร์มากมายต้องเลื่อนฉาย แต่ไม่ใช่ทุกเรื่องที่จะเลื่อนไปฉายในอนาคต เนื่องจากจะเกิดภาวะหนังล้นตลาดขึ้นมาได้ บวกกับหนังหลายเรื่องได้ทำการโปรโมตไปแล้ว ค่ายหนังก็เสียเงินในการทำการตลาดไป จึงตัดสินใจปล่อยหนังในช่องทางอื่นที่ไม่ใช่โรงภาพยนตร์แทน เพื่อไม่ให้การประชาสัมพันธ์เสียเปล่า ซึ่งหนังที่เปลี่ยนใจไม่เข้าโรงแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นหนังฟอร์มกลางถึงฟอร์มเล็ก ส่วนหนังฟอร์มยักษ์เกือบทั้งหมด จะถูกเลื่อนโปรแกรมไปฉายในอนาคตแทน

 

เริิ่มจากดิสนีย์ที่ประกาศย้ายบ้านหนังหลายเรื่องของตัวเอง จากการฉายในโรงภาพยนตร์ ไปอยู่ใน Disney+ บริการสตรีมมิ่งเซอร์วิสของทางค่ายแทน อาทิ Artemis Fowl หนังผจญภัยที่สร้างจากนิยายขายดี ที่เดิมทีจะฉายในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา แต่ทางค่ายก็พับโปรแกรมเข้าโรง ไปให้ดูกันในบริการดังกล่าวแทน

 

ในขณะที่พาราเมาต์ พิคเจอร์ ที่มีสายสัมพันธ์ที่ดีกับ Netflixเพราะเคยขายสิทธิ์หนังดังมากมายให้บริการสตรีมมิ่งยักษ์ใหญ่มาแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Annihilation และ The Cloverfield Paradox ก็ตัดสินใจขายต่อหนังดังหลายเรื่อง อาทิ The Lovebirds หนังเบาสมองของ คูมาล นานจิอานิ ที่จะเข้าโรงในเดือนเมษายน ก็สามารถดูได้แล้วใน Netflix รวมไปถึงหนังแอนิเมชั่น The SpongeBob Movie ภาคใหม่ ที่ตอนแรกจะฉายตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ทางค่ายก็ขายสิทธิ์นอกอเมริกาให้กับ Netflix ไปเรียบร้อย ยกเว้นในแคนาดาที่จะเป็นประเทศเดียวในโลก ที่จะได้ดูหนังกันในโรงภาพยนตร์

 

ทางด้าน โซนี่ พิคเจอร์ ก็มาพร้อมกับดีลใหม่น่าจับตามองกับ Apple TV+ บริการสตรีมมิ่งที่เพิ่งเปิดตัวไปของแอปเปิ้ล ที่ยังไม่มีหนังใหญ่มาดึงดูดคนดูมากเท่าไหร่ จึงตัดสินใจขายหนังสงครามโลกฟอร์มใหญ่อย่าง Greyhound ของพระเอก ทอม แฮงค์ ให้ไปด้วยมูลค่าสูงถึงเกือบ 70 ล้านเหรียญฯ จากเดิมที่หนังวางโปรแกรมไว้ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา กลายเป็นวางสามารถชมได้แล้วใน Apple TV+ แต่ต้องสมัครสมาชิกเสียก่อน จึงจะรับชมกันได้

 

ในส่วนของ ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ ก็ตัดสินใจพับโปรแกรมฉายหนังแอนิเมชั่น Trolls World Tour ไปเลย จากเดิมที่มีโปรแกรมจะเข้าโรงในเดือนเมษายน ทางค่ายหนังตัดสินใจขายให้ชมกันผ่าน Video on Demand จ่ายเงินแล้วกูนอนชมกันได้ที่ผ่าน ซึ่งทางค่ายเผยว่ายอดรายได้ถือว่าประสบความสำเร็จ แถมไม่ต้องแบ่งส่วนแบ่งให้โรงภาพยนตร์ด้วย คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม (แต่หนังยังมีโปรแกรมเข้าโรงในไทยอยู่ เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา) เช่นเดียวกับวอร์เนอร์ฯ ที่ตัดสินใจยกเลิกโปรแกรมฉาย SCOOB! หนังแอนิเมชั่น สกูบี้ดูฉบับใหม่ ที่วางโปรแกรมไว้เดิมกลางเดือนพฤษภาคม แต่เพราะโควิด-19 ทางค่ายจึงตัดสินใจไม่ฉายในโรง และปล่อยขายในรูปแบบของ Video on Demand เช่นเดียวกับ Trolls World Tour ที่ประสบความสำเร็จไปแล้วก่อนหน้านี้ (ส่วนในไทยมีรายงานว่าจะปล่อยให้ชมกันในเดือนกันยายน)

 

และทั้งหมดนี้ ก็คือบทสรุปของชะตากรรมเหล่าบรรดาหนังฟอร์มยักษ์ในช่วงซัมเมอร์ที่พามา ที่โปรแกรมฉายทั้งหมดต้องล้มระเนระนาดเพราะโควิด-19 บางเรื่องก็กระเด็นไปไกลถึงปีหน้า แต่เราก็ยังจะได้ชมกันบนจอใหญ่ บางเรื่องได้ชมกันเลยแบบทันทีไม่ต้องรอนาน แต่ก็ต้องแลกกับการชมในจอที่เล็กลง ไม่ว่าจะเป็นผ่านจอทีวีหรือมือถือ แต่อย่างไรก็ตาม หนังเหล่านี้ก็ต้องหาซักทางเพื่อไปเจอกับผู้ชมอยู่ดี ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

 

 

********************************************

ติดตามคอลัมน์ SO WATCH และ ฟังวิทยุออนไลน์ Chill Online Work hard Chill Hard ได้ที่ 

www.chillfm.fm และที่

Application : Atimeonline โหลดฟรีที่ App Store และ Play Store
Facebook : Chill FM
Instagram : chillfmfanpage
Twitter : chillfmfanpage

 

******************************************

 

SO WATCH

BY GOSSIPGUN

 

 

 

Coventry Campus

เมือง Coventry เป็นเมืองที่อยู่ไม่ไกลจาก London และการเดินทางสะดวกสบายสุดๆ โดยขึ้นรถไฟจาก London มา Coventry (Euston station) ใช้เวลาเพียง 1-2 ชั่วโมง โดยรถไฟมา Coventry นั้นมีสองประเภทค่ะ นั่นคือ fast train (virgin train) รถไฟสีแดงเก๋ไก๋สไตล์ virgin ซึ่งจะใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง (และราคาแพงกว่า) ส่วนอีกอันคือ Midland ซึ่งจะราคาถูกกว่าครึ่งนึงแต่ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 50 นาทีค่ะ จากสถานีรถไฟ จะสามารถเดินเพียง 15 นาที ถึง city centre หรือจะนั่งรถบัสไม่กี่อึดใจก็สะดวกสบายเช่นกันค่ะ ตัวมหาวิทยาลัยนั้นเรียกได้ว่ากินพื้นที่ส่วนใหญ่ของ city centre ของเมือง Coventry หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ เมืองนี้เป็นเมืองมหาลัยนั่นแหล่ะค่ะ มหาวิทยาลัย Coventry นั้นเป็นมหาวิทยาลัยที่ได้รับรางวัล Modern University อันดับหนึ่งของประเทศอังกฤษ เนื่องจากการลงทุนอย่างมหาศาลใน facility ของมหาวิทยาลัย ดังนั้นสำหรับน้องๆที่ชอบความทันสมัยและเทคโนโลยี ในทำเลที่ไม่ไกลจากลอนดอน ที่นี่คือคำตอบของน้องค่ะ

มหาวิทยาลัย Coventry มีชื่อเสียงในด้าน Business และ Engineering เป็นอย่างมาก โดยมีหลักสูตรให้เลือกอย่างหลากหลาย ทำให้น้องๆสามารถเลือกเรียนหลักสูตรที่เฉพาะทางและเป็น expert ในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Oil and Gas, Fashion Business, Marketing, International Business, Accounting and Finance หรือจะเป็นด้าน Automobile, Aerospace Engineering
Faculty of Engineering ของ Coventry นั้นโดดเด่นมากในเรื่อง automobile เพราะเมือง Coventry เป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ของประเทศอังกฤษ และยังเป็นมหาลัยแห่งเดียวที่มีเครื่องบินรบสมัยสงครามโลกไว้ให้นักศึกษาได้ทดลอง รวมไปถึง flight simulator และอื่นๆอีกมากมาย ตัวตึกนั้นมีความโดดเด่นมากเป็นความภาคภูมิใจของมหาลัยและจะเห็นรูปของตึกนี้ในทุกๆโบรชัวหรือโฆษณาของ Coventry เพราะได้รับความชื่นชมด้านสถาปัตยกรรม และเงินลงทุนที่ลงไปถึง 52 ล้านปอนด์

อีกสิ่งนึงที่เจ๋งสุดๆก็คือสถานที่รับปริญญาของชาว Coventry นั่นก็คือ Coventry Cathedral โบสถ์แห่งนี้เคยถูกเยอรมันทิ้งระเบิดตอนสงครามโลก และชาวเมือง Coventry ได้บูรณะซากปรักหักพังไว้เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ ลองจินตนาการภาพตัวเองและเพื่อนๆใส่ชุดครุยเดินเข้าไปในโบสถ์พร้อมกันเสียงดนตรีก้องกังวาล มีแสงสะท้อนจากกระจกสีสันสดใส และภาพที่ทุกคนยืนหน้าโบสถ์และโยนหมวกพร้อมๆกัน มันคงเป็นภาพที่สวยสุดๆไปเลย

FACTS ABOUT COVENTRY UNIVERSITY

มหาวิทยาลัย Coventry ได้รับการ จัดอันดับเป็นอันดับ 13 โดย the Guardian University Guide 2020 และยังได้รับรางวัล the UK’s top modern university และอันดับ 1 สำหรับ International Student Experience

• อันดับ 1 ในสาขา film production and photography
• อันดับ 2 ในสาขา  mechanical engineering
• อันดับ 2 ในสาขา hospitality, event management and tourism

นอกจากนี้มหาวิทยาลัย Coventry ยังมีหลักสูตรที่ติดอันดับ Top 10 in UK มากมายไม่ว่าจะเป็น economics (5th), sports science (8th), mathematics (8th), journalism (9th) and civil engineering (10th)