Skip to content
Home » [Update] ประโยคคำถามแบบ Tag Question เรียนรู้การตอบแบบง่าย ๆ ให้ไม่งง | ตัวอย่างประโยคบอกเล่า – NATAVIGUIDES

[Update] ประโยคคำถามแบบ Tag Question เรียนรู้การตอบแบบง่าย ๆ ให้ไม่งง | ตัวอย่างประโยคบอกเล่า – NATAVIGUIDES

ตัวอย่างประโยคบอกเล่า: คุณกำลังดูกระทู้

มีประโยคชนิดหนึ่งที่มีส่วนท้ายหรือส่วนหางเป็นรูปคำถาม เรียกว่า Tag question หรือ Question tag คำถามประเภทนี้จึงประกอบด้วยประโยคสองส่วน คือส่วนต้นเป็นประโยคธรรมดา ส่วนท้ายเป็นประโยคคำถาม ซึ่งเป็นรูปคำถามแบบ Yes/No Question คำถามชนิดนี้นิยมใช้ในการพูดคุยสนทนา โดยเฉพาะในการใช้ประโยคยาวๆ จะทำให้ไม่สับสน อาจกล่าวได้ว่า คำถามชนิดนี้เป็นการแสดงความรู้สึกหรือความเข้าใจของตนเองก่อนแล้วจึงขมวดเป็นการถามทีหลัง ว่าเป็นอย่างที่พูดมาข้างต้นหรือเปล่า ลักษณะสำคัญของ โครงสร้างคำถามชนิดนี้ก็คือ ท่อนต้นเป็นประโยคบอกเล่าหรือปฏิเสธ ท่อนหลังเป็นคำถามแบบ Yes/No Question แต่ใช้สรรพนาม (pronoun) ของประธานในท่อนต้นมาเป็นประธานในท่อนคำถาม การสร้างประโยคคำถามชนิดนี้จำแนกออกเป็น 2 วิธี ดังนี้
1. ท่อนต้นเป็นรูปประโยคบอกเล่า ท่อนหลังเป็นรูปคำถามปฏิเสธ ซึ่งผู้ถามคาดว่าจะได้คำตอบรับมากกว่าปฏิเสธ
ตัวอย่าง
The man is your boss, isn’t he?
ชายคนนั้นคือเจ้านายของคุณ มิใช่หรือ
It is very hot today, isn’t it?
วันนี้อากาศร้อนมาก มิใช่หรือ
You know her very well, don’t you?
คุณรู้จักเธอดี มิใช่หรือ
The tourist group will arrive at ten, won’t it?
คณะทัศนาจรจะมาถึงในเวลา 10 โมง มิใช่หรือ
Your sister got a scholarship, didn’t she?
น้องสาวของคุณได้ทุนการศึกษา มิใช่หรือ
The students are doing exercises in the class, aren’t they?
นักศึกษากำลังทำแบบฝึกหัดอยู่ในห้องเรียนมิใช่หรือ
2. ท่อนต้นเป็นรูปประโยคปฏิเสธ ท่อนหลังเป็นคำถามธรรมดา ซึ่ง ผู้ถามคาดว่าจะได้คำตอบเป็นปฏิเสธ คือเป็นอย่างที่เขากล่าวในท่อนต้น
ตัวอย่าง
You don’t like beer, do you?
คุณไม่ชอบเบียร์ ใช่ไหม
This subject isn’t so difficult, is it?
วิชานี้ไม่ยากมาก ใช่ไหม
Suda and Vilai didn’t appear at the party, did they?
สุดาและวิไลไม่มางานเลี้ยง ใช่ไหม
No one knows his address, do they?
ไม่มีใครทราบที่อยู่ของเขา ใช่ไหม
They haven’t been to Phuket, have they?
พวกเขาไม่เคยไปภูเก็ต ใช่ไหม
The students won’t take class, will they?
นักศึกษาจะไม่เข้าเรียน ใช่ไหม
ข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับ Tag question
-ถ้าในท่อนแรกเป็น I am คำถามท่อนหลังเป็น aren’t I? แต่ถ้า ท่อนแรกเป็น I am not คำถามในท่อนหลังเป็น am I? เช่น
I am your teacher, aren’t I?
ฉันเป็นครูของคุณ มิใช่หรือ
I am not the group leader, am I?
ฉันไม่ใช่ผู้นำกลุ่ม ใช่ไหม
-ถ้าในประโยคมีคำที่แสดงความหมายปฏิเสธหรือมีความหมาย คล้ายๆ กัน ในท่อนหลังใช้รูปคำถามธรรมดา เช่น
Vichai hardly passed his test, did he?
วิชัยเกือบไม่ผ่านการทดสอบ ใช่ไหม
You have never been to Khon Kaen, have you?
คุณไม่เคยไปขอนแก่น ใช่ไหม
-ถ้าในท่อนแรกเป็นประโยคคำสั่ง ท่อนหลังใช้ will you? ใน ความหมายขอร้อง และเป็นรูปปฏิเสธ won’t you? ในความหมายเชื้อเชิญ และถ้าเป็นประโยคชักชวนขึ้นต้นด้วย Let’s ท่อนหลังเป็น shall we? เช่น
Open the window, will you?
เปิดหน้าต่างหน่อยได้ไหม
Wait a minute, will you?
รอสักครู่ได้ไหม
Come in, won’t you?
เชิญเข้าข้างในเลยครับ
Have a cup of tea, won’t you?
คุณจะรับนํ้าชาสักถ้วยไหม
Let’s take a walk, shall we?
ไปเดินเล่นกันไหม
Let’s go shopping after lunch, shall we?
หลังอาหารกลางวัน ไปหาซื้อของกันไหม
-ถ้าประธานในท่อนแรกมีคำเหล่านี้ everybody, everything, nobody, every one สรรพนามในท่อนหลังเป็น they เช่น
Everybody likes him, don’t they?
ทุกคนชอบเขาใช่ไหม
Nobody is waiting for you, are they?
ไม่มีใครกำลังรอคอยคุณใช่ไหม
การตอบคำถาม Question Tag
การตอบคำถามประเภทนี้ใช้ yes หรือ no เช่นเดียวกับ yes/no Question และใช้ในกฎเดียวกัน การตอบคำถามอาจจะแยกได้ตามชนิดของคำถามได้ดังนี้
-ถ้าเป็นคำถามประเภทแรก คือท่อนแรกเป็นประโยคบอกเล่า ท่อนหลังเป็นคำถามปฏิเสธ ต้องการคำตอบบอกรับมากกว่าปฏิเสธ แต่ในความเป็นจริงอาจจะเป็นปฏิเสธได้เช่นกัน
ตัวอย่าง
คำถาม   
The man is your teacher, isn’t he?    ชายคนนั้นเป็นครูของคุณ มิใช่หรือ
คำตอบ
Yes, he is.
ใช่, เขาเป็นครูของฉัน
No, he isn’t.
เปล่า, เขาไม่ใช่ครูของฉัน
คำถาม
You like her, don’t you?
คุณชอบเธอมิใช่หรือ
คำตอบ
Yes, I do.
ใช่, ฉันชอบเธอ
No, I don’t.
เปล่า, ไม่ชอบ
คำถาม
They can speak Thai; can’t they?
พวกเขาพูดไทยได้มิใช่หรือ    คำตอบ
Yes, they can.
ใช่, พูดได้
No, they can’t.
เปล่า, พูดไม่ได้
-ถ้าเป็นคำถามประเภทที่สอง คือท่อนแรกเป็นประโยคปฏิเสธ ท่อนหลังเป็นคำถามธรรมดา ต้องการคำตอบปฏิเสธมากกว่ารับ เช่นเดียวกับ Yes/No question ที่เป็นรูปปฏิเสธ มีกฎเกณฑ์อย่างเดียวกัน และมีความสับสนในภาษาไทยเหมือนกัน
ตัวอย่าง
คำถาม   
You cannot speak Chinese, can you?
คุณพูดภาษาจีนไม่ได้ ใช่ไหม
คำตอบ
No, I can’t.
ไม่ได้., พูดไม่ได้
Yes, I can.
ได้., พูดได้
คำถาม
No one likes her, do they?
ไม่มีใครชอบเธอ ใช่ไหม
คำตอบ
No, they don’t.
ใช่, ไม่มี
Yes, they do.
มี, มีอยู่
คำถาม
Vicit didn’t get hurt, did he?
วิชิตไม่ได้รับบาดเจ็บ ใช่ไหม
คำตอบ
No, he didn’t.
ใช่, ไม่บาดเจ็บ
Yes, he did.
ไม่ใช่, เขาได้รับบาดเจ็บ
Yes/No Question กับ Tag Question
ประโยคคำถามทั้งสองชนิดนี้มีความหมายเหมือนกัน ต้องการคำตอบอย่างเดียวกันคือตอบรับและปฏิเสธ แต่รูปประโยคต่างกัน คือ Yes/No Question เป็นรูปคำถามทั้งประโยค โดยขึ้นต้นด้วยกริยา นิยมใช้ทั่วๆ ไป ถ้าเป็นประโยคเนื้อความยาวๆ อาจทำให้สับสนได้ โดยเฉพาะในการสนทนา ถ้าเป็นประโยคยาวๆ อาจมีปัญหาได้ ส่วน Tag Question เป็นคำถามเฉพาะส่วนท้าย ซึ่งเป็นรูป Yes/No Quest. นั่นเอง ถือว่าเป็นคำถามที่เน้นกว่านิยมใช้ในการพูดคุยสนทนา ทำให้พูดง่ายและเข้าใจง่าย โดยเฉพาะในประโยคยาวๆ ในท่อนแรกเป็นการแสดงความรู้สึกหรือความเข้าใจของผู้พูดเองทั้งหมด จากนั้นจึงถามว่าเป็นจริงอย่างในท่อนแรกหรือเปล่า อย่างไรก็ตาม แม้ว่าคำถามทั้งสองชนิดนี้มีรายละเอียดแตกต่างแต่อาจใช้แทนกันได้ โดยมีความหมายเหมือนเดิม ดังต่อไปนี้
Yes/No     =     Is he your teacher?
เขาเป็นครูของคุณใช่ไหม
Tag         =     He is your teacher, isn’t he?
เขาเป็นครูของคุณมิใช่หรือ
Yes/No     =     Did you take part in the party to congratulate him last night?
คุณร่วมงานเลี้ยงแสดงความยินดีกับเขาเมิ้อคืนนี้ใช่ไหม
Tag         =     You took part in the party to congratulate him last night, didn’t you?
คุณเข้าร่วมงานเลี้ยงแสดงความยินดีกับเขาเมิ้อคืนนี้
มิใช่หรือ
Yes/No     =     Don’t you understand what I said?
คุณไม่เข้าใจสิ่งที่ฉันพูดใช่ไหม
Tag         =     You don’t understand what I said, do you?
คุณไม่เข้าใจสิ่งที่ฉันพูดใช่ไหม
Yes/No     =     Isn’t the Grand Palace far from the National Museum?
พระบรมมหาราชวังไม่ไกลจากพิพิธภัณฑสถาน
แห่งชาติ ใช่ไหม
Tag         =     The Grand Palace isn’t far from the National Museum, is it?
พระบรมมหาราชวังไม่ไกลจากพิพิธภัณฑสถาน
แห่งชาติ มิใช่หรือ
Alternative Question กับ Tag Question
คำถามประเภท Alternative แม้โดยทั่วไปแล้วจะไม่ทำให้สับสน เพราะมีรูปประโยคและความหมายที่ชัดเจน คือมี or เชื่อมเพื่อให้เลือกเอา แต่ถ้าจะพิจารณาให้ดีแล้วมีรูปและความหมายคล้ายกับ Yes/No Question แม้ผู้ถามจะไม่มีเจตนาจะให้เป็นอย่างนั้นก็ตาม แต่ถ้าจะมีใครให้ความหมาย เป็น Yes/No Quest. ก็มีความเป็นไปได้เช่นกัน ฉะนั้น ประโยคอย่างเดียวกัน อาจจะมีความหมายแตกต่างกันได้ คือเป็นคำถามประเภท Alternative หรือ Yes/No ดังตัวอย่างต่อไปนี้ Alternative =     Do you like tea or coffee?
คุณชอบชาหรือกาแฟ
Can you speak Thai or Chinese?
คุณสามารถพูดไทยหรือจีนได้
Will he take Conversation, Translation or Writing?
เขาจะเรียนการสนทนา การแปล หรือการเขียน
Yes/No =         Do you like tea or coffee?
คุณชอบชาหรือกาแฟไหม
Can you speak Thai or Chinese?
คุณพูดภาษาไทยหรือภาษาจีนได้ไหม
Will he take Conversation, Translation or Writing?
เขาจะเรียนการสนทนา การแปล หรือการเขียนไหม
จากตัวอย่างความหมายในภาษาไทยของประโยคต่างๆ เหล่านี้ จะเห็นว่ามีจุดมุ่งหมายในการถามต่างกัน or ในคำถามชนิดแรกเป็นตัวเชื่อมเพื่อให้เลือกจริงๆ ส่วนในคำถามประเภทที่สอง or ทำหน้าที่แค่เป็นตัวเสริมเท่านั้น ซึ่งอาจจะไม่มีก็ได้ เพิ่มเข้าเพื่อให้รายละเอียดเท่านั้น ต้องการคำตอบ yes หรือ no เท่านั้น
ฉะนั้น เพื่อจะให้ได้คำถามและคำตอบแตกต่างจาก Alternative Quest. อย่างชัดแจ้งแล้ว สามารถสร้างเป็นคำถามแบบ Tag Question ได้ ดังนั้นประโยคต่างๆ ข้างบนนั้น สร้างเป็นคำถามแบบ Tag Question พร้อมคำตอบได้ดังนี้
You like tea or coffee, don’t you?
คุณชอบชาหรือกาแฟ มิใช่หรือ
Yes, I do.
ใช่,ฉันชอบ
No? I don’t.
เปล่า, ฉันไม่ชอบ
You can speak Thai or Chinese, can’t you?
คุณพูดภาษาไทยหรือภาษาจีนได้ มิใช่หรือ
Yes, I can.
ใช่, ฉันพูดได้
No? I don’t.
เปล่าม ฉันไม่ชอบ
You can speak Thai or Chinese, can’t you?
คุณพูดภาษาไทยหรือภาษาจีนได้ มิใช่หรือ
Yes, I can.
ใช่, ฉันพูดได้
No, I can’t.
เปล่า, พูดไม่ได้
He will take Conersation, Translation or Writing, won’t he?
เขาจะเรียนการสนทนา การแปล หรือการเขียน มิใช่หรือ
Yes, he will
ใช่, เขาจะเรียน
No, he won’t.
เปล่า, เขาไม่เรียน
แบบฝึกหัด
จงสร้างประโยคต่อไปนี้เป็นคำถาม Tag Question แล้วตอบคำถาม
ตัวอย่าง
He likes English very much.
= He likes English very much, doesn’t he?
Yes, he does./ No, he doesn’t.
1.     Malee is a good student.
……………………………………………………………………..
2. You teach English at Krirk University.
……………………………………………………………………..
3. Thawee and Vichien will go to work in Japan.
……………………………………………………………………..
4. Your mother arrived in Bangkok yesterday.
……………………………………………………………………..
5. This exercise isn’t very hard for you.
……………………………………………………………………..
6. Everyone wants to learn English with him.
……………………………………………………………………..
7. You haven’t been to Chieng Mai.
……………………………………………………………………..
8. Sit down and don’t speak.
……………………………………………………………………..
9. Let’s take a rest for a while after the meeting.
……………………………………………………………………..
10. He comes from Australia.
……………………………………………………………………..
11. You think they are intelligent students.
……………………………………………………………………..
12. They hardly come to visit you.
……………………………………………………………………..
13. Your sister can speak English very well.
……………………………………………………………………..
14. The tourists don’t know the way to the Grand Palace.
……………………………………………………………………..
15. I think they won’t arrive tomorrow.
……………………………………………………………………..
ที่มา:ดร.สวาสดิ์  พรรณา

(Visited 47,441 times, 4 visits today)

Table of Contents

[Update] Grammar: สรุปหลักการใช้ Present Continuous Tense : กำลังทำยังไม่จบ | ตัวอย่างประโยคบอกเล่า – NATAVIGUIDES

หากต้องการจะบอกว่า เรากำลังทำสิ่งนั้นสิ่งนี้อยู่ ในภาษาอังกฤษจะต้องใช้รูปประโยค Present Continuous Tense ซึ่งมีการใช้ และโครงสร้างอย่างไร มาดู สรุปหลักการใช้ Present Continuous Tense : กำลังทำยังไม่จบ กันค่ะ

ลักษณะการใช้ Present Continuous Tense

Present Continuous Tense หรือหลายคนอาจจะรู้จักในชื่อ Present Progressive Tense อย่างที่เรารู้ว่า present แปลว่า ปัจจุบัน ส่วน continuous/progressive แปลว่า ดำเนินอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น Tense นี้จึงเป็นการบอกเล่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน โดยมีลักษณะการใช้ดังนี้

1. ใช้เพื่อบอกเล่าเหตุการณ์หรือการกระทำในปัจจุบันที่กำลังดำเนินอยู่และยังไม่จบลง (จะจบลงในอนาคต) โดยอาจพบคำบอกเวลา (Adverbs of time) ปรากฏอยู่ในประโยคด้วย เช่น now, at the moment, right now เป็นต้น ตัวอย่างการใช้เช่น

    I am studying at Chulalongkorn university.
   (ฉันกำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)

   Palm is trying to lose weight now.
   (ปาล์มกำลังพยายามลดน้ำหนักอยู่ตอนนี้)

2. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่กำลังเป็นกระแสหรือเป็นที่นิยมอยู่ในขณะนั้น เช่น   

    These day, most people are favoring healthy food.
    (ปัจจุบันผู้คนส่วนใหญ่กำลังนิยมอาหารเพื่อสุขภาพ)

3. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยมีการเตรียมและวางแผนไว้ล่วงหน้าอย่างแน่นอนแล้ว และมักพบคำบอกเวลา (Adverbs of time) เช่น tonight, this evening, tomorrow, next week เป็นต้น ตัวอย่างการใช้เช่น

   I am meeting my parent tonight.
   (ฉันจะพบกับพ่อแม่ในคืนนี้)

   Cherprang and Pun are going on holiday next week.
   (เฌอปรางและปัญจะไปพักร้อนสัปดาห์หน้า)

4. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นบ่อยจนเกินไป ทำให้ซ้ำซากและน่าเบื่อ ตัวอย่างเช่น

   Suwich is constantly talking. I wish he would shut up.
   (สุวิชพูดไม่หยุดเลย ฉันหวังว่าเขาจะหยุดพูดเสียที)
**ผู้พูดแสดงอาการรำคาญจากการพูดไม่หยุดของสุวิช

   I don’t like gangster near my house because they are always making noisy.
   (ฉันไม่ชอบกลุ่มอันธพาลใกล้บ้านของฉัน เพราะพวกเขามักจะทำเสียงดังเสมอ)
**ถึงแม้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นประจำ แต่มันเกินพอดีจึงใช้ในรูปประโยค Present Continuous Tense

รูปประโยคของ Present Continuous Tense

ลักษณะเด่นของรูปประโยค Present Continuous Tense คือ การใช้ V. to be (Is, Am, Are) และตามด้วยคำกริยาที่มีการเติม -ing โดยรูปประโยค Present Continuous Tense มี 3 รูปแบบ ดังนี้

1. ประโยคบอกเล่า

โครงสร้างประโยคบอกเล่า : Subject + V. to be + Verb. เติม ing + Object + (คำบอกเวลา)
สิ่งที่เราต้องคำนึงในรูปประโยคของ Present Continuous Tense คือการใช้ V. to be ซึ่งประกอบด้วย is, am, are โดยจะเลือกใช้ V. to be ตัวใดนั้นให้สังเกตที่ประธานของประโยค ถ้าประธานเป็น He, She, It ให้ใช้ is แต่ถ้าประธานเป็น I ให้ใช้ am และถ้าประธานเป็น You, We, They ให้ใช้ are และเปลี่ยนรูปคำกริยาโดยการเติม ing ตัวอย่างเช่น

My sister is playing violin.
(น้องสาวของฉันกำลังเล่นไวโอลิน)
** ประโยคนี้ประธานคือ My sister หรือใช้ She แทนได้ จึงต้องตามด้วย V. to be คือ is และเติม ing หลังคำว่า play

We are reading newspaper now.
(พวกเรากำลังอ่านหนังสือพิมพ์ตอนนี้)
** ประโยคนี้ประธานคือ We ซึ่งเป็นพหูพจน์ ต้องตามด้วย V. to be คือ are และเติม ing หลังคำว่า read

I am sleeping under the tree.
(ฉันกำลังนอนอยู่ใต้ต้นไม้)
** ประโยคนี้ประธานคือ I ซึ่งถึงแม้ว่าจะเป็นเอกพจน์ แต่จะต้องตามด้วย V. to be คือ am เท่านั้น และเติม ing หลังคำว่า sleep

ความรู้เพิ่มเติม : หลักการเติม ing ท้ายคำกริยาโดยทั่วไปสามารถเติม ing ได้เลย แต่มีข้อยกเว้นบางกรณี ดังนี้

1. คำกริยานั้นมีสระเสียงสั้น (อะ อิ อุ เอะ โอะ ฯลฯ) และโดยมากมักเป็น a, e, i, o, u อยู่หน้าพยัญชนะท้าย หรือคำกริยานั้น ๆ มีตัวสะกดเพียงตัวเดียว ก่อนเติม ing ให้เพิ่มตัวสะกดของคำนั้นซ้ำอีกตัวหนึ่งแล้วจึงเติม ing เช่น

sit   —>   sitting
cut   —>   cutting
get   —>   getting
shop   —>   shopping

2. คำกริยานั้นลงท้ายด้วย e ให้ตัด e ทิ้งแล้วเติม ing เช่น

come   —>   coming
drive   —>   driving
make   —>   making
ride   —>   riding
smoke   —>   smoking

3. คำกริยาที่มีสระ 2 ตัว (A, E, I, O, U) ให้เติม ing ได้เลย เช่น

cook   —>   cooking
keep   —>   keeping
read   —>   reading

4. คำกริยาที่ลงท้ายด้วย ie ให้เปลี่ยน ie เป็น y แล้วจึงเติม ing เช่น

die   —>   dying
lie   —>   lying

5. คำกริยาที่มีสองพยางค์ และออกเสียงหนัก (stress) ที่พยางค์หลัง โดยพยางค์นั้นมีสระและตัวสะกดเพียงตัวเดียว ให้เพิ่มตัวสะกดของคำนั้นซ้ำอีกตัวหนึ่งแล้วจึงเติม ing เช่น

begin   —>   beginning
refer   —>   referring
swim   —>   swimming

2. ประโยคคำถาม

โครงสร้างประโยคคำถาม : V. to be + Subject + Verb. เติม ing + object + (คำบอกเวลา)?
ประโยคคำถามใน Present Continuous Tense ไม่มีกฎอะไรมากมายเลยค่ะ เพียงแค่สลับที่ V. to be ขึ้นมาไว้ต้นประโยค โดยต้องพิจารณาการเลือกใช้ V. to be ตามประธานของประโยคด้วย เพียงเท่านี้ก็จะได้ประโยคคำถาม ตัวอย่างเช่น

Is it raining at the moment ?
(ฝนกำลังตกอยู่ตอนนี้หรือเปล่า?)

Are you lying to me ?
(คุณกำลังโกหกฉันหรือเปล่า?)

3. ประโยคปฏิเสธ

โครงสร้างประโยคปฏิเสธ : Subject + V. to be + not + Verb. เติม ing + object + (คำบอกเวลา)
สำหรับรูปประโยคปฏิเสธคงรูปเดิมคล้ายกับประโยคบอกเล่า แต่เพิ่ม not ขึ้นมาหลัง V. to be เพียงเท่านี้ก็จะเป็นประโยคปฏิเสธใน Present Continuous Tense ตัวอย่างเช่น

The students are not studying Science.
(นักเรียนไม่ได้กำลังเรียนวิชาวิทยาศาสตร์)

Sunisa is not doing homework.
(สุนิสาไม่ได้กำลังทำการบ้าน)

I am not swimming in the canal.
(ฉันไม่ได้กำลังว่ายน้ำอยู่ในลำคลอง)

ข้อควรจำ : คำกริยาบางตัวไม่สามารถนำมาใช้ในรูปประโยค Present Continuous Tense ได้ ดังนี้

1. กริยาที่แสดงถึงประสาทสัมผัสทั้งห้า เช่น see, hear, feel, taste, smell เป็นต้น
2. กริยาที่แสดงความรู้สึก นึกคิด เช่น believe, know, understand,  forget, remember, recognize, fear เป็นต้น
3. กริยาที่แสดงความชอบและไม่ชอบ เช่น love, like, hate, dislike, desire เป็นต้น
4. กริยาที่แสดงความต้องการ เช่น want, wish, prefer เป็นต้น

อ่านเนื้อหาเพิ่มเติมได้ที่
>>>แกรมม่าสำคัญต้องรู้! คำกริยาห้ามเติม –ing ใน Present Continuous Tense
>>>เทียบชัด ๆ ให้เคลียร์ หลักการใช้ Present simple กับ Present continuous

 


ก็มาดิคะ – ยุ่งยิ่ง กนกนันทน์ feat.Night tingle (OFFICIAL MV)


เพลง ก็มาดิคะ
ศิลปิน ยุ่งยิ่ง กนกนันทน์
คำร้อง/ทำนอง : แจ็ค ลูกอีสาน
เรียงเรียง : ONUTZ
Mix\u0026Mastering : ONUTZ
Music
Guitar : อภิสิทธิ์ แววบุตร/กิตติชัย เรืองศิลป์
Bass : จุฬาศักดิ์ ศรีสุวะ
Drum : อาจารย์โมลี กฤษณพงษ์
Keyboard : เกษมสันต์ บุตรศรี
Video by : Inie Studio
ติดต่องานแสดง : 0629491163
(Facebook)👇
ยุ่งยิ่ง กนกนันทน์
: https://www.facebook.com/yungying.ylovef
ทอมมี่ Night tingle (มือกีตาร์)
https://www.facebook.com/profile.php?id=100008066325928
เต๋า Night tingle (มือเบส)
https://www.facebook.com/chulasak
โต้ง Night tingle (มือกลอง)
https://www.facebook.com/tonglovebigbike
Producer : ONUTZ
CoProducer : ยุ่งยิ่ง กนกนันทน์
Creative : ยุ่งยิ่ง กนกนันทน์
Costume : ยุ่งยิ่ง กนกนันทน์

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูเพิ่มเติม

ก็มาดิคะ - ยุ่งยิ่ง กนกนันทน์ feat.Night tingle (OFFICIAL MV)

ประโยคชนิดต่างๆ ตอนที่ 2 – สื่อการเรียนการสอน ภาษาไทย ป.3


ครูโอ๋ สื่อการเรียนการสอน
webpage : http://www.kruao.com
fanpage : https://goo.gl/O22C3X
google+ : https://goo.gl/OBu7ia
youtube : https://goo.gl/bZlYwE
วีดีโอนี้จะสอนเกี่ยวกับ
มาเรียนรู้ ประโยคชนิดต่างๆ ต่อน่ะครับ ในตอนที่ 2
หลักการสร้างประโยค
มาเรียนรุ้เรื่อง ประโยคคำสั่ง, ประโยคแสดงความต้องการ และ ประโยคขอร้อง
ตัวอย่างคำศัพท์ และตัวอย่างประโยค
บทเรียนอิเล็กทรอกนิกส์ วิชา ภาษาไทย ป.3 ชุดนี้
เป็นสื่อการเรียนการสอนที่นำมาจาก
โครงการแท็บเล็ตพีซีเพื่อการศึกษาไทย
(OTPC : One Tablet Per Child)
จัดทำโดยสำนักงานเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์
http://www.otpchelp.com

ประโยคชนิดต่างๆ ตอนที่ 2 - สื่อการเรียนการสอน ภาษาไทย ป.3

วิธีการทำประโยคคำถามและประโยคปฏิเสธอย่างง่าย ในภาษาอังกฤษ


วิธีการทำประโยคคำถามและประโยคปฏิเสธอย่างง่าย เช่น
ประโยคบอกเล่า : I am wearing a black cap today.
ประโยคคำถาม : เราจะเอา Verb ขึ้นต้น เอา V ช่วย ขึ้นต้น แล้วท้ายประโยคต้องมี ? Am I wearing a black cap today?
ประโยคปฎิเสธ : เราจะเอา not มาช่วย Vช่วย I am not wearing a black cap today.

จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนรู้
ติดตาม Facebook และ Instagram : The Happy Time with Q
หากผิดพลาดประการใด ผู้จัดทำขออภัยมานะที่นี้ด้วยค่ะ 😀

วิธีการทำประโยคคำถามและประโยคปฏิเสธอย่างง่าย ในภาษาอังกฤษ

GREASY CAFE – สุดสายตา Ost. ภาพยนตร์ The Down [Official MV]


(c) 2015 smallroom Bangkok Pop Music Label since 1999
สุดสายตา เพลงประกอบภาพยนตร์ เดอะดาวน์
โดย a day และ เอไอเอส
เนื้อร้อง / ทำนอง / เรียบเรียง : อภิชัย ตระกูลเผด็จไกร
Mixed and Mastered : เทอดศักดิ์ smallroom BKK, Thailand
► CD Album : http://bit.ly/iTemsGreasyCafe
► iTunes / AppleMusic : http://bit.ly/iTunesGreasyCafe
► JOOX : http://bit.ly/JOOXGreasyCafe
► Deezer : http://bit.ly/DeezerGreasyCafe
► Spotify : http://bit.ly/SpotifyGreasyCafe
► Fungjai : http://bit.ly/FungjaiGreasycafe
► Digital Download : 492567 กด 261
MEET US
IG @smallroommusic @GreasyCafe
http://www.facebook.com/smallroommusic
http://www.facebook.com/GreasyCafe
http://www.smallroom.co.th
SHOW BOOKING
022617826
0922678260
สุดสายตา LYRICS
ใจของคนมากมาย ที่ต่างมีสีที่คล้ายกัน
ขนาดใกล้กัน ไม่แตกต่างมากมายซึ่งกัน

เราต่างกันเช่นไร เป็นเพียงมนุษย์ที่หายใจ
เหงาในรอยน้ำตา ต่างมีบาดแผลจากกาลเวลา

แต่สิ่งที่ต่าง คือระยะห่างของใจที่เธอเลือกวางอยู่ตรงไหน
ห่างกันมากมายจากฉันหรือไม่

เราต่างเคยพ่ายแพ้ อ่อนแอในบางหน
จมลงในผู้คนอันมากมาย
ลองมองที่ปลายฟ้า มองให้สุดสายตา
สิ่งที่เรามองเห็น เป็นเพียงแค่เส้นตรงที่เท่ากัน
ไม่ต่างจากเธอฉัน เราเป็นเพียงแค่คนเช่นกัน

เราต่างเคยพ่ายแพ้ อ่อนแอในบางหน
จมลงในผู้คนอันมากมาย
ลองมองที่ปลายฟ้า มองให้สุดสายตา
สิ่งที่เรามองเห็นเป็นเพียงแค่เส้นตรงที่เท่ากัน
เราต่างเคยพ่ายแพ้ อ่อนแอและล้มลง
จมลงในผู้คนอันมากมาย
ลองมองที่ปลายฟ้า มองให้สุดสายตา
สิ่งที่เรามองเห็นเป็นเพียงแค่เส้นตรงที่เท่ากัน
ไม่ต่างจากเธอฉัน เราเป็นเพียงแค่คนเช่นกัน
ไม่ต่างจากเธอฉัน หากเรายังหายใจเช่นกัน
THANKS FOR WATCHING AND SMILING 🙂

GREASY CAFE - สุดสายตา Ost. ภาพยนตร์ The Down [Official MV]

ประโยคบอกเล่า Ost.ชัมบาลา (Official Audio)


ติดตามความเคลื่อนไหวก่อนใคร : http://www.facebook.com/sahamongkolfilmint
และภาพสวยๆจากชัมบาลา ได้ทาง IG @99_stepstoshambhala
………………………………………………………………………………………………..
เสียงร้องโดย เล็กอภิชัย ตระกูลเผด็จไกร GREASY CAFÉ
กับเพลง \”ประโยคบอกเล่า\” เพลงประกอบภาพยนตร์ ชัมบาลา
คำร้อง ทำนอง ขับร้อง Greasy Cafe’
เรียบเรียง รุ่งโรจน์ อุปถัมภ์โพธิวัฒน์ , Greasy Cafe’
………………………………………………………………………………………………..
คนแต่ละคนออกเดินทางด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน
แต่สำหรับผู้ชาย 2คน ที่ต่างมีมุมมองและเรื่องราวความรักต่างกัน
อนันดา เอเวอริงแฮม / ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์
กำลังจะพบกับการเดินทางครั้งสำคัญที่สุดในชีวิต
ที่ทำให้มุมมองความรักของทั้งคู่เปลี่ยนไป
คนหนึ่งออกเดินทางพร้อมความหลัง ส่วนอีกคนหนึ่งออกเดินทางด้วยความหวัง
ออกเดินทางพร้อมกัน 23 สิงหา นี้ ในโรงภาพยนตร์

ประโยคบอกเล่า Ost.ชัมบาลา (Official Audio)

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูวิธีอื่นๆLEARN FOREIGN LANGUAGE

ขอบคุณมากสำหรับการดูหัวข้อโพสต์ ตัวอย่างประโยคบอกเล่า

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *