ออกเงินซื้อผลิตภัณฑ์/ ใช้บริการนี้ด้วยตัวเองจ้า

ถ้าคุณอยากมีสุขภาพตาที่ดีไปตลอดชีวิตให้ทำตามนี้ ไม่ว่าปัจจุบันเนี้ยคุณอายุเท่าไร การดูแลดวงตาของคุณตั้งแต่วันนี้จะช่วยป้องกันปัญหาการมองในอนาคตได้ดี

ต่อไปนี้คือ  3 กฏหลักในการดูแลสุขภาพดวงตาที่ดี ที่ฟิวลิ่งนำมาสอนพิเศษ เพื่อให้คุณการมองเห็นน์ที่ดีต่อสุขภาพตาในอีกหลายปีข้างหน้า

 ฟิวลิ่งแนะนำให้ทำทันที เพื่อผลลัพธ์ที่ดี ฟิวลิ่งอยากให้ทุกคนเนี้ยตื่นขึ้นมาแล้วพบ มองเห็นแต่สิ่งดีๆในชีวิตของคุณไปอีกนานแสนนาน

   เป็นปกติอยู่แล้วคุณอายุ 20 หรือ 30 ปี คุณอาจไม่ได้ใช้เวลามากในการคิดถึงสุขภาพดวงตาของคุณ 

คุณโชคดีมากที่ได้เจอคลิปสอนของฟิวลิ่ง จริงการดูแลสุขภาพตาตั้งแต่เนิน เป็นสิ่งที่เราควรทำอย่างมาก เพราะปัญหาการมองเห็นส่วนใหญ่สามารถป้องกันได้ด้วยนิสัยที่ดีต่อตา ซึ่งมันทำง่ายมาก ใครพร้อมที่จะเรียนแล้วบ้างงง ช่วยพิมพ์บอกหน่อย 

จาดข่าวสาร้กี่ยวกับสุขภาพตาภายในปี 2050 ผู้คนประมาณ 895 ล้านคนทั่วโลกจะมีอาการทางตา ตามรายงานใหม่ใน The Lancet นั่นคือการเพิ่มขึ้น 150% ในช่วง 30 ปีข้างหน้า[1]

ฟิวล่งคาดหวังว่าตัวเลขเเหล่านั้นจะไม่มีพวกเราอยู่ เพราะฟิวลิ่งย่นเวลานำกฎต่างๆที่เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพมาสอนใหนักเรียนของฟิวลิ่งให้เร็วขึ้น 

และตรามสถิติยังบอกอีกวาแนวโน้มเลวร้ายที่สุดสำหรับประเทศกำลังพัฒนา เมื่อประชากรมีอายุมากขึ้นและขยายตัว

 แต่สภาพสายตามีแนวโน้มจะกลายเป็นเรื่องธรรมดามากขึ้นในทุกที่ รวมทั้งในสหรัฐอเมริกาเพราะว่าเค้าได้ที่การเรียนเกี่ยวกับสุขภาพตาอย่างแพร่หลาย รวมไปถึงมีคลาสสอนสำหรับผู้ปกครองไว้สำหรับไว้สอนบุตรหลานด้วย พร้อมกันเรียนกันหรือยังค่ะ ช่วยพิมพ์อยากเรียนหน่อย อินโทรนานมากกก

 มาเริ่มต้นกันที่ข้อสุดท้ายกันก่อนเลยนั้นก็คือ

ที่ฟิวลิ่งนำมาสอนพิเศษ เพื่อให้คุณการมองเห็นน์ที่ดีต่อสุขภาพตาในอีกหลายปีข้างหน้าฟิวลิ่งแนะนำให้ทำทันที เพื่อผลลัพธ์ที่ดี ฟิวลิ่งอยากให้ทุกคนเนี้ยตื่นขึ้นมาแล้วพบ มองเห็นแต่สิ่งดีๆในชีวิตของคุณไปอีกนานแสนนานเป็นปกติอยู่แล้วคุณอายุ 20 หรือ 30 ปี คุณอาจไม่ได้ใช้เวลามากในการคิดถึงสุขภาพดวงตาของคุณคุณโชคดีมากที่ได้เจอคลิปสอนของฟิวลิ่ง จริงการดูแลสุขภาพตาตั้งแต่เนิน เป็นสิ่งที่เราควรทำอย่างมาก เพราะปัญหาการมองเห็นส่วนใหญ่สามารถป้องกันได้ด้วยนิสัยที่ดีต่อตา ซึ่งมันทำง่ายมาก ใครพร้อมที่จะเรียนแล้วบ้างงง ช่วยพิมพ์บอกหน่อยจาดข่าวสาร้กี่ยวกับสุขภาพตาภายในปี 2050 ผู้คนประมาณ 895 ล้านคนทั่วโลกจะมีอาการทางตา ตามรายงานใหม่ใน The Lancet นั่นคือการเพิ่มขึ้น 150% ในช่วง 30 ปีข้างหน้า[1]ฟิวล่งคาดหวังว่าตัวเลขเเหล่านั้นจะไม่มีพวกเราอยู่ เพราะฟิวลิ่งย่นเวลานำกฎต่างๆที่เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพมาสอนใหนักเรียนของฟิวลิ่งให้เร็วขึ้นและตรามสถิติยังบอกอีกวาแนวโน้มเลวร้ายที่สุดสำหรับประเทศกำลังพัฒนา เมื่อประชากรมีอายุมากขึ้นและขยายตัวแต่สภาพสายตามีแนวโน้มจะกลายเป็นเรื่องธรรมดามากขึ้นในทุกที่ รวมทั้งในสหรัฐอเมริกาเพราะว่าเค้าได้ที่การเรียนเกี่ยวกับสุขภาพตาอย่างแพร่หลาย รวมไปถึงมีคลาสสอนสำหรับผู้ปกครองไว้สำหรับไว้สอนบุตรหลานด้วย พร้อมกันเรียนกันหรือยังค่ะ ช่วยพิมพ์อยากเรียนหน่อย อินโทรนานมากกกมาเริ่มต้นกันที่ข้อสุดท้ายกันก่อนเลยนั้นก็คือ

3. กินดีและออกกำลังกาย

  การศึกษาจำนวนมากแสดงให้เห็นว่าการออกกำลังกายและการรับประทานอาหารที่มีผักและผลไม้หลากหลายสามารถป้องกันโรคตาที่ทำให้ตาบอดได้ เช่น จอประสาทตาเสื่อมและโรคต้อหิน

การรับประทานอาหารที่อุดมด้วยอาหารจากพืชและไขมันอิ่มตัวหรือไขมันสัตว์ต่ำนั้นดีที่สุดสำหรับดวงตาที่แข็งแรง

   การออกกำลังกายในระดับปานกลาง การออกกำลังกายในระดับปานกลางเป็นเวลา 30 นาทีต่อวัน ห้าครั้งต่อสัปดาห์สามารถช่วยปกป้องคุณจากสภาพดวงตาแบบเดียวกันได้

นักเรียนคนไหนขี้เกียจออกกำลังกายในคลิปนี้ฟิวลิ่งสอนเคล็บไว้อยู่ในคลิป สามารถกดฟังได้ค่ะ

การศึกษาจำนวนมากแสดงให้เห็นว่าการออกกำลังกายและการรับประทานอาหารที่มีผักและผลไม้หลากหลายสามารถป้องกันโรคตาที่ทำให้ตาบอดได้ เช่น จอประสาทตาเสื่อมและโรคต้อหินการรับประทานอาหารที่อุดมด้วยอาหารจากพืชและไขมันอิ่มตัวหรือไขมันสัตว์ต่ำนั้นดีที่สุดสำหรับดวงตาที่แข็งแรงการออกกำลังกายในระดับปานกลาง การออกกำลังกายในระดับปานกลางเป็นเวลา 30 นาทีต่อวัน ห้าครั้งต่อสัปดาห์สามารถช่วยปกป้องคุณจากสภาพดวงตาแบบเดียวกันได้นักเรียนคนไหนขี้เกียจออกกำลังกายในคลิปนี้ฟิวลิ่งสอนเคล็บไว้อยู่ในคลิป สามารถกดฟังได้ค่ะ

2.ใส่ใจดูแลการใสคอนแทคเลนส์ของคุณ

    ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณได้ใช้คอนแทคเลนส์อย่างสะอาด ถูกและปลอดภัยหรือปล่าว ยังไงฟิวลิ่งก็ยังแนะนำสำหรับทุกคนที่ใช้คอนแทคเลนส์ให้ใช้ควบคู่กับการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญตลิดอายุการใช้งาน หรือว่าจะกดติดตามเพจฟิวลิ่งไว้ก็ได้ ฟิวลิ่งยินดีสอนค่ะ เพราะการเรียนเกี่ยวกับคอนแทคเลนส์มีเนื้อหาไม่มาก และง่ายมากๆ  แต่คนส่วนใหญ่คิดว่า ปัจจุบันการใช้คอนแทคเลนส์ของคุณไม่มีปัญหาจึงไม่จำเป็นต้องเรียน ซึ่งอาจจะส่งผลเสียตามมาได้ในอนาคตค่ะ

     สำหรับคุณแม่ที่มีลูกๆเป็นวัยรรุ่นอาจจะถึงเวลาที่ต้องสอนพวกเค้าเกี่ยวสุขลักษณะการใช้คอนแทคเลนส์ที่ถูกต้องซะทีค่ะ

   และฟิวลิ่งขอเสมอก่อนจะไปเรียนข้อสุดท้าย หากคุณมีอาการตาแดง การมองเห็นเปลี่ยนไปหรือเจ็บปวด ให้หยุดใส่เลนส์และติดต่อจักษุแพทย์ทันทีค่ะ

ไปฟังข้อสุดท้ายกันค่ะ

และกฏข้อสุดท้ายก็คือ

1.อย่าคิดว่าการสูญเสียการมองเห็นเป็นส่วนหนึ่งของการแก่ตัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้! มันไม่ใช่.

  สรุปสั่นๆ ให้เข้าใจง่ายๆ อย่าคิดว่าถ้าเราอายุมากขึ้นแล้วสายตาของเราจะต้องแย่ตาม มันไม่มีจริงเสมอไปค่ะ ปัญหาสายตาหลายอย่างเริ่มต้นโดยไม่มีอาการใดๆ การตรวจตาเป็นประจำสามารถช่วยให้คุณจับปัญหาได้ก่อนที่จะสายเกินไป

  การพบจักษุแพทย์สามารถตรวจพบโรคตาได้ตั้งแต่เนิ่นๆ เมื่อการรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด เพียงแค่มองเข้าไปในดวงตาของคุณ

จาก American Academy of Ophthalmology แนะนำให้ผู้ใหญ่ได้รับการตรวจสายตาพื้นฐานเมื่ออายุ 40 ปีโดยทันทีค่ะ

 

เป็นไงกันบ้างค่ะ 3-1   ฟิวลิ่งอยากให้นักเรียนทุกคนของฟิวลิ่งได้ทุกข้อเลย และนี้คือ 3 กฏหลักในการดูแลสุขภาพดวงตาที่ดีไปตลอดชีวิต จริงข้อควรปฎิบัติยังมีอยู่เยอะนะคะ แต่ฟิวลิ่งคัดเอาข้อที่ทำง่ายมาสอนก่อนค่ะ

   ยังไงฟิวลิ่งอยากจะให้แชร์คลิปนี้ออกไปเยอะๆเลย เพราะว่ามันเหมาะสำหรับทุกคนที่มีตา ฟิวลิ่งอยากให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดีเริ่มต้นจากทำอะไรง่ายแบบที่ฟิวลิ่งสอนค่ะ

สำหรับแม่ๆหรือผู้ปกครองท่านไหนมีลูกมีหลานที่ใส่คอนแทคเลนส์สามารถกดติตามฟิวลิ่งได้ได้ค่ะ

  ปกติฟิวลิ่สอนข้อมูลปี เกี่ยวกับสุขภาพตาและคอนแทคเลนส์อยู่ใน  YouTube ชื่อช่อง FEELING TV ซึ่งในช่องจะมีคลิปสอนแต่งหน่าอย่างง่ายด้วยค่ะ

      ถ้าอยากเจอฟิวลิ่งอีกให้คลิปหน้า อย่าลืมเช็คให้ชัวร์เลยว่าได้กดติดตามฟิวลิ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รอบหน้าเราเรียนเรื่องกฏการดูแลสุขภาพตากันใหม่ค่ะ ช่องทางติดตามอื่นๆค่ะ

และมาถึงข้อต่อไปซึ่งเป็นขอที่ฟิวลิ่งถนัดที่สุดค่ะนั้นก็คือตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณได้ใช้คอนแทคเลนส์อย่างสะอาด ถูกและปลอดภัยหรือปล่าว ยังไงฟิวลิ่งก็ยังแนะนำสำหรับทุกคนที่ใช้คอนแทคเลนส์ให้ใช้ควบคู่กับการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญตลิดอายุการใช้งาน หรือว่าจะกดติดตามเพจฟิวลิ่งไว้ก็ได้ ฟิวลิ่งยินดีสอนค่ะ เพราะการเรียนเกี่ยวกับคอนแทคเลนส์มีเนื้อหาไม่มาก และง่ายมากๆ แต่คนส่วนใหญ่คิดว่า ปัจจุบันการใช้คอนแทคเลนส์ของคุณไม่มีปัญหาจึงไม่จำเป็นต้องเรียน ซึ่งอาจจะส่งผลเสียตามมาได้ในอนาคตค่ะสำหรับคุณแม่ที่มีลูกๆเป็นวัยรรุ่นอาจจะถึงเวลาที่ต้องสอนพวกเค้าเกี่ยวสุขลักษณะการใช้คอนแทคเลนส์ที่ถูกต้องซะทีค่ะและฟิวลิ่งขอเสมอก่อนจะไปเรียนข้อสุดท้าย หากคุณมีอาการตาแดง การมองเห็นเปลี่ยนไปหรือเจ็บปวด ให้หยุดใส่เลนส์และติดต่อจักษุแพทย์ทันทีค่ะไปฟังข้อสุดท้ายกันค่ะและกฏข้อสุดท้ายก็คือตาม มันไม่มีจริงเสมอไปค่ะ ปัญหาสายตาหลายอย่างเริ่มต้นโดยไม่มีอาการใดๆ การตรวจตาเป็นประจำสามารถช่วยให้คุณจับปัญหาได้ก่อนที่จะสายเกินไปการพบจักษุแพทย์สามารถตรวจพบโรคตาได้ตั้งแต่เนิ่นๆ เมื่อการรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด เพียงแค่มองเข้าไปในดวงตาของคุณจาก American Academy of Ophthalmology แนะนำให้ผู้ใหญ่ได้รับการตรวจสายตาพื้นฐานเมื่ออายุ 40 ปีโดยทันทีค่ะยังไงฟิวลิ่งอยากจะให้แชร์คลิปนี้ออกไปเยอะๆเลย เพราะว่ามันเหมาะสำหรับทุกคนที่มีตา ฟิวลิ่งอยากให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดีเริ่มต้นจากทำอะไรง่ายแบบที่ฟิวลิ่งสอนค่ะสำหรับแม่ๆหรือผู้ปกครองท่านไหนมีลูกมีหลานที่ใส่คอนแทคเลนส์สามารถกดติตามฟิวลิ่งได้ได้ค่ะปกติฟิวลิ่สอนข้อมูลปี เกี่ยวกับสุขภาพตาและคอนแทคเลนส์อยู่ใน YouTube ชื่อช่อง FEELING TV ซึ่งในช่องจะมีคลิปสอนแต่งหน่าอย่างง่ายด้วยค่ะ

 เครดิต
[1] Steps to a Lifetime of Healthy Vision,By Reena Mukamal
Reviewed By Dianna L Seldomridge, MD, MBA ,American Academy of Ophthalmology

 

ใช้แรงทำเงิน & ให้เงินทำงาน กด Subscribe รอเลย…

Facebook | Line | Youtube | Instagram

 

เชื่อว่าหลายคนต้องเคยพบปัญหาเวลาที่ต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จนเกิดความหลงใหลและสนุกจนอยากจะพัฒนาสิ่งใหม่ๆ ที่เรียนรู้นั้นให้กลายเป็นทักษะและความสามารถขึ้นมา

 

หลายๆ ครั้งเราอาจเกิดคำถามว่าเราควรฝึกฝนตัวเองอย่างไรจึงจะเกิดการพัฒนา ทั้งที่เราก็มีความตั้งใจและมุ่งมั่นอยากจะทำให้สิ่งที่ได้เรียนรู้ใหม่นั้น ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว

 

หรือแม้กระทั่งการรื้อฟื้นทักษะความสามารถที่ร้างราไปนานให้กลับมาดีได้เหมือนในอดีต  ลองฝึกฝนด้วย  7 วิธี พัฒนาทักษะให้เก่งขึ้นดู แล้วทักษะความสามารถที่คุณต้องการก็จะถูกพัฒนาให้ดีได้เร็วขึ้นตาม

 

1.ลืมปัจจัยเรื่องเวลาไปซะ

เมื่อต้องซ้อมให้เกิดทักษะความชำนาญก็อย่าถามตัวเองว่าใช้เวลาซ้อมมากพอแล้วหรือยัง  แต่จงถามตัวเองว่าจำนวนครั้งที่ซ้อมนั้นมากพอจนสามารถเก่งได้มากขึ้นแล้วหรือไม่  รู้ไว้เถอะว่าคุณภาพของการฝึกฝนไม่ได้วัดกันที่เวลาในการฝึก แต่เป็นจำนวนครั้งที่ฝึกซ้ำๆ จนเกิดความชำนาญต่างหาก เช่น  อย่าตั้งเป้าการฝึกว่าจะทำวันละ 1 ชั่วโมง แต่ให้ตั้งเป้าว่าจะฝึกวันละ 5 รอบแทน เป็นต้น

 

 

2.แบ่งทักษะออกเป็นส่วนย่อยๆ

เราคงเคยได้ยินคำว่าค่อยๆ ทำทีละอย่างมาจนชินหู  คำสอนนั้นแหละคือหลักการฝึกทักษะที่ดี  เมื่อเราเจอบททดสอบที่อาจดูว่ายากสำหรับเราในช่วงแรกๆที่ไม่เคยทำ  ก็ให้ลองแบ่งทักษะนั้นออกเป็นส่วนย่อยๆ  ค่อยๆ ฝึกในแต่ละขั้นโดยเริ่มโฟกัสจากสิ่งที่เราชอบมากที่สุดก่อน แล้วค่อยๆร้อยเรียงทักษะแต่ละส่วนเข้าด้วยกันเป็นทักษะใหญ่หนึ่งเรื่อง  เมื่อทักษะย่อยมีความชำนาญย่อมเกิดเป็นผลดีต่อทักษะใหญ่ด้วย

 

 

3.จดจ่อและทำซ้ำๆ

การทำหลายๆ อย่างพร้อมกันโดยไม่ตั้งใจกับอะไรสักอย่างเลย  จะทำให้ประสิทธิภาพในการทำหลายๆอย่างนั้นออกมาแย่หรือมีค่าเท่ากับไม่ได้ทำสิ่งนั้นเลย

ในการฝึกฝนจงอย่าตั้งเป้าว่าจะพัฒนาทักษะให้ดีขึ้นเท่านั้นเท่านี้  แต่ให้ทำสิ่งเล็กๆ ย่อยๆ ในแต่ละเรื่องให้ออกมาดีให้สมบูรณ์แบบแทบจะ 100% ให้ได้ เช่น นักเทนนิสจะฝึกเสิร์ฟลูกเทนนิส  เขาก็จะจดจ่ออยู่กับการเสิร์ฟเป็นร้อยๆ ครั้ง จนได้ตำแหน่งของการเสิร์ฟที่ดีที่สุด  ธรรมชาติไมได้สร้างเราขึ้นมาให้เก่งขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่สร้างให้เราเรียนรู้ได้และมีพัฒนาการที่เติบโตขึ้นได้  พรสวรรค์เป็นแค่เพียงส่วนหนึ่งที่ทำให้เราเก่ง   แต่การทำซ้ำและทำให้เพอร์เฟคจนทำลายขีดจำกัดของตัวเองได้ต่างหากคือเหตุผลที่จะทำให้เราเก่งขึ้น

 

 

4.มองการฝึกซ้อมให้เป็นเกม

เคล็ดลับนี้เกี่ยวข้องกับทัศนคติของผู้ฝึกทักษะโดยตรง  ถ้าเมื่อใดก็ตามที่เรารู้สึกว่าการฝึกซ้อมทักษะอยู่เสมอๆ คือความจำเจ ความรู้สึกสนุกก็จะหายไป  แต่ถ้าเรามองว่าการฝึกฝนตนเองเป็นเกม  สิ่งที่ทำได้คือแต้ม สมองก็จะสร้างความท้าทายขึ้นมาและจะทำให้เราบรรลุจุดประสงค์ได้ง่ายขึ้น  

 

 

5.ฝึกตามลำพังในพื้นที่จำกัด

เคล็ดลับของการซ้อมตามลำพัง คือ การไม่มีความกดดันจากรอบข้าง  ส่วนการฝึกในที่แคบจะทำให้เราโฟกัสกับการฝึกและเห็นเป้าหมายได้ชัดเจนกว่าเดิม เพราะพื้นที่ที่จำกัดจะสร้างกรอบความท้าทายที่เราต้องทำให้ได้  เช่น  ในด้านการฝึกความคิด  การกำหนดจำนวนตัวอักษรจะท้าทายนักคิดว่า ข้อความแค่ไหนถึงจะเพียงพอต่อก้อนความคิด ที่จะสามารถสื่อสารออกไปได้รู้เรื่อง เมื่อเงื่อนไขของพื้นที่มีจำกัดอยู่เพียงเท่านี้

ส่วนสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราพัฒนาไปได้ไกล คือ  การทำทักษะนั้นซ้ำๆ ให้มากๆ และอยู่กับตัวเองมากๆ จนหาขีดความสามารถของตนเองพบแล้วมองหาข้อผิดพลาด  จากนั้นลงมือแก้ไขสิ่งผิดพลาดนั้นทันที  แม้จะเป็นข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็ตาม  ความกดดันจากความผิดพลาดจะบีบคั้นให้เราไม่อยากทำผิดซ้ำๆ ท้ายที่สุดทักษะที่ถูกต้องก็จะเกิดขึ้นจากความพยายามแก้ไขมันอยู่เรื่อยๆ นั่นเอง

 

 

6.คิดให้เป็นภาพ

การคิด  การหลับตา  หรือการใช้ภาษากายในการฝึกฝนให้เหมือนว่าเรากำลังแสดงละครใบ้อยู่นั้น ถือเป็นปิดการรับรู้สิ่งรบกวนภายนอกได้เป็นอย่างดี  ทำให้เราเข้าสู่ความนิ่งจนเกิดสมาธิได้เร็วขึ้นจนเราสามารถจดจ่ออยู่กับจินตนาการ  ซึ่งจินตนาการที่เราสร้างภาพขึ้นมาจะเชื่อมโยงกับความรู้สึกหรือพฤติกรรมของเราได้ง่ายกว่าคำพูด การพัฒนาทักษะต่างๆ จึงเกิดขึ้นได้ง่ายกว่า

 

 

7.พักสักงีบ

การงีบหลับจะช่วยให้เรียนรู้ได้ดีขึ้น  เพราะสมองใช้พื้นที่ความทรงจำในการเก็บข้อมูลมหาศาล จึงต้องการเวลาพักเพื่อเอาความทรงจำและทักษะที่ได้ฝึกฝนไปบรรจุไว้ในเซลล์ความจำ  

บรรดาอัจริยะระดับโลกหลายคนล้วนเป็นนักงีบกันทั้งนั้น อย่างอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เองก็มักงีบระหว่างมื้อกลางวัน  วันละ 20 นาที  ซึ่งนักวิจัยประจำมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ได้ค้นพบว่าการงีบหลับ 90 นาที จะช่วยให้ความจำของเราจำได้ดีขึ้นถึง 10 %  

แต่ก็ใช่ว่าเราจะใช้การงีบหลับมาเป็นข้ออ้างให้เราฝึกฝนทักษะด้านต่างๆ ได้น้อยลง  จำไว้เถอะว่าไม่มีใครทำเราให้เก่งขึ้นได้นอกจากตัวเรา  และวินัยจากตัวเราเองเท่านั้นที่จะนำพาเราไปสู่ความสำเร็จ  

 

อ้างอิง : THE LITTLE BOOK OF TALENT  (Daniel Coyle)

 

#WealthMeUp