Skip to content
Home » [Update] | วิธีเขียนวันที่ ภาษาอังกฤษ – NATAVIGUIDES

[Update] | วิธีเขียนวันที่ ภาษาอังกฤษ – NATAVIGUIDES

วิธีเขียนวันที่ ภาษาอังกฤษ: คุณกำลังดูกระทู้

ในบทเรียนนี้จะสอนถึงหลักของการเขียนจดหมายภาษาอังกฤษ ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การเขียนจดหมายธรรมดา ตลอดจนยังสามารถนำไปใช้ในการส่งอีเมล์ได้อีกด้วยเช่นกัน

letter writing

สิ่งที่ผู้เขียนต้องระวังมากที่สุดในการเขียนจดหมายภาษาอังกฤษ คือรูปแบบจดหมายและภาษาที่ใช้ในการเขียนจดหมายซึ่งภาษาที่ใช้เขียนจดหมายรวมทั้งรูปแบบจดหมายจะมี 2 อย่างคือ

แบบเป็นทางการ (formal) และ แบบไม่เป็นทางการ (informal)

ถ้าเขียนจดหมายแบบเป็น ทางการภาษาที่ใช้รวมทั้งรูปแบบจดหมายก็ต้องใช้แบบเป็นทางการแต่ถ้าเขียนจดหมายแบบไม่เป็นทางการ จะใช้ภาษาและรูปแบบจดหมายง่ายๆ สบายๆ

จดหมายที่เป็นทางการ (formal letter) เช่น จดหมายธุรกิจ (business letter) หรือจดหมายสมัครงาน (application for a job) จะต้องประกอบด้วยส่วนต่างๆ ดังนี้

1. Return address คือที่อยู่ของผู้เขียนจดหมายซึ่งจะวางไว้มุมขวามือด้านบนของจดหมายโดยที่อยู่ของผู้เขียนจดหมายจะประกอบด้วยหมายเลขที่บ้าน ชื่อถนน ชื่อเมือง ชื่อรัฐ และรหัสไปรษณีย์ อาจจะใส่ comma (,) ทุกท้ายบรรทัดและใส่ full stop (.) ที่บรรทัดสุดท้ายก็ได้ แต่ไม่เป็นที่นิยมนักและที่สำคัญห้ามเขียนชื่อผู้เขียนจดหมายไว้ที่ return address

ตัวอย่าง
19/1 Pet-kasem Road
Nong khaem
Bangkok 10160

80 Green Road
Moseley
Birmingham
B13 9 PL

9 Britannia Road
IL ford Essex
IG1 2EQ U.K.

2. Date คือวันที่ๆ เขียนจดหมายซึ่งสามารถวางไว้ได้หลายที่ เช่น วางdate ไว้ใต้ return address หรือวาง date ไว้ใต้ชื่อที่พิมพ์ไว้ด้านล่างของจดหมาย

การเขียนวันที่มีด้วยกัน 2 แบบคือ แบบอเมริกันและแบบทั่วไป โดยการเขียนวันที่แบบอเมริกันจะวางเดือนไว้หน้าวัน

ตัวอย่าง
Month/day/year
March 12, 1998
January 10, 1990
12/6/95 = December 6, 1995
10/4/96 = October 4, 1996

อีกอย่างเป็นการเขียนวันที่แบบทั่วไป ซึ่งจะวางวันที่ (day) ไว้หน้าเดือน Day/month/year
12 march, 1992
10 April, 1994
5 January, 1998
12/6/95 = 12 June, 1995
10/4/96 = 10 April, 1996

หมายเหตุ: การเขียนวันที่ทำได้หลายแบบ เช่น
‘12.3.98’
‘12/3/98’
‘12 March 98’
‘March 12th, 1998’
‘March 12, 1998’

3. Inside address คือ ชื่อและที่อยู่ของผู้รับ โดยจะเขียนชื่อและที่อยู่ของผู้รับไว้ด้านซ้ายมือ ซึ่งอาจจะวางไว้บรรทัดเดียวกันกับวันที่ที่อยู่ด้านขวามือ หรือวางไว้ต่ำกว่าวันที่ก็ได้ inside address จะประกอบด้วย

ชื่อผู้รับ (title – name-last name)
ตำแหน่งงาน (job title)
ชื่อบริษัท (company name)
ชื่อถนน (street name)
ชื่อเมือง (city name)
รหัสไปรษณีย์ (zip code)

ตัวอย่าง
Mr. Roy Evans
Vice President of Operations
Inter Educational Services
1/12 Petchaburi Road
Bangkok 10400

Mr. R.C. Bushill
Personal manager
IWAKI (ENGLAND) Co., Ltd.
9 Britannia Road
Ilford Essex
IG1 2EQ U.K.

หมายเหตุ:
1. inside address จะใช้กับจดหมายที่เป็นทางการโดยเฉพาะจดหมายธุรกิจ
2. ในกรณีที่ส่งจดหมายสมัครงานถึงบริษัท ถ้าไม่ทราบชื่อผู้รับก็ให้ใส่เฉพาะตำแหน่งงาน

4. Greeting คือคำขึ้นต้นจดหมาย ซึ่งเป็นการทักทายถ้าเป็นการเขียน
จดหมายแบบเป็นทางการ greeting จะอยู่ในรูป Dear + title + last name
(กรณีที่รู้ชื่อผู้รับ)

ตัวอย่าง
Dear Mr. Maxwell :
Dear Mr. Komai :
Dear Miss Stephenson :
Dear Mrs. Bushill :

กรณีที่ไม่ทราบชื่อผู้รับและไม่ทราบด้วยว่าเป็นเพศหญิงหรือชาย greeting จะอยู่ในรูป

Dear Sir or Madam

กรณีที่เขียนจดหมายแบบไม่เป็นทางการ greeting จะอยู่ในรูป

Dear + name หรือ Dear + title

ตัวอย่าง
Dear John,    Dear Ladda,
Dear Mum,    Dear Grandpa,
Dear friend,    My dearest Supot,

ถ้าเริ่มต้นจดหมายด้วยการใช้ตำแหน่งและนามสกุล (title and surname) ของบุคคล เช่น ‘Dear Mr. Suriya’ เวลาลงท้ายจดหมายให้ใช้ ‘Yours Sincerely’ ถ้าใช้ ‘yours’ จะเป็นทางการน้อยกว่าอันแรก ถ้าเริ่มต้นจดหมายด้วย ‘Dear Sirs’ ให้ลงท้ายจดหมายด้วย ‘Yours faithfully’ ถ้าเป็นจดหมายส่วนตัวมักจะลงท้ายด้วย ‘Yours’ หรือ ‘Love

หมายเหตุ :
1. ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน มักลงท้ายจดหมายด้วย ‘Sincerely Yours’ หรือ ‘Very truly yours’
2. การเขียนจดหมายแบบอเมริกันมักใส่ colon (:) หลัง Dear… (Dear Mr. John:) ส่วนการเขียนจดหมายแบบอังกฤษจะใส่ comma หรือไม่ใส่อะไรเลย (Dear Mr. John, หรือ Dear Mr. John)

5. Body คือ ตัวจดหมายหรือเนื้อหาของจดหมาย ซึ่งจะบอกถึงวัตถุประสงค์ของการเขียนจดหมาย เนื้อหาของจดหมายจะมีความสำคัญมากกว่าส่วนอื่นๆ ของจดหมาย โดยปกติแล้ว ตัวหรือเนื้อหาจดหมายจะประกอบด้วย 4 ส่วนด้วยกัน

1. Opening คือ ส่วนที่พูดถึงเหตุผลว่าทำไมจึงเขียนจดหมาย
2. Purpose คือ ส่วนที่บอกถึงเป้าหมายที่เขียนจดหมายซึ่งเป็นการจัดหารายละเอียดของสิ่งที่กำลังเขียนว่าที่เขียนมามีเป้าหมายอะไร
3. Action คือ ส่วนที่บอกว่าจะดำเนินการอย่างไรหรือจะทำอะไรเป็นลำดับต่อไป
4. Polite Expression คือ ส่วนที่กล่าวขอบคุณผู้อ่าน

6. Closing คือ คำลงท้ายจดหมายซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือแบบเป็นทางการ (formal) และแบบไม่เป็นทางการ (informal) ถ้าไม่รู้ชื่อผู้รับหรือเมื่อใช้ชื่อสกุลของผู้รับในการทักทาย (greeting) คำลงท้ายจะใช้แบบเป็นทางการหรือแบบ Standard ก็ได้ แต่ถ้าใช้ชื่อแรกของผู้รับในการทักทาย คำลงท้ายจะใช้แบบไม่เป็นทางการ ต่อไปนี้เป็นคำขึ้นต้น (ทักทาย) และคำลงท้าย ทั้ง 3 แบบ

Formal (เป็นทางการ)
คำทักทาย                   คำลงท้าย
Dear Sir or Madam :     Yours very truly,

Very truly yours,
Very sincerely yours,
Very cordially yours,
Sincerely yours,

Very truly yours,Very sincerely yours,Very cordially yours,Sincerely yours,

Standard
คำทักทาย                  คำลงท้าย
Dear Mr.Tom :              Sincerely,
Yours sincerely,
Cordially yours,

Informal (ไม่เป็นทางการ)
คำทักทาย                 คำลงท้าย
Dear Joe,                       Sincerely,
Sincerely yours,
Cordially,
Yours truly,

หมายเหตุ : คำลงท้ายจดหมายนอกจากที่กล่าวแล้วยังมีคำว่า ‘love’ ซึ่งถ้าเป็นผู้หญิงใช้ ก็จะใช้ในการเขียนจดหมายส่วนตัว ถ้าเป็นผู้ชายใช้ก็จะใช้กับเพื่อนหญิงที่สนิทมากๆ หรือใช้กับญาติพี่น้อง คำว่า ‘yours’, ‘Best wishes’ และ ‘All the best’ ถ้าผู้ชายใช้จะใช้คำเหล่านี้ในการเขียนจดหมายส่วนตัว ถ้าเป็นผู้หญิงใช้ก็จะใช้ในการเขียนจดหมายถึงคนที่ตัวเองไม่ได้ชอบพอเป็นพิเศษส่วนคำว่า ‘lots of love’ ใช้ได้ทั้งชายและหญิง เมื่อเขียนจดหมายถึงเพศตรงข้ามที่ตัวเองชอบ (รัก) มากๆ(ชายเขียนถึงชายด้วยกันไม่ค่อยใช้คำนี้เพราะใช้ในเชิงชู้สาว)

7. Signature/Typed name คือ การเซ็นชื่อผู้เขียนที่ท้ายจดหมาย ถ้า จดหมายที่เป็นทางการจะมีชื่อที่พิมพ์และมีลายเซ็นด้วย ส่วนจดหมายส่วนตัวจะมีเพียงลายเซ็นหรือชื่อที่เขียน (ไม่ได้พิมพ์ชื่อ)

8. Envelope คือ การจ่าหน้าซองจดหมายโดยให้เขียนชื่อ นามสกุล และที่อยู่ให้ชัดเจน การจ่าหน้าซองจดหมายจะมี 2 ส่วน คือส่วนที่เป็นชื่อที่อยู่ของผู้รับ และส่วนที่เป็นชื่อที่อยู่ของผู้ส่งซึ่งทั้ง 2 ส่วนคล้ายกับ return address และ inside address

ส่วนต่างๆ ของจดหมาย
Return address

Date

Inside address

Greeting

Body

Closing

Signature

Typed Name

หมายเหตุ : ถ้ามีสิ่งที่ส่งมาด้วยให้ใส่ enclosure ถัดจาก Typed Name

จดหมายสมัครงาน
18/2 Pet-kasem Road
Nong Khaem
Bangkok 10160

March 20, 1998

Mr.Supot Suton
himan Resources Director
Nana Computer Company
19/1 Petburi Road
Rachatewee, Bangkok 10400

Dear Mr.Suton :

I am applying for the position of secretary which was advertised in the Bangkok Post of March 10.
I have enclosed my resume, and I would like to schedule an interview.
I will call you early next week.
I look forward to discussing this position with you.

Sincerely yours,

NIPONE NICK

จดหมายสอบถาม
18/2 Pet-kasem Road
Nong Khaem
Bangkok 10160

January 16, 1998 1

The Personal Manager
South-East Asia University
19/1 Pet – Kasem Road
Nong Khaem, Bangkok 10160

Dear Sir or Madam :

I should be grateful if you would send me information about the regulations for admission to South-East Asia University. Could you also tell me whether the university arranges accommodation for students?

Yours sincerely,

THANAPAN TONGYAI

หมายเหตุ : ถ้ากระดาษเขียนจดหมายมีชื่อที่อยู่ของบริษัทพิมพ์ไว้แล้ว ผู้เขียนไม่ต้องเขียน return address ซํ้าอีกเพียงใส่วันที่ก็พอ

Envelopes คือ ซองจดหมาย ในส่วนนี้จะพูดถึงการจ่าหน้าซองจดหมายการจ่าหน้าซองจดหมาย จะประกอบด้วยเนื้อหา 2 ส่วน คือ ชื่อที่อยู่ของผู้รับจดหมาย และชื่อที่อยู่ของผู้ส่งจดหมาย

ชื่อ-ที่อยู่ของผู้รับ จะประกอบด้วย
Title + First Name (หรือชื่อย่อ) + Last name
Job Title (ตำแหน่งงาน)
Company Name (ชื่อบริษัท)
Street Number + street Name (เลขที่และชื่อถนน)
City (เมือง) + Post Code (รหัสไปรษณีย์)

ชื่อ – ที่อยู่ของผู้ส่ง จะประกอบด้วย
First Name (หรือชื่อย่อ) Last Name
House number + Street
City + Post Code

ตัวอย่างการจ่าหน้าซองจดหมาย
South-East Asia university
19/1 Pet – Kasem Road
Nong Khaem
Bangkok 10160
Mr.Somchai Treetong
Director of Marketing
Sopa Printing Company
128/2 Phiboonsongkram Road
Muang, Nonthaburi 11000

หมายเหตุ :
1. ถ้าเป็นจดหมายที่เป็นทางการการจ่าหน้าซองจะใช้พิมพ์ (พิมพ์ดีดหรือพิมพ์ computer)
2. ถ้าเป็นจดหมายจากหน่วยงานของบริษัทชื่อและที่อยู่ของบริษัทจะพิมพ์ไว้ก่อนแล้ว
3. ถ้าเขียนจดหมายถึงคนที่พักอาศัยอยู่บ้านของคนอื่น (เป็นการพักชั่วคราว) ให้เขียนชื่อผู้รับจดหมายก่อน(ผู้ที่ไปพักอาศัย) แล้วบรรทัดถัดไปให้เขียน C/O(care of) ไว้หน้าชื่อของเจ้าของสถานที่ เช่น ถ้าจะส่งจดหมายไปหาคุณภาณุวัฒน์ ที่ไปพักอยู่กับคุณจำปาเป็นการชั่าคราว จะต้องเขียนจดหมายถึงคุณจำปาเพื่อฝากต่อให้คุณภาณุวัฒน์ โดยเขียนชื่อคุณภาณุวัฒน์ไว้บรรทัดแรกและเขียน C/O + ชื่อคุณจำปา ไว้บรรทัดที่ 2 เช่น

Mr. Panuwat Kanyanok
C/O Mr. Jumpa Dongyen
28/2 Wireless Road
Pathumwan, Bangkok 10330

ที่มา:นเรศ  สุรสิทธิ์
B.A.(English), M.A.(English)

[NEW] “บอกเวลาในภาษาอังกฤษ (Time in English) ” | วิธีเขียนวันที่ ภาษาอังกฤษ – NATAVIGUIDES

Hi guys! สวัสดีค่ะนักเรียนชั้น ป.5 ที่น่ารักทุกคน วันนี้เราจะไปดูวิธีการ “บอกเวลาในภาษาอังกฤษ (Telling Time in English) ” กันค่ะ
ถ้าพร้อมแล้วก็ไปลุยกันเลย

 บทนำ

ในบทเรียนนี้ครูขอยกตัวอย่างการบอกเวลาที่นิยมใช้กันโดยทั่วไปใน 2 รูปแบบ ตามที่มาของ Native English หรือ ภาษาอังกฤษของเจ้าของภาษา นะคะ  ดังตัวอย่างดังต่อไปนี้

  • British English แบบบริติช
  • American English แบบอเมริกัน

โครงสร้างประโยคคำถาม

ประโยคคำถาม เพื่อถามถึงเวลา เช่น

  • ถามเวลาแบบ Direct question:

What time is it right now?

= ตอนนี้เป็นเวลากี่โมงแล้ว

 

เรามักจะเจอคำถามในลักษณะนี้ในสถานการณ์แบบเป็นกันเอง ภาษาที่ใช้จะดูใกล้ชิดสนิทสนมมากกว่า ซึ่งอาจจะเป็นเพื่อนเราที่ถามทาง หรือ คนใกล้ตัว คุณพ่อ คุณแม่ เป็นต้น

 

  • ถามเวลาแบบ Indirect question: Can I know…= ขอทราบ/ถาม หน่อย…

Can you tell me what time it is?
= ขอถามหน่อยว่ากี่โมงแล้ว

Excuse me, can I know what time it is?
= ขอโทษนะ ขอทราบหน่อยว่าเป็นเวลากี่โมงแล้ว

***การถามเวลาในรูปแบบประโยคลักษณะ Indirect questions นี้ ประโยคของเราจะดูเป็น ทางการและสุภาพมากยิ่งข้น

 

บอกเวลาแบบ British English

 

 

ใน British English จะใช้ระบบเวลาแบบ 12 ชั่วโมง โดยจะใช้เลข 1 -12 ตามด้วยคำบอกเวลา a.m. และ p.m. ซึ่งเป็นรูปแบบที่นิยมใช้กันโดยทั่วไปในภาษาอังกฤษนั่นเองค่า

 

  • การใช้ a.m. และ p.m.

a.m. = ante meridiem ใช้กับเวลา หลังเที่ยงคืน จนถึง ก่อนเที่ยงวัน
(00.01 a.m. – 11.59 a.m.)

p.m. = post meridiem ใช้กับเวลาหลังเที่ยงวัน จนถึง ก่อนเที่ยงคืน
(12.00 p.m. – 11.59 p.m.)

 

หากว่าต้องการบอกเวลาเต็มชั่วโมง ให้เติมคำว่า “o’clock” ท้ายเวลา หรือพูด a.m. และ p.m. ตามด้วยเวลาต่างๆ ก็ได้ เช่นกันค่ะ

 

11.00 a.m. = eleven o’clock in the morning

แปลว่า ตอนนี้เป็นเวลาสิบเอ็ดโมงเช้า

05.00 p.m. = five o’clock in the afternoon

แปลว่า ตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงเย็น

 

 

การใช้ to กับเวลาที่กำลังจะมาถึง 

 

 

เวลาที่ผ่านชั่วโมง และเกิน 30 นาทีมาแล้ว ให้บอกนาทีที่เหลือก่อนจะถึงชั่วโมงถัดไป ตามด้วย “to”  และชั่วโมงถัดไป เช่น

 

08.40 p.m. = twenty to nine

แปลว่า อีกยี่สิบนาทีจะถึงเก้านาฬิกาแล้ว

 สำหรับ การบอกเวลาแบบ British English หากนาฬิกาเป็นเวลา 15 นาทีหรือ 45 นาที ให้ใช้คำว่า a quarter และหากเป็น 30 นาที ให้ใช้ half เช่น

 

06.15 a.m. = a quarter past six

07.30 a.m. = a half past thirty

 

การใช้ “past”

 

past เป็นคำคุณศัพท์ เมื่อใช้กับการบอกเวลา จะแปลว่า ผ่าน….มา……แล้ว โดยส่วนมากจะใช้กับเวลาที่ผ่านล่วงเลยมาไม่ถึง 30 นาที เช่น

 

10.20 a.m. = twenty past ten
แปลว่า  ผ่านสิบนาฬิกามามายี่สิบนาทีแล้ว

ถือว่าเป็นการบอกเวลาทางอ้อม เพราะว่าไม่บอกมาตรงๆ มักจะเจอรูปแบบประโยคนี้ในสถานการณ์ปกติ ที่ไม่เร่งรีบ ในชั้นเรียน แต่อาจจะไม่ใช่การถามเวลาก่อนเที่ยงที่น้องๆหิวข้าว เป็นต้น

 

บอกเวลาแบบ American English

 

 

การอ่านเวลาแบบชาวอเมริกันนั้นได้กำหนดวิธีการบอกเวลาในภาษาอังกฤษสไตล์ชิวๆ ไม่ซับซ้อนเท่ากับวิธีการของ
ชาวบริติช
ซึ่ง American English จะมีการใช้ระบบเวลาแบบ 24 ชั่วโมง โดยจะใช้ตั้งแต่ตัวเลข 0 ไปจนถึง ตัวเลข 24 และส่วนใหญ่จะไม่มี a.m. และ p.m.
ให้ยุ่งยาก ตามสไตล์
easy going ซึ่งเป็นลักษณะนิสัยของคนอเมริกันเลยทีเดียว ง่ายๆ ไม่ทำให้ยุ่งยาก

วิธีการบอกเวลาของชาวอเมริกันคือ ให้บอกเลขชั่วโมงก่อนตามด้วยเลขนาที โดยทั่วมักจะในกรณีที่เป็นทางการมากๆ  เช่น

 

เวลา 21.15 น. = twenty-one fifteen

เวลา 08.09* น. = eight O nine 

ขออธิบายเพิ่มเติม:

*ใช้เสียง O อ่านว่า โอ จะใช้ แทนเลข 0 ใน American English

 

นอกจากนี้ยังมีคำวิเศษณ์เพื่อประมาณเวลา อีกด้วย เช่น about หรือ nearly  ซึ่งแปลว่า ประมาณ หรือ เกือบๆ เช่น

 

เวลา 09.05 น. =It’s about nine o’clock (แม้ว่าจะผ่านมาแล้วตั้ง 5 นาทีก็ตาม)

เวลา 10.28 น.  = It’s nearly half past ten (แม้ว่าจะยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ตาม)

 

 

บอกเวลาตอนเที่ยง

 

 

ในเวลาเที่ยงคืนหรือเที่ยงวัน สามารถใช้คำว่า “midnight” หรือ “midday / noon” แทนเลข 12 ได้ เช่น  เวลา 00:00 น. แทนช่วงเวลานี้ ว่า midnight หรือ เวลา 12:00 น. แทนช่วงเวลานี้ว่า midday or noon

ส่วนในการพูดอย่างเป็นทางการ สามารถใช้ “a.m.” หรือ “p.m.” ประกอบได้อยู่เหมือนเดิม
เช่น  เวลา 05:15 น. บอกได้ว่า 

It is five fifteen a.m.

= เป็นเวลา ตีห้า  สิบห้านาที

แต่ถ้าไม่เป็นทางการมาก เช่นบอกเวลาเพื่อนที่อยู่ใกล้ๆกัน
ก็สามารถพูดได้ว่า It is ten fifteen.
(ไม่ต้องบอก a.m. ก็ได้ แต่หากช่วงเวลาที่คุยเป็นกลางวัน เพื่อนก็จะเข้าใจไปโดยปริยายว่า มันคือเวลา สิบโมง สิบนาที )

ในกรณีที่ลืมว่า ควรจะใช้ a.m. หรือ p.m. ดี ให้ใช้วลีบอกเวลา เพ่อให้ผู้ที่เราพูดด้วยรู้ว่าเรากำลังบอกเวลาช่วงไหน โดยใช้ in/at แล้วตามด้วยช่วงเวลา เช่น

in the morning = ช่วงเช้า
at midday = เที่ยงวัน
at midnight = เที่ยงคืน
in the afternoon = ตอนบ่าย
in the evening = ตอนเย็น
at night = ตอนกลางคืน

 

แม้ว่าจะมีความแตกต่างกันอยู่ แต่คนที่เลือกใช้ก็คือตัวเราเอง ครูแนะนำให้ดูบริบทการใช้ให้มากนะคะ เช่นตัวอย่างประโยคด้านล่างนี้นะคะ

 

Situation I: At the train station (สถานการณ์เกิดที่ลานชาลาสถานีรถไฟ)

 

 

Romeo: Excuse me sir, what time is it now?
= ขอโทษนะครับ ตอนนี้เป็นเวลากี่โมงแล้ว

Tom: It’s a half past ten.
= ตอนนี้ผ่านสิบนาฬิกามาครึ่งชั่วโมงแล้วครับ

Rome: Thank you sir. When will the next train arrive?
= ขอบคุณครับ แล้วรถไฟเที่ยวถัดไปจะมากี่โมงครับ

Tom: It will arrive in a minute.
= เดี๋ยวก็มาแล้วครับ

 

Situation II: At NokAcademy School (สถานการณ์เกิดที่โรงเรียน นกอะคาเดมี)

 

Nestie: Jenny, what time is it now?
= เจนนี่ ตอนนี้กี่โมงแล้ว

Jenny: It’s 9 O’ clock. Why did you ask?
= ตอนนี้เก้าโมง ถามทำไม

Nestie: Oh my gosh, we need to go now.
= โอ้ มาย กอด เราต้องไปตอนนี้เลย

Jenny: Why?
= ทำไมล่ะ

Nestie: The class was already begun 10 minutes ago.
= ชั้นเรียนเริ่มเมื่อ 10 นาทีที่แล้ว (เราเข้าชั้นเรียนสาย 10 นาทีแล้ว)

น้องๆนักเรียนทุกคน อย่าลืมทบทวนบทเรียน  เรื่อง การบอกเวลาในภาษาอังกฤษ กับทีชเชอร์กรีซได้ที่วีดีโอด้านล่างนี้นะคะ แล้วเจอกันใหม่ค่า
See you again next time.

+1


คำศัพท์ภาษาอังกฤษ วันจันทร์ถึงวันอาทิตย์ l ศัพท์อังกฤษที่ใช้บ่อย l คำศัพท์ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน


สอนการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษ เรื่อง วันจันทร์อาทิตย์ พร้อมทั้งวิธีออกเสียง เป็นคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่ใช้ในชีวิตประจำวันเหมาะกับคนที่กำลังเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษ

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูเพิ่มเติม

คำศัพท์ภาษาอังกฤษ วันจันทร์ถึงวันอาทิตย์ l ศัพท์อังกฤษที่ใช้บ่อย l คำศัพท์ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน

การเขียนวันที่ภาษาอังกฤษ


การเขียนวันที่ภาษาอังกฤษ

Days of the Week Song | The Singing Walrus


Watch all of our videos ad free with our app (desktop, apple, or android):
https://www.thesingingwalrus.tv/
Only $4.99 USD per month and $44.99 USD for a year!
Our \”Days of the week song\” is an interactive reggaestyle tune that helps children remember all the days of the week in a fun way. Mother Hen leads the children to sing the days of the week in various styles quiet, loud, and fast.
As the song starts, Mr. Crabby greets the children and asks them to listen to Mother Hen sing the first verse. When the second verse starts, Bear, Cat, Pig, and Dog appear to sing along. Mr. Crabby encourages the audience to repeat after Mother Hen.
The third and fourth verse is sung quietly and loud. Last but not least, Bear, Cat, Pig and Dog appear with their instruments, and the whole song is sung really fast!
Enjoy this song in the classroom or at home with your kids! They will have memorized the days of the week in no time!
If you like this video, don’t forget to click the LIKE button 🙂
Buy \u0026 Download this Song (mp3):
iTunes: https://itunes.apple.com/ca/artist/thesingingwalrus/id992755520
Google Play: https://play.google.com/store/music/artist/The_Singing_Walrus?id=Acadfghn7zw3q5i2c6bfr3gmcnu\u0026hl=en
Buy \u0026 Download this video (mp4):
https://sellfy.com/thesingingwalrus
The Singing Walrus creates fun teaching materials, such as kids songs, educational games, nursery rhymes, and kindergarten worksheets (e.g. handwriting worksheets) for parents and teachers. Come and join our community on Facebook, or subscribe to our Youtube Channel!
Facebook: http://www.facebook.com/TheSingingWalrus
Twitter: http://twitter.com/InfoWalrus
Website: http://thesingingwalrus.com
All illustration, animation, music, and voice work produced by The Singing Walrus

Days of the Week Song | The Singing Walrus

P 3 การเขียนวันที่ภาษาอังกฤษ Ordinal Number


P 3 การเขียนวันที่ภาษาอังกฤษ Ordinal Number

วันภาษาอังกฤษ 1 สัปดาห์มี 7 วัน | 7 days of the week | พี่ฟ๊อกกี้สอนคําศัพท์ภาษาอังกฤษ | Foxky Home


7 วันใน 1 สัปดาห์ ( Seven days of the week) มีวันอะไรบ้างเด็กๆรู้กันไหมเอ่ย แล้วภาษาอังกฤษล่ะ มีคำศัพท์ว่าอย่างไรบ้าง FoxkyHome
พี่ฟ๊อกกี้จะมาบอกกันวันอาทิตย์ถึงวันเสาร์เลย ไปดูและอ่านตามกันเลยนะจ๊ะ
ขอบคุณมากค่ะสำหรับการดูวิดีโอนี้และสำหรับการแชร์วิดีโอของพี่ฟ๊อกกี้
Subscribe หรือสมัครสมาชิกเพื่อติดตามช่อง Foxky Home https://goo.gl/gbGcBF
ติดตามช่อง Foxky Home ทาง Fanpage ได้นะจ๊ะ https://www.facebook.com/FoxkyHome
ละครสั้น เล่านิทานโดยพี่ฟ๊อกกี้ Entertainment with Foxky https://goo.gl/pR6Gtn
ท่องเที่ยวสนุกสนานกับฟ๊อกกี้ Travel with Foxky https://goo.gl/d8YkPE
งานประดิษฐ์ง่ายๆกับฟ๊อกกี้ DIY By Foxky https://goo.gl/VGwKtg
สนุกสนานไปในจินตนาการกับพี่ฟ๊อกกี้ imagination Foxky https://goo.gl/PRKcxf
เพลงเด็กอนุบาล ร้องและเต้นเพลงเด็กกับพี่ฟ๊อกกี้ Foxky kids song https://goo.gl/xnJCKz
สอนเด็กอนุบาลสนุกๆกับพี่ฟ๊อกกี้ Learning Foxky https://goo.gl/eZ27ko
รีวิวขนมและของเล่นกับฟ๊อกกี้ Toys \u0026 Candys Foxky https://goo.gl/AGAUjh
ทำอาหารและขนมกับฟ๊อกกี้ Foods Foxky https://goo.gl/iccfdv
ภาษาอีสานฮาๆ ตลกๆ สนุกสนาน ล้อเลียนฮาๆ Joke Foxky Home https://goo.gl/TpFm6Q
อยากให้พี่ฟ๊อกกี้รีวิวอะไร เต้นกับเพลงเด็กเพลงไหน อยากให้มีตัวการ์ตูนเรื่องไหนบอกพี่ฟ๊อกได้นะจ๊ะ เดี๋ยวพี่ฟ๊อกจัดให้จ้า

วันภาษาอังกฤษ 1 สัปดาห์มี 7 วัน | 7 days of the week | พี่ฟ๊อกกี้สอนคําศัพท์ภาษาอังกฤษ | Foxky Home

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูวิธีอื่นๆLEARN FOREIGN LANGUAGE

ขอบคุณมากสำหรับการดูหัวข้อโพสต์ วิธีเขียนวันที่ ภาษาอังกฤษ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *