Skip to content
Home » [Update] คำนำหน้าคำนาม (a an the) ใช้ต่างกันอย่างไร พร้อมแบบฝึกหัด | republic แปลว่า – NATAVIGUIDES

[Update] คำนำหน้าคำนาม (a an the) ใช้ต่างกันอย่างไร พร้อมแบบฝึกหัด | republic แปลว่า – NATAVIGUIDES

republic แปลว่า: นี่คือโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้

หลักการใช้ a an the หรือ article a an the เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เรียนแล้วสนุกครับ เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่ใหม่สำหรับนักเรียนไทย เนื่องจากในภาษาไทยมันไม่มีอะไรแบบนี้เลย อยากเรียกแมวก็เรียกว่า แมว ไม่ใช่ อะ แมว หรือ เดอะ แมว

คำนำหน้าคำนาม (Article) คือ คำที่วางหน้าคำนามเพื่อบ่งชี้คำนามนั้น ๆ ว่าเป็นคำนามที่ชี้เฉพาะ หรือไม่ชี้เฉพาะ คำนำหน้าคำนามแบ่งได้สองประเภท ได้แก่

1. คำนำหน้าคำนามแบบไม่ชี้เฉพาะ (Indefinite Article)

คือ คำนำหน้าคำนามที่แสดงให้เรารู้ว่า คำนามที่ตามหลังมีจำนวนเป็นหนึ่ง คำนำหน้านามประเภทนี้ ได้แก่ a และ an

A กับ An ใช้นำหน้านามทั่ว ๆ ไป  แปลว่า หนึ่งคน หนึ่งตัว หนึ่งอัน หนึ่งแห่ง หรือบางทีไม่ต้องแปลก็ได้ เป็นการกล่าวถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งแบบลอย ๆ ไม่เจาะจงว่าคืออันไหนกันแน่ โดยมีกฎการใช้ดังนี้ คือ

  • เราจะใช้ a นำหน้าคำนามเอกพจน์ที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ

        – A bird (นกตัวหนึ่ง)
        – A book (หนังสือเล่มหนึ่ง)
        – A girl (เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง)
        – A zoo (สวนสัตว์แห่งหนึ่ง)
        – A teacher ครูหนึ่งคน
        – A school โรงเรียนหนึ่งแห่ง

นอกจากนี้เรายังใช้ a นำหน้าคำนามนับได้ ที่เป็นเอกพจน์ ที่ขึ้นต้นด้วย สระ แต่ออกเสียงเป็นเสียง พยัญชนะ

        – A uniform (/ˈjuːnɪfɔːrm/) (เครื่องแบบชุดหนึ่ง)
        – A university (/ˌjuːnɪˈvɜːrsəti/) (มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง)

หมายเหตุ: ตัวอักษร “u” ในที่นี้ไม่ได้ออกเสียง อู แต่ออกเสียง ยู ซึ่งเป็นเสียงพยัญชนะ เลยเราจะต้องใช้คำนำหน้านามเป็น “a” ไม่ใช้ “an”

  • เราจะใช้ an นำหน้าคำนามเอกพจน์ที่ขึ้นต้นด้วย สระ (a e i o u)

ยกตัวอย่างเช่น:
        – An apple (แอปเปิลลูกหนึ่ง)
        – An egg (ไข่ฟองหนึ่ง)
        – An orange (ส้มผลหนึ่ง)
        – An elephant ช้างหนึ่งตัว
        – An ice-cream ไอศกรีมหนึ่งแท่ง
        – An umbrella (ร่มคันหนึ่ง)

  • นอกจากนี้ เรายังใช้ an นำหน้าคำนาม ที่เป็นเอกพจน์ ที่ขึ้นต้นด้วย พยัญชนะ แต่ออกเสียงเป็นเสียง สระ

        – An hour (ชั่วโมงหนึ่ง) – “h” ในที่นี้ไม่ได้ออกเสียง ฮะ แต่ออกเสียง อะ ซึ่งเป็นเสียงสระ

2. คำนำหน้าคำนามแบบชี้เฉพาะ (Definite Article)

คือคำนำหน้าคำนามที่ใช้เจาะจงคำนามนั้น ๆ ว่าคือสิ่งไหน โดยใช้นำหน้าได้ทั้งคำนามนับได้ทั้งเอกพจน์ และพหูพจน์ คำนามนับไม่ได้ คำนำหน้าคำนามประเภทนี้เรียกว่า the (เดอะ) แต่ถ้านำหน้าคำนามที่ขึ้นต้นด้วยสระ หรือเสียงสระ เราจะอ่านออกเสียงว่า the (ดิ)

“The” จะใช้ในกรณีดังต่อไปนี้

  • การใช้ The ให้ใช้นำหน้านามที่รู้กันดีกันทั่ว ๆ ไปว่าเป็นอันไหน เช่น

        – The Sun (ดวงอาทิตย์), The Moon (ดวงจันทร์), The Earth (โลก)
        – Great Wall of China เป็นกำแพงเมืองจีน มีแห่งเดียวในโลกถ้าอย่างนั้นก็เรียกว่า The Great Wall of China
        – Pyramids รู้จักไหม? แน่นอนว่าทุกคนคงต้องรู้ว่ามันอยู่กลางทะเลทรายในอียิปต์ อย่างนั้นก็เรียกว่า The Pyramids
        – Baiyoke Tower ตึกไบหยกที่สูง ๆ ในประเทศไทยของเราเอง จึงเรียกว่า The Baiyoke Tower

ดังนั้นสรุปได้ว่า The มักจะนำหน้าสิ่งที่รู้กันดีทั่ว ๆ ไป และจะสังเกตุได้ว่า มันมีเพียงที่เดียวในโลก

  • ใช้กับคำนามนับได้ที่เป็นเอกพจน์และพหูพจน์เป็นการชี้เฉพาะเจาะจงลงไปว่าคนไหน อันไหน สิ่งไหน

        – The man who wrote this book is a famous person  แปลว่า ผู้ชายคนที่เขียนหนังสือเล่มนี้เป็นคนที่มีชื่อเสียง
        – I live in the small house with a blue door. แปลว่า ฉันอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ ที่มีประตูสีฟ้า
        – He is the doctor I came to see เขาเป็นหมอคนที่เราจะไปหา

มาดูกันอีกหนึ่งประโยค The dog is mine. (เดอะ ด็อก อีส มาย) แปลว่า สุนัขตัวนั้นเป็นของฉัน ดังนั้นเราจะใช้ the เพื่อชี้เฉพาะว่าเป็นสุนัขตัวไหน

  • ใช้ the นำหน้าชื่อครอบครัว

อย่างเช่น:
        – The Browns แปลว่า ครอบครัวตระกูล Brown
        – The Lees แปลว่า ครอบครัวตระกูล Lee
        – The Smiths แปลว่า ครอบครัวตระกูล Smith

  • ตามปกติเราใช้ the นำหน้าชื่อหนังสือพิมพ์ เช่น

        – The Nation,
        – The Times,
        – The Sun

  • ใช้ the กับชื่อสถานที่

        – ทะเล the Pacific, the Atlantic
        – เทือกเขา the Himalayas, The
        – แม่นํ้า the Mississippi
        – ทะเลทราย the Sahara
        – โรงแรม the Plaza, the Grand le Khon Kaen
        – โรงหนังโรงละคร the Playhouse
        – พิภิธภัณฑ์   the National Museum
        – ชื่อประเทศที่มีคำว่า Republic, Kingdom, State

  • ใช้ the เมื่อเราพูดโดยทั่วไปในเรื่องเครื่องดนตรี

        – The piano
        – I play the guitar.

  •  ใช้ the ก่อนคำว่า same       

        – Your shirt is the same color as mine. แปลว่า เสื้อของคุณสีเดียวกันกับเสื้อของผม

  • ใช้ the + คำคุณศัพท์เมื่อกล่าวถึงกลุ่มบุคคลเป็นพิเศษ

        – the rich คนรวย
        – the sick คนป่วย 
        – the poor คนจน

  • ใช้ the กับเวลาที่กล่าวถึงเป็นช่วง 10 ปี

ตัวอย่างเช่น:
        – He was born in the seventies.
        – This is a painting from the 1820’s.

  • ใช้ the กับอนุประโยคที่ใช้ only

ตัวอย่างเช่น:
        – This is the only day we’ve had sunshine all week.
        – You are the only person he will listen to.
        – The only tea I like is black tea.

หมายเหตุ : “the” จะถูกห้ามใช้ในกรณีต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

  • ห้ามใช้ the กับชื่อประเทศ (ยกเว้น ในกรณีพิเศษที่ได้กล่าวไปแล้ว)

ตัวอย่างเช่น:
        – Germany is an important economic power. แปลว่า เยอรมนีเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่สำคัญ
        – He’s just returned from Zimbabwe. แปลว่า เขาเพิ่งกลับจากซิมบับเว

  • ห้ามใช้ the กับชื่อภาษา

ตัวอย่างเช่น:
        – French is spoken in Tahiti. ภาษาฝรั่งเศสถูกใช้เป็นภาษาพูดในตาฮิติ
        – English uses many words of Latin origin. ภาษาอังกฤษใช้คำที่มาจากภาษาละตินหลายคำ

  • ห้ามใช้ the กับมื้ออาหาร

ตัวอย่างเช่น:
        – Lunch is my favorite meal. มื้อเที่ยงเป็นมื้อโปรดของฉัน
        – I like to eat breakfast early. ฉันชอบกินอาหารเช้า แต่เช้า

  • ห้ามใช้ the กับชื่อคน

ตัวอย่างเช่น:
        – John is coming over later. จอห์นจะมาในภายหลัง
        – Mary Carpenter is my boss. แมรี่คาร์เพนเตอร์เป็นเจ้านายของฉัน

  • ห้ามใช้ the กับชื่อตำแหน่งที่กล่าวพร้อมกับชื่อคน

ตัวอย่างเช่น:
        – Prince Charles is Queen Elizabeth’s son. เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธ
        – President Kennedy was assassinated in Dallas. ประธานาธิบดีเคนเนดีถูกลอบสังหารในดัลลัส

  • ห้ามใช้ the หลังการแสดงความเป็นเจ้าของ

ตัวอย่างเช่น:
        – His brother’s car was stolen. รถของพี่ชายเขาถูกขโมยไปแล้ว
        – Peter’s house is over there. บ้านของปีเตอร์อยู่ที่ตรงโน้น

  • ห้ามใช้ the กับอาชีพ

ตัวอย่างเช่น:
        – Engineering is a well-paid career. แปลว่า วิศวกรเป็นอาชีพที่ได้เงินเดือนดี
        – He’ll probably study medicine. แปลว่า เขาคงจะเรียนแพทย์

  • ห้ามใช้ the กับชื่อร้านค้าต่าง ๆ

ตัวอย่างเช่น:
        – I’ll get the card at Starbucks. ฉันจะไปรับการ์ดที่ Starbucks
        – Can you go to Adidas for me? คุณช่วยแวะไปร้าน Adidas ให้เราหน่อยได้ไหม?

  • ห้ามใช้ the กับปี

ตัวอย่างเช่น:
        – 1948 was a wonderful year. แปลว่า ปี 1948 เป็นปีที่ยอดเยี่ยม
        – He was born in 1995. แปลว่า เขาเกิดเมื่อปี ค.ศ. 1995

  • ห้ามใช้ the กับคำนามนับไม่ได้

ตัวอย่างเช่น:
        – Rice is an important food in Asia. แปลว่า ข้าวเป็นอาหารที่สำคัญในเอเชีย
        – Milk is often added to tea in England. แปลว่า ในประเทศอังกฤษมักจะเติมนมลงในถ้วยชา
        – War is destructive. แปลว่า สงครามคือการทำลายล้าง

  • ห้ามใช้ the กับชื่อภูเขา ทะเลสาบและเกาะ

ตัวอย่างเช่น:
        – Mount McKinley is the highest mountain in Alaska. แปลว่า ยอดเขาแมคคินลีย์ เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในอลาสก้า
        – She lives near Lake Windermere. แปลว่า เธออาศัยอยู่ใกล้ทะเลสาบวินเดอร์เมียร์
        – Have you visited Long Island? แปลว่า คุณเคยไปเกาะลองไอแลนด์หรือยัง?

  • ส่วนใหญ่แล้วห้ามใช้ the กับชื่อเมือง ถนน สถานีต่าง ๆ และสนามบิน

ตัวอย่างเช่น:
        – Victoria Station is in the centre of London. แปลว่า สถานีวิกตอเรียอยู่ใจกลางกรุงลอนดอน
        – Can you direct me to Bond Street? แปลว่า คุณช่วยพาฉันไปที่ Bond Street ได้ไหม
        – She lives in Florence. แปลว่า เธออาศัยอยู่ในเมืองฟลอเรนซ์
        – They’re flying into Heathrow. แปลว่า พวกเขากำลังบินไปที่สนามบินฮีทโธรว์

อ่านไปแล้วก็อย่าลืมทำแบบฝึกหัดที่ Eng Breaking ได้เตรียมมาให้สำหรับคุณโดยเฉพาะด้วยนะ มันจะช่วยให้เราท่องจำหลักการใช้ของ คำนำหน้านาม ( a, an, the) ได้ง่ายขึ้นและสามารถประยุกต์ใช้ได้ทันที ลองมาดูกันว่ามีใครตอบได้ทุกข้อดังต่อไปนี้ไหม

แบบฝึกหัดสำหรับ คำนำหน้านาม ( a an the)

1. We are looking for _______ place to spend ________ night.
         A. the/the               B. a/the       C. a/a          D. the/a

2. Please turn off ________ lights when you leave ________ room.
         A. the/the               B. a/a          C. the/a       D. a/the

3. We are looking for people with ________experience.
         A. the                      B. a             C. an           D. x

4. Would you pass me ________ salt, please?
         A. a                         B. the          C. an           D. x

5. Can you show me ________way to ________station?
         A. the/the               B. a/a          C. the/a       D. a/the

6. She has read ________interesting book.
         A. a                         B. an           C. the          D. x

7. You’ll get ________shock if you touch ________ live wire with that screwdriver.
         A. an/the                B. x/the      C. a/a          D. an/the

8. Mr. Smith is ________ old customer and ________ honest man.
         A. An/the               B. the/an    C. an/an      D. the/the

9. ________ youngest boy has just started going to ________ school.
         A. a/x                      B. x/the      C. an/x        D. the/x

10. Do you go to ________ prison to visit him?
         A. the                      B. a             C. x             D. an

11. ________eldest boy is at ________ college.
         A. a/the                  B. the/x      C. x/ a         D. an/x

12. Are you going away next week? No, ________ week after next.
         A. an                       B. a             C. the          D. x

13. Would you like to hear ________ story about ________ English scientist?
         A. an/the                B. the/the   C. a/the       D. a/ an

14. There’ll always be a conflict between ________ old and ________ young.
         A. the/the               B. an/a        C. an/the    D. the/a

15. There was ________ collision at ________ corner.
         A. the/a                  B. an/the    C. a/the       D. the/the

16. My mother thinks that this is ________ expensive shop.
         A. the                      B. an           C. a             D. x

17. Like many women, she loves ________ parties and ________gifts.
         A. the/ a                 B. a/the       C. a/a          D. x/x

18. She works seven days ________ week.
         A. a                         B. the          C. an           D. x

19. My mother goes to work in ________ morning.
         A. a                     B. x             C. the          D. an

20. I am on night duty. When you go to ________ bed, I go to ________ work.
         A. a/x                      B. a/the       C. the/x      D. x/x

เป็นอย่างไรกันบ้าง กับบทความเรื่อง คำนำหน้านาม (Article a, an the) ที่ทาง Eng Breaking ได้นำมาให้คุณในวันนี้ หากเรารู้หลักการใช้ที่ถูกต้อง ภาษาอังกฤษก็กลายเป็นเรื่องง่ายนิดเดียว

แต่ถึงอย่างไรก็อย่าลืมหมั่นทบทวนและหมั่นฝึกฝนภาษาอังกฤษอยู่เป็นประจำนะ Practice Makes Perfect การฝึกฝนบ่อย ๆ จะทำให้เกิดความชำนาญ ไว้ครั้งหน้าอย่าลืมมาติดตามบทความดี ๆ เกี่ยวกับการเรียนภาษาอังกฤษจาก Eng Breaking ว่ามาจะมีสาระน่ารู้ดี ๆ อะไรมาฝากกันอีก

ปล. ว่าจะบอกลาเพื่อน ๆ ทุกคนแล้ว แต่ลืมให้คำเฉลยสำหรับแบบฝึกหัดข้างบน

นี่เลย ไม่ต้องรอนาน

1. B     2. A     3. D     4. B     5. A    
6. B     7. B     8. C     9. D     10. A  
11. B   12. C   13. D   14. A   15. C  
16. B   17. D   18. A   19. C   20. D

ตอบถูกได้กี่ข้อ หรือมีตรงไหนยังสงสัยก็ลองมาแชร์กับ Eng Breaking ได้เลย!!!

ความคิดเห็น 635 รายการ

 

[Update] สุนทรียศาสตร์Aesthetics | republic แปลว่า – NATAVIGUIDES


สุนทรียศาสตร์ (Aesthetics) เป็นศัพท์คำใหม่ ที่บัญญัติขึ้นโดย โบมการ์เด็น (Alexander Gottieb Baumgarte) ซึ่งก่อนหน้าที่เป็นเวลา 2000 กว่าปี นักปราชญ์สมัยกรีก เช่น เพลโต อริสโตเติล กล่าวถึงแต่เรื่องความงามความสะเทือนใจ ซึ่งเป็นความรู้สึกทางการรับรู้ (Sense Perception) ของมนุษย์ ปัญหาที่พวกเขาโต้เถียงกันได้แก่ ความงามคืออะไร ค่าของความงามนั้นเป็นจริงมีอยู่โดยตัวของมันเองหรือไม่ หรือว่าค่าของความงามเป็นเพียงความข้อความที่เราใช้กับสิ่งที่เราชอบ ความงามกับสิ่งที่งามสัมพันธ์กันอย่างไร มีมาตรการตายตัวอะไรหรือไม่ที่ทำให้เราตัดสินใจได้ว่าสิ่งนั้นงามหรือไม่งาม สุนทรียศาสตร์นับว่าเป็นแขนงหนึ่งของปรัชญาในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการแสวงหา คุณค่า (Axiology) ในสมัยก่อนวิชานี้เป็นที่รู้จักกันในรูปของวิชา “ทฤษฎีแห่งความงาม” (Theory of Beauty)

สุนทรียศาสตร์เป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับความงามซึ่งอาจเป็นความงามในธรรมชาติหรือความงามทางศิลปะก็ได้ เพราะในผลงานทางศิลปะ เราถือว่าเป็นสิ่งที่ดีความงามอยู่ด้วย นอกจากนี้สุนทรียศาสตร์ยังศึกษาวิชาที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกของการรับรู้ความงาม วิชาที่เกี่ยวข้องกับหลักเกณฑ์ของคุณลักษณะของความงาม คุณค่าของความงาม และรสนิยม วิชาที่ส่งเสริมให้สอบสวนและแสวงหาหลักเกณฑ์ของความงามสากลในลักษณะของรูปธรรมที่เห็นได้ชัด รับรู้ได้และชื่นชมได้ วิชาที่เกี่ยวข้องกับประสบการณ์ตรงของบุคคล สร้างพฤติกรรม ความพอใจโดยไม่หวังผลตอบแทนในการปฏิบัติ เป็นความรู้สึกพอใจเฉพาะตน สามารถเผื่อแผ่เสนอแนะผู้อื่นให้มีอารมณ์ร่วมรู้สึกด้วยได้ วิชาที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาพฤติกรรมตอบสนองของมนุษย์จากสิ่งเร้าภายนอกตามเงื่อนไขของสถานการณ์ เรื่องราวความเชื่อ และผลงานที่มนุษย์สร้าง

ความเป็นมาของสุนทรียศาสตร์

“สุนทรียศาสตร์” เป็นศัพท์คำใหม่ ที่บัญญัติขึ้นโดย โบมการ์เด็น (Alexander Gottieb Baumgarte, 2305: 255) ซึ่งก่อนหน้าที่เป็นเวลา 2000 กว่าปี นักปราชญ์สมัยกรีก เช่น เพลโต อริสโตเติล กล่าวถึงแต่เรื่องความงาม ความสะเทือนใจ ซึ่งเป็นความรู้สึกทางการรับรู้ (Sense Perception) ของมนุษย์ ปัญหาที่พวกเขาโต้เถียงกันได้แก่ ความงามคืออะไร ค่าของความงามนั้นเป็นจริงมีอยู่โดยตัวของมันเองหรือไม่ หรือว่าค่าของความงามเป็นเพียงความข้อความที่เราใช้กับสิ่งที่เราชอบ ความงามกับสิ่งที่งามสัมพันธ์กันอย่างไร มีมาตรการตายตัวอะไรหรือไม่ที่ทำให้เราตัดสินใจได้ว่าสิ่งนั้นงามหรือไม่งาม

โบมการ์เด็น มีความสนใจในปัญหาเรื่องของความงามนี้มาก เขาได้ลงมือค้นคว้ารวบรวมความรู้เกี่ยวกับความงามที่กระจัดกระจายอยู่มาไว้ในที่เดียวกัน เพื่อพัฒนาความรู้เกี่ยวกับความงามให้มีเนื้อหาสาระที่เข้มแข็งขึ้น แล้วตั้งชื่อวิชาเกี่ยวกับความงามหรือความรู้ที่เกี่ยวกับความรู้สึกทางการรับรู้ว่า Aesthetics

โดยบัญญัติจากรากศัพท์ภาษากรีก Aisthetics หมายถึง ความรู้สึกทางการรับรู้ หรือการรับรู้ตามความรู้สึก (Sense perception) สำหรับศัพท์บัญญัติภาษาไทย ก็คือ “สุนทรียศาสตร์” จากนั้นวิชาสุนทรียศาสตร์ ก็ได้รับความสนใจเป็นวิชาที่มีหลักการเจริญก้าวหน้าขึ้น สามารถศึกษาได้ถึงระดับปริญญาเอก ด้วยเหตุผลนี้ โบมการ์เด็น จึงได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งสุนทรียศาสตร์สมัยใหม่ (ทวีเกียรติ ไชยยงยศ, 2538: 1)

ความหมายของคำว่าสุนทรียศาสตร์

สุนทรียศาสตร์มีผู้ให้ความหมายของคำไว้หลายท่านดังตัวอย่างต่อไปนี้
1. สุนทรีศาสตร์ เป็นปรัชญาสาขาหนึ่ง ที่ว่าด้วยความงามและสิ่งที่งามทั้งในงานศิลปะและในธรรมชาติ โดยศึกษาประสบการณ์ คุณค่าความงามและมาตรฐานในการวินิจฉัยว่า อะไรงาม อะไรไม่งาม (ราชบัณฑิตยสถาน, 2532: 4)

ความงามในธรรมชาติและความงามในศิลปะ

ความงามในธรรมชาติ เป็นความงามที่ปราศจากการปรุงแต่ง เป็นความงามที่มนุษย์สามารถสัมผัสได้ เช่น ชมทิวทัศน์ทุ่งทานตะวัน หรือชมพระอาทิตย์อัศดงที่ภูผา เป็นต้น

ความงามในศิลปะ เกิดจากความรู้สึกภายในจิตใจ ที่อยากแสดงออกทางสุนทรียภาพจากประสบการณ์ต่างๆ และขึ้นอยู่กับการสัมผัสของแต่ละบุคคล

2. สุนทรียศาสตร์ เป็นวิชาว่าด้วยสิ่งที่สวยงามหรือไพเราะ คำว่า Aesthetics (เอ็ซเธทถิกส์) มาจากภาษากรีกว่า Aisthetikos (อีสเธทิโคส) = รู้ได้ด้วยสัมผัสสุนทรียธาตุ (Aesthetics Elements) ซึ่งมีอยู่ 3 อย่างคือ (กีรติ บุญเจือ, 2522: 263)

– ความงาม (Beauty)
– ความแปลกหูแปลกตา (Picturesqueness)
– และความน่าทึ่ง (Sublimity)

คำว่า “สุนทรียศาสตร์” มาจากศัพท์ภาษาบาลีว่า “สุนทรียะ” แปลว่าดี งาม สุนทรียศาสตร์จึงมีความหมายตามรากศัพท์ว่าวิชาที่ว่าด้วยความงาม ในความหมายของคำเดียวกันนี้ นักปราชญ์ ชาวเยอรมันชื่อ Aisthetics Baumgarten (1718 – 1762) ได้เลือกคำในภาษากรีกมาใช้คำว่า Aisthetics ซึ่งหมายถึงการรับรู้ตามความรู้สึก (Sense Perception) เป็นวิชาเกี่ยวกับเรื่องทฤษฎีแห่งความงามตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า Aesthetics ส่วนในภาษาไทยใช้คำว่าสุนทรียศาสตร์หรือวิชาศิลปะทั่วไป ดังนั้น จึงถือว่าศิลปะเป็นส่วนหนึ่งของสุนทรียศาสตร์หรือเมื่อกล่าวถึงสุนทรียศาสตร์เมื่อใดก็มักจะเกี่ยวข้องกับงานศิลปะนั่นเอง

ความหมายของสุนทรียภาพ

“สุนทรีภาพ” (Aisthetics) หมายถึง ความซาบซึ้งในคุณค่าของสิ่งที่งาม ไพเราะ หรือรื่นรมย์ ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติ หรือศิลปะ (พจนานุกรมศัพท์ศิลปะ, 2530: 6)

“สุทรียภาพ” หรือ สุนทรีย์ เป็นความรู้สึกที่บริสุทธิ์ ที่เกิดขึ้นในห้วงเวลาหนึ่ง ลักษณะของอารมณ์ หรือความรู้สึกนั้นเราใช้ภาษาต่อไปนี้แทนความรู้สึกจริง ๆ ของเรา ซึ่งได้ความหมายไม่เท่าที่เรารู้สึกจริง ๆ เช่น คำตอบต่อไปนี้

– พอใจ (interested)
– ไม่พอใจ (disinterested)
– เพลิดเพลินใจ (pleause)
– ทุกข์ใจ (unpleasuse)
– กินใจ (empathy)

อารมณ์ หรือ ความรู้สึกดังกล่าวนี้จะพาให้เกิดอาการลืมตัว (Attention span) และ เผลอใจ (psychical distance) ลักษณะทั้งหมดนี้เรียกว่า สุนทรีย์ หรือสุนทรียภาพ

“สุนทรียภาพของชีวิต” คือ สุนทรียศาสตร์เชิงพฤติกรรม หรือ ประสบการณ์ทางสุนทรียภาพ ซึ่งจะนำไปสู่ผลลัพธ์การเรียนรู้เพื่อการเป็นบัณฑิตที่สมบูรณ์ สองประการ อันได้แก่ การที่เป็นผู้ที่มีความซาบซึ้งในคุณค่าของสุนทรียภาพ และมีความเข้าใจธรรมชาติของชีวิตและดำรงตนให้มีคุณค่าต่อสังคม

ประโยชน์ของวิชาสุนทรียศาสตร์

1. ส่งเสริมกระบวนการคิด การตัดสินความงามอย่างสมเหตุสมผล
2.ช่วยกล่อมกลมให้เป็นผู้มีจิตใจอ่อนโยน
3.เสริมสร้างประสบการณ์สุนทรียะให้กว้างขวาง
4.ส่งเริมแนวทางในการแสวงหาความสุข
5. ส่งเสริมให้เห็นความสำคัญของสรรพสิ่ง

 

——–

สุนทรียศาสตร์

ความนำ

สุนทรียศาสตร์ เป็นสาขาของปรัชญาที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้ในเรื่องความงาม ตลอดรวมถึงความน่าเกลียด ในภาษาฝรั่งเรียกว่าเป็นคุณค่าในเชิงนิเสธ(negative value) นอกจากนี้เรื่องของสุนทรียศาสตร์ยังเกี่ยวกข้องกับประเด็นคำถามที่ว่า คุณสมบัติ(ความงาม – ความน่าเกลียด) เป็นสิ่งที่มีอยู่ในเชิง”วัตถุวิสัย”(objective) หรือเป็นเรื่องของ”อัตวิสัย”(subjective)ซึ่งมีอยู่ในใจของแต่ละบุคคลเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ วัตถุต่างๆ จึงควรที่จะได้รับการสัมผัสโดยวิธีการเฉพาะอันหนึ่ง. นอกจากนี้ สุนทรียศาสตร์ยังตั้งคำถามในเรื่องที่ว่า มันมีความแตกต่างกัน ระหว่าง”ความงาม”และ”ความสูงส่ง”(sublime)หรือไม่?

Criticism and Psychology of Art

การวิจารณ์และจิตวิทยาเกี่ยวกับศิลปะ(criticism and psychology of art) แม้จิตวิทยาจะมีระเบียบวิธีที่เป็นอิสระแตกต่างไป แต่ก็เป็นศาสตร์ที่ถูกนำมาเชื่อมโยงกับสุนทรียศาสตร์. จิตวิทยาเกี่ยวกับศิลปะเป็นเรื่องที่เกี่ยวโยงกับปัจจัยต่างๆ ทางด้านศิลปะ ยกตัวอย่างเช่น การที่มนุษย์ตอบโต้และขานรับต่อสี เสียง เส้น รูปทรง หรือคำต่างๆ และเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับอารมณ์ความรู้สึก. ส่วนการวิจารณ์ศิลปะจำกัดตัวของมันเองกับผลงานศิลปะโดยเฉพาะ มีการวิเคราะห์ถึงโครงสร้าง ความหมาย และปัญหาต่างๆ ในงานศิลปะเปรียบเทียบกับผลงานชิ้นอื่นๆ และมีการประเมินคุณค่างานศิลปะ

ศัพท์คำว่า”สุนทรียศาสตร์”(Aesthetics) ถูกนำเสนอขึ้นมานับแต่ปี ค.ศ. 1753 โดยนักปรัชญาชาวเยอรมัน นามว่า Alexander Gottlieb Baumgarten โดยเขาหมายความถึงรสนิยม ความรู้สึกสัมผัสในความงาม(*), แต่การศึกษาเกี่ยวกับธรรมชาติของความงามได้รับการดำเนินการมาหลายศตวรรษแล้ว. ในอดีตนั้น ส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวที่สนใจโดยบรรดานักปรัชญาทั้งหลาย นับแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา บรรดาศิลปินทั้งหลายได้มีส่วนช่วยเหลือสนับสนุนทัศนะของพวกเขาด้วย

Plato: Classical Theories

ทฤษฎีทางสุนทรียศาสตร์แรกในขอบเขตนี้เป็นของ Plato นักปรัชญากรีก ผู้ซึ่งเชื่อว่าความเป็นจริง(reality)มีอยู่ในโลกของแบบ(archetypes or forms) ที่เหนือไปจากประสาทสัมผัสของมนุษย์ ซึ่งเป็นต้นแบบต่างๆ ของสรรพสิ่งซึ่งมีอยู่ในโลกแห่งประสบการณ์ของมนุษย์ วัตถุสิ่งของต่างๆ ของประสบการณ์เป็นเพียงตัวอย่าง หรือการเลียนแบบรูปในโลกของแบบทั้งสิ้น นักปรัชญาท่านนี้พยายามให้เหตุผลสำหรับวัตถุเชิงประสบการณ์(ในโลกมนุษย์)กับความเป็นจริง(โลกของแบบ)ที่มันเลียนแบบมา บรรดาศิลปินทั้งหลายลอกแบบวัตถุเชิงประสบการณ์อีกทอดหนึ่ง หรือใช้มันในฐานะเป็นต้นแบบอันหนึ่งสำหรับงานของพวกเขา ด้วยเหตุนี้ ผลงานของบรรดาศิลปินทั้งหลายจึงเป็นการเลียนแบบของการเลียนแบบอีกทอดหนึ่ง เพื่อความเข้าใจชัดเจนขึ้นขอยกตัวอย่างต่อไปนี้

โลกของแบบ – “ม้า” (ม้าที่มีอยู่ในสมอง/ความคิดของมนุษย์)

โลกของประสบการณ์ – “ม้า” (ม้าที่เราสัมผัส รับรู้จริง – เลียนมาจากโลกของแบบ)

โลกของศิลปะ – “ม้า” (ภาพวาดม้า ที่เขียนเลียนแบบโลกของประสบการณ์)

ความคิดของ Plato นี้ปรากฏเด่นชัดในหนังสือของเขาเรื่อง the Republic(*), Plato ไปไกลมากถึงขนาดให้ขับไล่หรือเนรเทศศิลปินออกไปจากอุตมรัฐซึ่งเป็นสังคมในอุดมคติของเขา ทั้งนี้เพราะเขาคิดว่า ผลงานของศิลปินเหล่านั้นกระตุ้นและสนับสนุนความไร้ศีลธรรม และผลงานประพันธ์ทางด้านดนตรีบางอย่าง เป็นมูลเหตุให้เกิดความขี้เกียจ หรือด้วยการเสพงานศิลปะ ผู้คนอาจถูกยุยงให้เกิดการกระทำเลยเถิดเกินกว่าจะยอมรับได้ไป (immoderate actions)

ศิลปะคือการเลียนแบบในทัศนะของอริสโตเติล

อริสโตเติล (Aristotle) ได้พูดถึงเรื่อง “ศิลปะคือการเลียนแบบ” เอาไว้ด้วยเช่นกัน แต่ไม่ใช่ในความหมายอย่างเดียวกันกับเพลโต (Plato) ใครคนหนึ่งสามารถที่จะเลียนแบบ “สิ่งต่างๆ ได้อย่างที่พวกมันควรจะเป็น และ “บางส่วน ศิลปะได้สร้างความสมบูรณ์ในสิ่งที่ธรรมชาติไม่สามารถนำมาซึ่งความสมบูรณ์แบบได้” (art party completes what nature can not bring to a finish) ศิลปินได้แยกแยะรูปทรงออกมาจากสสารของวัตถุบางอย่างของประสบการณ์ ตัวอย่างเช่น ร่างกายของมนุษย์หรือต้นไม้จริงบนโลก และจัดการกับรูปทรงอันนั้นในสสารอีกอย่างหนึ่ง อย่างเช่น เขียนหรือวาดมันลงบนผืนผ้าใบหรือสลักขึ้นมาจากแท่งหินอ่อน ด้วยเหตุนี้ การเลียนแบบจึงมิใช่เพียงแค่การลอกเลียนต้นแบบอันหนึ่งเท่านั้น และไม่ใช่สิ่งประดิษฐ์ที่เป็นสัญลักษณ์มาจากของเดิม แต่เป็นสิ่งที่ปรากฏซึ่งมีลักษณะเฉาพะ มีแง่มุมอันหนึ่งของสิ่งต่างๆ และผลงานศิลปะแต่ละชิ้นคือการเลียบแบบมาจากสิ่งสากลหรือทั่วๆ ไป

สุนทรียศาสตร์กับศีลธรรมและการเมือง

สุนทรียศาสตร์ ไม่อาจแยกออกได้จากเรื่องของศีลธรรมและการเมืองสำหรับในทัศนะของ Aristotle และ Plato. Plato ได้เขียนเกี่ยวกับเรื่องของดนตรีเอาไว้ในหนังสือ Politics ของเขา โดยยืนยันว่า “ศิลปะมีผลกระทบต่อบุคลิกภาพหรืออัตลักษณ์ของมนุษย์ และเนื่องจากเหตุนี้ จึงต้องมีกฏเกณฑ์ทางสังคม” ส่วน Aristotle นั้นถือว่า ความสุขคือเป้าหมายของชีวิต (happiness is the aim of life) เขาเชื่อว่าหน้าที่หลักของศิลปะก็คือ การจัดเตรียมความพึงพอใจให้กับมนุษย์

ในหนังสือเรื่อง Poetics เป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่เกี่ยวกับหลักการละครของ Aristotle. เขาอ้างเหตุผลว่า ละครโศกนาฏกรรมมีส่วนกระตุ้นเร้าอารมณ์ความรู้สึกเกี่ยวกับความสงสารและความกลัวได้มาก ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากลัวและไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อถึงตอนจบของละคร ผู้ดูจะได้รับการฟอกชำระเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ การระบายอารมณ์ของผู้ชมด้วยผลงานศิลปะ(catharsis)(*)อันนี้ ทำให้ผู้ชมละครมีสุขภาพดีขึ้นและด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงทำให้มีความสามารถมากขึ้นเกี่ยวกับความสุข

การละครในสมัย Neoclassic นับตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17 ได้รับอิทธิพลจากงานเขียนเรื่อง Poeties ของ Aristotle อย่างมาก ผลงานต่างๆ ของนักการละครชาวฝรั่งเศส Jean Baptiste Racine, Pierre Corneille และ Moliere นักการละครเหล่านี้ ได้ให้การสนับสนุนหลักการเกี่ยวกับเอกภาพทั้งสาม นั่นคือ เวลา(time) สถานที่(place) และการกระทำ(action) แนวความคิดนี้ได้ครอบงำทฤษฎีต่างๆ ทางวรรณกรรมมาจนกระทั่งมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 19

Other Early Approaches

ปรัชญาเมธีในคริสตศตวรรษที่ 3 นามว่า Plotinus (AD 204-270) (*) เกิด ณ ประเทศอียิปต์และได้รับการฝึกฝนทางด้านปรัชญา ณ เมือง Alexandria ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นนักปรัชญานีโอเพลโตนิสท์(Neoplatonist) แต่เขาได้ให้ความสำคัญอย่างมากในเรื่องของศิลปะยิ่งกว่า Plato ได้กระทำ (กล่าวคือเพลโตมีทัศนะคติในแง่ลบต่องานศิลปะ). ในทัศนะของ Plotinus ศิลปะเปิดเผยถึงรูปทรงของวัตถุชิ้นหนึ่งให้ชัดเจนขึ้นเกินกว่าประสบการณ์ตามปกติ และมันได้ยกเอาจิตวิญญาณไปสู่การพิจารณาใคร่ครวญเกี่ยวกับสากลภาพ. ตามความคิดของ Plotinus ช่วงขณะที่สูงสุดของชีวิตคือสิ่งที่ลึกลับ กล่าวได้ว่า วิญญาณได้รับการรวมตัวเป็นหนึ่งในโลกของแบบกับพระผู้เป็นเจ้า ซึ่ง Plotinus พูดถึงสิ่งนี้ว่าเป็น “the one” ในภาวะนั้น ประสบการณ์ทางสุนทรีย์(aesthetic experience)ได้เข้ามาใกล้กับประสบการณ์อันลึกลับ(mystical experience). สำหรับคนๆ หนึ่ง ในช่วงเวลาดังกล่าว ขณะที่พิจารณาไตร่ตรองถึงวัตถุทางสุนทรีย์อยู่นั้น เขาได้สูญเสียตัวของเขาเองไปหรือหลงลืมตัวตนจนสิ้น

ศิลปะในช่วงยุคกลาง แรกเริ่มเดิมทีเป็นการแสดงออกอันหนึ่งซึ่งเกี่ยวพันกับศาสนาคริสต์ หลักการทางสุนทรีย์มีรากฐานส่วนใหญ่อยู่ในลัทธิ Neoplatonism และต่อมาในช่วงระหว่างสมัยเรอเนสซองค์ราวคริสต์ศตวรรษที่ 15-16 ศิลปะได้เริ่มกลายมาเป็นเรื่องของทางโลกมากขึ้น และสุนทรียศาสตร์ของมันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับยุคคลาสสิค(กรีก) ยิ่งกว่าสุนทรียศาสตร์เชิงศาสนา. สำหรับโลกสมัยใหม่ แรงผลักดันอันยิ่งใหญ่ต่อความคิดทางสุนทรีย์ในโลกสมัยใหม่ ถือกำเนิดขึ้นในเยอรมนีในช่วงระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 18 นักวิจารณ์ชาวเยอรมัน Gotthold Ephraim Lessing ในงานเขียนเรื่อง Laokoon (1766) ของเขา ได้ให้เหตุผลว่า ศิลปะมีข้อจำกัดในตัวเองและได้มาถึงจุดสูงสุดของมันเมื่อข้อจำกัดเหล่านี้ได้รับการยอมรับ

นักวิจารณ์และนักโบราณคดีคลาสสิค(กรีก)ชาวเยอรมัน Johann Joachim Winckelmann ยืนยันว่า ตามความคิดเห็นของชนชาวกรีกโบราณ ผลงานศิลปะที่เยี่ยมยอดที่สุดเป็นเรื่องไม่เกี่ยวกับตัวตน ไม่เป็นเรื่องบุคคล หรือไม่เป็นเรื่องส่วนตัว(impersonal) สัดส่วนในเรื่องของการแสดงออกทางด้านอุดมคติและความสมดุลนั้น เกินไปกว่าเรื่องของปัจเจกชนซึ่งเป็นผู้สร้างสรรค์มันขึ้นมา. นักปรัชญาชาวเยอรมันอีกคนหนึ่ง Johann Gottlieb Fichte พิจารณาว่า ความงามเป็นคุณความดีทางศีลธรรม ศิลปินสร้างสรรค์โลกขึ้นมาใบหนึ่งซึ่งมีความงดงามซึ่งมีคุณค่าเท่ากันกับความจริง นั่นเป็นจุดหมายอันหนึ่ง อันเป็นนิมิตหมายล่วงหน้าว่าอิสรภาพอันสมบูรณ์คือสิ่งซึ่งเป็นเป้าหมายเกี่ยวกับเจตจำนงของมนุษย์. สำหรับ Fichte ศิลปะเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล มิใช่เรื่องของสังคม แต่มันทำให้จุดประสงค์ของมนุษย์อันยิ่งใหญ่บรรลุผลสมบูรณ์ได้

Modern Aesthetics

ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 ปรัชญาเมธีชาวเยอรมันผู้หนึ่ง Immanuel Kant ได้ถูกนำมาเกี่ยวข้องกับเรื่องของการตัดสินทางด้านรสนิยม เขาเสนอว่า วัตถุทั้งหลายได้รับการตัดสินว่างดงาม ขณะที่พวกมันทำให้ความปรารถนาที่ไม่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ได้รับความพึงพอใจ หมายความว่า การไม่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ส่วนตัวหรือความต้องการที่เป็นส่วนตัว

วัตถุที่มีความงามมิได้มีวัตถุประสงค์ใดๆ โดยเฉพาะ และการตัดสินเกี่ยวกับเรื่องของความงามนั้น ไม่ได้เป็นการแสดงออกของความชอบที่เป็นส่วนตัวเท่านั้น แต่มันเป็นภาวะที่เป็นสากล(beautiful objects have no specific purpose and that judgement of beauty are not expressions of mere personal preference but are universal) ศิลปะควรที่จะให้ความพึงพอใจที่ไม่เกี่ยวข้องกับผลปะโยชน์ เช่นเดียวกับความงามของธรรมชาติ (Art should give the same disinterested satisfaction as natural beauty). ในเชิงประติทรรศน์ ศิลปะสามารถที่จะบรรลุถึงผลสำเร็จอันหนึ่งซึ่งธรรมชาติไม่อาจบรรลุถึงได้ มันสามารถให้ภาพของความน่าเกลียดและความงามในวัตถุหนึ่งเดียว กล่าวคือ งานจิตรกรรมที่ประณีตสามารถที่จะแสดงถึงใบหน้าที่น่าเกลียดที่ยังคงมีความงดงามได้

G.W.F.Hegel: ตามความคิดของนักปรัชญาชาวเยอรมันในคริสต์ศตวรรษที่ 19 G.W.F.Hegel ศิลปะ ศาสนา และปรัชญา คือรากฐานต่างๆ ของพัฒนาการทางด้านจิตวิญญาณอันสูงสุด ความงามในธรรมชาติคือทุกสิ่งทุกอย่างที่จิตวิญญาณของมนุษย์ได้ค้นพบความพึงพอใจ และเป็นที่ถูกใจต่อการฝึกฝนของจิตวิญญาณและอิสรภาพของสติปัญญา บางสิ่งบางอย่างในธรรมชาติสามารถถูกทำให้เป็นที่ถูกใจมากขึ้นและพึงพอใจมากขึ้น และมันเป็นวัตถุทางธรรมชาติต่างๆ เหล่านี้ที่ถูกยอมรับโดยศิลปะต่อความต้องการความพึงพอใจต่างๆ ทางสุนทรีย์

Arthur Schopenhauer: นักปรัชญาชาวเยอรมัน Arthur Schopenhauer เชื่อว่า รูปทรงต่างๆ หรือแบบของสากลภาพนั้น(forms of the universe) เหมือนกับ “แบบ” อันเป็นนิรันดร์กาลของเพลโต (eternal Platonic forms) มันมีอยู่เหนือไปจากโลกของประสบการณ์ และความพึงพอใจทางสุนทรีย์จะถูกทำให้บรรลุถึงได้โดยการพิจารณาไตร่ตรองมันด้วยเป้าหมายของตัวมันเอง อันเป็นวิธีการอันหนึ่งของหลบเลี่ยงไปจากโลกของความเจ็บปวดของประสบการณ์ในชีวิตประจำวัน. ทั้ง Fichte, Kant, และ Hegel ต่างก็อยู่ในเส้นทางสายตรงของพัฒนาการ ส่วน Schopenhauer โจมตี Hegel แต่ก็ได้รับอิทธิพลจากทัศนะของ Kant ในเรื่องเกี่ยวกับการพิจารณาไตร่ตรองโดยไม่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์

Friedrich Nietzsche: ปรัชญาเมธีชาวเยอรมันอีกผู้หนึ่ง Friedrich Nietzsche ในช่วงแรกได้ติดตามความคิดของ Schopenhauer แต่ถัดจากนั้น เขาเริ่มแสดงความไม่เห็นด้วยกับ Schopenhauer. Nietzsche เห็นพ้องว่าชีวิตเป็นเรื่องของความโศกสลด แต่มิได้หมายความว่าต้องขจัดเรื่องความโศกสลดทิ้งไป โดยให้การรับรองความรื่นเริง การทำให้สิ่งเหล่านี้เป็นจริงอย่างเต็มเปี่ยมคือศิลปะ ศิลปะเผชิญหน้ากับความน่ากลัวของสากลภาพ และด้วยเหตุดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องของคนที่เข้มแข็งเท่านั้น ศิลปะสามารถที่จะแปรเปลี่ยนประสบการณ์ต่างๆ สู่ความงามได้ และโดยการเปลี่ยนแปลงความน่าหวั่นหวาดที่กระทำลงไปในหนทางนั้น มันอาจได้รับการพิจารณาไตร่ตรองด้วยความเพลิดเพลิน

ถึงแม้ว่า”สุนทรียศาสตร์สมัยใหม่”เป็นจำนวนมาก ได้รับการหยั่งรากอยู่ในความคิดของนักปรัชญาชาวเยอรมัน แต่ความคิดของนักปรัชญาชาวเยอรมันก็ให้ความเคารพต่ออิทธิพลทางความคิดของชาวตะวันตกอื่นๆ อย่างน้อย ผู้ก่อตั้งลัทธิโรแมนติคเยอรมันคนหนึ่ง ก็ได้รับอิทธิพลมาจากงานเขียนต่างๆ ทางสุนทรีย์ของรัฐบุรุษชาวอังกฤษ อย่าง Edmund Burke

Aesthetics and Art

สุนทรียศาสตร์แนวประเพณีนิยมในคริสต์ศตวรรษที่ 18-19 ได้ถูกครอบงำแนวความคิดเกี่ยวกับศิลปะที่ว่า ศิลปะคือการเลียนแบบธรรมชาติ บรรดานักเขียนนวนิยายทั้งหลาย อย่างเช่น Jane Austen และ Charles Dickens ในอังกฤษ และนักเขียนบทละครอย่างเช่น Carlo Goldoni ในอิตาลี และ Alexandre Dumas Fils (ลูกชายของ Alexandre Dumas pere) ในฝรั่งเศส ได้นำเสนอเรื่องราวสัจจนิยมเกี่ยวกับชนชั้นกลาง. บรรดาจิตรกรทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นพวกทำงานในแนว Neoclassical อย่างเช่น Jean Auguste Dominique Ingres, หรือที่ทำงานในแนวทาง Romantic, อย่างเช่น Eugene Delacroix, หรือพวก realist อย่างเช่น Gustave Courbet ได้ทำงานตามแนวทางของพวกเขาด้วยความเอาใจใส่และระมัดระวังในรายละเอียดที่เหมือนกับชีวิตจริง

ในสุนทรียศาสตร์แนวประเพณีนิยม มักจะได้รับการทึกทักอยู่บ่อยว่า วัตถุทางศิปะเป็นสิ่งที่มีประโยชน์เช่นเดียวกันกับสิ่งที่สวยงาม ผลงานจิตรกรรมต่างๆ อาจจะเป็นการำลึกถึงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ หรือเป็นสิ่งกระตุ้นทางด้านศีลธรรม, ดนตรีอาจให้แรงดลใจต่อความเลื่อมใสศรัทธาหรือความรักชาติ, การละคร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในมือของ Dumas และนักเขียนบทละครชาวนอร์เวย์ Henrik Ibsen อาจรับใช้การวิพากษ์วิจารณ์สังคมและน้อมนำไปสู่การปฏิรูปทางสังคมอันยิ่งใหญ่

แต่อย่างไรก็ตาม ในราวคริสต์ศตวรรษที่ 19 แนวความคิดแบบ avant-garde ที่มีความคิดล้ำหน้าทางสุนทรียศาสตร์เริ่มต้นท้าทายต่อทัศนะในแบบประเพณีนิยม โดยเฉพาะความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีหลักฐานอยู่ในงานด้านจิตรกรรมฝรั่งเศส. บรรดาจิตรกรฝรั่งเศสแนวอิมเพรสชันนิสท์ หรือ French immpressionists หลายคน อย่างเช่น Claude Monet ได้ตำหนิประณามบรรดาจิตรกรแนวแบบแผนนิยม หรือพวก academic สำหรับการเขียนรูปสิ่งที่พวกเขาคิด. พวกเขาควรจะเห็นมากกว่าสิ่งที่พวกเขาเห็นจริงๆ (they should see rather than what they actually saw) – นั่นคือ ผิวหน้าต่างๆ จำนวนมากมายและรูปทรงต่างๆ ที่ผันแปร อันมีมูลเหตุมาจากการละเล่นที่บิดเบือนไปมาของแสงและเงา ในขณะที่ดวงอาวทิตย์เคลื่อนที่ไป

ในช่วงปลายของคริสต์ศตวรรษที่ 19 บรรดาจิตรกร Post-Impressionists หลายคน อย่างเช่น Paul Cezanne, Paul Gauguin, และ Vincent van Gogh ต่างก็ถูกนำเข้ามาพัวพันกับโครงสร้างของงานจิตรกรรมอันหนึ่ง โดยการแสดงออกทางจิตวิญญาณของพวกเขายิ่งกว่าด้วยวัตถุที่ปรากฏแก่สายตาในโลกธรรมชาติ. ในช่วงต้นของคริสต์ศตวรรษที่ 20 ความสนใจในโครงสร้างอันนี้ได้รับการพัฒนายิ่งๆ ขึ้น โดยบรรดาจิตรกร cubist อย่างเช่น Pablo Picasso และการเกี่ยวพันกับศิลปิน Expressionists ที่ได้รับการสะท้อนถ่ายอยู่ในงานของ Henri Matisse และศิลปินในแนว Fauves คนอื่นๆ และจากภาพเขียนของบรรดาจิตรกรในแนว expressionism อาจพบเห็นได้ในบทละครของ August Strindberg นักเขียนบทละครชาวสวีเดน และ Frank Wedekind นักเขียนบทละครชาวเยอรมัน

ใกล้เคียงและเกี่ยวโยงกับวิธีการแบบ non-representstional approaches หรือ “นามธรรมศิลปะ” คือหลักการเกี่ยวกับ “ศิลปะเพื่อศิลปะ”(art for art’ s sake) ซึ่งได้สืบทอดมาจากทัศนะของ Kant ที่ว่า “ศิลปะมีเหตุผลสำหรับการดำรงอยู่ของตัวมันเอง”(Art has its own reason for being) วลีดังกล่าวนี้ได้ถูกนำมาใช้ครั้งแรกโดยปรัชญาเมธีชาวฝรั่งเศส Victor Cousin ในปี ค.ศ. 1818 หลักการนี้บางครั้งเรียกว่าลัทธิสุนทรียศาสตร์(aestheticism) (*) ซึ่งได้รับการสนับสนุนในอังกฤษโดยนักวิจารณ์อย่าง Water Horation Pater โดยบรรดาจิตรกร Pre-Raphaelite (จิตรกรอังกฤษกลุ่มหนึ่งในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ซึ่งสนใจกับเรื่องราวจากประวัติศาสตร์ในยุคกลาง ปกรณัมแบบโรแมนติค และคติชาวบ้าน) และโดยจิตรกรชาวอเมริกันที่อพยพไปอยู่ต่างประเทศ James ABBott Mcneil Whistler. ในประเทศฝรั่งเศส มีขัอบัญญัติทางด้านความเชื่อของกวีในแนว symbolist อย่างเช่น Charles Baudelaire. อาจกล่าวได้ว่า “ศิลปะเพื่อศิลปะ” หลักการอันนี้ ได้อยู่ข้างใต้หรือทำหน้าที่รองรับศิลปะ avant-garde ของตะวันตกมากที่สุดในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20

Major Contemporary Influences

อิทธิพลทางความคิดร่วมสมัยที่สำคัญ: นักปรัชญา 4 คนในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 นับว่ามีอิทธิพลในช่วงแรกของสุนทรียศาสตร์ทุกวันนี้

Henri Bergson: เริ่มจากฝรั่งเศส Henri Bergson นิยามวิทยาศาสตร์ว่าเป็นประโยชน์เกี่ยวกับเรื่องของสติปัญญาในการสร้างสรรค์ระบบอันหนึ่งของสัญลักษณ์ต่างๆ ซึ่งอธิบายความเป็นจริงที่เชื่อกันโดยทั่วไป แต่อันที่จริงกลับเป็นเท็จ แต่อย่างไรก็ตาม ศิลปะได้รับการวางรากฐานอยู่บนสหัชญาน(intuition) ซึ่งเป็นการหยั่งรู้ความจริงโดยตรงซึ่งไม่ผ่านกระบวนการของเหตุผลหรือผ่านสื่อกลางทางความคิด ดังนั้น ศิลปะจึงตัดผ่านสัญลักษณ์ตามขนบประเพณีและความเชื่อต่างๆ เกี่ยวกับผู้คน ชีวิต และสังคม และเผชิญหน้ากับความเป็นจริงโดยตัวของมันเอง

Benedetto Croce: ในอิตาลี นักปรัชญาและนักประวัติศาสตร์ Benedetto Croce ได้ให้การยกย่องเรื่องของสหัชญานนี้ด้วยเช่นกัน แต่เขาได้พิจารณามันเป็นเรื่องของการรับรู้โดยทันทีเกี่ยวกับวัตถุชิ้นหนึ่ง ซึ่งด้วยเหตุผลบางประการ ทำให้วัตถุชิ้นนั้นปรากฏเป็นรูปทรงขึ้นมา มันเป็นการหยั่งรู้เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ก่อนที่ใครคนหนึ่งจะสะท้อนภาพเกี่ยวกับมันออกมา ผลงานศิลปะต่างๆ คือการแสดงออก เป็นรูปทรงที่เป็นวัตถุของสหัชญานอันนั้น แต่ความงามและความน่าเกลียดมิใช่คุณสมบัติของผลงานศิลปะ แต่มันเป็นคุณสมบัติต่างๆ ของจิตวิญญาณที่แสดงออกในลักษณะของสหัชญานในงานศิลปะเหล่านี้

Geoge Santayana: ปรัชญาเมธีและกวีชาวอเมริกัน Geoge Santayana ให้เหตุผลว่า เมื่อใครคนหนึ่งรู้สึกพึงพอใจต่อสิ่งๆ หนึ่ง ความพึงพอใจนั้นอาจได้รับการถือว่าเป็นคุณสมบัติของสิ่งนั้นในตัวมันเอง(เป็นวัตถุวิสัย – objective) ยิ่งกว่าที่จะเป็นการขานรับต่อวัตถุสิ่งนั้นในเชิงอัตวิสัย(subjective) เทียบกันกับที่ใครคนหนึ่งอาจจะอธิบายลักษณะการกระทำของมนุษย์บางคนว่าเป็นสิ่งที่ดีในตัวมันเอง แทนที่จะเรียกว่ามันดีเพราะใครคนหนึ่งเห็นพ้องหรือยอมรับมัน ดังนั้นเมื่อใครสักคนพูดว่า วัตถุชิ้นนั้นเป็นสิ่งสวยงาม ไม่ใช่เพียงว่ามันเป็นความปลื้มปิติทางสุนทรีย์ของคนๆ นั้นในสีสรรและรูปทรงของมันที่โน้มนำให้เขาเรียกมันว่าสิ่งสวยงาม แต่เป็นเพราะวัตถุชิ้นนั้นมันมีความงามในตัวของมันเอง

John Dewey: นักการศึกษาและนักปรัชญาชาวอเมริกัน มองว่าประสบการณ์ของมนุษย์เป็นสิ่งตัดขาด เป็นเศษชิ้นส่วน เต็มไปด้วยการเริ่มต้นโดยปราศจากข้อสรุปใดๆ หรือเป็นประสบการณ์ต่างๆ ที่มีการยักย้ายเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมอย่างจงใจ ในฐานะที่เป็นวิธีการไปสู่เป้าหมาย ประสบการณ์ที่เป็นข้อยกเว้นเหล่านั้นซึ่งไหลเลื่อนจากจุดเริ่มต้นต่างๆ ของมันไปสู่ความสมบูรณ์ต่างๆ คือสุนทรียะ ประสบการณ์ทางสุนทรีย์คือความเพลิดเพลินสำหรับจุดหมายของตัวมันเอง เป็นสิ่งสมบูรณ์และมีส่วนประกอบในตัวเองพร้อมมูล และเป็นบทสรุปโดยตัวมันเอง มิใช่เพียวเครื่องมือที่นำพาไปสู่จุดหมายอื่น(Aesthetic experience is enjoyment for its owm sake, is complete and self-contained, and is terminal, not merely instrumental to other purposes)

Marxism and Freudianism

ขบวนการเคลื่อนไหวที่มีพลัง 2 ขบวนการในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ได้แก่ Marxism และ Freudianism. Marxism เคลื่อนไหวในขอบเขตของเศรษฐศาสตร์และการเมือง ส่วน Freudianism เคลื่อนไหวในด้านจิตวิทยา ซึ่งทั้งสองขบวนการทางความคิด ปฏิเสธหลักการเกี่ยวกับ”ศิลปะเพื่อศิลปะ” และได้ยืนยันอีกครั้งถึงประโยชน์ในทางปฏิบัติของศิลปะ. ลัทธิ Marxism มองศิลปะในฐานะที่เป็นการแสดงออกของความสัมพันธ์ทางสังคมที่มีรากฐานทางเศรษฐกิจ บรรดาผู้ให้การสันบสุนน Marxism ยืนยันว่าศิลปะเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เป็นสิ่งที่ก้าวหน้า ต่อเมื่อมันให้การสนับสนุนมูลเหตุของสังคมภายใต้สิงซึ่งมันได้ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมา

Sigmund Freud เชื่อว่า คุณค่าของศิลปะนั้นดำรงอยู่ที่การใช้ประโยชน์เกี่ยวกับการบำบัด(the value of art to lie in its therapeutic use): โดยวิธีการอันนี้ ทั้งศิลปินและสาธารณชนสามารถที่จะเปิดเผยความขัดแย้งต่างๆ ที่ซ่อนเร้นและความตึงเครียดให้ได้รับการระบายออกมา ความเพ้อฝันต่างๆ และฝันกลางวัน(famtasies and daydreams) ที่มีอยู่ในงานศิลปะ ได้ถูกแปรมาจากการหลบเลี่ยงจากชีวิตเข้าไปสู่หนทางต่างๆ ของการสร้างภาพ. ในการเคลื่อนไหวทางศิลปะของพวก surrealist ในงานจิตรกรรมและกวีนิพนธ์ จิตไร้สำนึกต่างๆ ได้ถูกนำมาใช้เป็นต้นกำเนิดของสาระและเทคนิค. กระแสธารแห่งความสำนึกที่เด่นชัดในเรื่องที่แต่งขึ้นอย่างนวนิยายต่างๆ ของนักเขียนชาวไอริช James Joyce เป็นสิ่งที่ไม่เพียงได้รับการสืบทอดมาจากผลงานของ Freud เท่านั้น แต่บางส่วนได้สืบทอดมาจาก The Principles of Psychology(1890) โดยนักปรัชญาและจิตวิทยาชาวอเมริกัน William James และบางส่วนได้นำมาจากนวนิยายฝรั่งเศส We’ll to the Woods No More(1887) โดย Edouard Dujardin.

Existentialism

นักปรัชญาและนักเขียนชาวฝรั่งเศส Jean paul Sartre ได้ให้การสนับสนุนรูปแบบอันหนึ่งของลัทธิ Existentialism ในแนวคิดนี้ได้มองศิลปะว่าเป็นการแสดงออกอันหนึ่งเกี่ยวกับอิสรภาพของปัจเจกบุคคลที่จะเลือก และเป็นการแสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบของพวกเขาสำหรับการเลือกนั้น การไร้ซึ่งความหวัง เป็นส่งที่ถูกสะท้อนอยู่ในงานศิลปะ แต่มิใช่การสิ้นสุด อันที่จริงมันคือจุดเริ่มต้น ทั้งนี้เพราะมันได้ไปทำลายความรู้สึกผิดและปลดเปลื้องเราจากสิ่งซึ่งเป็นความทุกข์ปกติของมนุษย์ ดังนั้นมันจึงเป็นการเปิดทางให้กับอิสรภาพที่แท้จริง

Academic Controversies

การโต้แย้งต่างๆ ทางวิชาการของคริสตศตวรรษที่ 20 ได้หมุนไปรอบๆ เรื่องราวเกี่ยวกับความหมายของศิลปะ นักวิจารณ์และนักวิชาการที่ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องการเปลี่ยนแปลงความหมายของภาษาและตรรกะ(sementicist) ชาวอังกฤษ I.A.Richards อ้างว่า ศิลปะคือภาษาอันหนึ่ง ซึ่งทำหน้าที่นำพาหรือถ่ายทอดความคิดและข้อมูลออกมา ตลอดรวมถึงอารมณ์ความรู้สึกอันหนึ่ง ซึ่งทำหน้าที่แสดงออก ปลุกเร้า และสร้างความตื่นเต้นแก่ความรู้สึก และในทัศนะของเขา ถือว่า ศิลปะเป็นภาษาทางอารมณ์ ซึ่งมีระเบียบกฏเกณฑ์และความเชื่อมโยงกับประสบการณ์และทัศนะคติต่างๆ แต่ไม่ได้บรรจุความหมายทางสัญลักษณ์ใดๆ

ผลงานของ Richards เป็นสิ่งสำคัญสำหรับประโยชน์ทางเทคนิคด้านจิตวิทยาด้วย ในการศึกษาปฏิกิริยาทางสุนทรีย์เรื่อง Practical Criticism(1929) เขาได้อธิบายการทดลองต่างๆ ซึ่งเผยให้รู้ว่าคนที่มีการศึกษาสูง ต่างถูกกำหนดโดยการศึกษาของพวกเขา โดยการถ่ายทอดความคิดเห็น และโดยผ่านองค์ประกอบทางสังคมและสถานการณ์ต่างๆ ในการตอบโต้ทางสุนทรีย์ของพวกเขา. ส่วนนักเขียนคนอื่นๆ ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับผลกระทบต่างๆ ที่มาจากเงื่อนไขของขนบจารีต แฟชั่น ความนิยมและความกดดันทางสังคมต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงต้นของคริสต์ศตวรรษที่ 18 บทละครของ William Shakespears ได้ถูกมองว่าเป็นศิลปะอนารยชนและศิลปะแบบกอธิค (เป็นคำที่ค่อนไปในเชิงดูถูก) ที่แพร่หลายดาษๆ ทั่วไป

ความสนใจที่เพิ่มมากขึ้นในเรื่องสุนทรียศาสตร์ ได้ปรากฏออกมาในรูปของนิตยสารที่ออกตามกำหนดเวลา อย่างเช่น Journal of Aesthetics and Art Criticism, ซึ่งได้ก่อตั้งขึ้นในสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1941; และ Revue d’ Esthetique, ก่อตั้งขึ้นในประเทศฝรั่งเศส ปี ค.ศ. 1948; และนิตยสาร British Journal of Aesthetics ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1960

_________________________________

Aesthetics: ความเรียงของ Arthur C. Danto เกี่ยวกับสุนทรียศาสตร์
สมเกียรติ ตั้งนโม : แปล
คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
“Aesthetics” Microsoft® Encarta. Multimedia / Encyclopedia
1994 (CD-ROM). เรียบเรียงเมื่อวันที่ 15-25 10 38

Share this:

Like this:

Like

Loading…


Billkin – โคตรพิเศษ OST แปลรักฉันด้วยใจเธอ [Official MV]


ติดตามชม LINE TV Original Series ‘แปลรักฉันด้วยใจเธอ’
บน LINE TV เท่านั้น
ศิลปิน : Billkin
เนื้อร้อง \u0026 ทำนอง : สุตเขต จึงเจริญ, อัจฉริยา ดุลยไพบูลย์
เรียบเรียง : ศุภกิจ ฟองธนกิจ, ประทีป สิริอิสสระนันท์
Executive Producer : สุพล พัวศิริรักษ์, ประทีป สิริอิสสระนันท์
Producer: สุตเขต จึงเจริญ, อัจฉริยา ดุลยไพบูลย์
Mixed \u0026 Mastered: ระวี กังสนารักษ์
Recorded at DBS Studio
————————————————————————
ไม่เคยมีใครเลย ทำฉันเป็นได้อย่างนี้
วันคืนที่น่าเบื่อ มีชีวิตขึ้นทันที
แค่มีเธอเข้ามา แค่นี้ก็รู้ว่า
เธอคือพรุ่งนี้ที่ฉันรอ
แววตาที่เธอมอง ทำหัวใจฉันสั่นไหว
แค่คำธรรมดาทำฉันเพ้อลอยหลุดไป
ทุกครั้งที่ต้องลา ทำใจฉันวุ่นวาย
ให้ถึงพรุ่งนี้เลยได้ไหม
ฝืนฉันฝืนไม่ได้แล้ว ไม่รู้ว่าถ้าฉันคิดไปเกินกว่านี้จะผิดไหม
ยอมฉันยอมแพ้เธอไปแล้วไง
ก็ยอมรับว่าใจมันมีเพียงแค่เธอ
อยากสารภาพอยู่นะ แต่ต้องพูดว่าอะไร
ฉันก็ไม่รู้ว่าใช่หรือเปล่า ใช่หรือเปล่า
อาการแบบนี้ มันแปลว่าอะไร
คงไม่จำเป็นที่เราต้องเข้าใจ
รู้แค่เพียงมันโคตรพิเศษเลย
ฉันเลือกที่จะเก็บแทนที่จะพูดออกไป
ฉันเลือกที่จะปิด ดีกว่าเห็นเธอเปลี่ยนไป
ความจริงที่ซ่อนอยู่ รู้ไหมยากเท่าไหร่
ที่ต้องเก็บไว้แค่คนเดียว
โคตรพิเศษBillkin
แปลรักฉันด้วยใจเธอ
NadaoMusic

Polish Subtitle : Uru
Polish Subtitle ProofReading : Akwamaryn45

Subscribe to Nadao Music :: https://bit.ly/325gEDZ
Follow Nadao Music…
Facebook: https://www.facebook.com/NadaoMusic
Facebook: https://www.facebook.com/NadaoContent
Facebook: https://www.facebook.com/NadaoBangkok
Instagram: https://www.instagram.com/nadaobangkok
Instagram: https://www.instagram.com/nadaomusic
Twitter: https://twitter.com/NadaoBangkok

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูความรู้เพิ่มเติมที่นี่

Billkin - โคตรพิเศษ OST แปลรักฉันด้วยใจเธอ [Official MV]

Timbaland – Apologize ft. OneRepublic


REMASTERED IN HD!
For the latest Timbaland music, download King Stays King | Available now: bit.ly/KingStaysKingTimbo
Follow Timbaland!
Facebook: www.facebook.com/Timbaland
Twitter: twitter.com/Timbaland
Instagram: www.instagram.com/timbaland
SoundCloud: https://soundcloud.com/timbaland
Website: www.timbalandmusic.com/
Music video by Timbaland performing Apologize. (C) 2007 Mosley Music/Interscope Records
Timbaland OneRepublic Remastered Vevo HipHop OfficialMusicVideo

Timbaland - Apologize ft. OneRepublic

PP Krit – หรูเหอ 如何 (Skyline) OST แปลรักฉันด้วยใจเธอ [Official MV]


ติดตามชมซีรีส์ แปลรักฉันด้วยใจเธอ
ได้ทุกวันพฤหัสบดี เวลา 20:00 น. บน LINE TV เท่านั้น
ARTIST : PP Krit
เนื้อร้อง : SICHEN LI
ทำนอง : ปัณฑพล ประสารราชกิจ, ธิติวัฒน์ รองทอง
เรียบเรียง : ธิติวัฒน์ รองทอง
Executive Producer : สุพล พัวศิริรักษ์, ประทีป สิริอิสสระนันท์
Producer : ปัณฑพล ประสารราชกิจ, ธิติวัฒน์ รองทอง, กร มหาดำรงค์กุล
Vocal \u0026 Chorus recorded at Axis Studio
Engineered : กร มหาดำรงค์กุล
All instruments recorded at Lamoonlamaew Studio
Engineered : ธิติวัฒน์ รองทอง
Editing, Mixing, Mastering by กร มหาดำรงค์กุล at Axis Studio
————————————————————————
谁能预知爱的花期
ใครจะไปรู้ว่าความรักจะเบ่งบานเมื่อไหร่
绽放时我哪也不去
ยามดอกไม้บานฉันจะไม่ไปไหนเลย
花开一瞬间为爱沉醉一世间
ดอกไม้บานเพียงครู่เดียว แต่ความรักอยู่ตลอดไป
你在小桥边的叹息
เสียงถอนหายใจของเธอตรงริมสะพาน
初次遇见时的心悸
หัวใจเต้นแรงเมื่อตอนแรกพบ
任往事去如烟遇见你已是永远
เรื่องราวในอดีตเหมือนควันที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เธอคือคนที่ฉันหามาเนิ่นนาน
山盟海誓你身如沙从指尖流去
คำมั่นสัญญาพัดปลิวไปราวกับเม็ดทราย
天若有义为何相遇却吝惜相聚
ถ้าฟ้าจะให้เราพบกัน ทำไมต้องกีดกั้นเราให้ไกล
万里迢迢江水未曾能把我阻拦
แม่น้ำเป็นหมื่นลี้ก็ไม่อาจกีดกั้นฉันได้
万里澎湃江山只需我转念一闪
ดินแดนกว้างใหญ่นับหมื่นลี้ ฉันก็ไปถึงได้ในพริบตา
万里光阴我归心似箭
ต่อให้มีเวลามากีดกั้น ใจฉันก็อยากพุ่งไปหาเธอ
万里星河命运误我不认输该如何
แต่หากกีดกั้นด้วยโชคชะตา ถ้าฉันไม่ยอมแพ้ ฉันควรทำอย่างไร
如何
ฉันควรทำอย่างไร
曾经走进爱的传说
เคยก้าวเดินเข้าไปในนิยายรัก
它说真爱不会错过
นิยายบอกไว้ รักแท้จะไม่พรากจากกัน
她终究会回来告诉你她还爱着
ในที่สุดเธอก็จะกลับมาและบอกว่าเธอยังรักอยู่
然而我的故事也许在另一部传说
แต่ว่าเรื่องราวของฉันคงอยู่ในนิยายอีกเรื่องหนึ่ง
努力越多她的手却离我更远了
ยิ่งพยายามมากเท่าไหร่ มือของเธอก็ยิ่งห่างจากฉันไปทุกที
แปลรักฉันด้วยใจเธอ
หรูเหอPP
NadaoMusic
————————————————————————
Polish Subtitle : Uru
Polish Subtitle ProofReading : Akwamaryn45
————————————————————————
Subscribe to Nadao Music :: https://bit.ly/325gEDZ
Follow Nadao Music…
Facebook: https://www.facebook.com/NadaoMusic
Facebook: https://www.facebook.com/NadaoContent
Facebook: https://www.facebook.com/NadaoBangkok
Instagram: https://www.instagram.com/nadaobangkok
Instagram: https://www.instagram.com/nadaomusic
Twitter: https://twitter.com/NadaoBangkok

PP Krit - หรูเหอ 如何 (Skyline) OST แปลรักฉันด้วยใจเธอ [Official MV]

Numb [Official Music Video] – Linkin Park


Watch the official music video for Numb by Linkin Park from the album Meteora.
Stream: https://apple.co/2OCBU1k
🔔 Subscribe to the channel: https://bit.ly/1EBzxN2
Hybrid Theory 20th Anniversary Edition available here: http://lprk.co/ht20
Directed by Joe Hahn.
Apple Music: http://lprk.co/apple
Spotify: http://lprk.co/spotify
Amazon: http://lprk.co/amazon
Follow Linkin Park:
Web: https://www.linkinpark.com/
Official Community: https://LPUnderground.com
Facebook: http://lprk.co/facebook
Instagram: http://lprk.co/instagram
Twitter: http://lprk.co/twitter
MFR: https://musicforrelief.org
Linkin Park is an alternative rock band renowned for their hits “Numb,” “In the End,” “What I’ve Done,” “Castle of Glass,” “New Divide,” “Crawling,” and “Faint.” They worked with artists like JayZ, Metallica, Steve Aoki, and Paul McCartney — amassing billions of global streams and received the UN Global Leadership Award for their humanitarian work.
Lyrics:
I’m tired of being what you want me to be
Feeling so faithless, lost under the surface
Don’t know what you’re expecting of me
Put under the pressure of walking in your shoes
(Caught in the undertow, just caught in the undertow)
Every step that I take is another mistake to you
(Caught in the undertow, just caught in the undertow)
I’ve become so numb, I can’t feel you there
Become so tired, so much more aware
I’m becoming this, all I want to do
Is be more like me and be less like you
Can’t you see that you’re smothering me
Holding too tightly, afraid to lose control?
‘Cause everything that you thought I would be
Has fallen apart right in front of you
(Caught in the undertow, just caught in the undertow)
Every step that I take is another mistake to you
(Caught in the undertow, just caught in the undertow)
And every second I waste is more than I can take
I’ve become so numb, I can’t feel you there
Become so tired, so much more aware
I’m becoming this, all I want to do
Is be more like me and be less like you
And I know
I may end up failing too
But I know
You were just like me with someone disappointed in you
I’ve become so numb, I can’t feel you there
Become so tired, so much more aware
I’m becoming this, all I want to do
Is be more like me and be less like you
I’ve become so numb, I can’t feel you there
(I’m tired of being what you want me to be)
I’ve become so numb, I can’t feel you there
(I’m tired of being what you want me to be)
OfficialMusicVideo LinkinPark Numb WeAreWarnerRecords

Numb [Official Music Video] - Linkin Park

Cheap Thrills + Down ( cover by J.Fla )


Instagram: https://www.instagram.com/jfla
Twitter: https://www.twitter.com/jfla
Facebook: https://www.facebook.com/jfla
loveyouguys gardeners

Cheap Thrills + Down ( cover by J.Fla )

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูบทความเพิ่มเติมในหมวดหมู่LEARN TO MAKE A WEBSITE

ขอบคุณที่รับชมกระทู้ครับ republic แปลว่า

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *