บอก ที่ อยู่ เป็น ภาษา อังกฤษ: คุณกำลังดูกระทู้
หลายคนอาจจะเคยสงสัยว่า เราควรจะแนะนำตัวเป็นภาษาอังกฤษยังไงดี เริ่มจากอะไร และควรพูดทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเองเหมือนที่เราเคยนั่งท่องสมัยเด็ก ๆ ที่โรงเรียนดีมั้ย
หรือว่าเราควรทำท่าทางแบบไหนในขณะที่เรากำลังแนะนำตัว หรือพูดคุยกับคู่สนทนา
ประโยคแนะนำตัวภาษาอังกฤษวันนี้ ยังสามารถเอาไปใช้ในการสัมภาษณ์งานภาษาอังกฤษได้อีกด้วยนะคะ
เบญได้รวบรวมคำตอบ และคำแนะนำมาให้คุณได้อ่านและเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กันแล้วค่ะ
เบญจะแบ่งออกเป็นหมวด ๆ ให้ได้ลองดูว่าสามารถถามและตอบอะไรได้บ้างในการแนะนำตัวภาษาอังกฤษนะคะ
ที่เบญไม่พิมพ์เป็นเหมือนการเรียงความแบบยาว ๆ เพราะเบญเชื่อว่า การที่เราแนะนำตัว ก็เป็นเหมือนกับการสนทนาภาษาอังกฤษทั่วไปค่ะ
ซึ่งมีการถามและการตอบ ไม่ใช่ว่าเราพูดอยู่คนเดียว หรือว่าฟังอย่างเดียว แต่อามารวมกันเป็นประโยคยาว ๆ ตามชอบได้เลยจ้า
แน่นอนอยู่แล้ว ว่าเราต้องเริ่มการแนะนำตัวภาษาอังฤษโดยการทักทาย ถ้าคุณอยากรู้ประโยคทักทายภาษาอังกฤษเพิ่มเติมก็เข้าไปอ่านได้เลยจ้า
Table of Contents
1. แนะนำตัวภาษาอังกฤษ: ชื่อ
ประโยคคำถาม:
- What’s your name? วอทสฺ ยอรฺ เนม ชื่ออะไรหรอ
ประโยคคำตอบ:
- My name’s… มาย เนมสฺ ฉันชื่อ… (จะบอกชื่อจริง หรือชื่อเล่นก็ได้)
- I’m… ไอมฺ ฉันคือ…
- My full name is… มาย ฟูลฺ เนม อิสฺ ชื่อเต็ม ๆ ของฉันคือ… (บอกชื่อ-นามสกุล)
- My first name is… มาย เฟิสฺทฺ เนม อิสฺ ชื่อจริงขอฉันคือ…
- My last name is… ลาสทฺ เนม อิสฺ นามสกุล ของฉันคือ…
ถ้าเราอยากจะบอกชื่อเล่นให้กับคู่สนทนาของเรา เพื่อทำให้รู้สึกคุ้นเคย และเป็นกันเองมากขึ้น
อาจจะเริ่มจากการบอกชื่อจริง โดยใช้ประโยคคำตอบจากข้างบน และตามด้วยประโยคบอกชื่อเล่นข้างล่างนี้ก็ได้
โดยประโยคที่บอกว่า ชื่อเล่นของฉันคือนั้น ก็มีอยู่หลายประโยคให้ เลือกใช้ค่ะ โดยความหมายรวม ๆ ก็จะเป็น ชื่อเล่นของฉันคือ.. หรือคุณเรียกฉันว่า… ก็ได้ เช่น
- My nickname’s… มาย นิคเนมสฺ
- You can call me… ยู แคน คอลฺ มี
- They call me… เด คอลฺ มี
- Please call me… พลีสฺ คอลฺ มี
- Everyone calls me… เอฟวรีวัน คอลสฺ มี…
ตัวอย่างบทสนทนา:
A: Hi. What’s your name?
B: Hi! I’m Benjawan or you can just call me Ben. What’s your name?
2. แนะนำตัวภาษาอังกฤษ: มาจากไหน
ประโยคนี้เราอาจจะได้ใช้บ่อย ถ้าเกิดว่าเราอยู่ต่างประเทศนะคะ หรืออยู่ในจังหวัด ที่เราไม่ได้เกิดที่นั่น หรือไม่ได้มาจากที่นั่น ซึ่งเราสามารถตอบเป็น ประเทศไทย ได้เลย
ยกเว้นว่าคู่สนทนาของเราอยู่เมืองไทยมานานและรู้จักหลาย ๆ จังหวัดในไทย เราสามารถตอบเป็นชื่อจังหวัดได้ค่ะ
แต่ส่วนใหญ่เค้าก็จะถามเราเองว่า จังหวัดอะไร หรือเมืองอะไร ถ้าเกิดว่าเค้ารู้จักประเทศไทยค่อนข้างดีค่ะ
ประโยคคำถาม: คุณมาจากที่ไหน เกิดที่ไหน เป็นคนที่ไหน
- Where are you from? แวรฺ อารฺ ยู ฟรอม
- Where do you come from? แวรฺ ดู ยู คัม ฟรอม
- Where were you born? แวรฺ เวอ ยู บอรฺน
ประโยคคำตอบ:
- I’m from … ไอมฺ ฟรอม
- I come from … ไอ คัม ฟรอม
- My hometown is … มาย โฮมทาวนฺ อิสฺ
- I’m originally from … ไอมฺ ออริจินอลฺลี ฟรอม
- I’m… ไอมฺ (บอกสัญชาติ)
- I was born in … ไอ วอสฺ บอรฺน อิน
ตัวอย่างบทสนทนา:
A: Where are you from?
B: I’m originally from Thailand. Where do you come from?
A: I’m from Japan.
3. แนะนำตัวภาษาอังกฤษ: ที่อยู่
ประโยคคำถาม: คุณอยู่ที่ไหน บ้านของคุณอยู่ที่ไหน
- Where do you live?
- What’s your address?
ประโยคคำตอบ:
อย่างที่เราเคยเรียนมาจากที่โรงเรียนนะคะ ว่าเราต้องบอกบ้านเลขที่ ทุกตรอกซอกซอย สำหรับแค่การสนทนาทั่วไป หรือการแนะนำตัวเองนั้น ไม่จำเป็นต้องบอกละเอียดขนาดนั้นค่ะ
ยกเว้นเค้าขอที่อยู่ของเราแบบละเอียด เพื่อที่จะส่งของให้ที่บ้าน หรือไปส่งเราที่บ้าน
- I live in… ไอ ลิฟฺ อิน
- My address is… (ชื่อจังหวัด) มาย แอดเดร็สฺ อิสฺ
- I live on… street. ไอ ลิฟฺ ออน (ชื่อถนน) สตรีทฺ
- I live at… ไอ ลิฟฺ แอ็ทฺ
- I grew up in… ไอ กรูวฺ อัพฺ อิน
ตัวอย่างบทสนทนา:
A: Where do you live?
B: I live at Siam Smile Condo.
4. แนะนำตัวภาษาอังกฤษ: อายุ
ประโยคคำถาม: คุณอายุเท่าไหร่
- How old are you? ฮาวฺ โอลดฺ อารฺ ยู
ประโยคคำตอบ:
- I’m… years old. ไอมฺ… เยียรฺสฺ โอลดฺ
- I’m… ไอมฺ
ในส่วนของคำตอบนะคะ จะตอบด้วยตัวเลขของอายุของคุณ หรือว่าอาจจะไม่ระบุตัวเลขที่แน่ชัดก็ได้ค่ะ เช่น
- I’m over… ไอมฺ โอเฟวอรฺ ฉันอายุมากกว่า…
- I’m almost / nearly… ไอมฺ ออลฺโมสฺทฺ / เนียรฺลี ฉันอายุเกือบจะ…
- I’m around your age. ไอมฺ อะราวดฺ ยอรฺ เอจฺ ฉันอายุประมาณคุณ (ใช้ได้ในกรณีที่เรารู้อายุของเค้าแล้ว)
- I’m in my early twenties. ไอมฺ อิน มาย เออรฺลี ทเว็นทีสฺ ฉันอายุยี่สิบต้น ๆ
- I’m in my late thirties. ไอมฺ อิน มาย เลทฺ เซอรฺทีสฺ ฉันอายุสามสิบปลาย ๆ
ตัวอย่างบทสนทนา:
A: How old are you?
B: I’m almost 30. You?
A: Really? you look young. I’m 35.
5. แนะนำตัวภาษาอังกฤษ: ครอบครัว
ประโยคคำถาม:
- How many people are there in your family? ฮาวฺ เมนี พีโปลฺ อารฺ แด อิน ยอรฺ แฟมิลี ครอบครัวของคุณมีกี่คนหรอ
- Who do you live with? ฮู ดู ยู ลิฟฺ วิซฺ คุณอยู่กับใคร
- Do you have any siblings? ดู ยู แฮฟฺ เอนี ซิบลิงสฺ คุณมีพี่น้องมั้ย
ประโยคคำตอบ:
- I have… people in my family. ไอ แฮฟฺ (จำนวนคน) พีโปลฺ อิน มาย แฟมิลี
- My family has… people. มาย แฟมิลี แฮสฺ (จำนวนคน) พีโปลฺ
- I live with my… ไอ ลิฟฺ วิซฺ มาย
- I have… brothers and …sisters. ไอ แฮฟฺ… บราเซอสฺ แอนดฺ … ซิสเตอสฺ
หรือว่าถ้าเกิดเป็นลูกคนเดียว สามารถตอบได้ว่า
- I’m the only child. ไอมฺ ดิ โอนลี ไชวดฺ
- I don’t have any siblings. ไอ โดวนทฺ แฮฟฺ เอนี ซิบลิงสฺ
ตัวอย่างบทสนทนา:
A: Do you have any siblings?
B: I have 2 sisters. How about you?
A: I’m the only child in my family.
6. แนะนำตัวภาษาอังกฤษ: อาชีพการงาน
อาชีพเป็นอีกหนึ่งหัวข้อที่คนมักจะเอามาคุยกันในการสนทนา หรือแนะนำตัวเป็นภาษาอังกฤษ
ถ้าคุณอยากรู้คำศัพท์เกี่ยวกับอาชีพเป็นภาษาอังกฤษเพิ่ม เบญเองก็ได้รวบรวมไว้ให้แล้วค่ะในอีกโพสต์นึง ลองเข้าไปดูได้เลยจ้า
ประโยคคำถาม: คุณทำงานอะไร
- What do you do? วอทฺ ดู ยู ดู
- What do you do for a living? วอทฺ ดู ยู ดู ฟอรฺ อะ ลิฟฟิง
- What’s your job? วอทสฺ ยอรฺ จอบฺ
- What sort of work do you do? วอทฺ ซอรฺทฺ ออฟฺ เวิรฺคฺ ดู ยู ดู
ประโยคคำตอบ:
- I’m a / an… ไอมฺ อะ / แอนฺ
- I work for… as a/ an… ไอ เวิรฺคฺ ฟอรฺ (ชื่อที่ทำงาน) แอสฺ อะ / แอนฺ (ตำแหน่ง)
ถ้าไม่มีงาน หรือว่าว่างงาน สามารถพูดได้ว่า
- I’m unemployed. ไอมฺ อันเอ็มพลอยดฺ
- I am out of work. ไอ แอมฺ เอาทฺ ออฟฺ เวิรฺคฺ
- I am between jobs. ไอ แอมฺ บีทะวีน จอบสฺ
- I’m looking for a job. ไอมฺ ลุคคิง ฟอรฺ อะ จอบฺ
ตัวอย่างบทสนทนา:
A: What do you do for a living?
B: I work from home. I am a blogger.
7. การแนะนำภาษาอังกฤษ: งานอดิเรก
ประโยคคำถาม:
- What’s your hobby? วอทสฺ ยอรฺ ฮอบบี
- What do you like to do? วอทฺ ดู ยู ไลคฺ ทู ดู
- What’s your favorite… ? วอทสฺ ยอรฺ เฟบวริทฺ (เติมอะไรบางอย่าง เช่น สี สัตว์ อาหาร กีฬา เป็นต้น)
ประโยคคำตอบ:
- I like / love / enjoy… ไอ ไลคฺ / เลิฟฺ / เอ็นจอย (เติมคำกริยา + ing)
- I’m interested in… ไอมฺ อินเทร็สฺเต็ดฺ อิน
- My hobby is… มาย ฮอบบี อิสฺ
- My favorite sport is… มาย เฟบวริทฺ สปอรฺทฺ อิสฺ
- I have a passion for… ไอ แฮฟฺ อะ แพชเชิน ฟอรฺ
- I sometimes go to…, I like it because… ไอ ซัมไทมสฺ โก ทู (ชื่อสถานที่) ไอ ไลคฺ อิทฺ บีเคิสฺ (เหตุผลที่ชอบไป)
ตัวอย่างบทสนทนา:
A: What do you like to do on your weekends?
B: I enjoy reading books. and I sometimes go to a nice restaurant with my husband for dinner.
ถ้าคุณสนใจฝึกภาษาอังกฤษเพิ่มเติม เข้าไปหาคอร์สเรียนภาษาอังกฤษที่ตัวเองสนใจได้เลยค่ะ
เบญรับรองเลยว่า เป็นคอร์สเรียนออนไลน์ที่ดีที่สุด และราคาถูกมาก อย่างแน่นอนค่ะ
5 เคล็ดลับ ที่ควรทำในการแนะนำตัวภาษาอังกฤษ
1. ดวงตาเป็นหน้าต่างของการแนะนำตัว
การสบตากัน และมองหน้ากันขณะที่คุยกัน เป็นเรื่องที่ชาวต่างชาติให้ความสนใจมาก ๆ ค่ะ (แม้กระทั่งที่ไทยเองก็เป็นเช่นกันค่ะเบญคิดว่า)
เพราะการที่เราสบตาคู่สนทนาของเราขณะที่เรากำลังแนะนำตัว หรือพูดคุย ทำให้คู่สนทนาของเรารู้สึกว่าเราจริงใจในสิ่งที่กำลังพูดและสนใจในเรื่องที่เค้ากำลังพูดอยู่
สิ่งนี้จะช่วยให้การแนะนำตัวของเราเป็นไปได้อย่างราบรื่น และการสนทนาสามารถไปต่อได้ค่ะ
ถ้าเราไม่มองตากันเลย เบญรู้เลยว่า การแนะนำตัวจะสั้นมาก ๆ เพราะมันจะรู้สึกอึดอัด และไม่เป็นธรรมชาติค่ะ
แต่เบญเองก็รู้ว่าสำหรับสาวไทย หรือคนไทยโดยทั่วไปแล้ว เราค่อนข้างขี้อาย โดยเฉพาะการต้องพูดต่อหน้าที่คนเราไม่รู้จัก หรือว่าพูดในภาษาอื่น ๆ
ทำให้เราค่อนข้างกังวล กลัวที่จะลืมประโยคที่เราท่องกันมา
แต่เบญจะขอแนะนำให้คุณ ลองฝึกการคุยโดยใช้การสบตา และมองหน้ามากขึ้นค่ะ มันเป็นสิ่งที่ฝึกได้ และมันก็จะทำให้การแนะนำตัวหรือการสนทนาภาษาอังกฤษนั้นฟังดูเป็นธรรมชาติมากขึ้นค่ะ
เบญเคยได้ยินมาว่า ถ้าเกิดว่าเราไม่กล้าสบตา ให้เริ่มจากการมองที่หางคิ้วก่อนก็ได้ และค่อยฝึกไปเรื่อย ๆ ค่ะ แต่ดวงตาของเราสำคัญมากจริง ๆ ค่า
2. ยิ้มแย้ม แม้ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงต่อไป
รอยยิ้ม ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญในการแนะนำตัว หรือการที่เราจะคุยกับเพื่อนใหม่ หรือคนที่เราไม่เคยคุยด้วยมาก่อน
เพื่อทำให้การสนทนาไปต่อได้ด้วยความรู้สึกสบาย ๆ และไม่ตึงเครียดจนเกินไป
แม้กระทั่งเราอาจจะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรรขึ้นต่อไป หรือว่าคนที่เราคุยด้วยเค้าคิดยังไงกับคำตอบของเราที่เราได้พูดไป
แต่ถ้าเรามี big smile บนหน้าของเรา เบญเชื่อว่า คุณก็ชนะใจเค้าไปเกินกว่าครึ่งแล้วค่ะ
เพราะฉะนั้นอย่าเกร็งจนเกินไป จนลืมที่จะใส่รอยยิ้มหวาน ๆ บนหน้าของเรานะคะ 🙂
3. สื่อสารด้วยภาษากาย
เราควรแนะนำตัวของเราด้วยท่าทางที่มั่นใจ และดูเป็นมิตร บางคนอาจจะรู้สึกว่าการที่เรามั่นใจเกินไปอาจจะทำให้เราดูหยิ่งและดูไม่น่าป็นเพื่อนด้วย
แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่ค่ะ การที่เรามั่นใจจริง ๆ หมายถึงเรารู้ว่าเรากำลังพูดอะไรอยู่ ไม่อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ หรือว่าเอาเท้าเขี่ยดิน หรือเอามือเล่นผม เหมือนคนที่ไม่มั่นใจในตัวเองค่ะ
และเราก็อาจจะต้องเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมของแต่ละประเทศด้วย เพราะการพบกันครั้งแรกนั้น เป็นสิ่งที่สำคัญ
บางประเทศเค้าก็ชอบที่จะกอด หรือว่าจับมือ หรือว่ายกมือไหว้เหมือนคนไทย
แต่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการจับมือค่ะ สำหรับการพบกันครั้งแรก แต่ถ้าเป็นคนในครอบครัวของแฟนเรา หรือของเพื่อน เราก็อาจจะกอดด้วย
เป็นการแสดงถึงการที่เรายอมเปิดใจกับเค้า และไม่มองเค้าเป็นคนแปลกหน้าค่ะ
ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้น ก็จะขึ้นอยู่กับแต่ละวัฒนธรรม และประเพณีของแต่ละประเทศค่ะ
4. ถามคำถามกลับด้วย
การที่เราแนะนำตัว ไม่ได้หมายถึงว่าเราพูดอยู่คนเดียวเกี่ยวกับตัวเอง (อาจจะดูเป็นแบบนั้นนิดหน่อย ถ้าเกิดเราพูดอยู่บนเวที หรือยืนอยู่หน้าชั้นเรียน)
แต่จริง ๆ แล้วการแนะนำตัวหมายถึงการที่เราคุยกัน แลกเปลี่ยนข้อมูลของเรา และคนที่เราคุยด้วย
เพราะฉะนั้น ต้องห้ามลืมที่จะถามคำถามกลับไปด้วย เกี่ยวกับเรื่องที่เค้าเพิ่งถามเรา เพื่อที่จะแสดงให้เค้ารู้สึกว่า เราเองก็สนใจในเรื่องของเค้าเหมือนกัน
คุณจะสังเกตุได้เลยว่า ถ้าคุณเล่าเรื่องของตัวเองอย่างเดียว หรือพูดยาว ๆ ๆ เลยเกี่ยวกับตัวเอง
คู่สนทนาของคุณก็จะหลุดความสนใจค่ะ และเบื่อ ทำให้การสนทนาครั้งนี้ไปไม่ได้ไกล
ประโยคคำถามที่เบญรวบรวมไว้ข้างล่างนี้ สามารถใช้ถามได้เลยค่ะ หรือว่าแค่พูดคำถามซ้ำที่เค้าเพิ่งถามคุณ ไปก่อนหน้านี้ก็ได้
หรือใช้ประโยคที่ทุกคนน่าาจะรู้กัน เช่น and you?, what about you?, how about you? เป็นต้นค่ะ
การฝึกพูดบ่อย ๆ ก็จะทำให้คุณพูดได้ไหลลื่นมากขึ้นค่ะ เบญมีคอร์สเรียนที่ได้แนะนำไว้ คอร์สเรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัวกับเจ้าของภาษา iTalki
เป็นคอร์สที่คุณจะเลือกครูได้เอง เรียนผ่านวีดีโอคอล และราคาไม่แพงด้วยค่ะ รับรองว่าได้ฝึกพูด-ฟัง และแนะนำตัวเป็นภาษาอังกฤษอย่างถูกต้องแน่นอน
ถ้าสนใจเข้าไปลงทะเบียนเลือกดูครูได้เลยนะคะ หรือว่าจะเข้าไปอ่านรีวิวเรียนภาษาอังกฤษกับ iTalki เพิ่มเติมได้เลย
และเบญยังมีอีกหลายคอร์สที่เน้นเรื่องการฝึกพูด-ฟังกับครูเจ้าของภาษา และเลือกครูได้ไว้ให้เลือกดูด้วยนะคะ
เข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ และสามารถลงเรียนเพื่อฝึกการสนทนาภาษาอังกฤษของตัวเอง ทำให้มั่นใจมากยิ่งขึ้นค่ะ
5. การจบบทสนทนา
สำหรับชาวต่างชาติแล้ว การทักทาย และการบอกลา เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ เลย ถ้าเกิดว่าต้องไป แล้ว
หรือว่าคุยกันจบแล้ว ก็ควรพูดประโยคสั้น ๆ เป็นการบอกลาอย่างสุภาพ เช่น
“It was great meeting you, Simon. Hope to see you around.”
“Mr. White, I’m delighted to have met you. I hope we can talk again soon.”
และการที่เราพูดชื่อเค้าในประโยคส่งท้าย ก็จะยิ่งทำให้เค้าประทับใจค่ะ ว่าเราสามารถจำชื่อเค้าได้ เพราะฉะนั้นถ้าจำได้ก็ใส่ชื่อเค้าไปในประโยคด้วยนะคะ
หวังทุกคนจะชอบโพสต์นี้กันนะคะ อ่านแล้วอย่าลืมนำไปใช้กันด้วยนะคะ เพราะนั่นเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการช่วยให้เราเก่งภาษาอังกฤษค่ะ
ประโยคที่เบญนำมาวันนี้ อาจจะไม่ใช่ทั้งหมดที่คุณจะได้ยิน หรือได้ใช้ในการแนะนำตัวจริง ๆ เพราะมันมีเยอะแยะม๊ากก เลยค่ะ
แต่คุณเข้าไปฝึกบทสนทนาภาษาอังกฤษเพิ่มเติมได้เลยค่ะ โดยการหาคอร์สเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ ที่ตัวเองชอบ และเริ่มเรียนภาษาอังกฤษจ้า
[Update] “บอกเวลาในภาษาอังกฤษ (Time in English) ” | บอก ที่ อยู่ เป็น ภาษา อังกฤษ – NATAVIGUIDES
Hi guys! สวัสดีค่ะนักเรียนชั้น ป.5 ที่น่ารักทุกคน วันนี้เราจะไปดูวิธีการ “บอกเวลาในภาษาอังกฤษ (Telling Time in English) ” กันค่ะ
ถ้าพร้อมแล้วก็ไปลุยกันเลย
บทนำ
ในบทเรียนนี้ครูขอยกตัวอย่างการบอกเวลาที่นิยมใช้กันโดยทั่วไปใน 2 รูปแบบ ตามที่มาของ Native English หรือ ภาษาอังกฤษของเจ้าของภาษา นะคะ ดังตัวอย่างดังต่อไปนี้
- British English แบบบริติช
- American English แบบอเมริกัน
โครงสร้างประโยคคำถาม
ประโยคคำถาม เพื่อถามถึงเวลา เช่น
- ถามเวลาแบบ Direct question:
What time is it right now?
= ตอนนี้เป็นเวลากี่โมงแล้ว
เรามักจะเจอคำถามในลักษณะนี้ในสถานการณ์แบบเป็นกันเอง ภาษาที่ใช้จะดูใกล้ชิดสนิทสนมมากกว่า ซึ่งอาจจะเป็นเพื่อนเราที่ถามทาง หรือ คนใกล้ตัว คุณพ่อ คุณแม่ เป็นต้น
- ถามเวลาแบบ Indirect question: Can I know…= ขอทราบ/ถาม หน่อย…
Can you tell me what time it is?
= ขอถามหน่อยว่ากี่โมงแล้วExcuse me, can I know what time it is?
= ขอโทษนะ ขอทราบหน่อยว่าเป็นเวลากี่โมงแล้ว***การถามเวลาในรูปแบบประโยคลักษณะ Indirect questions นี้ ประโยคของเราจะดูเป็น ทางการและสุภาพมากยิ่งข้น
บอกเวลาแบบ British English
ใน British English จะใช้ระบบเวลาแบบ 12 ชั่วโมง โดยจะใช้เลข 1 -12 ตามด้วยคำบอกเวลา a.m. และ p.m. ซึ่งเป็นรูปแบบที่นิยมใช้กันโดยทั่วไปในภาษาอังกฤษนั่นเองค่า
- การใช้ a.m. และ p.m.
a.m. = ante meridiem ใช้กับเวลา หลังเที่ยงคืน จนถึง ก่อนเที่ยงวัน
(00.01 a.m. – 11.59 a.m.)
p.m. = post meridiem ใช้กับเวลาหลังเที่ยงวัน จนถึง ก่อนเที่ยงคืน
(12.00 p.m. – 11.59 p.m.)
หากว่าต้องการบอกเวลาเต็มชั่วโมง ให้เติมคำว่า “o’clock” ท้ายเวลา หรือพูด a.m. และ p.m. ตามด้วยเวลาต่างๆ ก็ได้ เช่นกันค่ะ
11.00 a.m. = eleven o’clock in the morning
แปลว่า ตอนนี้เป็นเวลาสิบเอ็ดโมงเช้า
05.00 p.m. = five o’clock in the afternoon
แปลว่า ตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงเย็น
การใช้ to กับเวลาที่กำลังจะมาถึง
เวลาที่ผ่านชั่วโมง และเกิน 30 นาทีมาแล้ว ให้บอกนาทีที่เหลือก่อนจะถึงชั่วโมงถัดไป ตามด้วย “to” และชั่วโมงถัดไป เช่น
08.40 p.m. = twenty to nine
แปลว่า อีกยี่สิบนาทีจะถึงเก้านาฬิกาแล้ว
สำหรับ การบอกเวลาแบบ British English หากนาฬิกาเป็นเวลา 15 นาทีหรือ 45 นาที ให้ใช้คำว่า a quarter และหากเป็น 30 นาที ให้ใช้ half เช่น
06.15 a.m. = a quarter past six
07.30 a.m. = a half past thirty
การใช้ “past”
past เป็นคำคุณศัพท์ เมื่อใช้กับการบอกเวลา จะแปลว่า ผ่าน….มา……แล้ว โดยส่วนมากจะใช้กับเวลาที่ผ่านล่วงเลยมาไม่ถึง 30 นาที เช่น
10.20 a.m. = twenty past ten
แปลว่า ผ่านสิบนาฬิกามามายี่สิบนาทีแล้วถือว่าเป็นการบอกเวลาทางอ้อม เพราะว่าไม่บอกมาตรงๆ มักจะเจอรูปแบบประโยคนี้ในสถานการณ์ปกติ ที่ไม่เร่งรีบ ในชั้นเรียน แต่อาจจะไม่ใช่การถามเวลาก่อนเที่ยงที่น้องๆหิวข้าว เป็นต้น
บอกเวลาแบบ American English
การอ่านเวลาแบบชาวอเมริกันนั้นได้กำหนดวิธีการบอกเวลาในภาษาอังกฤษสไตล์ชิวๆ ไม่ซับซ้อนเท่ากับวิธีการของ
ชาวบริติช ซึ่ง American English จะมีการใช้ระบบเวลาแบบ 24 ชั่วโมง โดยจะใช้ตั้งแต่ตัวเลข 0 ไปจนถึง ตัวเลข 24 และส่วนใหญ่จะไม่มี a.m. และ p.m.
ให้ยุ่งยาก ตามสไตล์ easy going ซึ่งเป็นลักษณะนิสัยของคนอเมริกันเลยทีเดียว ง่ายๆ ไม่ทำให้ยุ่งยาก
วิธีการบอกเวลาของชาวอเมริกันคือ ให้บอกเลขชั่วโมงก่อนตามด้วยเลขนาที โดยทั่วมักจะในกรณีที่เป็นทางการมากๆ เช่น
เวลา 21.15 น. = twenty-one fifteen
เวลา 08.09* น. = eight O nine
ขออธิบายเพิ่มเติม:
*ใช้เสียง O อ่านว่า โอ จะใช้ แทนเลข 0 ใน American English
นอกจากนี้ยังมีคำวิเศษณ์เพื่อประมาณเวลา อีกด้วย เช่น about หรือ nearly ซึ่งแปลว่า ประมาณ หรือ เกือบๆ เช่น
เวลา 09.05 น. =It’s about nine o’clock (แม้ว่าจะผ่านมาแล้วตั้ง 5 นาทีก็ตาม)
เวลา 10.28 น. = It’s nearly half past ten (แม้ว่าจะยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ตาม)
บอกเวลาตอนเที่ยง
ในเวลาเที่ยงคืนหรือเที่ยงวัน สามารถใช้คำว่า “midnight” หรือ “midday / noon” แทนเลข 12 ได้ เช่น เวลา 00:00 น. แทนช่วงเวลานี้ ว่า midnight หรือ เวลา 12:00 น. แทนช่วงเวลานี้ว่า midday or noon
ส่วนในการพูดอย่างเป็นทางการ สามารถใช้ “a.m.” หรือ “p.m.” ประกอบได้อยู่เหมือนเดิม
เช่น เวลา 05:15 น. บอกได้ว่าIt is five fifteen a.m.
= เป็นเวลา ตีห้า สิบห้านาที
แต่ถ้าไม่เป็นทางการมาก เช่นบอกเวลาเพื่อนที่อยู่ใกล้ๆกัน
ก็สามารถพูดได้ว่า It is ten fifteen.
(ไม่ต้องบอก a.m. ก็ได้ แต่หากช่วงเวลาที่คุยเป็นกลางวัน เพื่อนก็จะเข้าใจไปโดยปริยายว่า มันคือเวลา สิบโมง สิบนาที )
ในกรณีที่ลืมว่า ควรจะใช้ a.m. หรือ p.m. ดี ให้ใช้วลีบอกเวลา เพ่อให้ผู้ที่เราพูดด้วยรู้ว่าเรากำลังบอกเวลาช่วงไหน โดยใช้ in/at แล้วตามด้วยช่วงเวลา เช่น
in the morning = ช่วงเช้า
at midday = เที่ยงวัน
at midnight = เที่ยงคืน
in the afternoon = ตอนบ่าย
in the evening = ตอนเย็น
at night = ตอนกลางคืน
แม้ว่าจะมีความแตกต่างกันอยู่ แต่คนที่เลือกใช้ก็คือตัวเราเอง ครูแนะนำให้ดูบริบทการใช้ให้มากนะคะ เช่นตัวอย่างประโยคด้านล่างนี้นะคะ
Situation I: At the train station (สถานการณ์เกิดที่ลานชาลาสถานีรถไฟ)
Romeo: Excuse me sir, what time is it now?
= ขอโทษนะครับ ตอนนี้เป็นเวลากี่โมงแล้วTom: It’s a half past ten.
= ตอนนี้ผ่านสิบนาฬิกามาครึ่งชั่วโมงแล้วครับRome: Thank you sir. When will the next train arrive?
= ขอบคุณครับ แล้วรถไฟเที่ยวถัดไปจะมากี่โมงครับTom: It will arrive in a minute.
= เดี๋ยวก็มาแล้วครับ
Situation II: At NokAcademy School (สถานการณ์เกิดที่โรงเรียน นกอะคาเดมี)
Nestie: Jenny, what time is it now?
= เจนนี่ ตอนนี้กี่โมงแล้วJenny: It’s 9 O’ clock. Why did you ask?
= ตอนนี้เก้าโมง ถามทำไมNestie: Oh my gosh, we need to go now.
= โอ้ มาย กอด เราต้องไปตอนนี้เลยJenny: Why?
= ทำไมล่ะNestie: The class was already begun 10 minutes ago.
= ชั้นเรียนเริ่มเมื่อ 10 นาทีที่แล้ว (เราเข้าชั้นเรียนสาย 10 นาทีแล้ว)
น้องๆนักเรียนทุกคน อย่าลืมทบทวนบทเรียน เรื่อง การบอกเวลาในภาษาอังกฤษ กับทีชเชอร์กรีซได้ที่วีดีโอด้านล่างนี้นะคะ แล้วเจอกันใหม่ค่า
See you again next time.
+1
โฟกัสให้ถูกทาง ตั้ง Mindset ให้เป็น โดย ท่าน ว.วชิรเมธี (พระมหาวุฒิชัย -พระเมธีวชิโรดม)ไร่เชิญตะวัน
ความฝันจะเป็นจริงหรือไม่ หัวใจสำคัญขึ้นอยู่กับ ความกล้าที่จะฝัน กล้าที่จะเสี่ยง เเละกล้าที่จะล้มเหลว (ท่าน ว.วชิรเมธี)
“ฝัน” โดยไม่ลงมือทำ เป็นการเสียเวลาเปล่า “ทำ” โดยไม่เคยมีเป้าหมายที่ชัดเจน ก็เป็นการทุ่มเทที่สูญเปล่า (ท่าน ว.วชิรเมธี)
To dream without working on it is a waste of time;
to do something without having a definite goal constitutes a wasteful effort.
มีความฝันที่ชัดเจน มองความล้มเหลวเป็นครู กล้าเสี่ยง กล้าตัดสินใจ และกล้าที่จะแตกต่าง คือ ๓ อุปนิสัยแห่งความสำเร็จ (ท่าน ว.วชิรเมธี)
To dream big, to see failure as a teacher, and
to dare to take risks, make decisions,
and be different
are the three habits for success.
Mindset ความฝัน พัฒนาตนเอง
นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูความรู้เพิ่มเติมที่นี่
น่าอาย คนสวนพูดภาษาอังกฤษได้ l Lw Film
หนังสั้น เรื่องราวสะท้อนสังคม เตือนภัยต่างๆ
หนังสั้น ละครสั้น
ตั้งค่าปุ่มสลับเปลี่ยนภาษา [ไทย-อังกฤษ] Windows 10 v1803
การตั้งค่าปุ่มสลับภาษา ใน Windows 10 ระหว่างภาษาไทย และ ภาษาอังกฤษ หรือ ภาษาอื่นๆ ที่ผู้ใช้งานได้เพิ่มไว้ โดยในตัวอย่างนี้เป็น Windows 10 v1803 ที่มีการอัปเดตล่าสุด
ลิ้งค์บทความ: https://www.nongit.com/blog/changelanguagewindows10.html
Web Blog: https://www.nongit.com
ติดตาม Facebook ที่: https://fb.com/nongitcom
Where’s the Erawan Shrine (การบอกทิศทาง สถานที่ ที่ตั้ง) – สื่อการเรียนการสอน ภาษาอังกฤษ ป.4
สื่อการเรียนการสอน วิชา ภาษาอังกฤษ ระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4
เรื่อง Where’s the Erawan Shrine (การบอกทิศทาง สถานที่ ที่ตั้ง)
ท่านสามารถติดตาม สื่อการเรียนการสอน
\”ครูโอ๋ สื่อการเรียนการสอน\” ได้อีกหลายช่องทาง
webpage : http://www.kruao.com (ครูโอ๋)
fanpage : https://goo.gl/O22C3X
google+ : https://goo.gl/OBu7ia
youtube : https://goo.gl/bZlYwE
twitter : https://goo.gl/yHzunt
ฝากติดตามเพจ channel website ด้วยครับเพื่อพบกับ
สื่อการเรียนการสอน ที่เราอัพเดทให้ใหม่ๆ ตลอดฟรีๆ
สื่อการเรียนรู้ การสอนชุดนี้ ถูกนำไปใช้ใน การเรียนการสอนให้กับนักเรียนทั่วประเทศ ท่านอาจเห็น สื่อที่ครูโอ๋ นำมาเผยแพร่นี้ ผ่านทาง การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม เพื่อนำมาช่วยในการ สอนนักเรียนให้เห็นภาพมากยิ่งขึ้น ช่วยในการอธิบาย ทำให้ผู้สอน หรือครูง่ายในการจัดการเรียนการสอนมากขึ้น สื่อนี้อาจไม่ได้ดี 100% หรือดีที่สุด แต่หากมีผู้สนับสนุน นักเรียน ให้ลูกหลานท่าน ดูไปด้วย ท่านก็ช่วยเพิ่มเติมความรู้ไปด้วย จะเป็นประโยชน์ต่อตัวบุตรหลานของท่านอย่างมาก ท่านอาจไม่ต้องให้ดูเยอะ ให้ดูวันละ 1 คลิป 1 วีดีโอ ก็ยังดีกว่าไม่ได้ดู เพิ่มเติมเลย
ในมุมมองของครูนั้น หากบางจุด สอนยาก หรืออธิบายยาก ท่านลองมาหาใน ครูโอ๋ แชนแนล ดูว่ามีวีดีโอไหน ที่ช่วยให้ท่านนำไปใช้ สอนได้ง่ายขึ้น ท่านอาจไม่ต้องเปิดทั้งวีดีโอ แต่เลือกส่วนที่สำคัญ ที่จะสานต่อการสอนของท่านให้ตรงเป้าหมาย ตรงตามตัวชี้วัด ของท่าน ทำให้ท่านสอนนักเรียนได้ง่ายขึ้น นักเรียนเห็นภาพการ์ตูน ภาพตัวอย่าง ก็เข้าใจมากขึ้น
สื่อการสอนนี้นำมาจาก
โครงการแท็บเล็ตพีซีเพื่อการศึกษาไทย
(OTPC : One Tablet Per Child)
จัดทำโดยสำนักงานเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
เรียนภาษาอังกฤษ สื่อการสอนอังกฤษ ครูโอ๋ สื่อการเรียนการสอน
เรียนภาษาอังกฤษด้วยตนเอง ฝึกพูดอังกฤษ สื่อการสอนป4
แชร์ประสบการณ์เรียนต่างประเทศช่วงโควิด🇦🇺AUS ไปเรียนแบบพูดอังกฤษไม่ได้ เรียน+ทำงาน Ep.4 | Juneissaree
โรงเรียนที่เราไป https://eu.edu.au/
เราไปเรียนภาษาที่ Australia | Melbourne 🇦🇺
ใครที่ยังไม่ได้ดู Ep.1 จิ้ม https://youtu.be/YPDrV3g7JV0
Instagram : https://instagram.com/juneniissum?utm…
Facebook : https://www.facebook.com/juneissaree/
Contact me
[email protected]
LINE : juneniissum (for work)
Facebook page : June Issaree
ออสเตรเลีย เรียนต่อออสเตรเลีย เรียนต่อต่างประเทศ Melbourne Australia
เรียนภาษา
นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูบทความเพิ่มเติมในหมวดหมู่LEARN FOREIGN LANGUAGE
ขอบคุณมากสำหรับการดูหัวข้อโพสต์ บอก ที่ อยู่ เป็น ภาษา อังกฤษ