Skip to content
Home » [Update] การใช้ Noun clauses กับ who, what, whose + be และ question word ภาษาอังกฤษ ม.ปลาย | เครื่องหมายคําถาม ภาษาอังกฤษ – NATAVIGUIDES

[Update] การใช้ Noun clauses กับ who, what, whose + be และ question word ภาษาอังกฤษ ม.ปลาย | เครื่องหมายคําถาม ภาษาอังกฤษ – NATAVIGUIDES

เครื่องหมายคําถาม ภาษาอังกฤษ: นี่คือโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้

Table of Contents

 การใช้ NOUN CLAUSES‎ :

 Noun clauses กับ who, what, whose + be

Wh -words

           wh -words ใช้นำหน้าข้อความที่เป็นลักษณะการถามข้อมูล เช่น 

I doubt why you want statistical figures .

 

หน้าที่ของ noun clause ที่นำหน้าด้วย 

wh-words


noun clause ที่นำหน้าด้วย wh -words อยู่ในตำแหน่งของคำนามในประโยคได้ทุกตำแหน่ง

ยกเว้น  appositive โดย noun clause ที่นำหน้าด้วย wh -words มีหน้าที่ต่างๆดังนี้
                      

          

wh-words ที่ใช้นำหน้า noun clause จะมีหน้าที่บางประการใน noun clause ดังนี้

who, whoever, whom, whomever ทำหน้าที่เป็นประธานและกรรมใน noun clause

          

whose คำนามที่ตามหลัง whose ทำหน้าที่เป็นประธาน กรรม กรรมตามหลังบุพบท  และส่วนเสริมประธาน ใน noun clause

what, whatever ทำหน้าที่เป็นประธาน กรรม และส่วนเสริมประธานใน noun clause

which, whichever มักมีคำนามตามหลัง โดยทำหน้าที่เป็นประธานและกรรมใน noun clause

where, when, why, how ทำหน้าที่เป็นคำกริยาวิเศษณ์ ใน noun clause

:: where, wherever บอกสถานที่

           

:: when, whenever บอกเวลา

:: why บอกสาเหตุหรือเหตุผล

         

:: how บอกกิริยาอาการ

การใช้ NOUN CLAUSES‎ :

Noun clauses ที่ขึ้นต้นด้วย question word

Noun Clauses คืออนุประโยคที่ทำหน้าที่เสมือนหนึ่งเป็นคำนามในประโยค ในการสนทนาในชีวิตประจำวัน เราอาจได้ยินหรือใช้ noun clauses โดยไม่รู้ตัวว่ากำลังใช้ noun clauses อยู่ เช่น

          –  I think you’re very pretty.
–  I hope you pass the exam.

ประโยคเต็มที่เป็นทางการ คือ

          –  I think that you’re very pretty.
–  I hope that you pass the exam.

Noun clauses เหล่านี้ เมื่ออยู่ในตำแหน่งของประธานจะเรียกว่า “Subject noun clauses” และเมื่ออยู่ในตำแหน่งของกรรม จะเรียกว่า “Object noun clauses” ดังตัวอย่าง

Subject Noun Clauses

          

– That scores are going down is clear.
(มักใช้ในภาษาเขียนหรือภาษาทางการ)
ที่ว่าคะแนนลดลงเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดเจน

           – 

What he said confused us terribly.
สิ่งที่เขาพูดทำให้พวกเราสับสนมาก

Object Noun Clauses

          – I feel that you overestimated the damages.
ผมรู้สึกว่าคุณประมาณการความเสียหายเกินความเป็นจริง

          – I don’t know where she is.
ผมไม่รู้ว่าเธออยู่ที่ไหน

ประเภทของ Object Noun Clauses

Object Noun Clauses จะต้องอยู่คู่กับ Main Clause ของประโยคเสมอ โดยประโยคจะเริ่มด้วย Main Clause แล้วตามด้วย Object Noun clause โดยไม่ต้องมีเครื่องหมาย Comma คั่น Object noun clauses มี 3 ประเภท ได้แก่

1. Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า “that”
2. Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วย “Wh-Words” (หรือ Question Words)
3. Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า “if” หรือ “whether”

 

1. การใช้ Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า “That”

เราใช้ Noun clauses ที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า that ในกรณีต่อไปนี้

          1. ใช้ตามหลัง verbs บางตัวที่แสดงความรู้สึก ความคิด หรือ ความคิดเห็น เช่น agree, feel, know, remember, believe, forget, realize, think, doubt, hope, recognize, understand

               เช่น I agree that we should follow him.
She knows that her mom loves her.

          2. ถ้าเป็นภาษาพูด มักจะละคำว่า that ซึ่งเป็นคำขึ้นต้น clause

               เช่น I think that it’s red, not blue. (ภาษาทางการ)
I think it’s red, not blue. (ภาษาพูด)

           

3. Verbs ใน main clauses มักจะเป็น present tense แต่ verbs ใน noun clauses จะเป็น tense อะไรก็ได้

                เช่น I believe it’s raining. (now)
I believe it’ll rain. (very soon)
I believe it rained. (a moment ago)

           4. ในการสนทนา ถ้าต้องการหลีกเลี่ยงการพูดคำว่า that บ่อยเกินไป หรือไม่ต้องการพูด noun clause ซ้ำ สามารถตอบโดยใช้คำว่า so หรือ not หลัง main clauses ได้

                เช่น Surat: Is Surawee here today?
Dendao: I think so.
(คำพูดเต็มๆก็คือ I think that Surawee is here today.)

                        Dares: Has the rain stopped?
Sompet: I don’t believe so.
(คำพูดเต็มๆก็คือ I don’t believe that the rain has stopped.)

                         Joom: Are we ready to leave?
Paa: I’m afraid not.
(คำพูดเต็มๆก็คือ I’m afraid that we are not ready to leave.)

 

2. การใช้ Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วย Wh-Words

การใช้ Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วย Wh-Words (ได้แก่คำว่า what where when why how) มีหลักเกณฑ์ดังนี้

          1. Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วย Wh-Words มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Indirect wh-questions และแม้ว่า noun clauses เหล่านี้จะขึ้นต้นด้วยคำแสดงคำถาม แต่ลำดับคำ (word order) ในอนุประโยคนี้  

จะเป็นลำดับคำของประโยคบอกเล่า ไม่ใช่ลำดับคำของประโยคคำถาม

                   

เช่น I know why he comes home very late.
(ไม่ใช่ why does he come home very late)

                      I don’t know when he will arrive.
(ไม่ใช่ when will he arrive)

          2. การใช้เครื่องหมายวรรคตอนของประโยคจะเป็นไปตามลักษณะของ main clause กล่าวคือ ถ้า main clause เป็นคำถามจะใช้เครื่องหมาย question mark ปิดประโยค ถ้า main clause เป็นบอกเล่า

จะใช้เครื่องหมาย full stop ปิดประโยค

               เช่น Could you tell me where the elevators are?
(Main clause เป็นคำถาม)
I’m wondering where the elevators are.
(Main clause เป็นบอกเล่า)

          3. ใช้ Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วย Wh-Words เพื่อแสดงให้คู่สนทนาทราบว่า เราไม่รู้ หรือเราไม่แน่ใจ

               เช่น I don’t know how much it costs.
I would like to know when our next meeting will be.
I’m not sure which house is his.

          4. ใช้ Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วย Wh-Words เพื่อถามหาข้อมูลอย่างสุภาพ

               เช่น Could you tell me who are injured in the accident?
Can you tell me what time the show starts?

 

3. 

การใช้ Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วย If หรือ Whether

การใช้ Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วย if หรือ whether มีหลักเกณฑ์ดังนี้

          1. Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วย if หรือ whether คือ indirect yes/no questions นั่นเอง

              เช่น Direct Question: Did they pass the exam?
Indirect Question: I don’t know if they passed the exam.

                      (ข้อความที่ขีดเส้นใต้คือ noun clause ที่ขึ้นต้นด้ว if นั่นเอง)

          2. ลำดับคำในประโยค (word order) และเครื่องหมายจบประโยค ใช้หลักเกณฑ์เดียวกับ Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วย Wh-Words

          

3. จะขึ้นต้น Noun Clauses ด้วยคำว่า if หรือ whether ก็ได้ แต่มักใช้ whether ในสถานการณ์ที่ค่อนข้างเป็นทางการ

               

เช่น Sir, I would like to know whether you prefer coffee or tea.

                       Tell me if you want to go with us or not.

          4. ใช้ Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วย if หรือ whether เมื่อ main clause แสดงการใช้ความคิด หรือความคิดคำนึง

               เช่น I can’t remember if I had already paid him.
I wonder whether he will arrive in time.

          

5. ใช้ Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วย if หรือ whether เมื่อต้องการถามคำถามอย่างสุภาพ

               เช่น Do you know if the principal is in his office.
Can you tell me whether the tickets include drinks?

[Update] หลักการใช้คอมม่า (Comma) ในภาษาอังกฤษ | เครื่องหมายคําถาม ภาษาอังกฤษ – NATAVIGUIDES

คอมม่า (,) เป็นเครื่องหมายวรรคตอนที่ใช้บ่อยในภาษาอังกฤษ แต่ถึงแม้จะถูกใช้บ่อย หลายๆคนก็ยังคงสับสนอยู่ดี ว่าเราควรใช้คอมม่าตอนไหนและต้องใช้อย่างไรบ้าง

สำหรับคนที่สงสัย ในบทความนี้ ชิววี่ก็ได้เรียบเรียงเนื้อหาการใช้คอมม่าในภาษาอังกฤษ มาให้เพื่อนๆได้เรียนรู้กันได้อย่างง่ายๆแล้ว ถ้าเพื่อนๆพร้อมแล้ว เราไปดูกันเลย

คอมม่าคืออะไร

คอมม่า (comma) เป็นเครื่องหมายวรรคตอนในภาษาอังกฤษ ทำหน้าที่แยกคำ วลี หรือประโยค เพื่อให้ผู้อ่านสามารถอ่านจับใจความได้ง่ายและถูกต้องมากขึ้น

ถ้าเปรียบเทียบคอมม่ากับเครื่องหมายจุด (.) ที่ใช้ปิดท้ายประโยค หรือที่เรียกว่า period เครื่องหมายทั้ง 2 ตัวนี้จะเป็นตัวบอกการเว้นจังหวะในการอ่านและพูดเหมือนกัน แต่เครื่องหมายคอมม่าจะเป็นตัวบอกจังหวะการเว้นที่สั้นกว่า

หลักการใช้คอมม่า

ใครที่มีข้อสงสัยว่าเราต้องใช้คอมม่าในกรณีไหนและต้องใช้ยังไงบ้าง ก็ไปดูหลักการใช้คอมม่าทั้ง 11 ข้อกันเลย

1. ใช้คอมม่าหน้าคำเชื่อมที่เชื่อม independent clause

Independent clause (ประโยคใจความสมบูรณ์) คือประโยคที่มีทั้งประธานและคำกริยา ตัวประโยคจะมีใจความสมบูรณ์ในตัวมันเอง เช่น

I am a student. (ฉันเป็นนักเรียน) – ถือเป็น independent clause เพราะมีทั้งประธานและคำกริยา
Feel good (รู้สึกดี) – ไม่ใช่ independent clause เพราะไม่มีประธาน
Big black cat (แมวสีดำตัวใหญ่) – ไม่ใช่ independent clause เพราะไม่มีคำกริยา

ส่วนคำเชื่อมในที่นี้จะต้องเป็น coordinating conjunction ซึ่งก็คือคำเชื่อมที่ให้น้ำหนักกับ 2 สิ่งที่ถูกเชื่อมเท่าๆกัน โดยอาจใช้เชื่อมคำ วลี หรือประโยคก็ได้ coordinating conjunction มีทั้งหมด 7 ตัวคือ for, and, nor, but, or, yet, so (เมื่อนำอักษรแรกมาต่อกันจะได้เป็น FANBOYS ใช้ช่วยให้ท่องจำได้ง่ายขึ้น)

หากเราเชื่อม independent clause 2 ประโยคด้วย coordinating conjunction เราจะต้องใช้คอมม่าหน้า coordinating conjunction

โครงสร้างการใช้

independent clause + , + coordinating conjunction + independent clause

ตัวอย่างประโยค

He didn’t speak to anyone, and nobody spoke to him.
เขาไม่ได้พูดกับใคร และก็ไม่มีใครพูดกับเขา

I wanted to stay home, but my wife wanted to go shopping.
ฉันอยากอยู่บ้าน แต่ภรรยาของฉันอยากไปช้อปปิ้ง

เราจะไม่ใช้คอมม่า ถ้าข้างหน้าหรือข้างหลัง coordinating conjunction ไม่ใช่ independent clause

She brushed her teeth and washed her face.
เธอแปรงฟันและล้างหน้า
(washed her face ไม่ใช่ independent clause)

I am not a writer but an editor.
ฉันไม่ใช่นักเขียน แต่เป็นบรรณาธิการ
(an editor ไม่ใช่ independent clause)

2. ใช้คอมม่าเมื่อขึ้นต้นประโยคด้วย dependent clause

Dependent clause คือประโยคที่มีใจความไม่สมบูรณ์ เวลาใช้จะต้องใช้ร่วมกับประโยคอื่น ในที่นี้เราจะแบ่งออกเป็น 3 กรณี

1. Participial phrase

เมื่อประโยคขึ้นต้นด้วยวลีจำพวก participial phrase ซึ่งก็คือวลีที่ขึ้นต้นด้วย v. + ing หรือ v. ช่อง 3 เราจะต้องใช้คอมม่าคั่นหลังวลีนั้น

โครงสร้างการใช้

participial phrase + , + ประโยคหลัก

ตัวอย่างประโยค

Being the only son in the family, his family have high hopes for him.
ด้วยการที่เขาเป็นลูกชายคนเดียวในครอบครัว ครอบครัวของเขาจึงตั้งความหวังกับเขาไว้สูง

Bitten by my own dog, I was very disappointed.
การโดนกัดโดยหมาของตัวเองทำให้ฉันรู้สึกผิดหวังมาก

2. Adverbial phrase

แต่ถ้าประโยคขึ้นต้นด้วย adverbial phrase ซึ่งก็คือวลีที่ทำหน้าที่เป็น adverb เราอาจใช้คอมม่าหรือไม่ใช้ก็ได้ (ถ้า adverbial phrase ยาว หรือเราต้องการเน้น adverbial phrase นั้น เราจะนิยมใช้คอมม่า)

ตัวอย่าง adverbial phrase เช่น
At 6 o’clock
After the show
In the middle of Bangkok

โครงสร้างการใช้

adverbial phrase + (,) + ประโยคหลัก

ตัวอย่างประโยค

In 2020 there is a pandemic affecting the world.
ในปี 2020 มีโรคระบาดที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก

When I was six, I lived in Chiang Mai with my mom.
ตอนฉันอายุหกขวบ ฉันอาศัยอยู่ที่เชียงใหม่กับแม่ของฉัน

3. Sentence adverb

ถ้าประโยคขึ้นต้นด้วย sentence adverb ซึ่งก็คือคำจำพวก adverb ที่ทำหน้าที่ขยายทั้งประโยค เราจะใช้คอมม่าคั่นหลัง sentence adverb นั้น

โครงสร้างการใช้

sentence adverb + , + ประโยคหลัก

ตัวอย่างประโยค

Honestly, I am not angry.
ตรงๆเลยนะ ฉันไม่ได้โกรธ

Clearly, this plan isn’t working.
เห็นได้ชัดว่าแผนนี้ใช้ไม่ได้ผล

3. ใช้คอมม่าคั่นวลีหรือคำกลางประโยคที่ทำหน้าที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติม

เราจะใช้คอมม่าคั่นวลีหรือคำที่อยู่กลางประโยค ถ้าวลีหรือคำนั้นทำหน้าที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติม แต่ไม่ได้จำเป็นสำหรับประโยค (แม้ตัดออกไป ใจความหลักของประโยคก็ยังเหมือนเดิม)

โครงสร้างการใช้

ประโยคส่วนที่ 1 + , + วลี/คำที่ทำหน้าที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติม + , + ประโยคส่วนที่ 2

ตัวอย่างประโยค

Tim, unlike Joe, is very polite.
ทิมเป็นคนสุภาพมาก ไม่เหมือนกับโจ

King Crab restaurant, which Anne recommended, is fantastic.
ร้านอาหารคิงแครบที่แอนแนะนำนั้นดีมาก

แต่ถ้าวลีหรือคำนั้นจำเป็นสำหรับประโยค ถ้าตัดออกแล้วใจความเปลี่ยน เราก็จะไม่ใช้คอมม่า

People who exercise regularly tend to be more happy.
คนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอมักจะมีความสุขมากกว่า
(ถ้าตัด who exercise regularly ทิ้ง ความหมายจะเปลี่ยนเป็น “คนจะมีความสุขมากกว่า” ซึ่งมีใจความผิดไปจากเดิม)

The restaurant that Anne recommended is fantastic.
ร้านอาหารที่แอนแนะนำนั้นดีมาก
(ถ้าตัด that Anne recommended ทิ้ง ความหมายจะเปลี่ยนเป็น “ร้านอาหารดีมาก” ซึ่งมีใจความผิดไปจากเดิม คือเราจะไม่รู้ว่าหมายถึงร้านไหน)

วลีที่ขึ้นต้นด้วย that มักจะจำเป็นสำหรับประโยค เรามักจะไม่ใช้คอมม่าครอบส่วนนั้น

4. ใช้คอมม่าแยกรายการคำตั้งแต่ 3 รายการขึ้นไป

ถ้าเรามีรายการคำตั้งแต่ 3 รายการขึ้นไป เราจะต้องคั่นแต่ละรายการด้วยคอมม่า ยกเว้นรายการสุดท้าย เราจะคั่นด้วยคอมม่าหรือไม่ก็ได้

โครงสร้างการใช้

รายการหนึ่ง, รายการสอง(,) and รายการสุดท้าย

ตัวอย่างประโยค

He is tall, dark, and handsome.
หรือ He is tall, dark and handsome.
เขาทั้งสูง เข้ม และหล่อ

She needs salt, pepper, and other seasonings at the grocery store.
หรือ She needs salt, pepper and other seasonings at the grocery store.
เธอต้องการเกลือ พริกไทย และเครื่องปรุงอย่างอื่นที่ร้านขายของ

5. ใช้คอมม่าคั่นระหว่าง coordinate adjectives

Coordinate adjectives คือคำคุณศัพท์ที่ขยายคำนามคำเดียวกันและมีความสำคัญเท่าๆกัน สามารถสลับที่กันได้ ตัวอย่างเช่น

เราสามารถใช้ได้ทั้ง long, narrow path
และ narrow, long path
คำว่า long และ narrow ในที่นี้จะถือเป็น coordinate adjectives

เราสามารถใช้ big black bear
แต่ไม่สามารถใช้ black big bear
คำว่า big และ black ไม่ถือเป็น coordinate adjectives (การใช้ adjective ขนาดจะต้องมาก่อนสี)

โครงสร้างการใช้

coordinate adjective 1 + , + coordinate adjective 2 + คำนาม

ตัวอย่างประโยค

The happy, lively cat is playing with the ball.
แมวที่มีความสุขสดใสกำลังเล่นกับลูกบอล

My roommate is a cheerful, kind girl.
รูมเมทของฉันเป็นเด็กผู้หญิงที่ร่าเริงและใจดี

ทั้งนี้ เราสามารถใช้ and เชื่อมระหว่าง coordinate adjectives แทนคอมม่าก็ได้เช่นกัน อย่างเช่น My roommate is a cheerful and kind girl.

6. ใช้คอมม่าคั่นระหว่างคำพูดกับวลีที่กำกับ

ในภาษาอังกฤษ เวลาเราเขียนประโยคที่เป็นคำพูด เราจะใช้เครื่องหมาย “-” ครอบประโยคคำพูดนั้น อย่างเช่น Anne said, “I feel sick.” ซึ่งแปลว่า แอนพูดว่า “ฉันรู้สึกป่วย”

สังเกตว่า เราจะใช้คอมม่าคั่นระหว่างวลีที่เข้ามากำกับ ซึ่งก็คือ Anne said และประโยคที่เป็นคำพูด ซึ่งก็คือ “I feel sick.”

ทั้งนี้ วลีที่กำกับนั้นอาจจะอยู่หน้า อยู่กึ่งกลาง หรืออยู่หลังประโยคที่เป็นคำพูดก็ได้

โครงสร้างการใช้

  • วลีกำกับ, “ประโยคคำพูด”
  • “ประโยคคำพูด,” วลีกำกับ, “ประโยคคำพูด”
  • “ประโยคคำพูด,” วลีกำกับ

ตัวอย่างประโยค

He answered, “She is not here.”
เขาตอบ “เธอไม่ได้อยู่ที่นี่”

“I think,” she said, “Joe can help.”
“ฉันคิดว่า” เธอพูด “โจสามารถช่วยได้”

“It is raining,” Tim said.
“ฝนกำลังตก” ทิมพูด

ในกรณีที่วลีกำกับอยู่ข้างหลังประโยคคำพูด ถ้าประโยคคำพูดลงท้ายด้วยเครื่องหมายตกใจ (!) หรือเครื่องหมายคำถาม (?) เราจะไม่ต้องใช้คอมม่า

“Stop playing video game!” mom yelled.
“หยุดเล่นเกมได้แล้ว” แม่ตวาด

“Are you alright?” Ben asked.
“คุณโอเคมั้ย” เบ็นถาม

บางคนอาจสงสัยว่า เราต้องใส่คอมม่าไว้ในหรือนอกเครื่องหมาย “-” ทำไมบางทีเห็นแต่ละที่ใช้ไม่เหมือนกัน

คำตอบก็คือถ้าเป็น American English จะนิยมเอาไว้ข้างใน เช่น “It is raining,” Tim said. แต่ถ้าเป็น British English จะนิยมเอาไว้ข้างนอก เช่น “It is raining”, Tim said.

7. ใช้คอมม่าในการแยกวันที่และสถานที่

ใช้คอมม่าคั่นระหว่างวันและปีเมื่อเราเขียนวันที่ในรูปแบบ เดือน-วันที่-ปี แต่ถ้าเราเขียนในรูปแบบ วันที่-เดือน-ปี เราจะไม่ต้องใช้คอมม่า

โครงสร้างการใช้

เดือน วันที่, ปี

ตัวอย่างประโยค

She was born on December 10, 1995.
เธอเกิดเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 1995

She was born on 10 December 1995.
เธอเกิดเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 1995

และใช้คอมม่าคั่นระหว่างคำบอกสถานที่ที่ต่างกัน เช่น เมือง จังหวัด รัฐ ประเทศ

โครงสร้างการใช้

  • ชื่อตำบล, ชื่อเขต, ชื่อจังหวัด, ชื่อประเทศ
  • ชื่อเมือง, ชื่อรัฐ, ชื่อประเทศ

ตัวอย่างประโยค

I live in Bangkok, Thailand.
ฉันอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ ประเทศไทย

He came from Chicago, Illinois.
เขามาจากเมืองชิคาโก้ รัฐอิลลินอยส์

8. ใช้คอมม่าหน้า question tag

ใช้คอมม่าคั่นระหว่างประโยคหลักกับ question tag

โครงสร้างการใช้

ประโยคหลัก + , + question tag

ตัวอย่างประโยค

These flowers are beautiful, aren’t they?
ดอกไม้เหล่านี้สวยมาก ว่ามั้ย

You didn’t forget the key, did you?
คุณไม่ได้ลืมกุญแจใช่มั้ย

9. ใช้คอมม่าเมื่อเรียกบุคคลโดยตรง

ใช้คอมม่าคั่นระหว่างคำเรียกบุคคลอื่นกับส่วนอื่นของประโยค เมื่อเราเรียกบุคคลนั้นโดยตรง

โครงสร้างการใช้

  • ประโยคหลัก + , + คำเรียกบุคคล
  • คำเรียกบุคคล + , + ประโยคหลัก

ตัวอย่างประโยค

Dad, where are you?
พ่ออยู่ไหน

See you later, John.
ไว้เจอกันใหม่นะจอห์น

10. ใช้คอมม่าหลังคำขึ้นต้นประโยค

ใช้คอมม่าคั่นระหว่างคำขึ้นต้นประโยคกับประโยคหลัก อย่างเช่น คำทักทาย yes/no

โครงสร้างการใช้

  • คำทักทาย + , + ประโยคหลัก
  • yes/no + , + ประโยคหลัก

ตัวอย่างประโยค

Hello, how is it going?
สวัสดี เป็นยังไงบ้าง

Yes, I live by myself.
ใช่ ฉันอยู่คนเดียว

11. ใช้คอมม่าเพื่อป้องกันการสับสน

เราจะใช้คอมม่าในประโยคที่อาจก่อให้เกิดความสับสนหรือความเข้าใจผิดแก่ผู้อ่าน เพื่อให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจความหมายได้ถูกต้องมากขึ้น

ตัวอย่างประโยค

I waved at my friend who entered the canteen, and smiled.
ฉันโบกมือให้เพื่อนที่เข้ามาในโรงอาหาร และยิ้มให้เค้า
(คอมม่าทำให้เรารู้ว่าฉันเป็นคนยิ้ม ไม่ใช่เพื่อนยิ้ม)

เป็นยังไงบ้างครับกับหลักการใช้เครื่องหมายคอมม่า (comma) ในภาษาอังกฤษ ทีนี้เพื่อนๆก็คงจะเข้าใจและสามารถนำไปใช้ได้ถูกต้องมากขึ้นแล้วนะครับ

อย่าลืมนะครับ ภาษาอังกฤษยิ่งเรียนรู้ ยิ่งฝึก ก็ยิ่งเก่ง สำหรับบทความนี้ ชิววี่ต้องขอตัวลาไปก่อน See you next time


การ บวก ลบ คูณ หาร ภาษาอังกฤษ l เครื่องหมายทางคณิตศาสตร์ l วิธีอ่านพร้อมคำแปล


เรียนรู้วิธีอ่านเครื่องหมายทางคณิตศาสตร์เบื้องต้น บวก ลบ คูณ หาร เท่ากับ ไม่เท่ากับ มากกว่า น้อยกว่า เป็นภาษาอังกฤษ

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูเพิ่มเติม

การ บวก ลบ คูณ หาร ภาษาอังกฤษ l เครื่องหมายทางคณิตศาสตร์ l วิธีอ่านพร้อมคำแปล

400 คำถามภาษาอังกฤษ ให้ฝึกการออกเสียงและเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆ


คำถามภาษาอังกฤษที่ฝรั่งใช้บ่อยที่สุดในชีวิตประจำวันมีอะไรบ้าง
การสนทนาส่วนมากประกอบด้วยคำถาม เพราะฉะนั้นถ้าหากเรารู้คำถามที่ใช้บ่อยๆ
เราจึงสามารถสื่อสารและสนทนาได้อย่างดี
ต่อไปนี้ ผมจะสอน 400 คำถาม ซึ่งแบ่งออกเป็น 20 หัวข้อ
ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุดในชีวิตประจำวันดังนี้
ความรัก อาหาร การเดินทาง เพื่อนฝรั่ง ภาษา มหาวิทยาลัย การสัมภาษณ์งาน ช้อปปิ้ง
ความรู้สึก งาน โรงภาพยนตร์ สุขภาพ วันหยุดเมืองไทย ศาสนา เพลง บุคลิกภาพ
สังคมออนไลน์ ข่าว ความสามารถพิเศษ พรสวรรค์ สภาพอากาศ
เนื่องจากภาษาอังกฤษมีโครงสร้างเวลา(tenses)ที่ค่อนข้างซับซ้อน
การที่สามารถแต่งประโยคได้อย่างถูกต้อง ขึ้นอยู่กับความคุ้นเคยรูปแบบคำถามที่หลากหลาย
ดังนั้น 400 คำถามต่อไปนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งเพื่อช่วยให้คุณชินกับโครงสร้างประโยคคำถามต่างๆ
เพียงแค่ตั้งใจอ่านทบทวนคำถามเหล่านี้บ่อยๆ แล้วจะทำให้คุณสามารถสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษได้มากขึ้น แถมได้เรียนรู้คำศัพท์ที่ใช้บ่อยอีกด้วย
และเพื่อให้ฝึกการพูดออกเสียงภาษาอังกฤษ ให้ตั้งใจดูวีดีโอพร้อมพูดตามเพื่อให้สามารถตั้งคำถามเป็นภาษาอังกฤษได้อย่างคล่อง
จึงต้องฝึกตามรูปแบบที่หลากหลายด้วยคำศัพท์เหล่านี้
who ใคร what อะไร when เมื่อไหร่ where ทีไหน why ทำไม which อันไหน whose ของใคร
how อย่างไหร่ how much มากเท่าไหร่ how many กี่อัน how far ไกลแค่ไหน
คำศัพท์เหล่านี้เป็นส่วนประกอบหลักของคำถาม เพราะฉะนั้นเราจะเรียนรู้คำถามที่ใช้คำศัพท์ดังกล่าว
สมัครเป็นสมาชิกช่องนี้!!
กดปุ่ม \”สมัคร\” ข้างล่างวีดีโอใน Youtube หรือกดลิงค์นี้ได้เลยนะครับ https://www.youtube.com/channel/UC93A91EZTtZW55WEKCz_jYA/join
สั่งซื้อหนังสือได้จากแอดมินไลน์
LINE ID = @EnglishbyChris
รับสอนตัวต่อตัว ติดต่อผมได้ที่
@LINE ID = @TeacherChris
http://www.englishbychris.com/portfolioitems/400questions/
https://www.facebook.com/EnglishbyChris

400 คำถามภาษาอังกฤษ ให้ฝึกการออกเสียงและเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆ

ประโยคคำถามต้องขึ้นเสียงสูงต่อท้ายไหม


เรียนกับอดัม: http://www.facebook.com/hollywoodlearning
เรียนออนไลน์กับอดัม: http://www.ajarnadam.tv
FBของอดัม: http://www.facebook.com/AjarnAdamBradshaw
Twitter: http://twitter.com/AjarnAdam
FBของซู่ชิง: http://www.facebook.com/jitsupachin
YouTube ของซู่ชิง: http://www.youtube.com/user/jitsupachin
Twitter ซูชิง: http://twitter.com/Sue_Ching

ประโยคคำถามต้องขึ้นเสียงสูงต่อท้ายไหม

ทำไม Binance ยกเลิกบริการภาษาไทย กระทบใครบ้าง?


ถามทันที คริปโต ทำไม Binance ยกเลิกบริการภาษาไทย แล้วกระทบใครบ้าง?
ถามอีก กับ พี่บิท คุณศุภกฤษฎ์ บุญสาตร์ นายกสมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย bitcast
และพี่ซันเจ คุณสัญชัย ปอปลี Cofounder, Cryptomind Asset CEO
โดย อิก บรรพต ธนาเพิ่มสุข, AFPT ที่ปรึกษาการเงิน
สัมภาษณ์วันที่ 13 พ.ย. 2564

ทุกเรื่องที่นักลงทุนต้องรู้ ติดตามกันได้ในทุกช่องทางคร้าบ:
Youtube: http://bit.ly/TAMEIG_Youtube
Clubhouse: https://bit.ly/3mmJgVA
Line Official: http://bit.ly/TAMEIG_LINE
Twitter: https://bit.ly/2UFAczy

ทำไม Binance ยกเลิกบริการภาษาไทย กระทบใครบ้าง?

เกม ทายชื่อประเทศจากธงชาติ อาเซียน


เกม ทายชื่อประเทศจากธงชาติ อาเซียน
เกมสร้างสรรค์สำหรับเด็กและเยาวชน
เพื่อเสริมทักษะความรู้และประสบการณ์ใหม่ๆ
วิชาการทั้ง คณิตศาสตร์ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ วิทยาศาสตร์ ฯลฯ
อย่าลืมกดติดตาม Subscribe VGameKids กันด้วยนะครับ

เกม ทายชื่อประเทศจากธงชาติ อาเซียน

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูบทความเพิ่มเติมในหมวดหมู่MAKE MONEY ONLINE

ขอบคุณมากสำหรับการดูหัวข้อโพสต์ เครื่องหมายคําถาม ภาษาอังกฤษ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *