Skip to content
Home » [Update] | การ ใส่ วัน ที่ ภาษา อังกฤษ – NATAVIGUIDES

[Update] | การ ใส่ วัน ที่ ภาษา อังกฤษ – NATAVIGUIDES

การ ใส่ วัน ที่ ภาษา อังกฤษ: นี่คือโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้

ตัวเลขภาษาอังกฤษมีหลายวิธีในการใช้งาน ขึ้นอยู่กับว่าจะต้องใช้งานในกรณีไหน จะเป็นการใช้ตัวเลขเพื่อบอกจำนวน การบอกลำดับ หรือการอ่านเปอร์เซ็นต์ เป็นต้น แต่ละรูปแบบจะมีวิธีการใช้ที่แตกต่างกันออกไป แล้วจะใช้แบบไหน เรารวบรวมมาไว้ให้แล้วในบทความนี้

Table of Contents

การอ่าน 0

เริ่มจากการอ่านเลข “0” ที่ดูเหมือนจะเป็นตัวเลขที่สร้างความสับสนบ่อยมาก เพราะมีการใช้เลขศูนย์ดังกล่าวได้ในหลายกรณี วันนี้ Eng Breaking จะแนะนำให้ผู้เรียนทราบเกี่ยวกับวิธีการอ่าน 0 แบบอเมริกันดังต่อไปนี้

การอ่าน 0ใช้ในกรณีZeroความหมายคือ ศูนย์ (ในภาษาพูดและสำหรับอุณหภูมิ)nilศูนย์ (ใช้บ่อยเมื่อคุยเรื่องเกี่ยวกับคะแนนกีฬา)noughtศูนย์ (ที่หมายถึงตัวเลข 0)Oศูนย์ (จะใช้ในภาษาพูด และมีการออกเสียงเหมือนตัวอักษรภาษาอังกฤษ “O” โดยเฉพาะหมายเลขโทรศัพท์เท่านั้น)

ตัวอย่างเช่น

  • Manchester United three, Manchester City nil (3-0) : ในการเล่นฟุตบอลถ้าอยากแจ้งเกี่ยวกับคะแนนเราสามารถใช้ nil เหมือนตัวอย่างในกรณีนี้ คนอ่านหรือคนฟังจะเข้าใจเลยว่าทีม Manchester United ชนะด้วยสามคะแนน และ Manchester City คะแนนเป็นศูนย์ 
  • Temperatures rarely rise above zero in winter. : ในประโยคนี้เราพูดเกี่ยวกับ อุณหภูมิ เลยควรใช้ Zero  หรือในประโยคอื่นๆ เช่น เมื่อเราอยากจะบอกว่า อุณหภูมิลดลงต่ำกว่าศูนย์ เราสามารถตั้งประโยคแบบนี้ได้ “The temperature has fallen below zero.”
  • ยกตัวอย่างกับคำว่า noughts  ที่หมายถึงตัวเลข 0 ในประโยคดังนี้ He’s got several noughts on the end of his salary.

Eng Breaking แนะนำวิธีการใช้ตัวเลขภาษาอังกฤษตัวเลขการบอกจำนวน/ Cardinal numbersภาษาไทย1oneหนึ่ง2twoสอง3threeสาม4fourสี่5fiveห้า6sixหก7sevenเจ็ด8eightแป็ด9nineเก้า10tenสิบ11elevenสิบเอ็ด12twelveสิบสอง13thirteenสิบสาม14fourteenสิบสี่15fifteenสิบห้า16sixteenสิบหก17seventeenสิบเจ็ด18eighteenสิบแปด19nineteenสิบเก้า20twentyยี่สิบ21twenty-oneยี่สิบเอ็ด22twenty-twoยี่สิบสอง23twenty-threeยี่สิบสาม24twenty-fourยี่สิบสี่25twenty-fiveยี่สิบห้า26twenty-sixยี่สิบหก27twenty-sevenยี่สิบเจ็ด28twenty-eightยี่สิบแปด29twenty-nineยี่สิบเก้า30thirtyสามสิบ31thirty-oneสามสิบเอ็ด40fortyสี่สิบ50fiftyห้าสิบ60sixtyหกสิบ70seventyหกสิบ80eightyแปดสิบ90ninetyเก้า​สิบ100one hundredหนึ่ง​ร้อย500five hundredห้า​ร้อย1000one thousandหนึ่ง​พัน1,500one thousand five hundred, or fifteen hundred
หนึ่งพันห้าร้อย100,000one hundred thousandหนึ่งแสน1000,000one millionหนึ่งล้าน

ตัวอย่างการใช้ตัวเลขภาษาอังกฤษสำหรับการบอกจำนวน

  • ถ้าคุณอยากจะบอกว่า ในห้องเรียนมี 20 คน พูดเป็นภาษาอังกฤษคือ There are twenty people in the classrom.
  • คุณสามารถใช้ตัวเลขบอกลำดับในกรณีแบบนี้  He went to Thailand for the fourth times this year. แปลว่า เขาเคยมาเที่ยที่ไทยสี่ครั้งในปีนี้

การเรียกชื่อตัวเลขหลักสิบหน่วยอื่น ๆภาษาไทยภาษาอังกฤษสามสิบthirtyสามสิบเอ็ดthirty-oneสี่สิบFortyห้าสิบfiftyหกสิบSixtyเจ็ดสิบseventyแปดสิบeightyเก้าสิบninetyหนึ่งร้อยone hundred

  • สำหรับสามสิบเอ็ด  คือ thirty-one ต่อไปคือ สามสิบสอง thirty-two ต่อไปเรื่อย ๆ จนถึง สี่สิบ ใช้คำว่า Forty
  • สำหรับเลขหลักร้อย ให้เพื่อน ๆ ดูตัวอย่างดังต่อไปนี้ 101 หรือ one hundred one แปลเป็นไทยว่า ร้อยเอ็ด 102 หรือ one hundred two แปลเป็นหนึ่งร้อยสอง
  • ถ้าอยากจะบอกตัวเลบยาวๆ เช่น สี่ร้อยหกสิบสอง  หรือ 462 จะบอกว่า four hundred sixty-two 
  • สำหรับตัวเลขที่มีสี่ตัวขึ้นไป เราจะอ่านเรียงตัวเลขและเรียงหลักหน้าลูกน้ำกันไป เช่น หนึ่งพันสี่ร้อยสี่สิบสาม หรือ 1,443 เราจะอ่านเป็นสองแบบเช่น One thousand four hundred forty-three หรือ 1 and 443 ได้ทั้งสองอย่าง ยกตัวอย่างกับเลขอื่นเช่น เจ็ดแสนสามหมื่นเจ็ดพันสี่ร้อยยี่สิบสาม หรือ 737,423 จะบอกว่า Seven hundred thirty-seven thousand four hundred twenty-three หรือ 737 and 423 ได้ทั้งสองอย่าง

ตัวเลขภาษาอังกฤษเป็นสี่งที่จำเป็นต้องเรียนเพราะมักจะใช้บ่อย

ตัวเลขภาษาอังกฤษสำหรับการบอกลำดับ/ Ordinal numbers

การบอกลำดับ/
Ordinal numbersวิธีการเขียนภาษาอังกฤษภาษาไทยThe first1stที่หนึ่งThe second2ndที่สองThe third3rdที่สามThe fourth4thที่สี่The fifth5thที่ห้าThe sixth6thที่หกThe seventh7thที่เจ็ดThe eighth8thที่แปดThe ninth9thที่เก้าThe tenth10thที่สิบThe eleventh11thที่สิบเอ็ดThe twelfth12thที่สิบสองThe thirteenth13thที่สิบสามThe fourteenth14thที่สิบสี่The fifteenth15thที่สิบห้าThe sixteenth16thที่สิบหกThe seventeenth17thที่สิบเจ็ดThe eighteenth18thที่สิบแปดThe nineteenth19thที่สิบเก้าThe twentieth20thที่ยี่สิบThe twenty-first21stที่ยี่สิบเอ็ดThe twenty-second22ndที่ยี่สิบสองThe twenty-third23rdที่ยี่สิบสามThe thirtieth30thที่สามสิบThe fortieth40thที่สี่สิบThe fiftieth50thที่ห้าสิบThe sixtieth60thที่หกสิบThe seventieth70thที่เจ็ดสิบThe eightieth80thที่แปดสิบThe ninetieth90thที่เก้าสิบThe hundredth100thที่หนึ่งร้อยThe five hundredth500thที่ห้าร้อยThe thousandth1000thที่หนึ่งพันOne thousand five hundredth1,500thที่หนึ่งพันห้าร้อยHundred thousandth100,000thที่ หนึ่งแสนMillionth1000,000thที่ล้านหนึ่ง

ในภาษาอังกฤษถ้าอยากพูดถึงลำดับเราจะต้องเพิ่ม “th” ในตัวอักษรสุดท้าย 

ยกตัวอย่างเช่น

  • Four (4th )–> fourth
  • Eleven (7th ) –> eleventh
  • Sixteenth (16th ) –> sixteenth
  • Twenty (20th ) –> twentieth สำหรับเลข 20,30,40,50,60,70,80 90 เมื่ออยากเปลี่ยนเป็นเลขบ่งบอกลำดับจะได้เปลี่ยวตัวอักษรสุดท้ายคือตัว ‘y’ เป็นตัว ‘ie’ และเพิ่ม ‘th’: twentieth, thirtieth,…

ยกเว้นในกรณีจะบอกลำดับของ One – First, Two – Second, Three – Third, Five – Fifth, Eight – Eighth, Nine – Ninth, Twelve – Twelfth คือผู้เรียนต้องจดจำไว้อย่างเดียว

  • – สำหรับตัวเลขที่มีตัวอักษรสุดท้ายเป็นเลข 2 เช่น 2nd, 22nd, 32nd… จะได้เขียนเป็น second, twenty-second, thirty-second,… ยกเว้น 12th จะได้เขียนเป็น twelfth (nd ย่อมาจาก 2 ตัวอักษรสุดท้ายของคำว่า second).
  • – สำหรับตัวเลขที่มีตัวอักษรสุดท้ายเป็นเลข 3 เช่น 3rd, 23rd, 33rd,… จะได้เขียนเป็น  third, twenty-third, thirty-third,… ยกเว้น 13th จะได้เขียนเป็น thirteenth (rd ย่อมาจาก 2 ตัวอักษรสุดท้ายของคำว่า third).
  • – สำหรับตัวเลขที่มีตัวอักษรสุดท้ายเป็นเลข 5 เช่น 5th, 25th, 35th,…จะได้เขียนเป็น fifth, twenty-fifth, thirty-fifth,…จะแตกต่างกับการเขียนของตัวเลขบ่งบอกให้ทราบจำนวน 
  • – สำหรับตัวเลขที่มีตัวอักษรสุดท้ายเป็นเลข 9 เช่น 9th, 29th, 39th,… จะได้เขียนเป็น ninth, twenty-ninth, thirty-ninth,…ยกเว้น 19th ยังได้เขียนเป็น nineteenth ผู้เรียนหลายท่านมักจะจำผิดตรงนี้

ทำอย่างไรเพื่อจะแยกระหว่างตัวเลขที่จะบ่งบอกลำดับกับตัวเลขจำนวนเป็นสี่งที่ผูเรียนหลายคนน่าจะสนใจกันมากมาย Eng Breaking จะยกตัวอย่างเกี่ยวกับตัวเลขจำนวน และตัวเลขที่บอกลำดับเพื่อช่วยผู้เรียนได้เห็นอย่างชัดเช่นความแตกต่างระหว่างวิธีการใช้ของตัวเลขดังนี้

กรณีใช้ตัวเลขภาษาอังกฤษอย่างเหมาะสม

ตัวเลขภาษาอังกฤษสำหรับตัวเลขบ่งบอกจำนวนสรุปสั้นๆ คือจะได้ใช้ในกรณีเช่น 

  1. ตัวเลขภาษาอังกฤษบอกจำนวน. 

เช่น I have one sister. ฉันมีน้องสาวหนึ่งคน
หรือ There are thirty-one days in July. มีสามสิบเอ็ดวันในเดือนกรกฎาคม

  1. บอกอายุ

เช่น I am eighteen years old. ฉันอายุสิบแปดปี
หรือ  My Father is fifty-one years old. พ่อของฉันอายุห้าสิบเอ็ดปี

  1. บอกหมายเลขโทรศัพท์

เช่น My phone number is one- five- five- six- seven- one- nine. หมายเลขโทรศัพท์ของฉันคือ 1556719 

  1. ตัวเลขภาษาอังกฤษบอกวันเกิด

 เช่น My sister was born in nineteen ninety-one. พี่สาวของฉันเกิดในปี ค.ศ. 1991

สำหรับตัวเลขบ่งบอกลำดับสรุปสั้นๆ คือจะได้ใช้ในกรณีเช่น 

  1. ใช้ในกรณีเมื่อคุณอยากพูดเกี่ยวกับลำดับหรือตำแหน่งต่างๆ

เช่น Accounting is my first job, the second job is a secretary at the bank

  1. เมื่อพูดถึงระดับความสูงหรือจำนวนชั้น

เช่น I work at the 29th floor of the tallest building in the city

  1. เมื่อพูดถึงวันในเดือนหนึ่ง

เช่น He celebrated his twentieth birthday in a luxury restaurant.  เขาฉลองวันเกิดครั้งที่ยี่สิบของเขาในร้านอาหารสุดหรู

การทำซ้ำ

การทำซ้ำภาษาอังกฤษภาษาไทยonceหนึ่งครั้งtwiceสองครั้งthree timesสามครั้งfive timesห้าครั้ง

การอ่านเลขทศนิยม

ถ้าคุณเคยเห็นตัวเลขทศนิยมในภาษาอังกฤษแต่ไม่รู้จะอ่านออกเสียงอย่างไร วันนี้ Eng Breaking จะแนะนำให้คุณเกี่ยวกับวิธีการอ่านตัวเลขภาษาอังกฤษ ใช้ในกรณีการอ่านเลขทศนิยมที่ไม่ควรพลาดเช่น

ตัวเลขการอ่านเลขทศนิยมภาษาไทย0.5point fiveศูนย์จุดห้า0.25point two fiveศูนย์จุดสองห้า0.73point seven threeศูนย์จุดเจ็ดสาม0.05point zero fiveศูนย์จุดศูนย์ห้า0.6529point six five two nineศูนย์จุดหกห้าสองเก้า2.95two point nine fiveศูนย์สองจุดเก้าห้า

ผู้เรียนสามารถสังเกตเองว่าการอ่านเลขทศนิยมในภาษาอังกฤษเราจะใช้คำว่า จุด คือ “point” ตามด้วยตัวเลขเรียงกันไปเรื่อย ๆ จนจบ แต่ต้องระวัง เพราะวิธีการอ่านนี้จะไม่สามารถใช้กับเงินได้ สำหรับวิธีการอ่าน ตัวเลขภาษาอังกฤษ ตอนที่พูดถึงเงินเดี๋ยวเราจะแนะนำในส่วนเนื้อหาต่อไปนี้

ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ภาษาอังกฤษด้วยตัวเองได้ไม่ยากกับ Eng Breaking

ตัวเลขภาษาอังกฤษสำหรับการอ่านเศษส่วน

ในภาษาอังกฤษคุณจะต้องการใช้ตัวเลขภาษาอังกฤษเมื่อพูดถึงเศษส่วนต่างๆ ก็มักจะเจอบ่อยชีวิตประจำวันถ้าหากจำนวนส่วนมากกว่า 1 ให้ทำเป็นรูปพหูพจน์ สำหรับกรณีที่เศษมากกว่า 1 และส่วนคือ 2 เราจะอ่านว่า “half” และอ่านว่า “halves” 

ตัวเลขภาษาไทยการอ่านเศษส่วนภาษาอังกฤษ1/3หนึ่งส่วนสามone third3/4สามส่วนสี่three fourths5/6ห้าส่วนหกfive sixths1/2หนึ่งส่วนสองone half3/2สามส่วนสองthree halves

ตัวเลขภาษาอังกฤษสำหรับการอ่านเปอร์เซ็นต์

ง่ายมากๆ คือการอ่านเปอร์เซ็นต์ในภาษาอังกฤษคือเราแค่ออกเสียงของตัวเลขบอกกับคำว่า “เปอร์เซ็นต์” เท่านั้นคือคนฟังก็จะเข้าใจเลยว่าเรากำลังอย่าสื่ออะไรแล้ว ยกตัวอย่างให้เห็นได้ชัดดังนี้

ตัวเลขภาษาไทยการอ่านเปอร์เซ็นต์ภาษาอังกฤษ5%ห้าเปอร์เซ็นต์five percent25%ยีสิบห้าเปอร์เซ็นต์twenty-five percent36.25%สามสีบหกจุดยีสิบห้าเปอร์เซ็นต์thirty-six point two five percent100%หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์one hundred percent400%สี่ร้อยเปอร์เซ็นต์four hundred percent

ตัวเลขภาษาอังกฤษสำหรับการอ่านจำนวนเงิน

เมื่อเราอ่านเกี่ยวกับเงินเราต้องพูดถึงสองอย่าง หนึ่งคือตัวเลขที่บ่องบอกจำนนวนของเงินและสองคือสกุลเงินว่าเป็นยูโร ดงเวียดนาม หรือ ดอลลสร์ …วิธีการอ่านจำนวนเงินจะเป็นอย่างนี้ ให้อ่านตัวเลขหน้าจุดทศนิยมก่อน ตามด้วยสกุลเงิน เชื่อมด้วย “and”สำหรับตัวเลขหลังจุดทศนิยมเราจะอ่านตามหลักการอ่านตัวเลขปกติ ตามด้วยหน่วยย่อยของสกุลเงินนั้น ๆ ยกตัวอย่างเช่น

ตัวเลขภาษาไทยการอ่านจำนวนเงินภาษาอังกฤษ25$ยี่​สิบ​ห้าดอลลาร์twenty-five dollars52€ห้า​สิบ​สองยูโรfifty-two euros140₤หนึ่ง​ร้อย​สี่​สิบปอนด์one hundred and forty pounds€12.66สิบสองยูโรหกสิบหกtwelve euros sixty-six₤10.50สิบปอนด์ห้าสิบten pounds fifty

การอ่านปี

การอ่านปีภาษาอังกฤษภาษาไทย2014twenty fourteen or two thousand fourteenสองพันสิบสี่2008two thousand eightสองพันแป็ด2000two thousandสองพัน1944nineteen forty-fourหนึ่งพันเก้าร้อยสี่สิบสี่3000 BCthree thousand BCสามพันปีก่อนคริสต์ศักราช3250 BCthirty two fifty BCสามพันสองร้อยห้าสิบปีก่อนคริสต์ศักราช

คำอื่นที่มีประโยชน์ที่ควรรู้

นอกจาก ตัวเลขภาษาอังกฤษ ที่จำเป็นต้องเรียนรู้อยู่แล้วเพราะมักจะใช้บ่อยในชีวิตประจำวันของเราผู้เรียน ก็ควรเรียนเพิ่มเติมเกี่ยวกับคําศัพท์ภาษาอังกฤษต่างๆ ที่สามารถใช้พร้อมกันเพื่อแสดงความคิดเห็นในหลายๆ วิธีแตกต่างกัน สร้างประโยคได้ง่ายๆ ดังนี้

  • คำว่า about / approximately หมายถึง ประมาณ ยกตัวอย่างเช่น 

She earns  about $300 a month แปลว่า เธอมีรายได้ประมาณ 300 ดอลลาร์ ต่อเดือน หรือตัวอย่างอื่นเกี่ยวกับการใช้ about เช่น  about fifty people were present at the meeting แปลว่า ที่ประชุมประมาณห้าสิบคน

  • คำว่า over / more than หมายถึง มากกว่า ยกตัวอย่างเช่น There were over 5000 people at the meeting แปลว่า . “over” หรือ “more than” ใช้เมื่อพูดถึงจำนวนของคน, จำนวนของสี่งของ และอยู่หน้าของตัวเลขต่างๆ 
  • คำว่า  under / less than หมายถึง น้อยกว่า ยกตัวอย่างเช่น  She travelled less than 2,000 miles. แปลว่า  เธอเดินทางน้อยกว่า 2,000 ไมล์

คุณสามารถเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับคําศัพท์ภาษาอังกฤษที่ใช้บ่อยดังนี้เพื่อเสริมคลังศัพท์ของตัวเอง สามารถประยุคใช้ในการพูดหรือเขียนให้ดียี่งขึ้นกับ EngBreaking: 407 คำศัพท์ภาษาอังกฤษที่ใช้บ่อย: เรียนครั้งเดียวจำได้นาน

สรุป

เพื่อให้เข้าใจกับการใช้ตัวเลขภาษาอังกฤษ ในทุก ๆ รูปแบบ ผู้เรียนก็ต้องแยกประเภทของตัวเลขให้เป็นก่อน อีกหนึ่งวิธีคือฝึกตั้งประโยคและหัดเขียนให้บ่อยขึ้น ใช้ทุกวันให้เป็นความเคยชิน ไม่ต้องใช้วิธีท่องจำแต่เน้นวิธีลงสนาม มีการนำไปใช้งานจริงจะสร้างการจดจำได้ดีกว่า และไม่รู้สึกเบื่อหน่ายกับการเรียน EngBreaking เว็บไซต์การเรียนการสอนภาษาอังกฤษเอง ก็จะขอเป็นกำลังใจให้แก่ผู้เรียนและเชื่อว่าทุกคนจะสามารถทำได้ดีอย่างแน่นอนและทั้งหมดคือวิธีการใช้ตัวเลขภาษาอังกฤษ ในทุกรูปแบบ อย่าลืมติดตามเว็บไซต์การเรียนการสอนภาษาอังกฤษของเรา เพื่อรับข้อมูลเกี่ยวกับคอร์สเรียนคุณภาพที่มาพร้อมกับโปรโมชั่นดี ๆ และเพื่อการพัฒนาทักษาการเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองที่มีประสิทธิภาพ

[NEW] หลักการใช้คอมม่า (Comma) ในภาษาอังกฤษ | การ ใส่ วัน ที่ ภาษา อังกฤษ – NATAVIGUIDES

คอมม่า (,) เป็นเครื่องหมายวรรคตอนที่ใช้บ่อยในภาษาอังกฤษ แต่ถึงแม้จะถูกใช้บ่อย หลายๆคนก็ยังคงสับสนอยู่ดี ว่าเราควรใช้คอมม่าตอนไหนและต้องใช้อย่างไรบ้าง

สำหรับคนที่สงสัย ในบทความนี้ ชิววี่ก็ได้เรียบเรียงเนื้อหาการใช้คอมม่าในภาษาอังกฤษ มาให้เพื่อนๆได้เรียนรู้กันได้อย่างง่ายๆแล้ว ถ้าเพื่อนๆพร้อมแล้ว เราไปดูกันเลย

คอมม่าคืออะไร

คอมม่า (comma) เป็นเครื่องหมายวรรคตอนในภาษาอังกฤษ ทำหน้าที่แยกคำ วลี หรือประโยค เพื่อให้ผู้อ่านสามารถอ่านจับใจความได้ง่ายและถูกต้องมากขึ้น

ถ้าเปรียบเทียบคอมม่ากับเครื่องหมายจุด (.) ที่ใช้ปิดท้ายประโยค หรือที่เรียกว่า period เครื่องหมายทั้ง 2 ตัวนี้จะเป็นตัวบอกการเว้นจังหวะในการอ่านและพูดเหมือนกัน แต่เครื่องหมายคอมม่าจะเป็นตัวบอกจังหวะการเว้นที่สั้นกว่า

หลักการใช้คอมม่า

ใครที่มีข้อสงสัยว่าเราต้องใช้คอมม่าในกรณีไหนและต้องใช้ยังไงบ้าง ก็ไปดูหลักการใช้คอมม่าทั้ง 11 ข้อกันเลย

1. ใช้คอมม่าหน้าคำเชื่อมที่เชื่อม independent clause

Independent clause (ประโยคใจความสมบูรณ์) คือประโยคที่มีทั้งประธานและคำกริยา ตัวประโยคจะมีใจความสมบูรณ์ในตัวมันเอง เช่น

I am a student. (ฉันเป็นนักเรียน) – ถือเป็น independent clause เพราะมีทั้งประธานและคำกริยา
Feel good (รู้สึกดี) – ไม่ใช่ independent clause เพราะไม่มีประธาน
Big black cat (แมวสีดำตัวใหญ่) – ไม่ใช่ independent clause เพราะไม่มีคำกริยา

ส่วนคำเชื่อมในที่นี้จะต้องเป็น coordinating conjunction ซึ่งก็คือคำเชื่อมที่ให้น้ำหนักกับ 2 สิ่งที่ถูกเชื่อมเท่าๆกัน โดยอาจใช้เชื่อมคำ วลี หรือประโยคก็ได้ coordinating conjunction มีทั้งหมด 7 ตัวคือ for, and, nor, but, or, yet, so (เมื่อนำอักษรแรกมาต่อกันจะได้เป็น FANBOYS ใช้ช่วยให้ท่องจำได้ง่ายขึ้น)

หากเราเชื่อม independent clause 2 ประโยคด้วย coordinating conjunction เราจะต้องใช้คอมม่าหน้า coordinating conjunction

โครงสร้างการใช้

independent clause + , + coordinating conjunction + independent clause

ตัวอย่างประโยค

He didn’t speak to anyone, and nobody spoke to him.
เขาไม่ได้พูดกับใคร และก็ไม่มีใครพูดกับเขา

I wanted to stay home, but my wife wanted to go shopping.
ฉันอยากอยู่บ้าน แต่ภรรยาของฉันอยากไปช้อปปิ้ง

เราจะไม่ใช้คอมม่า ถ้าข้างหน้าหรือข้างหลัง coordinating conjunction ไม่ใช่ independent clause

She brushed her teeth and washed her face.
เธอแปรงฟันและล้างหน้า
(washed her face ไม่ใช่ independent clause)

I am not a writer but an editor.
ฉันไม่ใช่นักเขียน แต่เป็นบรรณาธิการ
(an editor ไม่ใช่ independent clause)

2. ใช้คอมม่าเมื่อขึ้นต้นประโยคด้วย dependent clause

Dependent clause คือประโยคที่มีใจความไม่สมบูรณ์ เวลาใช้จะต้องใช้ร่วมกับประโยคอื่น ในที่นี้เราจะแบ่งออกเป็น 3 กรณี

1. Participial phrase

เมื่อประโยคขึ้นต้นด้วยวลีจำพวก participial phrase ซึ่งก็คือวลีที่ขึ้นต้นด้วย v. + ing หรือ v. ช่อง 3 เราจะต้องใช้คอมม่าคั่นหลังวลีนั้น

โครงสร้างการใช้

participial phrase + , + ประโยคหลัก

ตัวอย่างประโยค

Being the only son in the family, his family have high hopes for him.
ด้วยการที่เขาเป็นลูกชายคนเดียวในครอบครัว ครอบครัวของเขาจึงตั้งความหวังกับเขาไว้สูง

Bitten by my own dog, I was very disappointed.
การโดนกัดโดยหมาของตัวเองทำให้ฉันรู้สึกผิดหวังมาก

2. Adverbial phrase

แต่ถ้าประโยคขึ้นต้นด้วย adverbial phrase ซึ่งก็คือวลีที่ทำหน้าที่เป็น adverb เราอาจใช้คอมม่าหรือไม่ใช้ก็ได้ (ถ้า adverbial phrase ยาว หรือเราต้องการเน้น adverbial phrase นั้น เราจะนิยมใช้คอมม่า)

ตัวอย่าง adverbial phrase เช่น
At 6 o’clock
After the show
In the middle of Bangkok

โครงสร้างการใช้

adverbial phrase + (,) + ประโยคหลัก

ตัวอย่างประโยค

In 2020 there is a pandemic affecting the world.
ในปี 2020 มีโรคระบาดที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก

When I was six, I lived in Chiang Mai with my mom.
ตอนฉันอายุหกขวบ ฉันอาศัยอยู่ที่เชียงใหม่กับแม่ของฉัน

3. Sentence adverb

ถ้าประโยคขึ้นต้นด้วย sentence adverb ซึ่งก็คือคำจำพวก adverb ที่ทำหน้าที่ขยายทั้งประโยค เราจะใช้คอมม่าคั่นหลัง sentence adverb นั้น

โครงสร้างการใช้

sentence adverb + , + ประโยคหลัก

ตัวอย่างประโยค

Honestly, I am not angry.
ตรงๆเลยนะ ฉันไม่ได้โกรธ

Clearly, this plan isn’t working.
เห็นได้ชัดว่าแผนนี้ใช้ไม่ได้ผล

3. ใช้คอมม่าคั่นวลีหรือคำกลางประโยคที่ทำหน้าที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติม

เราจะใช้คอมม่าคั่นวลีหรือคำที่อยู่กลางประโยค ถ้าวลีหรือคำนั้นทำหน้าที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติม แต่ไม่ได้จำเป็นสำหรับประโยค (แม้ตัดออกไป ใจความหลักของประโยคก็ยังเหมือนเดิม)

โครงสร้างการใช้

ประโยคส่วนที่ 1 + , + วลี/คำที่ทำหน้าที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติม + , + ประโยคส่วนที่ 2

ตัวอย่างประโยค

Tim, unlike Joe, is very polite.
ทิมเป็นคนสุภาพมาก ไม่เหมือนกับโจ

King Crab restaurant, which Anne recommended, is fantastic.
ร้านอาหารคิงแครบที่แอนแนะนำนั้นดีมาก

แต่ถ้าวลีหรือคำนั้นจำเป็นสำหรับประโยค ถ้าตัดออกแล้วใจความเปลี่ยน เราก็จะไม่ใช้คอมม่า

People who exercise regularly tend to be more happy.
คนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอมักจะมีความสุขมากกว่า
(ถ้าตัด who exercise regularly ทิ้ง ความหมายจะเปลี่ยนเป็น “คนจะมีความสุขมากกว่า” ซึ่งมีใจความผิดไปจากเดิม)

The restaurant that Anne recommended is fantastic.
ร้านอาหารที่แอนแนะนำนั้นดีมาก
(ถ้าตัด that Anne recommended ทิ้ง ความหมายจะเปลี่ยนเป็น “ร้านอาหารดีมาก” ซึ่งมีใจความผิดไปจากเดิม คือเราจะไม่รู้ว่าหมายถึงร้านไหน)

วลีที่ขึ้นต้นด้วย that มักจะจำเป็นสำหรับประโยค เรามักจะไม่ใช้คอมม่าครอบส่วนนั้น

4. ใช้คอมม่าแยกรายการคำตั้งแต่ 3 รายการขึ้นไป

ถ้าเรามีรายการคำตั้งแต่ 3 รายการขึ้นไป เราจะต้องคั่นแต่ละรายการด้วยคอมม่า ยกเว้นรายการสุดท้าย เราจะคั่นด้วยคอมม่าหรือไม่ก็ได้

โครงสร้างการใช้

รายการหนึ่ง, รายการสอง(,) and รายการสุดท้าย

ตัวอย่างประโยค

He is tall, dark, and handsome.
หรือ He is tall, dark and handsome.
เขาทั้งสูง เข้ม และหล่อ

She needs salt, pepper, and other seasonings at the grocery store.
หรือ She needs salt, pepper and other seasonings at the grocery store.
เธอต้องการเกลือ พริกไทย และเครื่องปรุงอย่างอื่นที่ร้านขายของ

5. ใช้คอมม่าคั่นระหว่าง coordinate adjectives

Coordinate adjectives คือคำคุณศัพท์ที่ขยายคำนามคำเดียวกันและมีความสำคัญเท่าๆกัน สามารถสลับที่กันได้ ตัวอย่างเช่น

เราสามารถใช้ได้ทั้ง long, narrow path
และ narrow, long path
คำว่า long และ narrow ในที่นี้จะถือเป็น coordinate adjectives

เราสามารถใช้ big black bear
แต่ไม่สามารถใช้ black big bear
คำว่า big และ black ไม่ถือเป็น coordinate adjectives (การใช้ adjective ขนาดจะต้องมาก่อนสี)

โครงสร้างการใช้

coordinate adjective 1 + , + coordinate adjective 2 + คำนาม

ตัวอย่างประโยค

The happy, lively cat is playing with the ball.
แมวที่มีความสุขสดใสกำลังเล่นกับลูกบอล

My roommate is a cheerful, kind girl.
รูมเมทของฉันเป็นเด็กผู้หญิงที่ร่าเริงและใจดี

ทั้งนี้ เราสามารถใช้ and เชื่อมระหว่าง coordinate adjectives แทนคอมม่าก็ได้เช่นกัน อย่างเช่น My roommate is a cheerful and kind girl.

6. ใช้คอมม่าคั่นระหว่างคำพูดกับวลีที่กำกับ

ในภาษาอังกฤษ เวลาเราเขียนประโยคที่เป็นคำพูด เราจะใช้เครื่องหมาย “-” ครอบประโยคคำพูดนั้น อย่างเช่น Anne said, “I feel sick.” ซึ่งแปลว่า แอนพูดว่า “ฉันรู้สึกป่วย”

สังเกตว่า เราจะใช้คอมม่าคั่นระหว่างวลีที่เข้ามากำกับ ซึ่งก็คือ Anne said และประโยคที่เป็นคำพูด ซึ่งก็คือ “I feel sick.”

ทั้งนี้ วลีที่กำกับนั้นอาจจะอยู่หน้า อยู่กึ่งกลาง หรืออยู่หลังประโยคที่เป็นคำพูดก็ได้

โครงสร้างการใช้

  • วลีกำกับ, “ประโยคคำพูด”
  • “ประโยคคำพูด,” วลีกำกับ, “ประโยคคำพูด”
  • “ประโยคคำพูด,” วลีกำกับ

ตัวอย่างประโยค

He answered, “She is not here.”
เขาตอบ “เธอไม่ได้อยู่ที่นี่”

“I think,” she said, “Joe can help.”
“ฉันคิดว่า” เธอพูด “โจสามารถช่วยได้”

“It is raining,” Tim said.
“ฝนกำลังตก” ทิมพูด

ในกรณีที่วลีกำกับอยู่ข้างหลังประโยคคำพูด ถ้าประโยคคำพูดลงท้ายด้วยเครื่องหมายตกใจ (!) หรือเครื่องหมายคำถาม (?) เราจะไม่ต้องใช้คอมม่า

“Stop playing video game!” mom yelled.
“หยุดเล่นเกมได้แล้ว” แม่ตวาด

“Are you alright?” Ben asked.
“คุณโอเคมั้ย” เบ็นถาม

บางคนอาจสงสัยว่า เราต้องใส่คอมม่าไว้ในหรือนอกเครื่องหมาย “-” ทำไมบางทีเห็นแต่ละที่ใช้ไม่เหมือนกัน

คำตอบก็คือถ้าเป็น American English จะนิยมเอาไว้ข้างใน เช่น “It is raining,” Tim said. แต่ถ้าเป็น British English จะนิยมเอาไว้ข้างนอก เช่น “It is raining”, Tim said.

7. ใช้คอมม่าในการแยกวันที่และสถานที่

ใช้คอมม่าคั่นระหว่างวันและปีเมื่อเราเขียนวันที่ในรูปแบบ เดือน-วันที่-ปี แต่ถ้าเราเขียนในรูปแบบ วันที่-เดือน-ปี เราจะไม่ต้องใช้คอมม่า

โครงสร้างการใช้

เดือน วันที่, ปี

ตัวอย่างประโยค

She was born on December 10, 1995.
เธอเกิดเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 1995

She was born on 10 December 1995.
เธอเกิดเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 1995

และใช้คอมม่าคั่นระหว่างคำบอกสถานที่ที่ต่างกัน เช่น เมือง จังหวัด รัฐ ประเทศ

โครงสร้างการใช้

  • ชื่อตำบล, ชื่อเขต, ชื่อจังหวัด, ชื่อประเทศ
  • ชื่อเมือง, ชื่อรัฐ, ชื่อประเทศ

ตัวอย่างประโยค

I live in Bangkok, Thailand.
ฉันอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ ประเทศไทย

He came from Chicago, Illinois.
เขามาจากเมืองชิคาโก้ รัฐอิลลินอยส์

8. ใช้คอมม่าหน้า question tag

ใช้คอมม่าคั่นระหว่างประโยคหลักกับ question tag

โครงสร้างการใช้

ประโยคหลัก + , + question tag

ตัวอย่างประโยค

These flowers are beautiful, aren’t they?
ดอกไม้เหล่านี้สวยมาก ว่ามั้ย

You didn’t forget the key, did you?
คุณไม่ได้ลืมกุญแจใช่มั้ย

9. ใช้คอมม่าเมื่อเรียกบุคคลโดยตรง

ใช้คอมม่าคั่นระหว่างคำเรียกบุคคลอื่นกับส่วนอื่นของประโยค เมื่อเราเรียกบุคคลนั้นโดยตรง

โครงสร้างการใช้

  • ประโยคหลัก + , + คำเรียกบุคคล
  • คำเรียกบุคคล + , + ประโยคหลัก

ตัวอย่างประโยค

Dad, where are you?
พ่ออยู่ไหน

See you later, John.
ไว้เจอกันใหม่นะจอห์น

10. ใช้คอมม่าหลังคำขึ้นต้นประโยค

ใช้คอมม่าคั่นระหว่างคำขึ้นต้นประโยคกับประโยคหลัก อย่างเช่น คำทักทาย yes/no

โครงสร้างการใช้

  • คำทักทาย + , + ประโยคหลัก
  • yes/no + , + ประโยคหลัก

ตัวอย่างประโยค

Hello, how is it going?
สวัสดี เป็นยังไงบ้าง

Yes, I live by myself.
ใช่ ฉันอยู่คนเดียว

11. ใช้คอมม่าเพื่อป้องกันการสับสน

เราจะใช้คอมม่าในประโยคที่อาจก่อให้เกิดความสับสนหรือความเข้าใจผิดแก่ผู้อ่าน เพื่อให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจความหมายได้ถูกต้องมากขึ้น

ตัวอย่างประโยค

I waved at my friend who entered the canteen, and smiled.
ฉันโบกมือให้เพื่อนที่เข้ามาในโรงอาหาร และยิ้มให้เค้า
(คอมม่าทำให้เรารู้ว่าฉันเป็นคนยิ้ม ไม่ใช่เพื่อนยิ้ม)

เป็นยังไงบ้างครับกับหลักการใช้เครื่องหมายคอมม่า (comma) ในภาษาอังกฤษ ทีนี้เพื่อนๆก็คงจะเข้าใจและสามารถนำไปใช้ได้ถูกต้องมากขึ้นแล้วนะครับ

อย่าลืมนะครับ ภาษาอังกฤษยิ่งเรียนรู้ ยิ่งฝึก ก็ยิ่งเก่ง สำหรับบทความนี้ ชิววี่ต้องขอตัวลาไปก่อน See you next time


ภาษาอังกฤษ 40 คำที่ใช้บ่อยที่สุดในชีวิตประจำวัน | คำนี้ดี EP.477


เตรียมกดพอสและพูดตามได้เลย เพราะ 40 คำศัพท์นี้จำง่ายและนำไปใช้ได้จริง!
คำนี้ดีเอพิโสดนี้ เราได้รวบรวมศัพท์ที่ทุกๆ คนควรจะรู้จักเอาไว้ให้แล้ว เป็นศัพท์คุ้นหูคุ้นตาที่เราเจอได้บ่อยมากๆ เวลาใช้หรือพูดคุยภาษาอังกฤษกัน ระดับของคำศัพท์ส่วนใหญ่จะเป็น ‘ง่าย’ และ ‘ยากกว่าง่ายขึ้นมานิดหนึ่ง’ พร้อมกับประโยคตัวอย่างให้คุณผู้ชมได้นำไปท่องและใช้กันได้ทุกวัน
มีคำไหนที่อยากรู้ความหมายและวิธีใช้ก็คอมเมนต์กันไว้ได้เลยนะครับ
———————————————
THE STANDARD PODCAST : EYEOPENING FOR YOUR EARS
พอดแคสต์จากสำนักข่าว THE STANDARD
Website : https://www.thestandard.co/podcast
SoundCloud: https://soundcloud.com/thestandardpodcast
Spotify : https://open.spotify.com/show/7o7TF3zfPyoydhWxtGSzLC?si=Nb_LuV8NS3C9mJ6ePdXLA
Twitter : https://twitter.com/TheStandardPod
Facebook : https://www.facebook.com/thestandardth/
คำนี้ดี TheStandardPodcast TheStandardco TheStandardth

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูความรู้เพิ่มเติมที่นี่

ภาษาอังกฤษ 40 คำที่ใช้บ่อยที่สุดในชีวิตประจำวัน | คำนี้ดี EP.477

สอนเปลี่ยนรูปแบบวันที่บน​Excel ให้ได้แบบที่ต้องการเป๊ะๆ


สอนเปลี่ยนรูปแบบวันที่บน​Excel ให้ได้แบบที่ต้องการเป๊ะๆ
(ตอบคำถามน้องใน live วันก่อน)
5 เม.ย. 2563 เปลี่ยนให้เป็น 5 เม.ย. 63 หรือ 5 เม.ย.63(เดือนกับปีติดกัน) หรือจะแบบนี้ 5 Apr 2020 เปลี่ยนภาษาเปลี่ยนรูปแบบปีไปเลย มีวิธีการยังไง ไปดูได้ในคลิปนี้เลยนะคะ
และ พรุ่งนี้ค่ำๆ แพรวมี Live สอนการใช้ฟังก์ชั่น IF สร้างเงื่อนไขการทำงาน บน excel นะคะ
เป็นคำถามที่เจอบ่อยๆอันดับต้นๆ เลยนะคะที่มีถามเข้ามาใน inbox
คนไหนติดเรื่องนี้อยู่เตรียมมาถามกันได้เลยนะค้า
แล้วเจอกันค่ะ
ขอบคุณค่ะ
ครูแพรว

สอนเปลี่ยนรูปแบบวันที่บน​Excel ให้ได้แบบที่ต้องการเป๊ะๆ

ฝึกเขียนภาษาอังกฤษฟรีวันที่ 2


ฝึกเขียนภาษาอังกฤษฟรีวันที่ 2

สรุป English Tenses ง่ายๆเข้าใจใน 30 นาที!


ฝากกดติดตามช่องด้วยนะคะ

สรุป English Tenses ง่ายๆเข้าใจใน 30 นาที!

The English Classroom EP. 01 | การเขียนวันที่เป็นภาษาอังกฤษ (แบบอังกฤษและแบบอเมริกัน)


การเขียนวันที่เป็นภาษาอังกฤษเเบบอังกฤษและแบบอเมริกันมีข้อแตกต่างกันอยู่เพียงเล็กน้อย ดูคลิปนี้แล้วรับรองว่าเข้าใจและนำไปใช้ได้อย่างถูกต้องแน่นอนค่ะ เด็กดูดี ผู้ใหญ่ก็ดูได้นะคะ 🥰
สอนภาษาอังกฤษ สอนภาษาออนไลน์ เรียนออนไลน์

The English Classroom EP. 01 | การเขียนวันที่เป็นภาษาอังกฤษ (แบบอังกฤษและแบบอเมริกัน)

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูวิธีอื่นๆMAKE MONEY ONLINE

ขอบคุณที่รับชมกระทู้ครับ การ ใส่ วัน ที่ ภาษา อังกฤษ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *