Skip to content
Home » [Update] การใช้ can ในประโยคคำถาม | วิธีแต่งประโยค – NATAVIGUIDES

[Update] การใช้ can ในประโยคคำถาม | วิธีแต่งประโยค – NATAVIGUIDES

วิธีแต่งประโยค: คุณกำลังดูกระทู้

คำว่า can มีความหมายว่า “สามารถ” เป็นคำที่ใช้บอกว่าใครสามารถทำสิ่งใดได้ อย่างเช่น I can swim. ซึ่งแปลว่า ฉันสามารถว่ายน้ำได้

แต่ถ้าเราจะใช้ can ในประโยคคำถามล่ะ เราจะใช้ยังไงได้บ้าง ซึ่งสำหรับใครที่ยังใช้ไม่เป็น ในบทความนี้ ชิววี่ก็ได้เรียบเรียงวิธีใช้มาให้แล้ว ถ้าเพื่อนๆพร้อมแล้ว เราไปดูกันเลย

Table of Contents

การใช้ can ขึ้นต้นคำถาม

เราจะใช้ can ขึ้นต้นคำถามใน 2 กรณี คือ

1. เมื่อต้องการถามว่า “ผู้ใดทำสิ่งใดเป็นมั้ย”

เราสามารถใช้ can ขึ้นต้นคำถาม เพื่อถามว่าผู้ใดทำสิ่งใดเป็นมั้ย ตัวอย่างเช่น Can you swim? (คุณว่ายน้ำเป็นมั้ย)

โครงสร้างประโยค
Can + ประธาน + คำกริยาช่อง 1

Can you speak English?
คุณพูดภาษาอังกฤษได้มั้ย

Can she dance?
เธอเต้นเป็นมั้ย

Can John sing this song?
จอห์นร้องเพลงนี้เป็นมั้ย

2. เมื่อต้องการขออนุญาต หรือขอร้องให้ใครทำอะไรให้

เรายังสามารถใช้ can ขึ้นต้นคำถาม เพื่อขออนุญาตหรือขอร้องให้ใครทำสิ่งใดให้ ตัวอย่างเช่น

การขออนุญาต – Can I borrow your pen? (ฉันขอยืมปากกาคุณหน่อยได้มั้ย)
การขอร้อง – Can you close the door? (คุณปิดประตูให้หน่อยได้มั้ย)

โครงสร้างประโยค
Can + ประธาน + คำกริยาช่อง 1

การขออนุญาต

Can I take a break?
ฉันขอพักได้มั้ย

Can I go home?
ฉันขอกลับบ้านได้มั้ย

การขอร้อง

Can you help me?
คุณช่วยฉันหน่อยได้มั้ย

Can you give me some advice?
คุณให้คำปรึกษาฉันหน่อยได้มั้ย

ทั้งนี้ ในการขออนุญาตและการขอร้อง ถ้าเราต้องการให้สุภาพมากขึ้น เราจะใช้คำอื่นแทน can

การขออนุญาต – ใช้คำว่า could หรือ may เพื่อให้สุภาพมากขึ้น
Could I take a break?
May I take a break?

การขอร้อง – ใช้คำว่า could หรือ would เพื่อให้สุภาพมากขึ้น
Could you help me?
Would you help me?

การตอบคำถามที่ขึ้นต้นด้วย can

สำหรับการตอบคำถามที่ขึ้นต้นด้วย can โดยทั่วไปผู้ตอบจะตอบด้วย yes หรือ no เช่น

Can you swim? (คุณว่ายน้ำเป็นมั้ย)
ถ้าว่ายเป็น – Yes, I can.
ถ้าว่ายไม่เป็น – No, I can’t.

Can he speak English? (เขาพูดอังกฤษได้มั้ย)
ถ้าพูดอังกฤษได้ – Yes, he can.
ถ้าพูดอังกฤษไม่ได้ – No, he can’t.

การใช้ can กับ wh-questions

Wh-questions คือคำถามที่ขึ้นต้นด้วยคำจำพวก what, when, where, which, why, who และ how โดยแต่ละคำจะมีความหมายและวิธีใช้ร่วมกับ can ดังนี้

Wh-wordsความหมายตัวอย่างประโยคWhatอะไรWhat can I do?
ฉันสามารถทำอะไรได้Whenเมื่อไรWhen can I go home?
ฉันสามารถกลับบ้านได้เมื่อไรWhereที่ไหนWhere can I find Tim?
ฉันสามารถเจอทิมได้ที่ไหนWhichอันไหนWhich pen can I use?
ฉันสามารถใช้ปากกาอันไหนได้WhyทำไมWhy can’t I delete this file?
ทำไมฉันถึงลบไฟล์นี้ไม่ได้WhoใครWho can I contact for more information?
ฉันสามารถติดต่อขอข้อมูลเพิ่มเติมจากใครได้บ้างHowอย่างไรHow can I get a refund?
ฉันสามารถขอเงินคืนได้อย่างไร

1. What

What มีความหมายว่า “อะไร” เราสามารถใช้ร่วมกับ can ในการสร้างประโยคคำถามได้ดังนี้

โครงสร้างประโยค
What + can + ประธาน + คำกริยาช่อง 1

What can we learn from the past?
พวกเราสามารถเรียนรู้อะไรจากอดีตได้บ้าง

What can I do to make you happy?
ฉันสามารถทำอะไรเพื่อให้คุณมีความสุขได้บ้าง

โครงสร้างประโยค
What + คำนาม + can + ประธาน + คำกริยาช่อง 1

What time can we meet?
พวกเราสามารถเจอกันได้เวลาไหน

What diseases can you get from rats?
คุณสามารถติดโรคอะไรจากหนูได้บ้าง

2. When

When มีความหมายว่า “เมื่อไร” เราจะใช้ when ร่วมกับ can ในการถามว่า “ใครสามารถทำอะไรได้ตอนไหน”

โครงสร้างประโยค
When + can + ประธาน + คำกริยาช่อง 1

When can we meet?
พวกเราสามารถเจอกันได้ตอนไหน

When can he start playing tennis again?
เขาจะเริ่มเล่นเทนนิสได้อีกครั้งเมื่อไร

3. Where

Where มีความหมายว่า “ที่ไหน” เราจะใช้ where ร่วมกับ can ในการถามว่า “ใครสามารถทำอะไรได้ที่ไหน”

โครงสร้างประโยค
Where + can + ประธาน + คำกริยาช่อง 1

Where can we swim in Bangkok?
พวกเราสามารถว่ายน้ำที่ไหนได้บ้างในกรุงเทพฯ

Where can we stay tonight?
คืนนี้พวกเราสามารถพักที่ไหนได้บ้าง

4. Which

Which มีความหมายว่า “อันไหน” สามารถใช้ร่วมกับ can ในการสร้างประโยคคำถามได้ดังนี้

โครงสร้างประโยค
Which + can + ประธาน + คำกริยาช่อง 1

Which can I take?
ฉันสามารถเอาอันไหนไปได้

Which can she choose?
เธอสามารถเลือกอันไหนได้

โครงสร้างประโยค
Which + คำนาม + can + ประธาน + คำกริยาช่อง 1

Which shoes can I use for running?
ฉันสามารถใช้รองเท้าคู่ไหนในการวิ่งได้บ้าง

Which car can we afford?
พวกเรามีเงินพอซื้อรถคันไหนได้บ้าง

5. Why

Why มีความหมายว่า “ทำไม” เราจะใช้ why ร่วมกับ can ในการถามว่า “ทำไมใครถึงทำสิ่งใดได้”

ในการใช้ can ร่วมกับ why บ่อยครั้งเราจะใช้รูปปฏิเสธ ซึ่งก็คือ cannot (can’t) เพื่อถามว่า “ทำไมใครถึงทำสิ่งใดไม่ได้”

โครงสร้างประโยค
Why + can + ประธาน + คำกริยาช่อง 1

Why can I smell blood?
ทำไมฉันถึงได้กลิ่นเลือด

Why can’t we be friends?
ทำไมพวกเราถึงเป็นเพื่อนกันไม่ได้

6. Who

Who มีความหมายว่า “ใคร” สามารถใช้ร่วมกับ can ในการสร้างประโยคคำถามได้ดังนี้

โครงสร้างประโยค
Who + can + คำกริยาช่อง 1

Who can help?
ใครสามารถช่วยได้

Who can teach me how to use this machine?
ใครสามารถสอนฉันใช้เครื่องนี้ได้บ้าง

โครงสร้างประโยค
Who + can + ประธาน + คำกริยาช่อง 1

Who can we trust?
พวกเราสามารถเชื่อใจใครได้บ้าง

Who can I talk to when I am sad?
ฉันสามารถคุยกับใครได้บ้างในตอนที่ฉันเศร้า

7. How

How มีความหมายว่า “อย่างไร” สามารถใช้ร่วมกับ can ในการสร้างประโยคคำถามได้ดังนี้

โครงสร้างประโยค
How + can + ประธาน + คำกริยาช่อง 1

How can I go to the bank?
ฉันสามารถไปธนาคารได้ยังไง

How can we stop bullying?
พวกเราสามารถหยุดการกลั่นแกล้งได้อย่างไร

โครงสร้างประโยค
How + คำคุณศัพท์ + can + ประธาน + คำกริยาช่อง 1

ในประโยคคำถาม “How + คำคุณศัพท์” จะแปลว่า “…ขนาดไหน” หรือ “…แค่ไหน” เช่น
How tall – สูงแค่ไหน
How small – เล็กแค่ไหน
How far – ไกลแค่ไหน

How long can you stay here?
คุณสามารถอยู่ที่นี่ได้นานแค่ไหน

How fast can we finish this project?
พวกเราสามารถทำโปรเจ็คนี้ให้เสร็จได้เร็วขนาดไหน

จบแล้วนะครับกับการใช้ can ในประโยคคำถาม ทีนี้เพื่อนๆก็คงจะใช้ can สร้างคำถามในภาษาอังกฤษกันได้แล้วนะครับ

อย่าลืมนะครับ ภาษาอังกฤษยิ่งเรียนรู้ ยิ่งฝึก ก็ยิ่งเก่ง สำหรับบทความนี้ ชิววี่ต้องขอตัวลาไปก่อน See you next time

[Update] หลักการใช้ Adjective ฉบับเข้าใจง่าย | วิธีแต่งประโยค – NATAVIGUIDES

หลายคนที่ตั้งใจเข้ามาอ่านในหัวข้อนี้ (บางคนอาจจะหลงเข้ามาก็แล้วแต่) น่าจะรู้จักคำนาม (Noun) กันอยู่แล้ว แต่หากใครที่ยังงงๆอยู่ว่า Noun คืออะไร มีทำไม ไม่มีได้ไหม ลองกลับไปอ่านที่หัวข้อของคำนามก่อนนะครับ

เพราะว่าในหัวข้อนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องของ คำคุณศัพท์ (Adjective) ซึ่งไอ้เจ้า Adjective เนี่ย มีหน้าที่ในการขยาย Noun หรือ สรรพนาม (Pronoun) เพื่อให้รายละเอียดให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นครับ

adjective

ตามหลักการแล้ว Adjective จะแบ่งออกได้เป็น 11 ประเภท

1. Descriptive Adjective (คุณศัพท์บอกลักษณะ) คือ คำที่ใช้บอกลักษณะของ Noun นั้น

  • The rich man’s toys.
    ของเล่นของคนรวย ( rich ไปขยาย man มีความหมายได้ว่าคนรวย)
  • You are a good student.
    เธอเป็นนักเรียนที่ดีนะ (good ไปขยาย student ว่าเธอเป็นนักเรียนแบบไหน)
  • I have dark skin.
    ฉันมีสีผิวที่คล้ำ (dark ไปขยาย skin ว่าผิวมีสีอะไร)
  • Happy meal.
    มื้ออาหารที่สุขสำราญ (happy ไปขยาย meal ว่ามื้ออาหารเป็นอย่างไร)
  • His death made me feel sorry.
    การเสียชีวิตของเขาทำให้ฉัน(มีความรู้สึกที่)รู้สึกผิด (sorry ไปขยาย me ว่าฉันรู้สึกผิด นอกจาก sorry จะแปลว่าเสียใจแล้วยังสามารถแปลได้ว่า ที่รู้สึกผิดได้อีกด้วย)
  • This is a red bag.
    นี่คือกระเป๋าสีแดง (red ไปขยาย bag ว่ากระเป๋าสีอะไร)

2. Proper Adjective (คุณศัพท์บอกสัญชาติ) คือ คำที่ใช้บอกสัญชาติของ Noun นั้น

  • Do you learn Italian language?
    คุณเรียนภาษาอิตาเลี่ยนไหม? (Italian ขยาย language)
  • Are you Thai?
    คุณเป็นคนไทยหรือเปล่า? (Thai ขยาย you)

** สังเกตดู Proper Adjective เมื่อนำมาใช้จะขึ้นต้นด้วยอักษรพิมพ์ใหญ่เสมอ

3. Quantitative Adjective (คุณศัพท์บอกปริมาณ) คือ คำที่ใช้บอกปริมาณของ Noun นั้น ว่ามีจำนวนแค่ไหน มากหรือน้อย

  • How much is it?
    มันราคา(มาก)เท่าไร? (much ขยาย it จากประโยคเป็นการถามราคาส่วนใหญ่จะนิยมถามด้วย How much?)
  • The little white rabbit.
    กระต่ายสีขาวตัวน้อย (ประโยคนี้มี Adjective อยู่สองที่ด้วยกัน นั่นคือ little และ white ซึ่งทั้งสองต่างก็ขยาย rabbit)
  • ‘Cause all of me loves all of you. (ท่อนหนึ่งจากเพลง All of me ของ John Legend
    เพราะทั้งหมดของ(ใจ)ฉัน รักทั้งหมดที่เป็นเธอ (all ขยาย me และ you ด้วยเช่นกัน)

4. Numeral Adjective (คุณศัพท์บอกจำนวนแน่นอน) คือ คำที่ใช้บอกจำนวนที่แน่นอนของ Noun นั้น (อาจแบ่งได้เป็นการบอกจำนวน การบอกลำดับ และการบอกจำนวนเท่า)

  • There are seven days in a week.
    มี 7 วันในหนึ่งสัปดาห์ (seven ขยาย days)
  • Tom is the second son of his family.
    ทอมเป็นบุตรคนที่สองครอบครัวของเขา (second ขยาย son)
  • The hand has five fingers.
    มือมี 5 นิ้ว (five ขยาย fingers)

5. Demonstrative Adjective (คุณศัพท์ชี้เฉพาะ) คือ คำที่ใช้ชี้เฉพาะของ Noun นั้น

  • This year
    ปีนี้ (This ขยาย year เพื่อบอกว่าปีนี้นะ ไม่ใช่ปีอื่น)
  • Those shoes are too expensive.
    รองเท้าคู่นั้นราคาแพง (Those ขยาย shoes เพราะรองเท้าไม่ได้แพงทุกคู่)
  • That cat is so adorable.
    แมวตัวนั้นน่ารัก (That ขยาย cat)

**   this (นี้), that (นั้น) สองคำนี้ใช้กับนามเอกพจน์
these (นี้) ,those (นั้น)  สองคำนี้ใช้กับนามพหูพจน์

6. Interrogative Adjective (คุณศัพท์บอกคำถาม) คือ คำที่ใช้เพื่อให้ Noun นั้นเป็นคำถาม

  • Where are you going?
    คุณกำลังจะไปไหนหรอ? (Where ขยาย you เพื่อให้เป็นประโยคคำถาม ถ้าไม่ใช่ประโยคทำถามเราจะใช้ You are going แปลว่าคุณกำลังจะไป)
  • How many boys are there in the class?
    มีเด็กผู้ชายกี่คนในห้องนี้? (How ขยาย boys เพื่อทำให้เป็นประโยคคำถามและใช้กับ many เป็น How many เพื่อถามถึงจำนวน ประโยคตัวอย่างในข้อนี้มี Adjective หลายประเภทเลยครับ ลองหาดูนะครับว่ามีประเภทไหนบ้าง)
  • What is your plan?
    คุณมีแผนอะไรบ้าง? (What ขยาย your plan)

** ส่วนมาก Interrogative Adjective จะหมายถึงคำที่ใช้ขึ้นต้นคำถามต่าง พวก WH Question เช่น what, where, why, whose, where, why, how, which

7. Possessive Adjective (คุณศัพท์บอกเจ้าของ) คือ คำที่ใช้บอกความเป็นเจ้าของ ของ Noun นั้น

  • This is my pen.
    นี่คือปากกาของฉัน (my ขยาย pen บอกเพื่อให้รู้ว่าปากกาเป็นของใคร เป็นการแสดงความเป็นเจ้าของของปากกา)
  • I like your hair.
    ฉันชอบผมของเธอ (your ขยาย hair เพื่อบอกให้รู้ว่าชอบผมของใคร)
  • We have sold our house.
    พวกเราขายบ้านของพวกเราแล้ว (our ขยาย house เพื่อให้รู้ว่าขายบ้านใคร)

** อย่าสับสนกับเรื่อง Possessive Pronoun นะครับ จำไว้ว่า Possessive Pronoun สามารถใช้แทน noun ได้เลย แต่ Possessive Adjective ต้องมี noun หรือ pronoun ในประโยคด้วย

8. Distributive Adjective (คุณศัพท์แบ่งแยก) คือ คำที่ใช้กับ Noun เพื่อแยก Noun ออกจากกัน

  • Each girl in our class is well-versed in music.
    เด็กหญิงแต่ละคนในห้องของพวกเรารอบรู้ในเรื่องของดนตรี (Each ขยาย girl ให้เห็นภาพว่าแต่ละคน)
  • Either side is a narrow lane.
    ไม่ข้างใดก็ข้างหนึ่งเป็นซอยแคบ (Either ขยาย side โดยแบ่งคำว่า side ออกเป็นสองฝั่ง)

9. Emphasizing Adjective (คุณศัพท์เน้นความ) คือ คำที่ใช้เน้นให้ Noun ฟังดูมีน้ำหนักมากขึ้น

  • I saw all this with my own eyes.
    ฉันเห็นทั้งหมดมาด้วยตาของฉันเลยแหละ (own ขยาย eyes เป็นการเน้นให้เห็นว่า กับตาของฉันเลยนะ แหม ฟังดูละคงต้องเชื่อเลยทีเดียว)
  • He is a very good guy.
    เขาเป็นคนดีมากๆ (very ขยาย good guy เพื่อขยายว่าเค้าดีมากๆ ดีจริงๆนะ ดี๊ดี)

10. Exclamatory Adjective (คุณศัพท์บอกอุทาน) คือ คำที่ใช้ขยาย Noun เพื่อให้เป็นคำอุทาน

  • What a surprise!
    เฮ้ยยย อะไรอ้ะ!!/ เซอร์ไพรส์จัง (เอา what มาขยาย surprise ฟังดูเป็นคำอุทานขึ้นมาเลยเนอะ)
  • It’s amazing!
    น่าประหลาดใจจังเลย (amazing ขยาย it แต่อาจจะใช้กับอะไรดีเลิศก็ได้นะครับ เช่น เพื่อนบอกว่า “แกๆชั้นได้รางวัลตุ๊กตาทองแดง สาขาดาราวิ่งผ่านกล้องยอดเยี่ยม” แล้วเราจะบอกว่า ดีจังเลยยอดเยี่ยม เราสามารถบอกได้ว่า “It’s amazing!” ครับ)

11. Relative Adjective (คุณศัพท์สัมพันธ์) คือ คำที่ทำหน้าที่คล้ายคำเชื่อม หรือ conjunction แต่ในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ขยาย Noun ตัวหลังด้วย

  • This is the house that Jack built.
    นี่คือบ้านที่แจ็คสร้าง ( that ทำหน้าที่เชื่อมประโยค 1) นี่คือบ้าน และ 2) แจ็คสร้าง โดยthat ไปขยาย แจ็ค ว่าเขาสร้างอะไร นั่นคือเขาสร้างบ้าน)

โดยทั่วไปตำแหน่งของ Adjective จะสามารถวางในประโยคได้ด้วยกัน 2 ตำแหน่ง คือ

  • วางไว้หน้าคำนามเพื่อขยายคำนามนั้นโดยตรง หรืออาจวางหลังนาม แต่นามนั้นจะต้องทำหน้าที่เป็นกรรมเท่านั้น เช่น That was a good
  • วางไว้หลัง Verb to be เช่น It is lovely.

ถ้าพูดถึงในเรื่องของการสอบแล้ว ผมว่าอาจจะจำเป็นสำหรับที่ต้องมาจำว่า Adjective มีกี่ประเภท แต่ละประเภทเรียกว่าอะไร หมายความว่าอย่างไร แต่สำหรับเรื่องของการนำไปใช้แล้วผมว่าแค่เราทราบว่าคำๆนั้นมีเป็น Adjective แล้วเวลาจะเอาไปสื่อสารเราจะเอาไปใช้อย่างไร หรือวางตรงไหนของประโยคได้บ้าง ผมว่าส่วนนั้นสำคัญกว่าครับ


การสะกดคำ 2 พยางค์ – สื่อการเรียนการสอน ภาษาไทย ป.1


วีดีโอนี้จะสอนเกี่ยวกับ
มาเรียนรู้ การสะกดคำ 2 พยางค์
การแจกลูกตัวสะกดคำ 2 พยางค์
พบคำศัพท์ภาษาไทย ที่น่าสนใจ มีภาพการ์ตูนน่ารักๆประกอบ พร้อมความหมาย
บทเรียนอิเล็กทรอกนิกส์ วิชา ภาษาไทย ป.1 ชุดนี้
เป็นสื่อการเรียนการสอนที่นำมาจาก
โครงการแท็บเล็ตพีซีเพื่อการศึกษาไทย
(OTPC : One Tablet Per Child)
จัดทำโดยสำนักงานเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ครูโอ๋ สื่อการเรียนการสอน
webpage : http://www.kruao.com
fanpage : https://goo.gl/O22C3X
google+ : https://goo.gl/OBu7ia
youtube : https://goo.gl/bZlYwE

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูความรู้เพิ่มเติมที่นี่

การสะกดคำ 2 พยางค์ - สื่อการเรียนการสอน ภาษาไทย ป.1

แต่งประโยคไม่เป็น ไม่รู้จะเริ่มยังไง วิธีแต่งประโยคเบื้องต้น | Tina Academy Ep.191


♡ดูตัวอย่างหนังสือของติน่า https://www.tinaacademy.com/books
♡ติดต่อซื้อหนังสือ @linetina (มี @ ด้วย)
♡ Subscribe จะได้ไม่พลาดคลิปทุกๆสัปดาห์
https://www.youtube.com/tinathanchannel/
♡ Instagram: https://www.instagram.com/tinathanchannel
♡ Facebook: https://www.facebook.com/tinathanchannel
♡ Line ID: @linetina https://line.me/R/ti/p/%40hxr4999x

แต่งประโยคไม่เป็น ไม่รู้จะเริ่มยังไง วิธีแต่งประโยคเบื้องต้น | Tina Academy Ep.191

วิชาภาษาไทย ป.2 : ประโยคและการแต่งประโยค (ครูยุ้ย)


วิชาภาษาไทย ป.2 : ประโยคและการแต่งประโยค (ครูยุ้ย)

สอนน้อง​ ๆ​ ป.1​ ฝึกแต่งประโยคภาษาไทยพื้นฐาน​ ป.1


Created by Video Editor
Video Editor

สอนน้อง​ ๆ​ ป.1​ ฝึกแต่งประโยคภาษาไทยพื้นฐาน​ ป.1

การแต่งประโยค ชั้น ป. 2 | สมปองสอนภาษาไทย


การแต่งประโยค ชั้น ป. 2 | สมปองสอนภาษาไทย

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูบทความเพิ่มเติมในหมวดหมู่LEARN FOREIGN LANGUAGE

ขอบคุณมากสำหรับการดูหัวข้อโพสต์ วิธีแต่งประโยค

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *