Skip to content
Home » [Update] ประโยคคำถามแบบ Indirect Question เป็นอย่างไร | เปลี่ยนประโยคบอกเล่าเป็นประโยคคําถาม – NATAVIGUIDES

[Update] ประโยคคำถามแบบ Indirect Question เป็นอย่างไร | เปลี่ยนประโยคบอกเล่าเป็นประโยคคําถาม – NATAVIGUIDES

เปลี่ยนประโยคบอกเล่าเป็นประโยคคําถาม: คุณกำลังดูกระทู้

คำถามชนิดต่างๆ ที่กล่าวมาแล้วนั้นเป็นคำถามโดยตรง (Direct Question) คือทั้งประโยคที่พูดนั้นเป็นคำถามทั้งหมด เป็นคำถามจริงๆ แต่มีคำถามอีกชนิดหนึ่งเป็นส่วนประกอบของประโยคอื่น คือมีคำพูดเป็นส่วนนำก่อนแล้วจึงตามด้วยคำถาม ซึ่งอยู่ในรูปของประโยคบอกเล่า คำถามชนิดนี้ เรียกว่า Indirect Quest. (คำถามโดยอ้อม) คำถามชนิดนี้นิยมใช้พูดคุยสนทนามากเช่นกัน ผู้พูดอาจจะขอโอกาส ขอร้องหรือแสดงความรู้สึกก่อนแล้วจึงตามด้วยคำถาม ประโยคกล่าวนำนั้นอาจจะเป็นรูปประโยคอย่างใดก็ได้ อยู่ที่ผู้พูดว่าจะแสดงความรู้สึกอย่างใดเพื่อนำไปสู่คำถามนั้นๆ เปรียบเทียบคำถามโดยตรงและคำถามโดยอ้อม ดังต่อไปนี้

Direct Question

Indirect Question

What is your name?

คุณชื่ออะไร

 

I want to know what your name is

ฉันอยากจะทราบว่า คุณชื่ออะไร

 

Where are you from?

คุณมาจากไหน

I don’t know where you are from.

ฉันไม่ทราบว่า คุณมาจากไหน

 

Is she married?

เธอแต่งงานหรือยัง

 

I wonder if she is married.

ฉันไม่ทราบว่าเธอแต่งงานหรือยัง

Do you like boxing or football?

คุณชอบมวยหรือฟุตบอล

 

I’d like to know whether you like boxing or football.

ฉันอยากจะทราบว่า คุณชอบมวยหรือฟุตบอล

 

He can play Chinese music, can’t he?

เขาเล่นดนตรีจีนได้ มิใช่หรือ

 

Do you know whether he can play Chinese music or not?

คุณทราบไหมว่า เขาเล่นดนตรีจีนได้ไหม

 

ประโยคคำถามโดยอ้อมนี้ก็คือประโยค Complex นั้นเอง คือส่วนที่เป็นความหมายคำถามนั้นเป็นอนุประโยคทำหน้าที่เป็นนาม (Noun Clause) ซึ่งส่วนมากทำหน้าที่เป็นกรรม (object) ของประโยคหลัก (Main Clause) จากตัวอย่างข้างบนนั้น จะเห็นว่าประโยคนำหรือประโยคหลักมีรูปประโยคเป็นไปได้ต่างๆ กัน
ปลี่ยน Direct Question เป็น Indirect Question
การเปลี่ยนคำถามโดยตรงเป็นคำถามโดยอ้อม ก็คือการเปลี่ยน Direct Speech เป็น Indirect speech นั้นเอง แต่ในที่นี่ประโยคตามเป็นประโยคคำถามทั้งหมด ประโยคคำถามชนิดต่างๆ ที่กล่าวมานั้น สามารถเปลี่ยนเป็นคำถามโดยอ้อมได้ทุกชนิด ฉะนั้นการเปลี่ยนรูปประโยคในที่นี่จึงจำแนกออกตามชนิดของคำถามต่างๆ ดังต่อไปนี้
1. เปลี่ยน Yes/No Question การเปลี่ยนคำถามประเภทนี้เป็น คำถามโดยอ้อม นอกจากเปลี่ยนรูปประโยคเป็นบอกเล่าแล้วใช้ whether or not หรือ if (หรือไม่) เป็นคำเชื่อม
ตัวอย่าง

Direct Question

Indirect Question

Is he a doctor?

เขาเป็นหมอใช่ไหม

I don’t know if he is a doctor.

ฉันไม่ทราบว่า เขาเป็นหมอหรือไม่

Can you speak thai?

คุณพูดไทยได้ไหม

I wonder whether you can speak Thai (or not).

ฉันไม่ทราบว่า คุณพูดไทยได้หรือไม่

Did she come last week?

อาทิตย์ที่แล้ว เธอมาหรือไม่

Do you know whether (or not) she came last week?

คุณทราบไหมว่า อาทิตย์ที่แล้วเธอมาหรือไม่

Could you open the door?

คุณกรุณาเปิดประตูได้ไหม

I wonder if you could open the door.

ฉันไม่ทราบว่า คุณจะกรุณาเปิดประตูได้หรือเปล่า

whether มาคู่กับ or not หรือมาโดยลำพังก็ได้ or no อาจจะวางติด whether หรือวางท้ายประโยคก็ได้ ถ้าประโยคไม่ยาวเกินไป ใช้ if แทนได้แต่ตามด้วย or not ไม่ได้
2. เปลี่ยน Wh-Question การเปลี่ยนคำถามประเภทนี้ เพียงแต่ เปลี่ยนเป็นประโยคบอกเล่าเท่านั้น ไม่ต้องเติมคำเชื่อมใดๆ เพราะมี Question Words เป็นคำเชื่อมอยู่แล้ว
ตัวอย่าง

Direct Question

Indirect Question

Who is she?

เธอเป็นใคร

Do you know who she is?

คุณทราบไหมว่า เธอเป็นใคร

Whom do you want to see?

คุณต้องการพบใคร

 

I want to know whom you want to see.

ฉันอยากทราบว่า คุณต้องการพบใคร

What time is it?

เวลาเท่าไร

Please tell me what time it is.

กรุณาบอกฉันด้วยว่า เวลาเท่าไร

Where is the National Museum?

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอยู่ที่ไหน

I don’t know where the National Museum is.

ฉันไม่ทราบว่า พิพิธภัณฑ์สถานฯ อยู่ที่ไหน

When will the train leave?

รถไฟจะออกเวลาเท่าไร (เมื่อไร)

Do you know when the train will leave.

คุณทราบไหมว่า รถไฟจะออกเมื่อไร

Why did she say like that?

ทำไมเธอจึงพูดเช่นนั้น

I don’t understand why she said like that.

ฉันไม่เข้าใจว่า ทำไมเธอจึงพูดเช่นนั้น

How can we get there?

เราจะไปที่นั้นกันอย่างไร

Please tell me how we can get there.

กรุณาบอกฉันด้วยว่า เราจะไปที่นั่นกันอย่างไร

How many brothers and sisters do you have?

คุณมีพี่น้องกี่คน

My question is how many brothers and sisters you have.

คำถามของฉันก็คือว่า คุณมีพี่น้องกี่คน

3. เปลี่ยน Alternative question คำถามชนิดนี้เปลี่ยนโดยเติม whether เป็นคำเชื่อม โดยให้เป็นตัวเลือกคู่กับ or ซึ่งมีอยู่แล้ว และเปลี่ยนเป็นประโยคบอกเล่า
ตัวอย่าง

Direct Question

Indirect Question

Do you speak English or French?       

คุณพูดภาษาอังกฤษหรือฝรั่งเศส

I wonder whether you speak English or French

ฉันไม่ทราบว่า คุณพูภาษาอังกฤษ หรือฝรั่งเศส

Are they Thai or Chinese?

พวกเขาเป็นคนไทยหรือจีน           

Do you know whether they are

Thaior Chinese?

คุณทราบไหมว่า พวกเขาเป็น คนไทยหรือจีน

Will Vichian or Tawee come to see me?

วิเชียรหรือทวีจะมาพบฉัน

 

I want to know whether Vichian or Tawee will come to see me.

ฉันอยากจะทราบว่าวิเชียรหรือทวีจะมาพบฉัน

 

Did you stay at home or go somewhere last Sunday?

เมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว คุณพักอยู่ที่บ้านหรือไปเที่ยวบางแห่ง

Can you tell me whether you stayed at home or went somewhere last Sunday?

คุณบอกฉันได้ไหมว่า เมื่อวันอาทิตย์ที่แล้วนั้น คุณพักอยู่บ้านหรือ

ไปเที่ยวบางแห่ง

4. เปลี่ยน Tag Question การเปลี่ยนคำถามประเภทนี้ เหมือนกันกับ Yes/No Question เพราะต้องการคำตอบเหมือนกัน ใช้ whether or not เป็นคำเชื่อมอาจใช้ whether เฉยๆ หรือ if ก็ได้ แต่ใช้ whether or not จะได้ความตรงและเน้นกว่า
ตัวอยาง

Direct Question

Indirect Question

You know him very well, don’t you?

คุณรู้จักเขาดี มิใช่หรือ

I wonder whether you know him very well or not.

ฉันไม่ทราบว่า คุณรู้จักเขาดีหรือไม่

He will come, won’t he?

เขาจะมามิใช่หรือ

Do you know whether he will come or not?

คุณทราบไหมว่า เขาจะมาหรือไม่

The airport is far from the NationalStadium? isn’t it?

สนามบินอยู่ไกลจากสนามกีฬาแห่งชาติมิใช่หรือ

I’d like to knowwhether or not the airport is far from the National Stadium.

ฉันต้องการจะทราบว่า สนามบินอยู่ ไกลจากสนามกีฬาแห่งชาติหรือไม่

The express train doesn’t stop at this station, does it?

รถด่วนไม่หยุดที่สถานีนี้ใช่ไหม

Do you know whether or not the express train stops at this station?

คุณทราบไหมว่า รถด่วนหยุดที่สถานีนี่หรือไม่

He didn’t attend the meeting, did he?

เขาไม่เข้าประชุมใช่ไหม

I want to knowwhether or not he attended the meeting.

ฉันอยากจะทราบว่า เขาเข้าร่วมประชุมหรือไม่

การตอบคำถาม Indirect Question
คำถามประเภทนี้ แม้จะเป็นคำถามโดยอ้อม แต่ก็สามารถตอบได้ เช่นเดียวกับคำถามทั่วๆ ไป คือสามารถจะตอบได้ตามชนิดต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว ฉะนั้น การตอบคำถามชนิดนี้จึงมีตัวอย่างดังต่อไปนี้
คำถาม
I want to know if he will come.
ฉันอยากจะทราบว่า เขาจะมาหรือไม่
คำตอบ
Yes, he will.
มา, เขาจะมา
No, he won’t,
ไม่มา, เขาจะไม่มา
คำถาม
I wonder if you can open the box.
ฉันไม่ทราบว่า คุณสามารถเปิดกล่องนี้ได้ไหม
คำตอบ
Yes, I can.
ได้, ฉันเปิดได้
No, I can’t.
ไม่ได้,ฉันเปิดไม่ได้
คำถาม
I’d like to know whether she is married or not.
ฉันอยากจะทราบว่า เธอแต่งงานหรือยัง
คำตอบ
Yes, she is.
แต่งแล้ว
No, she isn’t.
ยัง, เธอยังไม่แต่งงาน
คำถาม
The question is whether the train will arrive on time (or not).
คำถามก็คือว่า รถไฟจะมาถึงตรงเวลาหรือไม่
คำตอบ
Yes, it will.
ตรง, มาตรงเวลา
No, it won’t.
เปล่า, ไม่ตรงเวลา
คำถาม
I want to know whether he or his son was punished.
ฉันอยากจะทราบว่า เขาหรือลูกของเขาถูกทำโทษ
คำตอบ
His son was.
ลูกของเขา
คำถาม
Please tell me whether she passed or failed in the test.
ช่วยบอกฉันด้วยว่า เธอสอบได้หรือสอบตก
คำตอบ
She passed the test.
เธอสอบได้
คำถาม
I don’t know who she is.
ฉันไม่ทราบว่า เธอเป็นใคร
คำตอบ
She is our teacher.
เธอเป็นครูของพวกเรา
คำถาม
I’d like to know what you are talking about.
ฉันอยากจะทราบว่า คุณกำลังพูดเกี่ยวกับอะไร
คำตอบ
I’m talking about the plan to take a picnic.
คำถาม
Do you know where they are from?
คุณทราบไหมว่า พวกเขามาจากไหน
คำตอบ
They are from Australia.
พวกเขามาจากออสเตรเลีย
คำถาม
I don’t know when the show will start and finish.
ฉันไม่ทราบว่า การแสดงจะเริ่มเมื่อไรและสิ้นสุดเมื่อไร
คำตอบ
It will start at three and finish at six.
การแสดงจะเริ่มบ่าย 3 โมง และสิ้นสุดบ่าย 6 โมง
คำถาม
I want to ask you why we should visit that place.
ฉันอยากจะถามคุณว่า ทำไมเราจึงควรไปชมที่นั่น
คำตอบ
Because it is worth studying.
เพราะมันสมควรแก่การศึกษา
คำถาม
Can you tell me how I can contact him?
คุณสามารถจะบอกได้ไหมว่า ฉันสามารถติดต่อเขาได้อย่างไร
คำตอบ
You can contact Mm by phone.
คุณสามารถติดต่อกับเขาได้ทางโทรศัพท์
คำถาม
Could you tell me how much you have got?
คุณจะกรุณาบอกได้ไหมว่า คุณมีรายได้เท่าไร

คำตอบ
30,000 baht a month.
สามหมื่นบาทต่อเดือน
แบบฝึกหัด
จงสร้างประโยคต่อไปนี้เป็นคำถามโดยอ้อม (Indirect Question)
ตัวอย่าง
Do you like tea?
= I want to know if you like tea.
What are you doing?
= I want to know what you are doing.
Do you like tea or coffee?
= I want to know whether you like tea or coffee.
You like tea, don’t you?
= I want to know whether you like tea or not.
1.     Are you ready to go?
= I want to know…………………………………….
2.     Did he come to the party last night?
= Do you know……………………………………?
3.    Will she leave for London tomorrow?
= I wonde………………………………………….
4.    Can we go there by train or by bus?
= Can you tell me………………………………..?
5.    Was Daeng or Dam punished yesterday?
= Tell me………………………………………….
6.    You wrote this work, didn’t you?
= I don’t know……………………………………
7.    He doesn’t like smoking, does he?
=    Do you know……………………………….?
8.    Is the National Museum open today?
=    Can you tell me……………………………?
9.    What do you want to order first?
=    I want to know………………………………
10.    Where does she live?
=    I don’t know…………………………………
11.    How old is your father?
=    Please tell me……………………………….
12.    When did you finish high school?
=    Do you remember…………………………?
13.    How can we start this machine?
=    Do you know……………………………….?
14.    Whom would you like to speak to?
=    I don’t know…………………………………
15.    Which one are you going to select?
=    I want to know………………………………
16.    Who is she?
=    Do you know……………………………….?
17.    Why do you speak like that?
=    I don’t understand…………………………
18.    How many people are there in your family?
=    I want to know………………………………
19.    Where will the party be held next week?
=    Do you know……………………………….?
20.    What course did he take last term?
=    Please tell me………………………………
ที่มา:ดร.สวาสดิ์  พรรณา 

(Visited 67,120 times, 5 visits today)

[NEW] การใช้ประโยคอธิบายเหตุการณ์ในอดีต (Past simple tense) | เปลี่ยนประโยคบอกเล่าเป็นประโยคคําถาม – NATAVIGUIDES

เนื้อหาเรื่อง การใช้ประโยคอธิบายเหตุการณ์ในอดีต 

(Past simple tense)

Past Simple Tense คือประโยคที่ใช้อธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้ว และจบลงแล้ว   ขอให้สังเกตความแตกต่างระหว่างประโยคที่ที่ใช้อธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปัจจุบันกับประโยคที่ใช้อธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นและจบลงแล้ว ในอดีต

 ประโยค present tense : I get up at 6.30 am. everyday.

(ฉันตื่นนอนเวลาหกโมงครึ่งทุกวัน)

ประโยค past tense : I got up at 8.00 am. yesterday.

(เมื่อวานนี้ ฉันตื่นนอนแปดโมงเช้า)

จากประโยคสองประโยคข้างบน จะเห็นว่า มีความแตกต่างกันสองส่วนคือ

 ประโยค

Present tense

Past tense

คำกริยา

get

got

คำที่บอกเวลา

everyday

yesterday

โครงสร้าง  S + V2 +ส่วนขยาย

I

went out  last night.

We

cooked yesterday.

He/she it

moved out two weeks ago

You

worked late last week.

They

left the day before yesterday.

 

 คำหรือวลีที่ใช้ใน past tense

คำบอกเวลา เช่น

            yesterday (เมื่อวานนี้) the day before yesterday    (เมื่อวานซืนนี้)

last week  (หรือคำอื่นๆที่ ใช้ last นำหน้า  เช่น last year,  last month, etc.)

four weeks ago (หรือคำอื่นๆที่ ใช้ ago ลงท้าย  เช่น ten years ago, two
hours ago, etc.)

คำเหล่านี้มักจะวางไว้ท้ายประโยค  หรืออาจ วางไว้หน้าประโยคก็ได้    เช่น

            I washed my car  two weeks ago.หรือ Two weeks ago,I washed my car .

(ฉันล้างรถเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว)

            She went to Korea last month.   หรือ  Last month, She went to Korea.

(หล่อนไปเกาหลีเมื่อเดือนที่แล้ว)

หลักการใช้
          1. ใช้อธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต และสิ้นสุดแล้ว มี  คำหรือวลีที่
บอกเวลาในอดีตกำกับด้วย เช่น
I saw you yesterday. (ฉันเห็นคุณเมื่อวานนี้)                                      ประธาน    –   I         กริยา – saw            คำหรือวลีที่ บอกเวลา   – yesterday.

He worked in Paris last year. (เขาทำงานที่ปารีสเมื่อปีที่แล้ว)  ประธาน    –  He         กริยา – worked     คำหรือวลีที่ บอกเวลา   – last year
2. ใช้อธิบายเหตุการณ์หนึ่งซึ่งกระทำเป็นประจำในอดีต แต่บัดนี้ไม่ได้ทำอีก เช่น
                When I was young, I walked to school everyday.
               (เมื่อฉันยังยังเด็ก ฉันเดินไปโรงเรียนทุกวัน) ปัจจุบันนี้เขาไม่ได้เดินไปโรงเรียนแล้ว    When I  was young –  เป็นข้อความที่บอกเวลาในอดีต   ข้อความนี้เรียกว่า dependent clause ซึ่งเป็นประโยคที่ไม่สมบูรณ์ในตัวเองต้องพึ่งพาประโยคอื่น จึงจะมีความหมายสมบูรณ์  ไม่สามารถใช้เพียงลำพังได้  คำกริยาที่ใช้ในข้อความนี้ ต้องอยู่ในรูปของ อดีต (“was” เป็น รูป อดีต ของ “is”)  ส่วน ประโยคหลัก     “I walked to school everyday”  –  I   ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค     walked to  (เดินไปยัง) เป็นกริยาที่บอกการกระทำในอดีต    school (โรงเรียน) ทำหน้าที่เป็นกรรม     everyday (ทุกวันในอดีต)   ทราบจากข้อความที่บอกว่า  When I was young.
การกระทำที่เกิดขึ้นในอดีต คือในเวลาที่ล่วงเลยมาแล้ว โดยปกติเราจะพบ Adverbs of Time ที่บอกเวลาอดีตกำกับไว้เสมอ เช่น
  yesterday  (เมื่อวานนี้)      this morning  (เมื่อเช้านี้)     the day before yesterday (เมื่อวานซืนนี้)

คำที่ขึ้นต้นด้วย “last”   เช่น  last night ( เมื่อคืนที่แล้ว)    last week   (สัปดาห์ที่แล้ว)    last month  (เดือนที่แล้ว)  last Saturday  (วันเสาร์ที่แล้ว)           last January  (เดือนมกราคมที่แล้ว)
                        คำที่ลงท้ายด้วย “ago”  เช่น  a month ago (เมื่อเดือนที่ผ่านมาแล้ว)                  two years ago  (สองเดือนที่ผ่านมาแล้ว)          five hours ago  (ห้าชั่วโมงที่ผ่านมาแล้ว)            six weeks ago (หกสัปดาห์ที่ผ่านมาแล้ว)    a moment ago   (เมื่อสักครู่นี้)  เวลาซึ่งเป็นปี ค.ศ. ในอดีต    ขึ้นต้นด้วย  “in”   เช่น    in 1999                                 

รูปประโยคบอกเล่า  (Affirmative Sentence)
ประธาน + กริยาช่องที่ 2 (โดยการเปลี่ยนรูป หรือ เติม ed)

Present Simple
Past Simple

He plays football every day
He played football yesterday.

walk to work every day.
walked to work ten years ago.

She washes her clothes herself every day.
She washed her clothes herself last year.

หลักการเติม ed ที่คำกริยา

1. กริยาที่ลงท้ายด้วย e ให้เติม d ได้เลย เช่น

love – loved = รัก                   move – moved= เคลื่อน

hope – hoped = หวัง

2. กริยาที่ลงท้าย ด้วย y และหน้า y เป็นพยัญชนะ ให้เปลี่ยน y เป็น I แล้วเติม ed เช่น

cry – cried = ร้องไห้             try – tried = พยายาม

marry – married = แต่งงาน

ข้อยกเว้น ถ้าหน้า y เป็นสระ ให้เติม ed ได้เลย เช่น

play – played = เล่น            stay – stayed = พัก , อาศัย

enjoy – enjoyed = สนุก        obey – obeyed = เชื่อฟัง

3. กริยาที่มีพยางค์เดียว มีสระตัวเดียว และลงท้ายด้วยพยัญชนะที่เป็นตัวสะกดตัวเดียวให้เพิ่มพยัญชนะที่ลงท้ายอีก 1 ตัว แล้วเติม ed เช่น

plan – planned = วางแผน     stop – stopped = หยุด

beg – begged = ขอร้อง

4. กริยาที่มี 2 พยางค์ แต่ลงเสียงหนักพยางค์หลัง และพยางค์หลังนั้น มีสระตัวเดียว และลงท้ายด้วยพยัญชนะที่เป็นตัวสะกดตัวเดียว ให้เพิ่มพยัญชนะที่ลงท้ายอีก 1 ตัว แล้วเติม ed เช่น

concur – concurred = ตกลง, เห็นด้วย          occur – occurred = เกิดขึ้น

refer – referred = อ้างถึง                           permit – permitted = อนุญาต

 ถ้าออกเสียงหนักที่พยางค์แรก ไม่ต้องเติมพยัญชนะตัวสุดท้ายเข้ามา เช่น

cover – covered = ปกคลุม                        open – opened = เปิด

5. นอกจากกฏที่กล่าวมาแล้วข้างต้น เมื่อต้องการให้เป็นช่อง 2 ให้เติม ed ได้เลย เช่น

walk – walked = เดิน                              start – started = เริ่ม

worked – worked = ทำงาน

ประโยคคำถาม (Interrogative)   

            1. ประโยคที่มีกริยา verb to be ( was, were )    เมื่อต้องการเปลี่ยนประโยคประเภทนี้ให้เป็น คำถาม ให้ย้าย verb to beมาวางไว้หน้า  แล้วใส่เครื่องหมาย “?” ท้ายประโยค  เช่น

ประโยคบอกเล่า

ประโยคคำถาม

He was  at school yesterday.
Was he at school yesterday?

They were at home   yesterday.
Were they were at home   yesterday ?

2. ประโยคประเภทอื่นๆที่ไม่อยู่ในกฎข้อ 1  เมื่อต้องการทำเป็น past tense ให้ใช้กริยา “Did” มาช่วย  และเมื่อใช้กริยา “Did” มาช่วยแล้ว  กริยาเดิมในประโยคคำถามต้องเปลี่ยนรูปให้เป็นกริยาช่องที่ 1 ด้วย
                          Did + ประธาน + กริยารูปเดิม+ ส่วนขยาย

ประโยคบอกเล่า

ประโยคคำถาม

He walked to work yesterday.
Did he walk to work yesterday?

They worked late last night.
Did they work late last night?

Rob did the exercise last week.
Did Rob do the exercise last week?

สำหรับตัวอย่างในประโยคสุดท้าย คำกริยา “ did ” เป็นกิริยาช่วย ในการเปลี่ยนประโยคให้เป็น past tense นั้น ไม่มีคำแปล  แต่ “ did ” ซึ่ง เป็นกริยาแท้ในประโยคบอกเล่า มีความหมายว่า  “ ทำ ” เมื่อใช้ “ did ” มาช่วยแล้ว ” “ did ” ซึ่ง เป็นกริยาแท้ต้องเปลี่ยนกลับไปเป็น “ do”

 ประโยคปฏิเสธ (Negative)   

สำหรับประโยคแบบที่ 1  ให้เติม  “not” หลังกริยาได้เลย  เช่น

ประโยคบอกเล่า

ประโยคปฏิเสธ

He was at work yesterday.
He was not at work yesterday.

They were at the party last night.
They were not at the party last night.

ในประโยคปฏิเสธ, was not  หรือ were not สามารถเขียนแบบย่อได้
            was not   เขียนย่อได้ เป็น   wasn’t          were not  เขียนย่อได้ เป็น  weren’t           

ส่วนประโยคแบบที่ 2 ให้ใช้กริยา “ did ” เข้ามาช่วย แล้วเติม “not” ท้ายคำว่า  “ did ” (หรือใช้รูปย่อ : didn’t  ก็ได้)
ประธาน + didn’t + กริยารูปเดิม+ ส่วนขยาย

ประโยคบอกเล่า

ประโยคปฏิเสธ

ประโยคคำถาม

He walked to work yesterday.
He didn’t walk to work yesterday.
Did he walk to work yesterday?

They worked late last night.
They didn’t work late last night.
Did they work late last night?

  


วิธีแต่งประโยคภาษาอังกฤษแบบง่ายๆ เปลี่ยนประโยคบอกเล่าเป็นปฏิเสธและประโยคคำถาม ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ


เลี้ยงกาแฟแอ้ดฯได้นะครับ คลิกที่ลิงค์นี้ได้เลยครับ ขอบคุณมากคร้าบ;
https://kofi.com/drtutor
Buy me a coffee to support me. Thank you ^^ xx please click the link below;
https://kofi.com/drtutor

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูความรู้เพิ่มเติมที่นี่

วิธีแต่งประโยคภาษาอังกฤษแบบง่ายๆ เปลี่ยนประโยคบอกเล่าเป็นปฏิเสธและประโยคคำถาม ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ

การเปลี่ยนประโยคบอกเล่าเป็นประโยคคำถาม


การเปลี่ยนประโยคบอกเล่าเป็นคำถาม

การเปลี่ยนประโยคบอกเล่าเป็นประโยคคำถาม

ป.4 [EP.19] เรียน 10 มิ.ย.64 เรื่อง เปลี่ยนประโยคบอกเล่าให้เป็นปฏิเสธ


ป.4 [EP.19] เรียน 10 มิ.ย.64 เรื่อง เปลี่ยนประโยคบอกเล่าให้เป็นปฏิเสธ

500 คำและวลีภาษาอังกฤษ: บทเรียนที่ 1-5 พูดภาษาอังกฤษ!


เรียนรู้คำศัพท์และวลีภาษาอังกฤษ บทที่ 15: ในวิดีโอนี้คุณจะได้เรียนรู้ 500 คำศัพท์และวลีภาษาอังกฤษที่เป็นประโยชน์และพบได้บ่อยที่สุดในการสนทนาภาษาอังกฤษประจำวัน เพียงแค่ฟังและพูดตามให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ และทักษะการพูดภาษาอังกฤษของคุณจะพัฒนาขึ้นเป็นอย่างมากภายในเวลาอันรวดเร็วค่ะ
ชุดวิดีโอคำศัพท์และวลีภาษาอังกฤษ: https://bit.ly/3dx8ZTI
เมื่อเราเป็นเด็ก เราทุกคนเรียนรู้ที่จะพูดภาษาแม่ของเราโดยการฟังครอบครัวของเราพูดคุยกับเรา ในที่สุดเราก็จะสามารถพูดตามเพื่อสื่อสารกับพวกเขาได้ การเรียนรู้ภาษาใหม่นั้นไม่ได้แตกต่างกัน ยิ่งคุณฝึกฝนภาษาอังกฤษโดยการฟังและพูดตามคำศัพท์ใหม่ๆ มากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งสามารถเชื่อมโยงคำศัพท์ใหม่ๆ เหล่านั้นเข้ากับภาษาของคุณได้รวดเร็วมากขึ้นเท่านั้นค่ะ
วิดีโอการเรียนรู้ภาษาเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้เป็นเครื่องมือที่ง่ายดายและมีประสิทธิภาพสำหรับการสอนให้คุณพูดภาษาอังกฤษได้อย่างรวดเร็วที่สุด หากคุณพบว่าวิดีโอนี้มีประโยชน์ โปรดกดสมัครสมาชิก เนื่องจากจะมีการโพสต์วิดีโอใหม่ๆ เป็นประจำค่ะ
ขอบคุณที่รับชมค่ะ!

500 คำและวลีภาษาอังกฤษ: บทเรียนที่ 1-5 พูดภาษาอังกฤษ!

วิธีเปลี่ยนประโยคบอกเล่าเป็นประโยคคำถามแบบ yes no question ใน present simple tense แกรมม่าภาษาอังกฤษ


แนะนำวิธีเปลี่ยนประโยคบอกเล่าใน present simple tense ให้เป็นประโยคคำถามแบบ yes/no question จะมีหลักการอย่างไร ไปติดตามรับชมรายละเอียดกันได้ครับ
สนใจเรียนไวยากรณ์และแกรมม่าภาษาอังกฤษพื้นฐานแบบฟรีๆ สามารถกดติดตามเราได้ที่:
Youtube: https://bit.ly/3dldu4m
Twitter: http://bit.ly/2Yt2lqH
Blog: https://goo.gl/JthDFX
Facebook: http://bit.ly/2CIaLBa
ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ แกรมม่าภาษาอังกฤษ

วิธีเปลี่ยนประโยคบอกเล่าเป็นประโยคคำถามแบบ yes no question ใน present simple tense แกรมม่าภาษาอังกฤษ

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูบทความเพิ่มเติมในหมวดหมู่MAKE MONEY ONLINE

ขอบคุณที่รับชมกระทู้ครับ เปลี่ยนประโยคบอกเล่าเป็นประโยคคําถาม

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *