Skip to content
Home » [NEW] Work & Travel ประเทศสหรัฐอเมริกา เตรียมพร้อมก่อนไปกันเถอะ | ค่าใช้จ่าย work and travel – NATAVIGUIDES

[NEW] Work & Travel ประเทศสหรัฐอเมริกา เตรียมพร้อมก่อนไปกันเถอะ | ค่าใช้จ่าย work and travel – NATAVIGUIDES

ค่าใช้จ่าย work and travel: นี่คือโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้

Table of Contents

Work & Travel ประเทศสหรัฐอเมริกา เตรียมพร้อมก่อนไปกันเถอะ

Published by on

ประสบการณ์ Work & Travel ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา / การเตรียมตัวก่อนไปและการปรับตัวในการใช้ชีวิตที่อยู่ห่างบ้านอันไกลโพ้นเกือบ 4 เดือนครั้งแรก คุ้มค่ากว่านี้ ไม่มีอีกแล้ว

สวัสดี…“กะล็อคก็อกเกรซ” เองจ้า ก่อนจะมาเป็น  “เด็กเวิร์ค” ก็เป็นเด็กทั่วไปที่เมื่อเรียนจบแล้ว อยากออกไปหาประสบการณ์ชีวิตสักหน่อย จึงอยากมาแชร์ อยากมาคุยและเล่าประสบการณ์ให้ใครที่กำลังสนใจไป ไปเวิร์ค (Work and Travel) ประเทศสหรัฐอเมริกากันค่า

คุณสมบัติของคนที่จะไป work & travel ได้ คือ

  1. ต้องมีอายุไม่เกิน 28ปี และมีสถานภาพเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย ภาคปกติ หากกำลังจะจบปี 4 ต้องสมัครร่วมโครงการตั้งแต่เทอม1 หรือตอนยังมีสถานภาพเป็นนักศึกษา นักศึกษาปริญญาโทก็สมัครได้จ้า
  2. หากอายุเกินหรือเรียนจบแล้ว ถ้าอยากไปจริงๆ ลองดู Internship/Trainee Program เอาก็ดีจ้า

ช่วงเลือก Agent

ก่อนไปเวิร์คหาข้อมูลเยอะมาก ยิ่งทำให้ทำอะไรๆง่ายขึ้น และการเลือก Agent สำคัญมาก!! หาแบบที่เค้าไม่เท ไม่ฟาดเรา คนชอบพูดว่าเลือกงานก่อนค่อยเลือก Agent แต่เราคิดว่าควรเลือกควบคู่กันไป ในไทยมี Agent ให้เลือกเยอะมาก แต่ละ Agent ก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป เลือกเอาตามที่ถูกใจแต่ละคนเลย แล้วอย่าลืมอ่านรีวิว Agent เยอะๆว่าเคยเทเคยฟาดใครรึเปล่า

ซึ่งเราก็ได้ตกลงปลงใจไปกับ OEG Overseas Ed Group และเลือกทำงานสวนน้ำ Noah’s Ark ที่เมือง Wisconsin Dell 

.

  • ข้อดี ของ Agent นี้คือ ดูแลดี ไม่เทแน่นอน น่าเชื่อถือ ใส่ใจรายละเอียด ตามเราทุกย่างก้าว
  • ข้อเสีย คือ เลือกงานยากมาก ยากยิ่งกว่าแย่งกันลงทะเบียนเรียนอีก

.

ก่อนวันเดินทาง

ก่อนจะถึงวันเดินทางไป Work & Travel ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่สำคัญเลยคือการทำ VISA ประเภท J1 เป็น VISA ระยะสั้นสำหรับโครงการแลกเปลี่ยนต่างๆ  เรื่องเอกสารต่างๆ ทาง Agent จะแจ้งรายละเอียดและมีวันนัดหมายวันสัมภาษณ์ ซึ่งvisaก็ผ่านได้อย่างสบายๆ ไม่มีปัญหาใดๆ คำถามตอนสัมภาษณ์ก็มักจะไม่ยากอะไรเช่น ถามว่าไปทำงานอะไร เมืองไหน สิทธิของเรามีอะไรบ้าง กลับเมื่อไหร่ กลับมาแล้วจะทำอะไร

เราเลือกทำ VISA ก่อนที่จะจองตั๋วเครื่องบิน เพราะกังวลเผื่อ VISA ไม่ผ่านค่ะ แต่เมื่อ VISA ผ่านแล้ว พร้อมแล้วก็เตรียมหาตั๋วเครื่องบินกันต่อ

ซึ่งตั๋วเครื่องบินเราก็เลือกจองกับ DD Plus Aviation เพราะดูราคาที่ได้มาแล้วเท่ากับราคาที่นั่งหาเองเลย มีปัญหาอะไรพี่เค้าก็ช่วยได้ จะเลื่อนตั๋วก็ถามได้ เปลี่ยนรูทไปมาพี่เค้าก็ไม่ว่าเลย บริการดีสุดๆถูกใจ ตั๋วเครื่องบินเราได้มาในราคา 38,000 บาท ใครเตรียมตัวก่อน หาราคาถูกกว่านี้ได้แน่นอน แต่เนื่องจากเราจองกระชั้นชิด + ขึ้นลงต่างสนามบินและขากลับแวะที่ญี่ปุ่น 1 อาทิตย์เลยได้มาในราคานี้

.

3 สิ่งที่ควรเตรียมพร้อมก่อนเดินทางเดินทางไป Work & travel

1. ซิมการ์ดแบบไหนที่คู่ควร (Sim Card)

– ช่วงแรกที่ไป

เราซื้อซิมของ AIS Sim2FLY จากไทยไปใช้ที่อเมริกา เนื่องจากถึงช่วงบ่ายไม่อยากวุ่นวายเสียเวลาหาที่ซื้อ ราคาอยู่ที่ 899 บาท ใช้อินเทอร์เน็ตด้วยความเร็วสูงสุดที่ปริมาณ 4GB หลังใช้งานครบ ความเร็วสูงสุดจะอยู่ที่ 128 Kbps ซิมใช้ได้เป็นเวลา 15 วันนับแต่ตอนเปิดใช้

USA_Simcard_002

ซื้อได้ที่ AIS online store หรือ AIS Shop ทุกสาขาและต้องลงทะเบียนซิมก่อนเปิดใช้ แนะนำไปซื้อที่ Shop เค้าทำให้เสร็จ อย่าลืมเอาบัตรประชาชนไปด้วยน้า

USA_Simcard_001

หลังจากลองได้ใช้งานจริง อินเตอร์เน็ตเร็วใช้ได้ไม่มีปัญหา แต่ตอนเปิด Google maps นำทางบางช่วงมันช้า ก็ใช้วิธีถามทางให้แน่ใจ แต่ยังถือว่าใช้นำทางได้อยู่ ส่วนเล่นเฟส, เล่นไลน์เบาๆก็ลื่นอยู่แล้ว ถ้าจะโทรก็ต้องเสียเงินเพิ่มนะ ส่วนตัวเราไม่มีความจำเป็นต้องโทรอยู่แล้ว เพราะตอนเรียก Taxi ให้โรงแรมหรือคนในพื้นที่ช่วยโทรได้

.

– เมื่อถึงอเมริกาแล้ว

หลายๆคนอาจมองหาาซิมของอเมริกาที่สามารถใช้โทร ใช้ติดต่อเพื่อน หรือเล่นอินเตอร์เน็ต ซึ่งโทรศัพท์ส่วนมากของไทยใช้ระบบ GSM ระบบนี้จะมีค่ายใหญ่ๆอย่าง AT&T กับ T-Mobile ที่คนไทยใช้กันค่อนข้างเยอะ (มีริวิวกันเยอะแล้วลองหาดูได้) ทั้งสองตัวนี้จะมีการคิดราคาซิมอยู่ที่ 10 – 25$ + ค่า Plan ที่เราจะใช้และค่าภาษี ใช้น้อยใช้เยอะก็จ่ายตามราคาไป ส่วนมากเพื่อนๆเราใช้เดือนละ 45$ เป็น 4G Unlimited สามารถหาซื้อได้ง่ายตามร้านสะดวกซื้อทั่วไปหรือที่อื่นๆ อินเตอร์เน็ตค่อนข้างเร็วใช้ได้ ไม่มีปัญหาใดๆ

บางคนอาจเห็น Straight Talk เป็น Plan หาซื้อง่าย ราคาที่เห็นใช้กันเยอะจะอยู่ที่ 45$ ต่อเดือน + ซิม + ภาษี ซื้อได้จาก Wallmart เป็นแบบกระดาษแข็งบอกราคา Plan การใช้งานไม่มีปัญหาใดๆและอินเตอร์เน็ตเร็วเช่นกัน

USA_Simcard_005

ส่วนอีกตัวเป็นซิมที่เราใช้ อยากแนะนำเพราะคนไม่ค่อยรู้จัก มีราคาสำหรับคนต้องการประหยัด!! ที่ไม่ใช้เยอะ, ที่พักมี Wi-fi ให้เล่น รอซิมมาส่งที่ที่พักได้ เห็นว่าส่งมาไทยก็ได้นะ เป็นซิมสำหรับ J1 โดยเฉพาะ จุดเด่นของเจ้านี้คือ *ซิมฟรี* ไม่มีค่าใช้จ่ายจ้ะ ** สามารถสั่งซื้อได้จาก >> https://j1simcards.com

สั่งฟรี ส่งฟรี จ่ายตอน Active เท่านั้นค่ะ 

มี 2 Plan ให้เลือก
1. 25$/เดือน ใช้ 4G ได้ 2GB หลังจากนั้น 128 kbps
2. 45$/เดือน เป็น Unlimited 4G
* ทั้งสองแพลนโทรและ SMS ได้ในอเมริกาไม่จำกัด
* ถ้าใช้แค่ 1 เดือนจะโดนคิดเพิ่ม10$
* เพิ่ม 2$ ได้โทรต่างประเทศไม่อั้น

จากที่ใช้มา 6 รัฐ ไม่มีปัญหาใดๆและอินเตอร์เน็ตเร็ว เราเหมือนจะไม่โดนเสียภาษีเพิ่ม อาจเพราะใช้แค่เดือนเดียวรึเปล่าก็ไม่แน่ใจ

USA_Simcard_003

รอซิมหลังจากสั่งประมาณ 3-7 วัน พอได้ซิมเสร็จแล้ว ให้เข้าไปกด Activate ซิมในเว็ปเดิม ง่ายมาก ใส่ชื่อ เลือก Plan ที่ต้องการ เลือกวันที่ต้องการเริ่มใช้บริการ แล้วก็กดจ่ายเงิน เสร็จแล้วรอ SMS ใช้งานได้เลย เราใช้แค่แบบ 25$ เดือนเดียวเฉพาะช่วงเที่ยว เพราะทำงานเอาโทรศัพท์ไปไม่ได้ ที่พักก็มี Wi-fi เมืองเล็กๆไปไหนไปพร้อมเพื่อน

USA_Simcard_004

ลองใช้กับ Google maps ก็นำทางได้ตลอดไม่ติดขัด จนวันกลับความเร็วก็ยังไม่หมด ใช้แค่ตอนนำทางกับเล่นไลน์ อยู่ห้องใช้ Wi-fi ของโรงแรมตลอด มีช่วงช้านิดหน่อยแต่เช็คกับของเพื่อนที่เป็นเครือข่ายอื่นของเพื่อนก็ช้า เป็นอีกหนึ่งทางเลือกเนอะ สำหรับคนประหยัดเอาไว้ไปเที่ยวจ้า ?

.

2. กระเป๋าเดินทางนะ ไม่ใช่กระเป๋าโดเรม่อน (Luggage)

การจัดกระเป๋า ขึ้นอยู่กับความต้องการส่วนบุคคล สำหรับคนที่แวะเที่ยวขากลับ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี ลากกระเป๋าใบใหญ่สองใบคงไม่สนุกใช่ม้าาา แล้วสำหรับคนที่เที่ยวอเมริกาหลายๆรัฐ กระเป๋าเยอะก็ลำบากมากๆเช่นกัน แนะนำงอกกระเป๋าวันสุดท้ายของการเดินทางเลย เพราะรถเมล์ รถไฟฟ้า เอากระเป๋าขึ้นไปก็ไม่สบายหรอก แต่ใคร Road Trip หรือพอมีเงินนั่งTaxi ก็ตามสะดวกกันเลย

สำหรับตัวเราเอง ด้วยความที่เที่ยวหลายรัฐแบบใช้รถสาธารณะ แถมยังแวะญี่ปุ่นอีกด้วย เราใช้กระเป๋าเพียงแค่ 24″ และ Carry on ใบที่สามารถวางบนกระเป๋าลากได้ + กระเป๋าเป้สะพายหลังใส่ของเบาๆจ้า ถามว่าทำไมเอาไปใบเล็กได้ ของข้างในก็มีแค่…

ครึ่งนึงของกระเป๋ามีมาม่า/ ข้าว Roza/ กราโนลา/ มาม่าเกาหลี/ ผัดหมี่โคราช 555/ อาหารสำเร็จรูปปุ้มปุ้ย(อร่อยดีนะ ถึงเครื่องสุดแล้ว)/ โจ๊กซอง/ ผงทำกับข้าว/ พริกไทย (ที่นู่นไม่หอมเท่าบ้านเราอะ)/ น้ำจิ้มสุกี้ (เอาไปก็ไม่ค่อยกิน) ทาคูมิ ดีงามมากๆ

แต่ที่นู่นมีเครื่องปรุงราคาพอๆกับบ้านเรา คิคโคแมนงี้ แล้วก็ยี่ห้ออื่นๆ ที่เอาของกินไปเยอะเพราะรู้ตัวเองว่าต้องประหยัด สำหรับใครที่ไม่ติดอาหารไทยหรือไม่ต้องการประหยัด ของกินไม่ต้องเอาไปเยอะแบบเราก็ได้ มาม่าถูกๆที่นู่นก็มีแต่เราชอบมาม่าไทยไง 55555

ส่วนอีกครึ่งที่เหลือของกระเป๋า เอาใส่เสื้อผ้าไปแค่ 3-5 ตัวเท่านั้น ที่ทำงานมีชุดยูนิฟอร์ม ทำงาน 4 – 6 วัน แล้วเสื้อไปเที่ยวยังไงก็มีซื้อบ้างอยู่แล้ว เพื่อนเราเอาไปเยอะมาก!! สุดท้ายต้องทิ้งออกไปเยอะเพราะซื้อเพิ่มเพียบ

ปลอกหมอนเอาไป 2 ใบ เผื่อเปลี่ยน ชุดเครื่องนอนที่พักมีให้หมด, ยาต่างๆ หนังยางรัดกับข้าวนิดหน่อย ไม้แขวนเสื้อเพราะที่นั่นมีให้แค่ 3 อันกะใช้แล้วทิ้งได้เลย สลิปเปอร์ที่เอาไปก็ไม่ใช้ หัวแปลงไฟไม่ได้ใช้ เอกสารที่จำเป็น แล้วก็ของเล็กน้อยของจำเป็นอื่นๆตามแต่ใครต้องใช้เนอะ

เราแนะนำใช้กระเป๋าใบเดียว ขนาด 28″ ขึ้นไป เพราะถ้ามีสองใบค่อนข้างลำบากจริงๆ ส่วนการงอกกระเป๋า พยายามงอกตอนสุดท้าย กระเป๋าเราเล็กก็จริงแต่ก็ใส่กระเป๋าของฝากได้ 6-7 ใบ เอาเสื้อผ้ายัดในกระเป๋าเพื่อไม่ให้เสียทรงแถมประหยัดเนื้อที่ ใส่รองเท้าได้อีก 3 คู่ แล้วก็อื่นๆอีกพอประมาณ

3. จองที่พักระหว่างแวะในเมืองใหญ่ก่อนไปทำงาน หรือตอนไปเที่ยว เน้นความคุ้มค่า (Hotel)

การจองที่พัก ให้ดูที่พักที่สามารถยกเลิกการจองได้เพราะอาจมีเหตุสุดวิสัยเกิดขึ้นได้เสมอ หากเจอราคาที่ถูกกว่าก็ยังยกเลิกและเปลี่ยนที่พักได้ ระยะเวลาการจองให้เราจองแต่เนิ่นๆ จะมีที่พักที่ถูกและดีเหลืออยู่ มีตัวเลือกให้เรามากกว่า ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับสถานการณ์ด้วย หลายคนอยากได้ที่พักดีๆ ก็ต้องขึ้นอยู่กับ Budget ถ้าอยากได้ถูกมากๆ แต่อยู่สบายมากมันก็หาลำบากจริงๆ แต่ไม่ใช่ว่าหาไม่ได้ ราคาโรงแรมจะไม่แน่นอน มีช่วงถูก-แพง ช่วงที่เราหาจอง จำนวนคน ต้องลองหาหลายๆที่และเปรียบเทียบกัน ส่วน Hostel คิดราคาเป็นเตียง/คืน คนจะไปเยอะไปน้อยก็ราคาเท่าเดิม แนะนำให้เปรียบเทียบกับโรงแรมก่อน เลือกที่พักทำเลดีก็เหมือนประหยัดค่ารถไปในตัว ไม่ต้องเสียหลายต่อ ไม่ต้องเสียเวลา ประหยัดแรงได้อีกด้วย

.

– Chicago : แนะนำให้เลือกนอนใกล้สถานี cta และที่เที่ยว จะทำให้เดินทางสะดวก

ขาไปเรานอนละแวกตึก Trump ชื่อโรงแรม “Hampton inn” เป็นห้องสำหรับ 4 คน แต่นอนแค่ 3 คน ราคาคนละ 1,200฿/คืน โรงแรมมีอาหารเช้าดีมากๆ มีนม, คอนเฟลก, แพนเค้ก มีเยอะมากสไตล์ American Breakfast หาเจอจากการ Search หาที่พักแถว Chicago Bean

ส่วนขากลับเราให้เพื่อนเราจอง Hostel ไปกัน 9 คน เสียไป 46$ หรือประมาณ 1,500฿/คน/คืน เป็นห้องสำหรับ 5 คน กับ 4 คน อยู่แถวๆสถานี cta Damen เดินไกลกว่าจะถึงที่พัก แถมต้องยกกระเป๋าไปชั้น 2 ขึ้นบันไดสูงมาก!!

ก่อนจองจึงต้องดูรีวิวดูข้อมูลให้ดี ที่เลือกที่นี่เพราะถูกและจองช้าด้วยไม่มีตัวเลือกมาก

.

– Las Vegas : แนะนำให้เลือกหานอนตรงถนน Strips ถนนที่เรียงรายโรงแรมเอาไว้เล่น casino

เรานอน “Motel 8 Las Vegas” ตรงข้าม Mandalay Bay ไปกัน 7 คนเลยเลือกนอนห้องสำหรับ 4 คนสองห้อง ค่าโรงแรม 27$ หรือเฉลี่ย 880฿/คน/คืน นอนแบบ.. ไม่อยากจะพูดว่ามีไว้แค่นอน ห้องน้ำเก่าตัวห้องเก่า มีกลิ่นพรมบ้าง แต่เตียงดีห้องกว้าง มันเป็นห้องไพรเวท เดินทางสะดวก

ก่อนนอนต้องแวะเล่นที่ Mandalay Bay ทุกคืน สำหรับเราจึงถือว่าโอเคเพราะราคาถูกมาก ตอนเจอแว้บแรกนึกถึงหนังฝรั่งที่มีมาเฟียจีนสู้กันอ่ะแล้วเป็นที่พักแบบมาหลบตอนบาดเจ็บ 5555 สรุปแล้วที่ Las Vegas นอนที่ไหนก็ได้ในถนน Strips มีรถ Bus วิ่งตลอดทั้งสายเลยสะดวกมากๆ

.

3. Los Angeles : แนะนำให้พักละแวก Hollywood เพราะถ้านอนใน Downtown อันตราย Homeless เยอะ ดูน่ากลัว ~0~

เรานอนพักที่ “Hollywood Celebrity Suite” เป็น Condo เปิดให้เช่ารายวัน ค่าที่พัก 39$ หรือเฉลี่ย 1,270฿ /คน/คืน ได้ที่พักนี้มาคือโชคดีมาก มีครัว อุปกรณ์ครบ มีเครื่องซัก อบ ผ้า และพื้นที่กว้างขวางมากๆ พักกัน 7 คน ที่ยังเหลือๆ มีห้องนั่งเล่น ชอบมาก ดีที่สุดที่ได้พักมา ถ้ามากันน้อยคนคงไม่ได้แบบนี้

.

4. San Francisco

แนะนำให้เลือกแถว Union Square โลดดด ! เพราะเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งอัน เป็นดง Shopping ดงที่ต่อรถสาธารณะกระจายไปทั่ว ข้อเสีย คือคนเยอะไปหน่อยหลายคนบอกว่าอันตราย แต่มีเพื่อนเราไปอีกดงนึงเงียบๆ แล้ว Homeless ทั้งถนน ต้องเดินผ่านเพื่อไปส่งเพื่อนน่ากลัวมากกว่าอีก อีกอย่างที่นี่มีถนนมีซอยที่ควรระวังและน่ากลัว มีคนท้องถิ่นบอกไว้ว่าอย่าเดินไป คือซอยที่เลย San Francisco International Hostel ไปนิดนึงที่เป็น Hostel ถัดจาก Hi San Francisco เพราะงั้นการเลือกที่พักก็ต้องดูย่านดีๆ ที่พักที่นี่ราคาสูงมากๆแทบทุกที่ ใครจะจองก็ต้องทำใจเพราะราคาค่อนข้างสูงแถมยังได้ที่พักแบบไม่ได้ดีเท่าไหร่ด้วยเพราะเมืองนี้ค่าครองชีพสูงจริงจัง

เราพักที่ “San Francisco International Hostel” ราคา 47$ หรือเฉลี่ย 1,530฿/คน/คืน ที่พักก็พอนอนได้ ที่นอนเป็นเตียงสองชั้นดูบอบบาง ไม่มีแอร์แต่หนาวต้องนอนห่มผ้า ห้องแคบ แทบจะไม่มีที่วางกระเป๋า Staff น่ารักมาก เราไม่มีเศษเงินกดน้ำในตู้เค้าก็ให้มาเลย มีบริการรถตู้ไปถึงสนามบิน คุ้มตรงไม่ต้องลากกระเป๋าเอง มีอีกที่พักแนะนำคือ “Hi San Francisco” ห้องดีเตียงดีไม่บอบบาง สะอาดสะอ้าน ทุกอย่างดีแต่แพงกว่าแค่นั้นเอง

.

– New York

มีบ้านคนไทยให้เลือกพักในราคาถูกสำหรับคนไทยเท่านั้น เราเหลือ 3 คน ได้ที่พักบ้านคนไทยมาคนละ 30$ หรือเฉลี่ย 975B/คน/คืน ที่พักคนไทยที่นิวยอคมีเยอะแยะมาก ลองหาดูกันได้ ราคาพอๆกันเลย

.

สำหรับใครที่จะจองที่พักผ่าน Booking.com สมัครผ่าน Link นี้ ได้เงินคืน 550 บาทหลังไปเข้าพักครั้งแรกน้า >>> https://booking.com/s/38_6/jeraon40

.

บินไป America กันเถอะ

เราเดินทางจาก กรุงเทพ (BKK) – ชิคาโก (ORD) ไปกับสายการบิน American Airlines ก่อนเดินทางอ่านรีวิวรัวๆเลย มีทั้งดีบ้างแย่บ้าง แต่จากการเดินทางมาแล้ว รู้สึกโอเคมากกกก สมราคา อาหารอร่อย กิน..กิน..กิน..ตลอดดเวลา ไม่มีรู้สึกหิวเลย

จากสนามบินสุวรรณภูมิไปต่อเครื่องที่สนามบินนาริตะ เราได้นั่ง Japan Airline ภายใต้ American Airline ที่นั่งสบาย กว้าง ยืดขาได้

แล้วจากสนามบินนาริตะไปยังสนามบินโอแฮร์ เราได้นั่ง American Airline ที่นั่งแคบกว่า Japan Airline นิดหน่อยเพราะมีที่นั่งเยอะกว่า ใครตัวสูงอาจยืดขาลำบาก แต่คนตัวเล็กๆแบบเราก็ยังคงยืดขาได้สบาย 5555555

เวลาไปของก็อป ไม่ว่าเกรด เอ บี ซี อย่าไปใส่ไปนา มีเพื่อนโดนตรวจ พลิกซ้ายพลิกขวา ดีนะของแท้ 55555555 /ขำหน้าซีดเลย พอถึงอเมริกาเจอ ตม. ก็ไม่ถามอะไรมาก สบายๆ ถามแค่มาทำอะไร ทำงานที่ไหน ตำแหน่งอะไร แล้วก็ให้ผ่าน

ส่วน Pocket money ให้พกมาไม่ต่ำกว่า 30k นะคะ เห็นหลายคนสงสัย มีไว้อุ่นใจค่ะ 

.

ถึง

อเมริกา

แล้ว..วิธีไปรัฐเล็กๆที่อเมริกา

การเดินทางไปที่ทำงานแต่ละคน หลายที่ทำงานมักจะอยู่ในรัฐเล็กๆ การเดินทางลงสนามบินใหญ่ในอเมริกาแล้วต่อรถไฟหรือรถบัสอาจถูกกว่านั่งเครื่องไปลงรัฐของที่ทำงานนั้นเลย ก่อนไปลองเปรียบเทียบราคาของรัฐที่ตัวเองอยู่ดู

บินไปอเมริกา ใช้เวลาบินร่วมเกือบ 20 ชั่วโมง!! และแล้วเราก็ถึง…แต่ไม่สุด เพราะปลายทางเรายังต้องหาวิธีไปรัฐ Wisconsin Dell เมืองที่เราจะทำทำงานนั่นเอง 

โดยการเดินทางนั้นเราจะมาแนะนำวิธีการเดินทางไปยังเมืองหรือรัฐอื่นโดย รถไฟ “Amtrak” คือรถไฟวิ่งผ่านหลายรัฐในอเมริกา

USA_Wis_001

วิธีจอง Amtrak เข้าเว็ปไซต์นี้เลย > Amtrak Tickets ยิ่งจองเร็วจะยิ่งถูก จองจากที่ไทยใช้บัตรเดบิตของไทยได้เลย ใครข้อเข่าไม่เสื่อมแนะนำนั่ง upper นะฮะ วิวดี วิวงาม ที่นั่งสบาย นิ่มมากๆ ส่วน lower จะติดห้องน้ำ ที่นั่งในรถไฟสบายกว่าบนเครื่องบินอีกค่าาา ?

USA_CA_041

สถานี Amtrak ของที่ชิคาโก จะอยู่ที่ Union Station ใน ชิคาโก (Chicago)

วิธีไป: เริ่มต้นนั่งรถไฟสายสีฟ้าไปลงสถานี Clinton แล้วก็เดินตามกูเกิลแมปส์อีกประมาณ 8 นาทีถึงจะถึง Union station

USA_CA_001USA_CA_010USA_CA_008

ย้ำแล้วนะ !! ว่าเอากระเป๋ามากันใบเดียวเถอะ !!! พื้นลากยากมาก!! ลากมาแล้วแถมต้องยกขึ้นบันไดด้วย

Amtrak อนุญาตให้เอากระเป๋าCarry onขึ้นฟรี: 12กิโล 2ใบ ขนาด 14x11x7นิ้ว กับ 23กิโล 2 ใบ ขนาด 28x22x14นิ้ว และยังสามารถโหลดกระเป๋าฟรี2ใบ น้ำหนัก 23 กิโล ขนาด 75 linear inches(กว้างxยาวxสูง) มากกว่านั้นต้องเสียตังโหลด20$นาจา

USA_CA_007

ได้นั่งรถไฟสักพักรถไฟก็ออก พอใกล้จะถึงที่ต่างๆเจ้าหน้าที่ก็จะประกาศบอก ฟังง่ายเพราะเป็นชื่อสถานที่ป้ายที่ชานชลา เย้ ?ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ

USA_Wis_013

ตู้ทานอาหารบนรถไฟ สวยมั้ยยย? มองวิวกันไป บนตู้ธรรมดาก็กว้างขวางสบายมาก นอนเอนได้เยอะเลย ที่กว้างมาก แต่ไม่ได้ถ่ายมาเกรงใจคนอื้นน

รีวิวงานสวนสนุกสวนน้ำสไตล์

USA_Wis_039

งานสวนสนุก สวนน้ำ ก็สนุกจริงๆ มีหลายตำแหน่งให้เลือกทำ ส่วนเราทำอยู่ในส่วน Food มีหลายร้านเลยในสวนน้ำของเรา ได้เปลี่ยนร้านไปเรื่อยๆ บางวันขายไอติม บางวันขายพิซซ่า บางวันขายเบอเกอร์ บางวันเป็นแคชเชียร์ คือได้ทำเยอะมากสนุกมาก เพื่อนก็ดี แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่าอย่าหวังเรื่องชั่วโมงการทำงาน อันนี้คือเรื่องเศร้าเพราะพวกสวนสนุก สวนน้ำ วันไหนอากาศไม่ดี ไล่กลับบ้านหมด ได้เงินน้อย เบี้ยน้อยหอยน้อย ต้องอยู่กันอย่างประหยัด ยิ่งถ้าเมืองไหนไม่มีงาน2แบบเราแล้ว แล้วชั่วโมงน้อยแบบนี้ คือทรหดมาก เกือบไม่มีเงินไปเที่ยวแล้วแหนะ

วิถีชีวิตใน Wisconsin Dells 3 เดือนที่น่าจดจำ

USA_Wis_002

มาถึงแล้วจ้า “Wisconsin Dells” นั่งเพลินๆ จากชิคาโก ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง แดดและอากาศดีมากๆเลย

USA_Wis_004USA_Wis_003

ภายในสถานีรถไฟ ดูเก่าแก่ คลาสสิคดี

USA_Wis_015

Taxi ที่นี่ค่ะ ที่นี่ไม่มีรถสาธารณะ ต้องเหมาTaxiขั้นต่ำ7$ วิธีเรียกคือต้องโทรเอาอย่างเดียวไม่มีโบกข้างทาง ถ้าคนเยอะของเยอะก็จะได้Taxiคันใหญ่หน่อย

USA_Wis_019

เส้นทางไปยังที่พัก ที่พักราคา45$ต่ออาทิตย์ ที่ถูกเพราะที่ทำงานจ่ายให้เกือบครึ่งแหนะ

USA_Wis_037

วันไหนมีงานที่ที่พักก็ได้กินของฟรี ดี๊ดี S’moresอร่อยมาก

USA_Wis_034

บรรยากาศเหงาๆงามค่ำคืน ยิ่งวันไหนได้ชั่วโมงงานน้อยยิ่งเหงา

USA_Wis_005

ว่างๆก็เหมาแท็กซี่ออกมา ซื้อเสบียงตุนไว้ค่ะ ขอบอกว่าที่นี่ไอติมทั้งถูกทั้งอร่อย

USA_Wis_017

ออกมาหาอะไรกินบ้าง KFC ที่นี่เจ๋งสุดๆเลย ซอสฟรีหยิบกลับบ้านไปเพียบ55555

USA_Wis_022

เงินเข้าปุ้บ ก็ออกมาช็อปปิ้งที่ Outlet จ้า เช้าเศรษฐีเย็นยาจก

USA_Wis_006

ปั่นจักรยานมานั่งเล่นที่สวนสาธารณะ อู้หูว ได้ฟีลอเมริกันของแท้ 

USA_Wis_008

ในเมืองเหมาTaxiก็แพง ซื้อจักรยานมืองสองปั่นไปไหนมาไหนก็คุ้มและสะดวกกว่าในบางครั้ง แถมก่อนกลับเอาไปขายได้เงินคืนมาอีก5$ด้วยแหละ

USA_Wis_009

Day off ก็ออกมาเที่ยวชิวๆ Dells จะมีบัตรเหมาเข้าที่เที่ยวราคา15$ เข้าได้หลายที่เลย สนุกและคุ้มสุดๆ

USA_Wis_011

วันไหนๆเป็นวันสำคัญก็จะมีแสดงโชว์ในตัวเมือง ตื่นตาตื่นใจมาก

USA_Wis_018  บรรยากาศดีมากๆ ฟ้าสวย มองอะไรก็เข้าธีมUSA_Wis_020

ร้านช็อปปิ้งเสื้อผ้า เมืองไหนมีหลายร้านก็เดินเพลินๆอะ

USA_Wis_041

เข้าสวนสัตว์ก็ตื่นเต้น เจอสัตว์แปลกๆเยอะเลย

USA_Wis_021 USA_Wis_023 USA_Wis_024 วันหยุดออกมาเดินเล่นใกล้ๆก็บรรยากาศดีUSA_Wis_025 USA_Wis_026 USA_Wis_027 Wisconsin Dells เมืองแห่งสวนน้ำ มีแต่สวนน้ำทั้งเมืองUSA_Wis_028

ไอติมอร่อยมาก แดรี่ควีนดีกว่าที่ไทยมากๆ ต้องลอง

USA_Wis_029นอกจาก Wisconsin Dells จะเป็นเมืองแห่งสวนน้ำแล้ว เมืองนี้ยังโด่งดังเรื่องชีส เพราะฉะนั้นห้ามพลาดผลิตภัณฑ์ที่ทำจากชีส เช่น ชีสเคิร์ท อร่อยมากกกกUSA_Wis_030Shakeก็อร่อย ส่วนมากที่อเมริกามักจะทานเนื้อกัน ถ้าเบอเกอร์ไม่ระบุว่าทำมาจากอะไรคือทำมาจากเนื้อวัวเจ้าค่าUSA_Wis_031ถ้าเข้าร้านอาหารที่อเมริกา ขอบอกว่าแพงกว่าทำทานเองเยอะ และอย่าลืมให้ทิปส์พนักงานทุกครั้งด้วยนะคะ ยกเว้นร้านFast food หรือ Take home ไม่ให้ก็ยังพอได้ค่าUSA_Wis_033 USA_Wis_035

ถ้ามีโอกาส อย่าพลาดไอติม Dippin dots นะคะ ลองแล้วจะรักเลยUSA_Wis_038

เที่ยว Madison ฟรีกับองค์กร Spirit

Agent ทางฝั่งอเมริกาที่ดูแลเราคือ Spirit เป็น Agent ที่ดูแลเด็กๆดีเลยแหละ แถมวันดีคืนดี มีพาไปเที่ยวเมืองใกล้ๆฟรีด้วยยยย  และเมืองที่เราได้ไปคือMadisonนั่นเอง

ที่แรก Madison state capitol  USA_Madison_005 USA_Madison_003

ภายในช่างงดงาม ตระการตา สวยเกินบรรยาย

USA_Madison_009USA_Madison_001

ด้านบนมองเห็นวิวแม่น้ำด้วย

USA_Madison_002

University of wisconsin madison

มหาวิทยาลัยที่บรรยากาศดีมาก โรแมนติกมากๆ น่ามาเรียนสุดๆ แต่ค่าเทอมแพงเอาการ

USA_Madison_007

เดินชมเมือง Madison

เมืองอะไรทั้งสวยทั้งบรรยากาศดี อยากมาเที่ยวอีกจริงๆ

USA_Madison_008 USA_Madison_010    

จบแล้ว สำหรับทริคการเตรียมตัวไป work & travel เล็กๆน้อยๆ อย่าลืมติดตามตอนอื่นได้ในเว็ปของเรา : https://kalokkokgrace.com/

ถ้าชอบฝากติดตามด้วยนะ มีเรื่องอัพเดทจะได้ไม่พลาดกันนะ
ขอบคุณทุกคนค่าาาา <3

Follow Me :
on Facebook Kalokkokgrace
on YouTube Kalokokgrace
on IG @kalokkokgrace

[Update] รีวิว Work and Travel 2018 เมื่อฉันมาเป็นแม่บ้านไกลถึงอเมริกา ได้เงินเดือนเป็นแสนจริงหรือ? | ค่าใช้จ่าย work and travel – NATAVIGUIDES

 วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2562 เวลา 11.24 น.

Work & Travel Program USA 2018

บทความรีวิวครั้งนี้เป็น EP.3 ของการเดินทางมายัง สหรัฐอเมริกา เพื่อหาประสบการณ์ช่วงปิดภาคเรียน กับโครงการ Work & Travel Program in USA ปี 2018 สามารถติดตามรีวิวการเดินทางก่อนหน้านี้ได้จากลิ้งค์ด้านล่างนะครับ

@เขียดคุง in USA EP.2 : https://th.readme.me/p/27940

@เขียดคุง in USA EP.1 : https://th.readme.me/p/27917

@เขียดคุง รีวิวอื่นๆ : https://th.readme.me/u/5cca9c6de6046424136e4f9d

Work & Travel Program คืออะไร?

เป็นโครงการแลกเปลี่ยนโครงการหนึ่ง ที่ดำเนินการภายใต้กฎบัญญัติความร่วมมือทางการศึกษา และการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ปี 1961 (Mutual Educational and Cultural Exchange Act of 1961) โดยจุดประสงค์ หลัก คือ เพื่อสร้างเสริมความเข้าใจต่อกันระหว่าง ชาวอเมริกัน และ ประชาชนจากประเทศอื่นๆ โดยผ่านการแลกเปลี่ยนทางการศึกษาและวัฒนธรรม ซึ่ง เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนและเป็นประโยชน์ เนื่องจากเป็นวิธีที่ให้โอกาสอันมีค่าในการเรียนรู้ วิถีชีวิตของคนอเมริกันอย่างแท้จริง ซึ่ง โครงการแลกเปลี่ยนนี้ ดำเนินการโดยสำนักงานการประสานงานและจัดตั้งโครงการแลกเปลี่ยน (Office of Exchange Coordination and Designation) ภายใต้การดูแลของสำนักงานการศึกษาและวัฒนธรรม (Bureau of Educational and Cultural Affairs) เมื่อสิ้นสุดโครงการแลกเปลี่ยน ผู้เข้าร่วมโครงการจะต้องเดินทางกลับประเทศของตน เพื่อนำประสบการณ์และทักษะต่างๆ ที่ได้รับระหว่างอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ต่อประเทศนั้นๆ

ดังนั้น โครงการ Work and Travel USA นี้ ถือเป็นโครงการที่เปิด โอกาสให้นักศึกษาได้ ใช้ ชีวิตในสังคมอเมริกันด้วยตนเอง ได้เรียนรู้ชีวิตความเป็นอยู่ และการทำงานจริง ในวัฒนธรรมอเมริกัน พร้อมพบปะเพื่อน นานาชาติที่ มีความ แตกต่าง เรียนรู้ การปรับตัว การแก้ปัญหา ซึ่งนับว่าเป็นการเรียนรู้นอกเหนือจากการเรียนในมหาวิทยาลัย และยังเป็นการส่งเสริม ให้นักศึกษาได้ใช้เวลาช่วงปิดภาคเรียน อย่างเป็นประโยชน์ อีกด้วย

ทั้งนี้ โครงการ Work and Travel USA ไม่ใช่การจัดหางานในตลาดแรงงาน เพราะผู้สมัคร จะต้องมีสถานภาพเป็นนักศึกษา ภาคปกติของมหาวิทยาลัยที่ได้รับการรับรอง และจะต้องทำการสอบคัดเลือกกับทางโครงการ เพื่อคัดเลือกผู้ เข้าร่วมโครงการได้อย่างถูกต้อง และค่าตอบแทนที่ได้รับจากการเข้าร่วมโครงการนั้น เป็นเพียง ส่วนช่วย ใน ค่าใช้จ่ายระหว่างที่พำนักและท่องเที่ยว อยู่ ในสหรัฐอเมริกา ตามระยะเวลาที่กำหนดเท่านั้น มิได้ เป็นเป้าหมายหลักของโครงการ แต่อย่างใด

อ้างอิง : ข้อมูลจากเอเจนซี่ บริษัท ไฮเออร์ (ประเทศไทย) จำกัด

ทำไมถึงตัดสินใจไป Work & Travel Program

ท้าวความกลับไปเมื่อประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา เจอเพื่อนคนนึงนางเป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมต้นแล้ว บังเอิญเจอรูปนางในเฟสว่าเอ้ย มึงไปทำอะไรที่อเมริกาวะ เห็นลงรูปเที่ยวบ่อยมาก เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนหรือยังไง เพราะตอนนั้นเห็นว่ายังเรียนไม่จบกัน เลยทักไปถามส่วนตัวได้ความว่าออ นางไปโครงการ Work and Travel นางก็อธิบาย บลาๆๆๆๆๆๆ จนเข้าใจลึกซึ้ง และตัวผมเองด้วยความที่ชอบท่องเที่ยว และชอบเก็บเกี่ยวประสบการณ์นอกบ้านอยู่แล้ว เลยมีความอยากที่จะไปตรงนั้นกับเพื่อนบ้าง เอาหละแต่ขั้นตอนมันก็ไม่ได้ง่ายขนาดที่คิดจะไปและไปได้เลย ไม่ใช่ครับ อาจจะทำให้งงๆได้เวลาอ่าน แนะนำเอาป๊อปคอนกับชาเย็นมากินไปอ่านไป เพื่อความอรรถรสนะครับ 5555

ทำไมต้องมีเอเจนซี่เมื่อไป Work & Travel Program

ตามหัวข้อเลยครับ ว่าทำไมต้องมีเอเจนซี่ เมื่อไป Work & Travel Program ผมขอใช้คำย่อนะครับ ว่า WAT ผมยังไม่เห็นการไป WAT ด้วยตัวเองโดยที่ไม่มีเอเจนซี่เลยครับ เพราะทั้งการติดต่องานที่ยุ่งยาก การส่งเอกสาร และลำดับขั้นตอน ถ้าเรามีเอเจนซี่คอยช่วยเหลือ เราก็จะสบายไปมากๆเลยครับ แต่ทั้งนี้แลกกับการเสียเงินค่าดำเนินการที่คิดว่ามาก แต่ก็คุ้ม เราก็ยอมครับ 5555 แต่การเลือกเอเจนซี่ก็สำคัญ ไม่ใช่เห็นค่าโครงการที่ราคาถูกและเลือกไป เราควรศึกษาประวัติ และ Feedback ว่าโอเคไหม บางคนถูกหลอกก็มีเยอะให้เห็น สรุปสั้นๆเอเจนซี่ที่ผมเลือกไปคือ Higher Education Thailand (นี่ไม่ได้ค่าแนะนำอะไรสักบาทนะครับ) แต่เพื่อมาบอกถึงรายละเอียดไม่อยากกั๊กอะไรเลย ดีก็บอกว่าดี ส่วนที่ไม่ดีก็มีครับ ถ้าสนใจอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ไฮเออร์ ผมแปะลิ้งค์เอาไว้ให้นะครับ : https://higher.co.th/index.php

ขั้นตอนคร่าวๆการไป WAT ที่โคตรจะซับซ้อน

  1. อันดับแรกเริ่มสมัครโครงการตั้งแต่เดือนสิงหาปี 60 เพื่อไป WAT เดือพฤษภาคม ปี 61
  2. ผ่านการทดสอบระดับภาษาจากเอเจนซี่ (A<B<C) ระดับภาษามีผลต่อการเลือกงาน
  3. ยืนยันการเข้าร่วมโครงการ และจ่ายเงินงวดแรก. (เดือนกันยายน)
  4. หลังจ่ายเงินจะมี Password ให้เข้าระบบ เพื่อเข้าเลือกงานที่เอเจนซี่แนะนำ (เดือนพฤศจิกายน)
  5. เอเจนซี่จะนัดวันสัมภาษณ์งานให้เรากับนายจ้างฝั่งเมกา (หลังเลือกงานไม่เกิน 2 สัปดาห์)
  6. สัมภาษณ์งานผ่านแล้ว ยืนยันงานกับเอเจนซี่ (ผลสัมภาษณ์รอหลังเสร็จประมาณ 1 สัปดาห์)
  7. รอพักใหญ่ๆประมาณ เดือนมีนาปี 61 และชำระเงินค่าโครงการที่เหลือทั้งหมด
  8. เตรียมเอกสารต่างๆ ให้ครบ (เอกสารการขอวีซ่าWAT) ยังไม่ล่าวถึงในตอนนี้
  9. สัมภาษณ์วีซ่ากับสถาณฑูตอเมริกาประจำประเทศไทย ซึ่งไม่ง่ายเลย 55+++. (เดือนเมษายน)
  10. รอผลสัมภาษณ์วีซ่าประมาณ 2 สัปดาห์ ทีมงานจะแจ้งผ่าน Email
  11. เมื่อทราบผลก็ทำการจองตั๋วเครื่องบิน (จองเองหรือผ่านเอเจนซี่ก็ได้) แต่ผมจองเองถูกกว่า
  12. Passport จะถูกส่งมาที่บ้าน และเก็บกระเป๋ารอเดินทาง (เดือนพฤษภาคม)
  13. มีการปฐมนิเทศรวม ก่อนออกเดินทางจากทางเอเจนซี่ และรับเอกสารเพิ่มเติมนิดหน่อย
  14. เมื่อทุกอย่างพร้อมก็ลากกระเป๋าเดินเข้า Runways ได้เลยครับ 5555

พูดถึงค่าใช้จ่ายการไป WAT ที่อ่านแล้วจะต้องอุทานออกมา ว่าE_แพงจังวะ!

  1. ค่าโครงการจ่ายให้เอเจนซี่ 2 งวด จำนวน 55,000 บาท (อันนี้รวมหักส่วนลด 7,000 บาท เรียบร้อย)
  2. ค่าสัมภาษณ์วีซ่าและการดำเนินการ จำนวน 10,000 บาท
  3. ค่าตั๋วเครื่องบิน ไป/กลับ เราเลือกจองเอง บินหลายไฟท์มาก จำนวน 31,000 บาท
  4. ค่าตั๋วเครื่องบินภายในประเทศ เพิ่มเติม จำนวน 4,000 บาท
  5. ค่า Poket money ใช้จ่ายระหว่างอยู่ที่นี่ช่วงแรกๆ จำนวน 20,000 บาท

รวมค่าใช้จ่ายทุกอย่าง ตีเลขกลมๆประมาณ 120,000 บาท นี่มันไม่ใช่น้อยๆเลยใช่มั้ยครับ สำหรับผมคือมันจำนวนเงินเยอะมาก ขนาดได้ส่วนลดจากเอเจนซี่ไปเยอะแล้วนะเนี่ย คิดอย่างเดียว เมกากูต้องรอด 555

ทำไมถึงเลือกงานแม่บ้าน Housekeeping

พูดแล้วก็ท้าวความกันหน่อยครับ ในระบบของเอเจนซี่งานจะมาเป็นล๊อตๆ (นึกภาพออกใช่มั้ยครับ) รายชื่องานจะเข้ามาเป็นรอบๆ ประมาณ 5 ครั้งภายใน 3 เดือน เอาจริงผมเลือกงานไปตั้งแต่ล๊อตแรก และรอสัมภาษณ์คือเป็นเวลานานมาก เกือบจะ 2 เดือน ทำไมถึงรอ?????? เพราะเป็นงานที่อยากทำมากๆๆๆๆๆ เป็นตำแหน่ง Housekeeping เหมือนกันนี่แหละ แต่มันทำที่รัฐอลาสก้า แน่นอนครับด้วยความที่เป็นหนุ่มไต้ เลยอยากจะทำงานที่มันได้สััมผัสกับความหนาว ที่หนาวมากในเมืองนี้ ผลสุดท้ายไม่รู้เอเจนซี่เขาประสานงานยังไง ผมก็ไม่ได้โทษนะครับ อาจจะเป็นเพราะเราไม่มีดวงได้ไปที่นี่ก็อาจเป็นได้ …. สรุปแล้วเหลือองานล๊อตสุดท้าย ได้งานช่วงเดือน กุมภาพันธ์แล้วครับแม่คุณ เดือนหน้าเตรียมตัวสัมภาษณ์วีซ่าแล้ว ถ้าไม่เอานี่อดไปนะครับ เลยได้งานแม่บ้าน หรือ Housekeeping งานอยู่ในเมือง Seattle , รัฐ Washington ของอเมริกา 🇺🇸 มาครอบครอง

พูดถึงรายละเอียดงาน/รายได้ กันหน่อยครับ

ชื่อบริษัท : 360 hotel group DBA.
ตำแหน่ง : Housekeeping
เรทเงิน : $12 / ชม.
กำหนดทำงาน : 5 วัน / สัปดาห์ ห้ามเกิน 40ชม / สัปดาห์
ค่าบ้าน : $140 / สัปดาห์ (ซึ่งแพงมาก)

ชื่อบริษัท : 360 hotel group DBA.ตำแหน่ง : Housekeepingเรทเงิน : $12 / ชม.กำหนดทำงาน : 5 วัน / สัปดาห์ ห้ามเกิน 40ชม / สัปดาห์ค่าบ้าน : $140 / สัปดาห์ (ซึ่งแพงมาก)

เริ่มเข้าสู่การเป็นแม่บ้านกันเลยครับ

ผม Start หรือ เริ่มออกเดินทางจาก สนามินสุวรรณภูมิ ปลายทาง ซีแอตเทิล ข้ามน้ำข้ามทะเล รวมแวะเที่ยวแล้วใช้เวลาหลายวันกว่าจะถึงปายทาง 555 เส้นทางบินตามนี้ครับ BKK – HKG – LAX – SFO – SEA สามารถอ่านรายละเอียดการเดินทางย้อนหลังได้จาก EP.1-2 ก่อนหน้า อันนี้ไม่ขออธิบายเพิ่มเติมนะครับ

เมื่อถึงสนามบินปลายทาง ซีแอตเทิล เรียกเต็มๆว่า Seattle Tacoma International Airport.(SEA) เอาจริงคือไม่ได้เก็บบรรยากาศอะไรมาเลย เพราะนั่งเครื่องมาจาก ซานฟรานซิสโก คือเช้ามาก ตี 5 ใช้เวลาบินประมาณ 2 ชั่วโมง มาถึงก็ 7 โมงกว่าๆแล้ว ผมก็รีบเดินออกจากสนามบินมายังรถไฟฟ้า เพื่อนั่งเข้าเมืองและเดินทางต่อปยังที่พักครับ

เมืองซีแอตเทิล รัฐวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา รัฐนี้อยู่ทางตอนเหนือของอเมริกา ซึ่งเวลาจะห่างจากประเทศไทย หรือช้ากว่า -14 ชม. สภาพอากาศซึ่งถือว่าชอบมาก ช่วงวันแรกที่มาถึง 10 องศาเบาๆ 😂😂อากาศเย็นมาก แต่สองสามวันก็ปรับตัวได้แล้ว โดยส่วนตัวเป็นคนลอบอากาศหนาวอยู่แล้วครับ …

สำหรับที่อยู่อาศัย ตลอดระยะเวลา 3 เดือนของการมา WAT ครั้งนี้ ผมพักที่ Best Western Inn & Suites เป็นโรงแรมในเครือของโรงแรมที่ผมและเพื่อนมาทำงานครับ อ้อลืมบอกไปงานนี้มีเพื่อนคนไทยซึ่งมารู้จักกันที่นี่เกือบหมด จำนวน 6 คนครับ สบายละตรูไม่เหงาแน่ๆ 5555

ยังไม่จบเรื่องที่พักครับ คืออยากอวยว่าดีมาก เป็นห้องพักเตียงคู่ สำหรับ 2 คน มีครัวพร้อมอุปกรณ์สำหรับประกอบอาหาร มีทีวี ตู้เสื้อผ้า เตารีด เครื่องล้างจาน อ่างกุดชี่ในห้องน้ำ รวมถึงมีอาหารเช้าฟรีบริการทุกวัน ยังไม่หมด จะมีแม่บ้านมาทำความสะอาดห้องให้ทุกวัน ได้ยินไม่ผิดครับ+++ จะมีแม่บ้านมาทำความสะอาดห้องให้ทุกวัน ทั้งปูผ้าเตียงใหม่ทุกวัน เติมสบู่ เก็บขยะ แต่ไม่ล้างจานให้นะ 5555 ล้างเอง คือดีย์มาก แต่ก็นะแพงมากเหมือนกัน สมราคาที่จ่ายไป เราไม่สามารถเลือกที่พักเองได้ก็ต้องทำใจพักตามที่เขาระบุมาครับ

เช้าวันแรกของการไปทำงาน คือโคตรตื่นเต้นอะเอาจริง (ผมคิดว่าทุกคนก็คงเป็น) ผมและเพื่อนทั้งหมดลงมารอที่ล๊อบบี้โรงแรม และมีพี่ House man ขับรถไปส่งที่ Office ทำงานครับ เริ่มการพบปะแนะนำตัวกับทางผู้จัดการโรงแรมที่ทำงาน ได้ความว่าบริษัท 360 hotel group DBA. ของเรามี 3 โรงแรมใหญ่ๆ และจะแบ่งเด็กๆ ออกไปทำงานที่ละ 2 คน เพราะฉะนั้น ด้วยความที่มีผู้ชาย 2 คน เราจึงเลือกไปด้วยกัน 555 นั่นคือดีแล้วใช่มั้ย สถานที่ทำงานจริงของผมคือที่นี่ครับ Staybridge Suites Hotel น่าอยู่ใช่มั้ยครับ

การเดินทางไปทำงานในแต่ละวัน จะมีคนขับรถจากโรงแรม คอยวิ่งรับ/ส่ง จากที่พักไปยังที่ทำงานทุกวัน ใช้เวลานั่งรถประมาณ 15 นาที ก็ถึงครับ เวลาเข้างานคือ 08:00 น. – 17:00 น. ถ้าวันไหนมารับสายคือจะเซงมาก เพราะนั่นคือเราจะโดนหักเงินอะดิ เพราะที่ทำงานใช้ระบบสแกนลายนิ้วมือและกดรหัสครับ และคนขับรถก็ชอบมาสายบ่อยด้วย มีวันนึงรอยัน 9:00 น. เพราะคนขับคิดว่าเป็นวันหยุดของผม จนหัวหน้าขับรถมารับ คือยังไงก็ต้องไปทำงาน ถ้าขาดนั่นแสดงว่าเงินหายไป 3 พันกว่าบาทต่อวันเลยนะ ฉันไม่ยอมแน่ๆ 5555

พูดถึงลักษณะงาน House Keeping หรือแม่บ้านนั่นเอง ตำแหน่งนี้ทำทุกอย่างที่อยู่ในโรงแรมครับ ไม่ใ่ช่แค่ทำความสะอาดหองพัก รวมถึงจัดข้าวของทุกอย่างลงรถเข็นประจำตำแหน่งในแต่ละวันก่อนเข้าทำงาน จริงๆแล้วมันจะมีขั้นตอนของมันตามระบบการจัดการของหัวหน้า

ถึงเวลาเริ่มงาน เริ่มงานเวลา 8:00 น. นั่นคือทุกคนต้องพร้อมที่ห้องรวม เพื่อฟังคำชี้แจงและรับบรีฟจากหัวหน้าในงานของวันนี้ ว่าจะได้จัดการกับห้องพักแบบไหน เช็คอิน เช็คเอ้ากี่โมง รวมถึงทีมว่าวันนี้จะได้ไปคู่กับใคร และแน่นอน แม่บ้านต้องมี รถประจำตำแหน่ง นั่นคือรถเก็บขยะและรถทำความสะอาดคันนี้นั่นเอง

การทำงานในตำแหน่ง House Keeping ก็ต้องมีชุดประจำตำแหน่งด้วยนะครับ เมเนเจอร์บรีฟว่าต้องเป็นดำทั้งชุด ทั้งเสื้อโปโลที่ทางโรงแรมแจกให้ 5 ตัว กางเกงซื้องเอง เอาสแล๊คใส่เรียนไปก็ได้ รองเท้าต้องผ้าใบสีดำ และที่ห้ามลืมก็คือป้ายชื่อครับ ไมงั้นไม่มีทางรู้แน่ๆว่าเราคือพนักงานหรือโจรปลอมตัวเข้ามา

ทุกสัปดาห์เมเนเจอร์ใหญ่ของทางโรงแรมจะเรียกมาปะชุม และแจ้งข่าวประชาสัมพันธ์ต่างๆให้กับพนักงานในโรงแรม ซึ่งไม่ใช่แค่ประชุม เจ๊เมเขาชอบหากิจกรรมเพื่อสร้างรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะให้กับเพื่อนร่วมงาน ได้ผ่อนคลายกันบ่อยมาก ทำเอาหลังๆผมนี่กลายเป็นคนกล้าแสดงออกขึ้นมาเลยครับ

เวลาพัก House Keeping จะให้เวลาพักแค่ 1 ชั่วโมง และจะมีห้องพักให้กินข้าว ผ่อนคลาย มีทีวี ให้ดู แลกเปลี่ยนวัฒธรรม แลกเปลี่ยนอาหารจากสัญชาติต่างๆ เพราะพนักงานที่นี่ไม่ใช่แค่คนอเมริกาเพียงอย่างเดียว มีทั้งแมกซิโก ญี่ปุ่น จีน ฟิลิปปินส์ และมีป้าคนไทยที่ประจำอยู่ที่นี่ 1 คนด้วย

พูดเรื่องทิ๊ปของลูกค้าในโรงแรม TIP ปกติที่เคยอ่านมา เป็นธรรมเนียมของชาวเมกัน หรือชาติอื่นๆก็แล้วแต่ เมื่อเข้ามาพักตามโรงแรมต่างๆหรือร้านอาหาร จะต้องมีธรรมเนียมในการให้ทิ๊ป บางร้านถึงกับหักอัตโนมัติในใบเสร็จตอนจ่ายเงิน คิดเป็น% กันเลยทีเดียว แต่พูดถึงทิ๊ปในโรงแรมที่ผมมาทำ เป็นทิ๊ปรวมจ้า ใครเก็บได้ก็เอามาให้เจ๊เมเนเนอร์ จะมีการแบ่งให้ House Keeping ทุกๆสิ้นเดือนพร้อมใบเช็คเงินเดือน ………. เอาจริงหวังไว้เยอะมากกับการได้ทิ๊ปจากลูกค้าเมื่อเช็คเอ้าต์ แต่ก็เอาเถอะ ได้น้อยก็ถือว่ายังได้เนาะ 555

ยังไม่จบเรื่องทิ๊ป เอาภาพมาให้ดูกันสักภาพ ทิ๊ปที่วางไว้บนโต๊ะหลังจากที่ลูกค้าเช็คเอ้าออกไปแล้ว แม่บ้านอย่างเราก็เปิดประตูเพื่อเข้าเช็คของและทำความสะอาดสำหรับการเข้าพักของแขกคนถัดไป สิ่งแรกที่มองหาเลยก็คือไอ้เจ้า TIP นี่แหละครับ เอาจริงหวังอะไรไม่ได้มาก เดาไม่ถูกจริงๆ บางห้องให้ $50 เหรียญก็มี บางห้องให้ $1 ก็มี บางห้องทิ้งขยะไว้เต็ม แต่ไม่มีสักบาทเลยก็มี ทำใจจริงๆครับ

เริ่มทำงานใหม่ๆ จะมีการเทรนงาน 2 อาทิตย์ ช่วงจังหวะนี้ผมกับไอ้แฟร้ง เพื่อนผู้ชายอีกคนที่เลือกมาที่นี่ด้วยกันก็จะโดนจับแยกครับ เพื่อเทรนงานกับแม่ๆป้าๆ House Keeping รุ่นใหญ่ ป้าบอกว่าทำแบบนี้นะ ทำแบบนี้นะ แบบนี้ทำไม่ได้นะ ไม่สวยนะ เอาจริงคิดในใจทำไมมันไม่ง่ายแบบที่คิดไว้นะ 5555 จำได้เลย 2 วันแรกคือกูต้องจำศัพท์เกี่ยวกับของและอุปกรณ์ในห้องพักให้ครบหมดทุกชิ้น เหยดเข้ันไม่ง่าย แรกๆจำไม่ได้ โดนด่าแบบหูชาแต่ก็ไม่ฟังอะ หน้าด้านต่อไปถึงจะรอด

บางครั้งเวลากับการทำความสะอาดแมร่งช่างโคตรกดดัน หลังจากช่วงเทรนงานจบ เข้าสู่โลกของความเป็นจริงครับ ผมเด็ก J1 ถึงแม้ไม่ใช่พนักงานประจำแต่ผมก็ต้องทำทุกอย่างเป็นเหมือนพนักงานปกติทุอย่าง จำได้เลยตารางงานวันแรกคือห้องพักเต็มและเช็คเอ้าเกือบทั้งหมด บอกกับตัวเองตายแน่ๆ 555 แต่ไม่ต้องห่วงครับไม่ได้ทำคนเดียว เราจะมีคู่บัดดี้ที่ไปกับเราในแต่ละวันซึ่งจะวนๆกันไป ไม่เหนื่อยคนเดียวแน่นอนครับ ปล. รูปด้านบนเป็นความต้องการของลูกค้าขอหมอน10 ใบ ผมก็จัดให้ตามคำขอครับ ….

30 นาทีกับห้องพักที่ต้องพร้อมสำหรับการเช็คอิน กล่าวคือตั้งแต่ไฟเขียวจากเมเนเจอร์ว่าห้องพร้อสำหรับการทำความสะอาดแล้ว เราก็เข้าไปทันทีครับ รื้อผ้าปูเตียงออกทั้งหมด ปลอกหมอนทุกชิ้น เปลี่ยนของใช้ในห้องน้ำ เช็คห้องครัว เก้บขยะทุกชิ้นออกให้หมด เติมของที่ขาด ห้ามใส่เกิน ดุดฝุ่น จัดทุกอย่างเข้าที่ ถ้าเสร็จช้า กลับบ้านช้า เมเนเจอร์ด่า ทำไม่เรียบร้อยกลับมาทำใหม่ โอ้โหแค่คิดก็เหนื่อยแล้ว

วอกี้ทอกี้ หรือ วอล์วิทยุ เป็นอะไรที่หลอนมาก เมื่อสิ่งนี้อยู่กับฉัน คือทุกทีมในแต่ละวันจะมีวิทยุตัวนี้ติดตัว เพื่อรับฟังคำสั่งจากหัวหน้า หรือจากเพื่อนร่วมงานเมื่อมีการขอความช่วยเหลือ เคยมีวันหนึ่งฉันลืมเปิดเสียง และเมเนเจอร์วอลมาเรียกผมให้เอาของบางอย่างไปให้ลูกค้าที่ห้อง ปรากฎว่าฉันไม่ได้ยิน และนางก็เดินมาตามถึงห้อง สงสัยคิดว่าเราคงอู้งาน โดนด่าแบบยับเยินมาก ที่นี่เขาจริงจังกับการทำงานมาก เวลาเล่นก็จะมีความสุขไปอีกแบบเลย นับจากวันนั้นผมก้ไม่เคยปิดเสียงอีกเลยเปิดเสียงสุด เน็บไว้ที่เอวตอดเวลา 5555

ตารางการทำงาน ปกติเวลาทำงานจะเป็น 08:00 น – 17:00 น. และพัก 1 ชั่วโมงแล้วแต่ทีม บางคนพักเที่ยงตรง บางคนพักบ่ายโมง แล้วแต่บริหารเอา ของแต่ละวัน เอาจริงเมเนเจอร์ House Keeping นางเป็นคนใจดี ทุกวันนางจะชอบวาดรูปติกเกอร์แบบนี้ตรงมุมชื่อทีม ว่าวันนี้ใครไปกับใคร วาดทุกวันเออก็น่ารักดี อิอิ

ปกติเวลาทำงานจะเป็น 08:00 น – 17:00 น. และพัก 1 ชั่วโมงแล้วแต่ทีม บางคนพักเที่ยงตรง บางคนพักบ่ายโมง แล้วแต่บริหารเอา ของแต่ละวัน เอาจริงเมเนเจอร์ House Keeping นางเป็นคนใจดี ทุกวันนางจะชอบวาดรูปติกเกอร์แบบนี้ตรงมุมชื่อทีม ว่าวันนี้ใครไปกับใคร วาดทุกวันเออก็น่ารักดี อิอิ

ของกินในห้องพักหลังจากลูกค้าเช็คเอ้าต์แล้ว จริงๆไม่แน่ใจว่าทุกโรงแรมทำกันยังไง แต่สำหรับที่โรงแรมนี้ เมื่อเราเจอของกินทุกๆอย่างไม่ว่าจะเป็นของสด ของในตู้เย็นต่างๆ เราต้องเอาใส่รถเข็นกลับมา และเขียนชื่อห้องกับคนรับผิดชอบนั้นๆ วางไว้ ในห้อง House Keeping 1 วันเพราะบางครั้งลุกค้าเขาจะกลับมาเอาจ้า แต่ถ้าเป็นเหล้าหรือเบียร์ เจ้เมเขาไม่ให้เอากลับนะ ไม่รู้ว่ายึดไว้ที่โรงแรมหรือเอากลับไปกินเอง 5555 แต่ก็นะเป็นไปไม่ได้ที่วัยรุ่นอย่างเราจะพลาด มีบ้างที่แอบหยิบกลับห้องเวลามีปาร์ตี้กับเพื่อนก็หวานคอเลยครับ ….

มีอย่างอื่นทำไหมนอกจากงานทำความสะอาด เอาจริงๆห้องพักที่นี่ก็มีไม่เยอะเท่าไหร่ และด้วยความที่เป็นคนขยันทำงานมาก บางวันก็เสร็จก่อน 17:00 น. คือเสร็จก่อนเวลาเลิกงาน เอาจริงป้าๆเฮ้าคนอื่นเมื่อเสร็จเขาก็กลับบ้านกันเลย แต่ผมยังไม่ยอมกลับครับ เพราะถ้ากลับก่อนชั่วโมงงานก็จะไม่ครบ 8 ชม./วัน ทำให้ขาดรายได้ไม่ตรงตามที่ใบจ้างงานเขียนยไว้ ผมกับเพื่อนเลยของานหัวหน้าทำต่อจ้า และงานของเราที่ว่าก็คือ ดูดฝุ่นบ้าง เช็คประตูห้องบ้าง ซักผ้า พับผ้าในห้องซักรีดบ้าง เดินขึ้นลงบันได 5 ชั่นไปมาบ้าง 5555 มีให้ทำทุกวันโคตรตลอกอะ ก็คนอยากได้ตังค์นี่หว่า เนาะ

ไปทำบัตร SSC. หรือเรียกว่า Social Security Card อันนี้เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เมื่อทุกคนเข้ามาทำงานที่ สหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นแรงงานจากประเทศไหนก็ต้องมาทำ SSC เพื่อประโยชน์ของตัวเอง ยืนยันว่าเรามาทำงานอย่างถูกกฎหมาย และเป็นใบเบิกทางเมื่อทำการยื่นเรื่องขอเคลมภาษีที่โดนหักไปแต่ละเดือน รู้สึกจะเป็นสัปดาห์แรกที่ทำงานและเจ้เมเนอร์ใหย่ก็ให้พี่คนขับรถพาไปทำ สำนักงานก็จะมีในทุกๆเขตของแต่ละหน่วยพื้นที่ทำงาน ทำให้ไม่ต้องทำงานเป็นเวลาครึ่งวัน รับตังฟรีๆ สบายกันไปเลยจ้า

สุขสันต์วันเช็คออก เป็นอะไรที่ยิ้มแก้มปริมาก ปกติเงินจะเข้าเดือนละ 2 ครั้ง ทุกๆ 14 วัน นั่นก็คือวันที่เช็คออกออก เลิกงานให้พี่คนขับพาไปแวะขึ้นเงินที่ธนาคารเลยครับ โคตรดีใจวันที่ไปขึ้นเช็คครั้งแรก ฉันทำงาน 14 วัน มีเงินเข้าในบัญชี 20,000 กว่าบาท หักค่าห้องเรียบร้อยแล้ว หายเหนื่อยไปสามวิ 5555 ลองคิดเล่นๆ ทำงาน 3 เดือน เฉลี่ยเดือนละ 40,000 บาท X 3 = 120,000 เท่าทุนพอดี แต่ได้กำไรชีวิต!

เปิดบัญชีธนาคาร ทุกคนที่ทำงานต้องมีบัญชีของตัวเอง เพื่อสิ้นเดือนเงินจะเข้าในบัญชี หรือบางที่ก็รับเป็นเช็ค และเอาเงินจากเช็คเข้าบัญชีไม่ยากครับ อันนี้มาถึงอเมริกาช่วงแรกๆ หรือตรงกับวันหยุดก็หาเวลาไปเปิดได้ครับ ใช้แค่ Passport และเอกสารการทำงานนิดหน่อยก็ไปทำได้เลย ฟรีค่าธรรมเนียม แต่ต้องเอาเงินฝากก้อนแรกประมาณ $100 และถอนออกได้ปกติครับ

วันที่ดี/แย่ ในการทำงาน ผมเชื่อว่าทุกคนก็คงมีวันที่ดีและที่แย่ในการทำงานกันทุกคน แต่สำหรับผม ผมคิดว่าหากเรามองปัญหาที่มันแย่ๆให้เป็นเหมือนเกม และเราก็ค่อยๆแก้ปัญหาและสนุกกับมัน ผมคิดว่าเราจะผ่านมันไปได้อย่างมีความสุขครับ วันที่แย่สำหรับผมคือวันที่ไม่ได้ทำงาน หรือทำงานไม่ครบ 8 ชั่วโมงแล้วหัวหน้าให้กลับบ้าน เพราะนั่นคือขาดรายได้ไปเต็มๆครับ หึหึ

House Keeping มีเวลาว่างไหม. จริงงานนนี้ก็ไม่ได้หนักอะไรมากมายครับ ถ้าทำมาสักระยะหนึ่งก็จะเห็นได้ว่าสนุก ไม่เครียดอะไรเลย ถ้าเมเนเจอร์ไม่มากดดัน 555 แต่ก็นะโรงแรมอื่นผมไม่รู้ แต่โรงแรมที่ผมทำคือทุกคนดี เพื่อนร่วมงานดี ไม่ได้ต้องทำแต่งานตลอดเวลา มีเวลาพักเบรค Coffee time เช้า/บ่าย ถ้าทำไม่ทันจริงๆก็จะมีป้าๆเฮ้ามาช่วย ส่วนมากจะว่างและของานทำต่อมากกว่า

การสังสรรค์กับเพื่อนที่หอพัก อันนี้ถ้าพูดหมดคือยาวครับ อ่าน 3 วันไม่จบ 555 คือถ้าถามว่าสังสรรค์กับเพื่อนที่หอพัก นี่ตอบได้เลยว่าแทบจะทุกคืน หรือแทบจะทุกอาทิตย์ ปาร์ตี้สุกี้เอย ปาร์กี้วันเกิดเอย ปาร์ตี้เพื่อนเลิกกับแฟนเอย ปาร์ตี้อยากกินเอย มีบ่อยมาก จนทำให้รู้สึกหายเหนื่อยจากการทำงาน และคลายความเหงาคิดถึงบ้านไปได้ในช่วงหนึ่ง

ฉลองวันเกิดตัวเอง คือเป็นวันที่ประทับใจมากวันหนึ่งที่อยู่ในอเมริกา ไม่คิดว่าเพื่อนที่อยู่ด้วยกันจะทราบว่าวันนี้คือวันเกิดเรา ทีแรกก็ชวนกินสุกี้ปกติด้วยกันปกติทั่วไป และไม่คิดว่าเพื่อนจะทำเซอไพร์วันเกิดจ้า เอาเค้กมาให้ เราก็โคตรจะดีใจ ยังเก็บความทรงจำวันนั้นได้ดี รักทีม 360 มาก. 09/06/2018

เมาเละก่อนกลับไทยทำไฟเกือบไหม้โรงแรม อันนี้ไม่เขียนยังจะดีกว่ามั้ง 555 ถ้าจำไม่ผิด วีคนั้นเป็นวีคสุดท้ายก่อนบินกลับไทย ทุกคนเต็มที่มาก เราจัดปาร์ตี้กันแบบเหล้ามี 10 ขวดคือกินหมด 10 ขวด ทำอาหารกินกันและตอนนั้นกำลังตั้งน้ำมันเพื่อทอดเฟร้นฟรายน์ ทันไดนั้นลืมเอาเฟร้นฟรานย์ลงกระทะครับ มาร้องเพลงจบไปเป็นเพลงๆ สักพักควันก็ลอยมาเลยครับ ด้วยความที่ที่พักเป็นโรงแรมและมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีมาก ควันในครัวก็ลอยเข้าในจุดจับควัน ทันไดนั้นเสียงเตือนก็ดังขึ้นจากดังแค่ในห้องกลับดังทั่วโรงแรม ทำเอาทุกคนต้องอพยพลงมาหน้าโรงแรม และสักพักเจ้าหน้าที่รถดับเพลิงก็มาสิคราบบ เราก็ด้วยความที่กลัวผิดมาก เลยรีบไปบอกเมเนเจอร์ที่พักว่าต้นตอมาจากหองผมเอง และเจ้าหน้าที่ก็ได้ทำการเคลียทุกอย่างจนกลับมาเป็นเหมือนเดิม คืนนั้นน่าจะเป็นคืนที่อัปอายและกลัวที่สุดสำหรับการอยู่ที่อเมริกาแล้วก็ว่าได้

มีวันหยุดประจำปี ไปเที่ยว One day Trip จริงๆวันนี้ก็ทำงานปกตินะครับ แต่ด้วยความที่นายจ้างคงไม่อยากจ้างงานค่าแรง X2 ก็เลยให้เด็กๆ J1 อย่างพวกเราได้หยุดพักผ่อนกันทั้งหมด เราจึงมีแพลนเช่ารถขับไปเที่ยวต่างจังหวัดกัน

มาเที่ยวกันที่ Mount Rainier National Park ซึ่งบนยอดภูเขาของที่นี่จะมีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี ทำให้เราสามารถสัมผัสกับหิมะแบบ Full Options ใช้เวลาขับรถประมาณ 2 ชั่วโมงนิดๆ โคตรคุ้มค่ากับประสบการณ์ที่ได้รับในครั้งนี้สุดๆ

แถมอีกรูปครับ เอาธงชาติประเทศไทยมากางให้รู้ว่ารักชาติมากแค่ไหน 555 จริงๆอยากเรียนรีวิวการเดินทางมาที่นี่แยกมาก ถ้ามีเวลาเขียนแล้วจะเอาลิ้งค์มาแปะแก้ไขให้อ่านเพิ่มเติมนะครับ และถ้าเพื่อนๆอย่าเข้าอ่านรายละเอียดการมาเที่ยวที่นี่ฉบับเต็ม สามารถคลิกอ่านได้จากลิ้งค์นี้นะครับ : mount rainier

เทศกาลช๊อปปิ้ง ของลดทั่วอเมริกา จริงๆไม่ใช่แค่ของแบรนเนม ทุกๆอย่างของอเมกามากกว่า 80% จะลดทั้งหมดในช่วงเทศกาลวันชาติของอเมริกา หรือ 4th July ของทุกๆปี ทำให้ช่วงนี้สำหรับขาช๊อปปิ้งอย่างเราๆก็ละลายทรัพยืกันเพลินเลยครับ มีเพื่อนคนนึงนางช๊อปปิ้งวันเดียวหมดไป 1 แสนบาทไทย ป๊าดดโธ๋ มึงจะอะไรขนาดนั้น แต่ก็เข้าใจว่าถึงเวลาช๊อปก็จัดให้เต็มที่ไม่ว่ากัน

วันหยุดประจำสัปดาห์ แน่นอนครับว่าทุกๆอาทิตย์ของการหยุดงาน ซึ่งจะมีสัปดาห์ละ 2 วัน ตรงเสาร์อาทิตย์บ้าง ไม่ตรงบ้าง ตรงวันหยุดกับเพื่อนบ้าง บางครั้งก้หยุดคนเดียวเพื่อนไม่ได้หยุด การใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์สำหรับผม คือการออกไปท่องโลกครับ ในที่นี่คือการออกไปศึกษาเส้นทางการท่องเที่ยวในระแวกใกล้เคียงบ้าง ไปในเมืองบ้าง เพื่อเปิดประสบการณ์ให้เราได้มีความกล้ามากขึ้นด้วยครับ

ผมมีโอกาสได้ไปเดินเที่ยวที่นี่ University of Washington คือมหาลัยนี้วิวดีมาก มองเห็นภูเขาหิมะที่ไปเที่ยวมาในวันก่อน และในมหาิทยาลัยแห่งนี้จะมีห้องสมุดที่ใหญ่โตอลังมาก รูปแบบเดียวกับห้องโถงประกอบหนังแฮรี่พอตเตอร์ ถ้าเพื่อนๆได้ดูหนังแฮรี่พอตเตอร์ คงนึกถึงสถานที่นี้ได้ดี

Suzzalo Library at the University of Washington ห้องสมุดของมหาวิทยาลัยวอชิงตัน แห่งนี้ ที่เข้ามาด้านในแล้วทำให้รู้สึกสัมผัสได้ถึงความลังของที่นี่ เหมือนหุดเข้ามาในโลกของเวทมนตร์ จากหนังเรื่อง Harry Potter เหมือนกำลังเรียนอยู่ในฮอกวอตส์ เลยทีเดียว

Space Needle เป็นสัญลักษณ์แห่งหนึ่งของเมืองซีแอตเทิลเลยก็ว่าได้ครับ ก่อนกลับไทยประมาณ 2 วัน เจ๊เมเนเจอร์ใหญ่ให้บัตรท่องเที่ยวแบบครึ่งวัน ไม่ต้องทำงานและได้เที่ยวฟรีๆคือดีไปเลย ถ้าใครมีโอกาสมาเที่ยวซีแอตเทิลอย่าลืมขึ้นไปข้างบนนะครับวิวสวยมาก สูงมาก ถ้ามาเย็นๆจะได้ชมพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าตัดน้ำทะเลที่มีเรือใบวิ่งแล่นกลับเข้าฝั่งคือสุดๆไปเลยครับ

อาหารและการทำกับข้าวที่ไม่เป็นเลย บอกเลยว่าก่อนมา WAT ผมทำกับข้าวไม่เป็นเลยจริงๆ ก่อนมานี่ได้ทำการโหลดผงปรุงรสชาตอาการสำเร็จรูป หรือที่เรียกว่า ผงโลโป้น นั่นเอง โหลดมาเยอะมากประมาณ 30 ห่อ แต่เอาจริงก็ไม่พอหรอกครับ แต่ด้วยความที่ดวงดีก็ว่าได้ เพื่อนรูมเมจหรือไอแฟร้งนางทำอาหารเก่งมาก ด้วยความที่นางเป็นคนเชียงใหม่ เลยได้กินอาหารพื้นเมืองจากฝีมือนางบ่อยครั้ง และนางก็สอนผมทำอาหารจนกินเองได้ 555 แต่คนอื่นไม่รู้จะกินได้ไหมไม่แน่ใจ ต้องขอบคุณจริงๆ

Starbucks ที่กินได้ทุกวันเพียงทำงานแค่ 15 นาที จะหาว่าโม้ก็ได้นะ เอาจริๆตอนอยู่ไทยไม่เคยกินเลยไอ้เจ้า Starbucks นี่อะเพราะคิดว่าแพงมาก กินแค่ชาพะยอมก็ได้แล้ว แต่ร้านสตาร์บัคที่นี่มีแทบจะทุกหมู่บ้านเลยจริงๆ และด้วยราคาถ้าไม่คิดว่าเป็นเงินไทยก็แค่ 3-4 ดอล เลยทำให้ง่ายต่อการดื่มเกือบจะทุกวันเลยจริงๆ แต่หลังจากกลับมาไทยก็ไม่คิดจะกินเลยนะ เพราะด้วยเงินไทยที่แพงแล้ว และกินชาพะยอมก็อร่อยเหมือนกันครับ ถ้าเมกามีชาพะยอม ผมก็เลือกกินชาพะยอมครับ 5555

ความผูกพันธ์กับพี่ๆที่ทำงานและป้าๆ House Keeping เอาจริงผมได้อะไรจากการมา WAT เยอะมาก ทั้งการทำงานที่ต้องใช้ความอดทน แข่งกับเวลา และความรักความเอ็นดูจากป้าๆเฮ้าแล้ว ป้าๆหรือพี่ๆทุกคนที่ทำงานคือน่ารักมาก เรื่องงานก็สอนกันเต็มที่ ถ้าวันไหนงานผมเสร็จช้าก็จะลงมาช่วยโดยไม่บ่นสักคำ วันสุดท้ายที่ทำงานผมนี่เข้าไปกอดกับทุกคนและน้ำตาไหลบอกไม่ถูก คือไม่อยากกลับไทยเลยเอาจริงอยากอยู่ต่อ

ขอกล่าวถึง ป้าฺBetsy ผู้หญิงน่ารักๆคนนี้หน่อยนะครับ ผมมีความผู้พันธ์กับป้าเบสซี่มาก ป้าเบสซี่เป็นเหมือนแม่ เป็นเหมือนยาย เป็นเหมือนเพื่อน ป้าเบสซี่จะทำงานอยู่แผนก Londry หรือแผนกซักรีดครับ ป้าพูดเก่งมาก คอยสอนงานให้ผมในห้องซักรีดตั้งแต่แยกผ้า เอาผ้าลงเครื่อง วืธีการพับ หรือจัดเซ็ตของเข้าชั้น ว่างๆจากการทำงานผมก็มาช่วยป้าที่ห้องซักรีดแทบจะทุกวัน ป้าเบสซี่ชอบดอกกล้วยไม้มาก ทุกวันที่นางมาทำงาน นางจะมีดอกไม้ติดอยู่ที่หัว และเป็นเพื่อนร่วมงานที่ผมรักมาก ป้าชอบหยอกให้ผมหัวเราะเวลาผมมาบ่นให้ป้าฟังว่าวันนี้เหนื่อยจัง ขี้เกียจทำงานจัง 5555 ป้าแกก็บอกว่าอยากฟังเพลงไหม ไปเปิดเลยต่อบลูทธ เผื่อจะได้สดชื่นเปิดให้ดังไปเลยแลัวเต้นด้วย โอ้โหป้าเอาใจไปเลยครับรักที่สุด ก่อนกลับได้เข้าไปกอดและนางก็ร้องไห้น้ำตาไหลหวังว่าวันหนึ่งคงจะได้มีโอกาสเจอกันอีกครั้ง ผมรักป้าเบสซี่มาก

นางแชกกรีร่า พูดถึงป้าแล้วต้องพูดถึงแม่นางคนนี้บ้าง นางแชกกรีร่า สาวสวยชาวเมกันแท้ๆ อายุแค่ 18 ปี นางเรียนจบแค่มอปลาย และก็มาทำงานเลย สนิทกับนางเพราะเจ๊เมชอบจับคู่ให้ผมไปกับนางบ่อยมาก เจอแบบอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง นางเป็นผู้หญิงตลกมาก อยู่วันหนึ่งตอนนั้นนางกำลังล้างห้องน้ำอยู่และนางก็อ้วกเว้ย ฉันก็ถามว่าเธอเป็นอะไร นางบอกว่านางคงแพ้ท้องงงงง ป๊าดดดดด นางกำลังจะมีลูกจ้านางบอกว่ากำลังท้องได้ประมาณ 3 เดือนกว่าๆแล้ว แต่ยังไม่รู้เลยว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย จากนั้นผมก็บอกเธอว่าโอเคหลังจากนี้เธอทำแต่ของง่ายๆพอนะ ของใช้กำลังมากๆเดี่ยวฉันจัดการเอง น่างน่าเอ็นดูมากแต่หลังจากนั้นประมาณ 1 อาทิตย์ก่อนผมกลับไทย นางหายตัวไปจากที่ทำงานจ้า วันแรกไม่มา วันที่สี่ห้ายังไม่มา และเจ๊เมเนใหย่บอกว่านางคงออกไปแล้ว เรายังไม่ได้ร่ำลากันเลยนางแชก หายไปซะแล้ว ไม่ได้ขอ Contact ไว้ด้วยตอนนั้นติดต่อก็ไม่ได้ด้วยความที่เป็นห่วง …. Update เมื่อไม่นานมานี้นางก็ Follow IG ผมมา คือดีใจมาก ที่ยังไม่ลืมกัน และตอนนี้นางก็ได้ลูกสาวตามี่ใฝ่ฝันเอาไว้ ดีใจด้วยกับนางจริงๆ

ความผู้พันธ์กับเพื่อนคนไทยที่ก่อนมาไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เอาจริงคือโคตรผูกพันธ์กับเพื่อนทุกคนโดยเฉพาะอีแฟร้ง รูมเมจของผมเอง ถ้ามึงเข้ามาอ่านก็ขอบคุณสำหรับทุกๆอย่างที่คอยช่วยเหลือตรูทุกๆอย่าง ขอบคุณที่ทนฟังเสียงกรนตรูก่อนนอนทุกคืน 5555 พูดแล้วจะร้องไห้ วันกลับคือแบบไม่อยากจะกลับเลยเอาจริง

สิ่งที่ได้รับจากการเป็นแม่บ้าน House Keeping ถ้าถามว่าได้อะไรจากการเป็นแม่บ้าน ตอบได้เลยว่าเอี้ยมาก คือเอาจริงถ้าผ่านจุดๆนี้มาได้คุณจะกลายเป็นคนที่มีความรับผิดชอบมากขึ้น ฝึกความอดทน เมื่อกลับมาไทยแน่นอนเห็นะอไรในห้องหรือในบ้านที่ไม่เรียบร้อย ไม่เป็นระเบียบ คุณจะจัดการกับมันทันที และนิสัยแบบนี้ก็จะติดตัวคุณไปตลอด อาจทำให้คุณเป็นพ่อบ้านแม่บ้านใจกล้าไปตลอดเลยก็ว่าได้ 555 เว่อหละ

สิ่งที่ได้รับจากการมา Work and Travel ครั้งนี้ ขอบคุณสำหรับประสบการณ์ครั้งนี้เป็นที่สุด ถ้าวันนั้นไม่ตัดสินใจมา ก็ไม่รู้เลยว่าการทำงานมันเป็นอย่างไร ไม่รู้การใช้วิตในต่างแดน ได้ฝึกการใช้ภาษาอังกฤษที่รู้ได้เลยว่าพัฒนาขึ้นมาก แถมได้ภาษาที่สามมาากป้าๆชาวแมกซิกันด้วย อ้อออ …… น้ำหนักลดไป 7 โลด้วยครับ จะบอกว่า House Keeping เป็นยาลดน้ำหนักชั้นดีจริงๆ ดีใจที่ได้ไปในที่ต่างๆ และคงเป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำสำหรับผมตลอดไปเลย

เมื่อถึงวันที่ต้องบินกลับไทย เอาจริงคือตอนมาแรกๆก็คิดถึงบ้าน อยากกลับบ้าน พอวันจะกลับบ้านบอกไม่อยากกลับแล้ว อะไรของมรึงงง 5555 เดินเข้าไปในห้องเพื่อนคนไทยเพื่อที่จะบอกว่า พวกมรึงงงกูกลับก่อนนะ ใจมันแป้วมาก และเป็นภาพสุดท้ายก่อนที่ฉันจะแยกย้ายกลับประเทศไทยในวันพรุ่งนี้

เจ๊เมเนเจอร์ใหญ่จองรถ Uber ส่วนตัวสุดหรูไปส่งที่สนามบินวันกลับ อื้อหือก่อนกลับ2 วันผมแจ้งทางบริษัทว่ามีไฟท์บินกลับประเทศไทยในตอนเช้าประมาณ 7 โมงเช้า และต้องไปให้ถึงสนามบินประมาณตี 05:00 น. จากนั้นก็มี Email แจ้งบอกว่าจะมีรถมารับจากที่พักเพื่อไปส่งที่สนามบินในเวลานี้ๆๆ คือดีใจมากที่มีบริการดูแลเอาใจใส่เด็กตาดำๆคนนี้ตั้งแต่วันแรกที่มาจนถึงวันกลับ

นี่ฉันต้องเดินทางกลับประเทศไทยแล้วหรอนี่ วันที่อยู่สนามบินซีแอตเทิล SEA ตอนนั้นคือร้อนรนมาก ว่านี่หมดเวลาของเราใน USA จริงๆแล้วหรอเนี่ย พรุ่งนี้กลับถึงไทยผมก็คงไม่ใช่ House Keeping อีกแล้ว แต่ผมก็จะไม่ลืมเรื่องราวที่น่าจดจำตลอดระยะเวลา 3 เดือนที่อยู่ที่นี่ ผมจะคิดถึงทุกคนและทุกสถานที่ที่ได้ไปสัมผัส ถ้ามีโอกาสเราคงได้จอกันอีก Seattle , Washingtan , USA

ทำไมถึงไม่เที่ยวต่อหลังจบ WAT ต้องบอกก่อนครับว่าจริงๆแล้ว วีซ่าชนิดทำงานระยะสั้นหรือวีซ่าที่ผมได้รับเป็นประเภท J1 VISA. ซึ่งสามารถทำานได้ไม่เกิน 3 เดือนตามขอบเขตเวลาในการจ้างงาน และสามารถท่องเที่ยวในอเมริกาได้ทุกที่ 30 วัน นับจากวันที่จบงาน แต่ทั้งนี้ผมไม่ได้ไปไหนครับบินกลับไทยเลย เพราะมีแพลนเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยครับ หลังจากถึงไทยได้ แค่ 2 วันก็ต้องไปซ้อมเลย

ไฟท์บินที่ยาวนาน รวม 30 ชั่วโมง กับการเดินทางกลับประเทศไทย เนื่องจากผมจองเที่ยวบินของสายการบิน Hongkong Airlines เอาไว้ สายการบินนี้ไม่มีเส้นทางการบินที่สนามบิน Seattle ครับ เพราะฉะนั้นผมต้องบินจากซีแอตเทิล เพื่อรอต่อเครื่องที่สนามบินลอสแองเจอลิท เช่นเดียวกับตอนมาครับ รายละเอียดเส้นทางการบินขากลับเป็นดังนี้ SEA – LAX – HKT – BKK ต่อเครื่องกันสนุกเลยครับ และกลับถึงไทยในวันที่ 15 สิงหาคม 2561 ซึ่งเวลาที่ประเทศไทยเร็วกว่า Seattle +14 ชั่วโมงครับ

ยังไม่จบ จริงๆยังมีอีกหลายๆอย่างที่ยังเขียนไม่หมด ถ้าให้นึกทุกๆประสบการณ์ออกมาเล่าให้เพื่อนๆฟังทั้งหมด น่าจะเป็น @เขียดคุง in USA ประมาณ 100 EP. 555 เอาเป็นว่าพอประมาณก็แล้วกันเนาะ

เป็นยังไงบ้าง ขอบคุณสำหรับคนที่กลั้นใจอ่านมาจนถึงตอนนี้ เพราะมันยาวมากจริงๆ แต่ผมก็ตั้งใจมาแชร์ประสบการณ์ตรงนี้ เพื่อให้รุ่นน้องที่จะไป WAT ในปีต่อๆไปได้อ่าน และเพื่อสร้างแรงบรรดาลใจให้กับใครหลายๆคนที่แบบ อยากจะออกค้นหาประสบการณ์ใหม่ๆ และหวังว่าทุกคนจะมีความสุขสำหรับการอ่านบันทึกในครั้งนี้นะครับ

ขอบคุณสำหรับการติดตาม และคอยเป็นกำลังใจให้ผมตลอดมา ในนามผู้เขียน (#เขียดคุง) ผมต้องขอบคุณ Readme.me สำหรับพื้นที่แบ่งปันสาระดีๆด้วยนะครับ

สำหรับบันทึกการเดินทางครั้งถัดไป จะมีที่ไหนมาให้อ่านรอติดตามสัปดาห์หน้านะครับ

สัญญาว่าถ่าว่างๆจะเขียนให้อา่นกันจนเบื่อไปเลย

ขอบคุณด้วยหัวใจคราบบบ

@เขียดคุง in USA EP.3 🇺🇸


Work \u0026 Travel ’21 🇺🇸 | ทำงานร้านขนมที่เมกาต้องเจออะไรบ้าง | อย่าเพิ่งมาถ้ายังไม่ได้ดูคลิปนี้!!!


สวัสดีค่ะทุกคน เรากลับมาแล้วหลังจากหายไปสักพักนึง วันนี้ขอมาเม้ามอยรีวิวเรื่องราวการมาทำงานที่ Mrytle Beach South Carolina ของเราหน่อยค่ะ ในคลิปนี้เราพูดถึงค่าใช้จ่ายการมา Work and Travel การทำงานในร้านขนมชื่อดังของที่นี่ว่าในหนึ่งวันเราต้องทำอะไรบ้าง นอกจากนั้นยังมีพูดถึงเรื่องของการใช้ชีวิตและท่องเที่ยวในวันที่เราหยุดงานอีกด้วยค่ะ แต่ที่สำคัญและจะพลาดไม่ได้เลยคือปัญหาต่างๆมากมายที่เราเจอ และเหตุผลที่สุดท้ายเราต้องขอยกมือบ๊ายบายเมืองนี้ไปหางานใหม่ในฟลอริด้า!!
ถ้าใครมีคำถามสงสัยอะไรเพิ่มเติมสามารถคอมเม้นลงด้านล่างได้เลยงับและก็อย่าลืมกดติดตามเพื่อคอนเท้นต่อๆไปที่จะเป็นการเปิดประสบการณ์ในการ work and travel ของมินนี่ในสหรัฐอเมริกาครั้งนี้ด้วยนะคะ!!

Hello guys! In this episode, I will be reviewing my working experience in Myrtle Beach, South Carolina. Let’s find out what make me decided to move out from the city and find a new jobs!!
I hope you enjoy watching this video and don’t forget to hit that subscribe button for the upcoming contents.
Thank you again for watching. Any suggestions or feedback for my videos are also welcome on the comment section below~ 🙂

♡ S O C I A L S
Instagram: @minniemuii https://www.instagram.com/minniemuii/
Facebook page: minniemuii https://web.facebook.com/Minniemuii102284082194342/
♡ P R O D U C T I O N
Camera: iPhone 11
Editing program: iMovie, Final Cut Pro X (by @proudwerful)
♡ Tags: minniemuii | vlog | travel | work and travel 2021 | USA | Trip | Myrtle Beach | South Carolina | หางานที่เมกา | ทำงานที่เมกา | บินไปเมกา | ไปเมกา |
minniemuii vlog USA

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูเพิ่มเติม

Work \u0026 Travel ’21 🇺🇸 | ทำงานร้านขนมที่เมกาต้องเจออะไรบ้าง | อย่าเพิ่งมาถ้ายังไม่ได้ดูคลิปนี้!!!

ทำงานในอเมริการายได้วันละ 10,000 บาท ฉบับเด็กเวิร์คแอนด์ทราเวล


หวังว่าจะชอบกันน้าา 🙂
อยากทำคลิป Q\u0026A มีอะไรอยากรู้เพิ่มเติมถามได้เลยนะครับ

background music:
Summer Sam Sam Back to 80
Outdoor Tired

ทำงานในอเมริการายได้วันละ 10,000 บาท ฉบับเด็กเวิร์คแอนด์ทราเวล

work and travel 🇺🇸 2021 ep.2 | ค่าใช้จ่ายในการกินอยู่ Williamsburg ✨


work and travel 🇺🇸 2021 ep.2 | ค่าใช้จ่ายในการกินอยู่ Williamsburg ✨

Work and Travel America 🇺🇸 เวิร์ค​แอนด์​ทราเวลอเมริกา​ คืออะไร?​ ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่​? |Kanda​ JeDa​


🗽ถือโอกาส​ลงวีดีโอ​ในวัน Independence Day​(วันประกาศอิสรภาพของอเมริกา)​ 🎆
แบ่งปันข้อมูลโครงการ Work and Travel​America​ 🇺🇸
โครงการนี้เป็นโครงการที่ดีมากๆๆๆ
นอกจากจะเป็นการเปิดหูเปิดตาแล้วยังเป็นการสร้างประสบการณ์และความทรงจำดีๆให้อย่างไม่มีวันลืม
เป็นการจ่ายที่เกินคุ้ม​ เพราะถ้าเราตั้งใจขยันทำงานก็จะได้เงินกลับมามากกว่าที่เสียไปซะอีก​ แถมได้ท่องเที่ยวแบบชีวิตแฮปปี้สุดๆไปเลย
แอบเสียดายที่สมัยนั้นยังไม่คิดทำช่องยูทูป เลยไม่มีวีดีโอเก็บไว้เลย มีแต่รูปถ่ายที่คอยเตือนเป็นความทรงจำดีๆ
กี้ตั้งใจจะทำวีดีโอนี้มานานแล้ว แต่ก็พึ่งมีโอกาส​ได้ทำ เพราะเฟสบุ๊คแจ้งเตือนจึงทำให้คิดได้ว่าลืมทำคลิปแบ่งปันข้อมูลและประสบการณ์​ 😅
ไม่ได้เป็นเอเจนซี่นะคะ แค่แบ่งปันในฐานะผู้ที่เคยเข้าร่วมโครงการค่ะ
Facebook:
https://www.facebook.com/Kandajeda/
Instagram:
https://www.instagram.com/kanda_jeda/
YouTube:
https://www.youtube.com/channel/UCHdttRgrxIBPfddFsBwIsxw
Workandtravel WorkandtravelUSA WorkandtravelAmerica America USA WAT life work traveling kandajeda

Work and Travel America 🇺🇸 เวิร์ค​แอนด์​ทราเวลอเมริกา​ คืออะไร?​ ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่​? |Kanda​ JeDa​

ค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการไป work\u0026travel ที่ Disney World (TH)


ค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการไป work\u0026travel ที่ Disney World (TH)
1. ค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับ
2. ค่าประกันสุขภาพ/อุบัติเหตุ
3. ค่าทำวีซ่า
4. ค่าบ้านส่วนกลาง
5. เงินติดตัว เอาได้ใช้ก่อนที่จะได้เงินจากที่ทำงานเพราะไปใหม่ก็ต้องซื้อนู้นนี่ อันนี้แล้วแต่คนเลยอะ
Disney Work \u0026 Travel Playlist: https://www.youtube.com/playlist?list=PL15FESP2SPYJHjlW013xl0vnqdbLO6abQ
More : Instagram https://www.instagram.com/ffang.tf/

ค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการไป work\u0026travel ที่ Disney World (TH)

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูบทความเพิ่มเติมในหมวดหมู่LEARN FOREIGN LANGUAGE

ขอบคุณมากสำหรับการดูหัวข้อโพสต์ ค่าใช้จ่าย work and travel

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *