Skip to content
Home » [NEW] Question Sentences ประโยคคำถาม | ประโยค yes no question – NATAVIGUIDES

[NEW] Question Sentences ประโยคคำถาม | ประโยค yes no question – NATAVIGUIDES

ประโยค yes no question: นี่คือโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้

Post on 16 / 02 / 20

by: English Hero

1.6K viewed

Table of Contents

ประโยคคำถาม (Question Sentences หรือ Interrogative sentence)

 

      หมายถึง ประโยคหรือกลุ่มคำที่ผู้พูดหรือผู้เขียนต้องการให้ผู้ฟังหรือผู้อ่านให้คำตอบ ซึ่งอาจจะเป็นคำตอบสั้น ๆ ว่า  yes  หรือ  no  หรือเป็นคำตอบที่เป็นคำเดียว เป็นกลุ่มคำ หรือเป็นประโยค 

 

ประเภทของประโยคคำถาม

 

1. Yes/No questions

  1. Yes/No questions  ได้แก่คำถามที่ผู้ตอบมักจะต้องตอบรับหรือตอบปฏิเสธ คือ ตอบ  yes หรือ  no  คำถามประเภทนี้ สร้างขึ้นจากประโยคบอกเล่า  ในประโยคที่ใช้ tense ต่าง ๆที่มีกริยาช่วย หรือในประโยค ที่มี BE เป็นกริยาแท้เป็น   present simple tense หรือ past simple tense มักวางประธานและกริยา สลับที่กันกลายเป็นประโยคคำถาม Yes/No questions  การตอบคำถามส่วนมากจะเริ่มด้วยคำตอบ yes หรือ no  ตามข้อเท็จจริงที่ผู้ตอบต้องการสื่อและตามด้วยข้อมูลเพิ่มเติมซึ่งอาจจะเป็นข้อความสั้น ๆ ที่อยู่ในรูปของ  declarative sentence

กริยาช่วย + ประธาน + กริยาแท้……..?

Declarative Sentence

Question

Answer

That is our new English teacher.

Is that our new English teacher?

Yes./ Yes, that’s right./ Yes, it is.

I am from Thailand.

Are you from Thailand?

Yes, I am.

He is studying at my university.

Is he studying at your university?

Yes, he is. 

He has left for the airport.

Has he left for the airport?

Yes./ Yes, he has.

 

                    

 

     ประโยคที่มีกริยาอื่น ๆ เช่น walk, play, leave, study, etc.  เป็นกริยาแท้และอยู่ใน present simple tense ต้องใช้กริยาช่วย  do  หรือ  does ในประโยคคำถาม  ดังตัวอย่าง  

 

Declarative Sentence

Question

Answer

He walks to school.

Does he walk to school?  

Yes./ Yes, he does.

They play tennis.

Do they play tennis?

Yes, they do./ No, they don’t.

I play badminton.      

Do you play badminton?      

Yes, I do./ No, I don’t.

We like Italian food.

Do you like Italian food?

Yes, we do./ No, we don’t.

 

ใช้กริยาช่วย  did ในประโยคที่มีกริยาแท้อยู่ใน past simple tense เมื่อเปลี่ยนประโยคบอกเล่าเป็นประโยคคำถาม   ดังตัวอย่าง

Declarative Sentence

Question

Answer

Korn studied in Bangkok.

Did Korn study in Chiang Rai?

No, he didn’t.  He studied in Bangkok.

The boys studied in Bangkok.

Did the boys study in Bangkok?

Yes, they did./ No, they didn’t.

 


                    
ในประโยคที่มี  do  และ have เป็นกริยาแท้และอยู่ใน present simple tense ต้องใช้กริยาช่วย  do  หรือ  does ในประโยคคำถาม  และใช้กริยาช่วย  did เมื่อ do  หรือ have อยู่ใน past simple tense  ดังตัวอย่าง  

Declarative Sentence

Question

Answer

He does his homework after school.

Does he do his homework after school?  

Yes, he does./ No, he doesn’t.

They always do the work by themselves.

Do they always do the work by themselves?

Yes, they do./ No, they don’t.

I did that alone. 

Did you do that alone?      

Yes, I did./ No, I didn’t.

We have Italian food once a week.

Do you have Italian food once a week?

Yes, we do./ No, we don’t.

We had Chinese food yesterday.

Did you have Chinese food yesterday?

Yes, we did./ No, we didn’t.

 

2. Wh-questions

  1. Wh-questions ได้แก่คำถามที่ผู้ตอบจะต้องให้ข้อมูลแก่ผู้ถามตาม Wh-word ที่วางไว้ต้นประโยคคำถาม เช่น

                          Q:  Where did Korn study?  

                          A:  He studied in Bangkok.   

                        Wh-words ซึ่งใช้นำหน้าประโยคคำถาม ได้แก่คำต่อไปนี้    who (ใคร = subject), whom (ใคร = object), what (อะไร = subject และ object), when (เมื่อไร), where (ที่ไหน),

how (อย่างไร), which (คน/อัน/สิ่งไหน), whose (ของใคร), why (ทำไม) การสร้างประโยคคำถามด้วย Wh-words

                    2.1 Who ใช้เมื่อถามถึงประธานของประโยคที่เป็นคน

การเรียงคำในประโยคคำถามเหมือนการเรียงคำในประโยคบอกเล่าดังนี้

Wh-word (= ประธานของประโยค) + กริยา (= present simple หรือ past simple)?

Wh-word (= ประธานของประโยค) + กริยา (= aux. verb + main verb เมื่อเป็น tense อื่น)?  

                      นอกจาก  who ที่ใช้ถามถึงประธานของประโยคแล้วยังใช้ what, which, whose, how many ได้ ซึ่งเรียงคำในประโยคแบบเดียวกับ  who 

                    2.2 Whom ใช้เมื่อถามถึงบุคคลที่เป็นกรรมของประโยค 

                      หมายเหตุ  ปัจจุบันนิยมใช้  who  แทน  whom  โดยเฉพาะในภาษาพูดและภาษาไม่เป็นทางการ

                      การเรียงคำในประโยคคำถาม   ประธานของประโยค จะต้องวางสลับกับ กริยาช่วย  ดังนี้

                      – ในประโยคที่ใช้ tense ต่าง ๆ ที่มีกริยาช่วย วางประธานและกริยาช่วยสลับที่กัน   ในประโยคที่มี BE เป็นกริยาแท้ อยู่ใน  present simple tense หรือ past simple tense ต้องวางประธานและกริยา BE สลับที่กัน 

                  – ในประโยคที่มีกริยาอื่น เช่น  walk, buy, come, etc. เป็นกริยาแท้ อยู่ใน  present simple ต้องใช้ does วางหน้าประธานที่เป็นบุรุษที่ 3 เอกพจน์  และใช้ do  วางหน้าประธานที่เป็นบุรุษอื่น ๆ  แล้วเปลี่ยนกริยาแท้ให้อยู่ในรูป V base form วางไว้หลังประธาน  ถ้ากริยานั้นเป็น  past simple ให้ใช้  did วางหน้าประธานได้ทุกบุรุษ แล้วเปลี่ยนกริยาแท้ให้อยู่ในรูป  V base form วางไว้หลังประธาน

 

                 2.3 Whose ใช้เพื่อถามว่าใครเป็นเจ้าของของสิ่งของสิ่งหนึ่งหรือจำนวนหนึ่ง  ใช้คังนี้

                           whose:  Whose are these?   หรือ

                           whose + noun:  Whose car ran the fastest?  ประโยคคำถามนี้  “Whose car”

                  เป็นประธานของประโยค  รูปประโยคมีลักษณะดังนี้

                           whose + noun (= ประธานของประโยค) + กริยา (= present simple หรือ past simple)

                           Whose book are you reading? ประโยคคำถามนี้  Whose book เป็นกรรมของประโยค

                   รูปประโยคมีลักษณะดังนี้

                           whose + noun (=กรรม) + กริยาช่วย + ประธาน + กริยาแท้

 

                   2.4 Which  ใช้เพื่อถามว่า คนไหน/อันไหน/สิ่งไหน   ใช้ในลักษณะเดียวกับ whose คือมีนามตามมา หรือไม่มีคำนามตามมา   และใช้เป็นประธานหรือกรรมของประโยคก็ได้  เช่น

                           Which car ran the fastest? (Which car = subject) การเรียงคำในประโยคมีลักษณะดังนี้ 

                           which + noun (= ประธานของประโยค) + กริยา (= present simple หรือ past simple)

                           Which book did you buy? (Which book = object) การเรียงคำในประโยคมีลักษณะดังนี้ 

                           which + noun (= กรรม) + กริยาช่วย + ประธาน + กริยาแท้

 

                      2.5 What  มีความหมายว่าอะไร  ส่วนมากใช้เพื่อถามถึงสิ่งของ  มีคำนามตามมาหรือไม่มีคำนามตามมาก็ได้  และใช้เป็นประธานหรือกรรมของประโยคได้   เช่น

                   What made that noise? (What = subject)

                   What animals live on plants?  (What animals = subject) การเรียงคำในทั้ง 2 ประโยค มีลักษณะดังนี้

                   what/ what + noun (= ประธานของประโยค) + กริยา(= present simple หรือ past simple)                                  

                   What did he drink? (What = object)

                   What musical instrument does he play? (What musical instrument = object)

                      การเรียงคำในทั้ง 2 ประโยคมีลักษณะดังนี้ 

                    what/ what + noun (= กรรม) + กริยาช่วย + ประธาน + กริยาแท้

 

                      2.6 When  มีความหมายว่าเมื่อไร ใช้ถามถึงเวลาซึ่งทำหน้าที่เป็นส่วนขยายของประโยค   เช่น

                           When did he leave?

                           When will they arrive?

                      การเรียงคำในทั้ง 2 ประโยคมีลักษณะดังนี้ 

                           when + กริยาช่วย + ประธาน + กริยาแท้

 

                      2.7 Where มีความหมายว่าที่ไหน  ใช้ถามถึงสถานที่   ซึ่งทำหน้าที่เป็นส่วนขยายของประโยค เช่น

                                  Where are the boys?

                                  Where were the boys?

                           ใน  2  ประโยคนี้มี BE เป็นกริยาแท้ อยู่ใน present simple tense และ past simple tense

                      ต้องวางประธานและกริยา BE สลับที่กันดังนี้ 

                           where +  BE  (= กริยาแท้) + ประธาน

                                 Where did he study?

                                  Where are they going?

                           ในประโยคที่กริยาแท้เป็นกริยาอื่น เช่น study, go walk, eat, etc. การเรียงคำในประโยค

                      ต้องมีลักษณะดังนี้ 

                           where + กริยาช่วย + ประธาน + กริยาแท้

 

 

                      2.8 Why มีความหมายว่าทำไม ใช้ถามถึงเหตุผล ซึ่งทำหน้าที่เป็นส่วนขยายของประโยค เช่น

                           Why did he leave early?

                           Why is he crying?

                      การเรียงคำในทั้ง 2 ประโยคมีลักษณะดังนี้ 

                           why + กริยาช่วย + ประธาน + กริยาแท้

 

                      2.9 How มีความหมายว่าอย่างไร  ใช้ถามถึงลักษณะการกระทำว่าเป็นอย่างไร

                                      -ทำหน้าที่เป็นส่วนขยายของประโยค  

                           Ex:   How are the boys?

                                   How were the boys?

                           ใน 2 ประโยคนี้มี BE เป็นกริยาแท้ อยู่ใน  present simple tense และ past simple tense ต้องวางประธานและกริยา  BE  สลับที่กันดังนี้ 

                           how +  BE  (= กริยาแท้) + ประธาน

                           Ex:   How did he go to school?

                                    How are they going to the station?

                           ในประโยคที่กริยาแท้เป็นกริยาอื่น เช่น study, go, walk, eat, etc.

                      การเรียงคำในประโยค ต้องมีลักษณะดังนี้ 

                           how + กริยาช่วย + ประธาน + กริยาแท้

                           how ใช้กับคำคุณศัพท์หรือคำกริยาวิเศษณ์ได้  เช่น

                           How old is the boy?

                           How often did he go to the cinema?

                           How many people came to the party?

                           How much water must we drink?

                           สำหรับ  how many + N และ how much + N  ใช้เป็นประธานได้และเรียงคำในประโยคเหมือน who  หรือใช้เป็นกรรมของประโยคและเรียงคำในประโยคเหมือน whom

 

 

 

ตัวอย่างการตั้งคำถามและการตอบคำถามให้สอดคล้องกับคำถาม

QUESTION

ANSWER

Wh-word as subject

Aux. verb       

Main verb  

Others (Adv. / Prep phr.)

Who

 

came

yesterday?

Lily.

Who

 

is

in the room?

Peter.

Who

has

got

John’s address?

The secretary.

Which boy

 

won

the game?

Henry from Class A.

Whose student

is going to 

enter

the competition?

Mr. Brown’s.

What

 

made

him cry?

The loud noise.

 

 

 

การเรียงคำในประโยคคำถามข้างต้นเหมือนในประโยคบอกเล่า

QUESTION

ANSWER

WH-word

Aux. verb  

Subject  

Aux. verb

Main verb

Others (Adv./Prep phr.)

Whom

did

you

 

ask?

 

His father.

What

is

he

 

doing?

 

He’s studying for the exam.

Why

did

she

 

leave

early?

She wasn’t feeling well.

When

will

he

 

move

to Bangkok ?

Soon./ Next month.

Where

does 

he

 

live?

 

He lives on Wireless Road.

How

did

you

 

open

that can?

I used this opener.

How long

has

he

been

working

there?

For 4 years.

                      การเรียงคำในประโยคคำถามข้างต้น   ประธานของประโยค จะต้องวางสลับกับกริยาช่วย 
                      การตอบคำถามผู้ตอบจะต้องให้ข้อมูลแก่ผู้ถามตาม Wh-word ที่วางไว้ต้นประโยคคำถาม 

 

 

3. Tag Questions

  1. Tag Questions ได้แก่คำถามที่ส่วนหน้าเป็นรูปประโยคบอกเล่าหรือรูปประโยคปฏิเสธ และต่อท้ายหรือต่อส่วนสร้อยด้วยข้อความสั้น ๆ มีรูปเป็นคำถามคือ วางประธานและกริยาสลับที่กัน Tag question มีโครงสร้างดังนี้

                           ประโยคบอกเล่า, ส่วนสร้อยกริยาอยู่ในรูปปฏิเสธ 

                           ผู้ถามคาดหวังคำตอบ yes  

                                Peter has already gone home, hasn’t he?

                                ประโยคปฏิเสธ, ส่วนสร้อยกริยาอยู่ในรูปบอกเล่า

                                ผู้ถามคาดหวังคำตอบ no  

                                Peter hasn’t gone home yet, has he?

                           ส่วนที่เป็นคำถามต่อท้ายของ tag question จะประกอบด้วยกริยาช่วยและประธานที่เป็นคำสรรพนาม กริยาช่วยจะเป็นกริยาช่วยตัวเดียวกับที่อยู่ในส่วนหน้า  แต่เป็นรูปที่ต่างกัน คือ ถ้าส่วนหน้าเป็นรูปประโยคบอกเล่า  กริยาช่วยส่วนท้ายจะเป็นรูปปฏิเสธย่อ   ถ้าส่วนหน้าเป็นรูปประโยคปฏิเสธ กริยาช่วยส่วนต่อท้ายจะเป็นบอกเล่า   เช่น

                                John can come, can’t he?

                                John can’t come, can he?

                                Your sister has arrived, hasn’t she?

                                Your sister hasn’t arrived, has she?

                                Henry is working in the garden, isn’t he?

                                Henry isn’t working in the garden, is he?

                           ถ้าประโยคบอกเล่าส่วนหน้ามีกริยาแท้ที่เป็น present tense  ส่วนสร้อยจะต้องใช้ don’t  หรือ  doesn’t  แทนกริยาเดิม   ถ้ากริยาแท้เป็น past tense ส่วนสร้อยจะต้องใช้ didn’t  เช่น

                                You like Chinese food, don’t you?

                                He always comes to class late, doesn’t he?

                                Jim came home late, didn’t he?

                           ถ้าประโยคบอกเล่าส่วนหน้ามีกริยา BE หรือ have  เป็นกริยาแท้  ส่วนสร้อยจะใช้กริยา BE หรือ have  รูปปฏิเสธ  เช่น

                                He was late, wasn’t he?

                                She has two children, hasn’t she?

                                แต่   I am late, aren’t I?  (รูปปฏิเสธของ am  ให้ใช้  aren’t)

                           การทำประโยคคำสั่งเป็น tag question   ให้เติม   ‘will you?’/ ‘won’t you?’/ ‘can’t you?’ ต่อท้ายซึ่งใช้เมื่อพูดขอร้องโดยอาจจะแสดงถึงความรำคาญ หรือในการเชื้อเชิญอย่างเป็นกันเอง  และสำหรับพูดขอร้องธรรมดา อาจจะใช้  could you?/ can you?/ would you? ต่อท้ายประโยคคำสั่ง   เช่น 

                                Stop talking, will you?

                                Sit down, will you?

                                Stop making that noise, can you?

                                Come a little bit early, can you?

 

 

ที่มา: http://www.stou.ac.th/schools/sla/b.a.english

 

[Update] [Grammar] เทคนิคการเปลี่ยนรูป Direct และ Indirect Speech ฉบับสมบูรณ์ (ม้วนเดียวจบ) | ประโยค yes no question – NATAVIGUIDES

เทคนิคการเปลี่ยนรูป Direct and Indirect Speech ฉบับสมบูรณ์ (ม้วนเดียวจบ)

บางคนมีปัญหาและข้อสงสัยเกี่ยวกับหลักการเปลี่ยนประโยค Direct Speech ให้เป็น Indirect Speech หลายคนยังใช้รูปประโยคแบบผิดๆเวลาเขียน Essay IELTS มาส่งอาจารย์ วันนี้ เราลองมาดูกันจริงๆว่าประโยค Indirect Speech นั้นมีกี่แบบ และเรามีวิธีการเปลี่ยนรูปประโยคแต่ละแบบอย่างไร ดีกว่าค่ะ ^^

Direct & Indirect Speech

Reported Speech คืออะไร?

Reported Speech คือ วิธีการที่เราจะนำเอาคำพูดของใครคนหนึ่งไปเล่าต่อให้คนอื่นฟัง ซึ่งมีด้วยกันจริงๆ 2 รูปแบบ นั่นก็คือ Direct Speech และ Indirect Speech ค่ะ

นอกจากนี้ ในตัวของ Reported Speech เอง จะประกอบไปด้วย 2 ส่วนหลักๆ ได้แก่ The Reporting Clause และ The Reported Clause. The Reporting Clause จะประกอบด้วยกริยานำ(reporting verbs) ยกตัวอย่างเช่น say, tell, ask, reply, shout ซึ่งมักอยู่ในรูปของ Past Simple และในส่วนของ The Reported Clause จะเป็นสิ่งที่ผู้พูดได้เริ่มกล่าวไว้ ลองดูตัวอย่างตามตารางด้านล่างนี้นะคะ

reporting clause

reported clause

William said,
“I need your help.”

Then a man shouted,
“Get out of there, fast!”

The postman said
he had a package for us.

Steve told me
He’s thinking of moving to Morocco.

 

ทีนี้เราลองมาดูว่ารูปแบบทั้ง 2 รูปแบบของ reported speech มีอะไรกันบ้างค่ะ

  1. Direct speech คือ การเอาคำพูดคนอื่นมาพูดแบบตรงๆ โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประโยค

    ประโยคลักษณะนี้จะสังเกตุได้ง่ายเพราะมีตัวช่วย คือ เครื่องหมาย Quotation mark

    “……”

    ตัวอย่างเช่น

  • Jamie said, “I will wash all the dishes.”

  • Kim said, “I like Mathematics.”

หรือสลับตำแหน่งกันก็ได้ “ I will wash all the dishes,” Jamie said.

** ข้อควรจำ** หลังประโยคหลักจะถูกคั่นด้วย comma เสมอ และประโยคในเครื่องหมาย quotation mark จะขึ้นต้นด้วยตัวพิมพ์ใหญ่ แต่ในประโยคตัวอย่างที่สองถ้าเอาประโยคที่เป็นคำพูดไว้ด้านหน้าและใส่ชื่อคน พูดไว้ด้านหลัง เวลาที่จบประโยคในเครื่องหมายคำพูดให้ใส่ comma แล้วค่อยปิดท้ายด้วย quotation mark แล้วจึงใส่ชื่อคนพูดต่อท้ายค่ะ

 

  1. Indirect speech – คือ การนำคำพูดไปเล่าต่อโดยอีกบุคคลหนึ่ง

    หรืออาจเรียกว่า “คำพูดที่ถูกนำไปรายงาน” เครื่องหมายคำพูด (Quotation Mark) จึงไม่ต้องใส่อีกต่อไป

    ซึ่งการพูดแบบนี้โครงสร้างประโยคเดิมจะถูกเปลี่ยนแปลงนะคะ

ทั้งนี้การเปลี่ยนประโยคคำพูดเป็น Indirect Speech จะมีหลักด้วยกัน 4 ประการ ดังนี้
1. เปลี่ยนแปลง Tense
2. เปลี่ยนแปลง Personal Pronoun
3. เปลี่ยนแปลง Nearness เป็น Remoteness
4. เปลี่ยนแปลง Reporting Verb (กริยาในประโยคนำ)

Indirect speech สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ตามนี้เลยค่ะ

2.1 Indirect speech – statements คือการรายงานในรูปแบบประโยคบอกเล่าหรือปฏิเสธ
2.2 Indirect speech – commands, requests and suggestions คือ การรายงานประโยคที่เป็นประโยคขอร้อง ประโยคคำสั่ง หรือ ขออนุญาต
2.3 Indirect speech – questions คือการรายงานในลักษณะที่เป็นประโยคคำถาม

ลองมาดูวิธีการเปลี่ยนรูปแบบในแต่ละประเภทกันนะคะ

หลักการเปลี่ยนประโยคบอกเล่าหรือปฎิเสธ – Statement

กฏการเปลี่ยน Direct Statement เป็น Indirect Statement
1. ตัดเครื่องหมาย comma (,) ออก

2.เอาเครื่องหมายคำพูด(Question mark) ออก
3. จะเติม that หลัง Reporting Verbs หรือไม่ก็ได้
4. เปลี่ยนสรรพนามให้เหมาะสม
5.เปลี่ยนคำระบุเวลาต่อไปนี้ จาก ใกล้ –>ไกล

 

คำระบุเวลาที่ต้องเปลี่ยนรูปใน Indirect Speech

Time Phrase Changes - Direct Indirect Speech

คำที่ต้องเปลี่ยนจาก ใกล้ ให้เป็น ไกล ใน Indirect Speech

Place-Direct-Indirect-Speech

6.ถ้า Verb ใน Direct Speech เป็น Present ไม่ต้องเปลี่ยนแปลง Tense เมื่อทำเป็น Indirect Speech แต่ถ้า Verb ใน Direct Speech เป็น Present ต้องเปลี่ยนแปลง Tense ใน Indirect Speech เป็นรูปอดีต เช่น

 

Present simple tense —> past simple tense

เช่น

Direct speech : Kim said, “We work for the city council.”
Indirect speech : Kim said (that) they worked for the city council.

Present continuous tense —> past continuous tense

เช่น

Direct speech : Martin said, “I’m doing the washing.”
Indirect speech : Martin said (that) he was doing the washing.

Past simple tense —> past perfect tense

เช่น

Direct speech : She said, “I decided to leave earlier today.”
Indirect speech : She said (that) she had decided to leave earlier that day.

Past continuous tense —> past perfect continuous tense

เช่น
Direct speech : Jimmy said, “I was driving a lorry”
Indirect speech : Jimmy said (that) he had been driving a lorry.

Present perfect tense —> past perfect tense

เช่น
Direct speech : She said, “My mom haven’t arrived yet.”
Indirect speech : She said (that) her mom hadn’t arrived yet.

Future simple tense (will) —> future (past form) tense (would)

เช่น
Direct speech : She said, “I will submit my homework tomorrow.”
Indirect speech : She said (that) she would submit her homework the following day.

Can —> could

เช่น
Direct speech : Bom said, “I can’t speak Thai.”
Indirect speech : Bom said (that) he couldn’t speak Thai.

May —> might

เช่น
Direct speech : The HR manager said, “The company may cancel the trip.”
Indirect speech : The HR manager said (that) the company might cancel the trip.

 

** ข้อควรระวัง ** ถ้าข้อความใน Direct Speech เดิมเป็นเรื่องจริง (Facts) โดยทั่วไป ซึ่งไม่ขึ้นอยู่กับเวลาในขณะที่กล่าวข้อความนั้น หรือข้อความใน Direct Speech เป็นเรื่องของความเป็นปกติวิสัย (Habitual Actions) ทั้ง 2 กรณีนี้ ต้องใช้กับ Present Tense เสมอ

 

ตารางการเปลี่ยน Tense ใน Indirect Speech

Tense-Direct-Indirect-Speech

หลักในการเปลี่ยนประโยคคำสั่ง อนุญาต เสนอแนะ และขอร้อง – Commands or Requests

หลักในการเปลี่ยนก็จะมีการเปลี่ยน Tense หรือ ข้อความบอกเวลาและข้อความที่บ่งบอกความใกล้-ไกล เหมือนกับ Reported Statement แต่จะมีจุดที่แตกต่างกัน ดังนี้นะคะ

  1. ใช้กริยานำ คือ tell/told (บอก), order/ordered (สั่ง), ask/asked (ขอร้อง), command/commanded (สั่ง)

  2. ถอดเครื่องหมายคำพูดออก

  3. เราจะใช้ to + V1 ในการขอร้อง แนะนำ บอก หรือ สั่งให้ทำ ถ้าเป็นปฏิเสธหรือห้ามทำ ให้ใช้

    not to + V1 อีกประการหนึ่งก็คือถ้าประโยค Direct Speech นั้นไม่มีกรรม ให้เติมกรรมลงไปในประโยค Indirect Speech ด้วย และถ้าหากมีคำว่า “Please” ในประโยค Direct Speech ให้ตัดทิ้งด้วยเช่นกัน เช่น

Direct Speech: He asked, “Please let me go to the party.”
Indirect Speech: He asked me to let her go to the party.

Direct Speech: Doctor advised, “Don’t smoke”
Indirect Speech: Doctor advised me not to smoke.

  1. เปลี่ยนสรรพนามตามความเหมาะสม

 

หลักการเปลี่ยนประโยคคำถาม – Question

ในการเปลี่ยนประโยคคำถามจะแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะคือ

  1. ประโยคคำถามที่เป็น Yes/No question

ในประโยคคำถามเราจะไม่ใช้กริยาในประโยคหลักเป็น say/said แล้ว แต่จะใช้เป็น ask, inquire, want to know หรือ wonder แทน ส่วน Tense ก็จะมีการเปลี่ยนเช่นเดียวกับประโยคบอกเล่า

ในประโยคคำถามจะใช้ if, whether, whether…or not หรือ whether or not ในการเชื่อมประโยคแทน และจะไม่ใส่เครื่องหมาย ? ท้ายประโยค รูปประโยคจึงมีหน้าตาเหมือนกับประโยคบอกเล่าธรรมดา แต่มีความหมายเป็นคำถาม ตัวอย่างเช่น

  • They asked if they could leave then.

  • Sarah wanted to know that whether the Minister had answered her questions or not.

  • He wondered if that soup tasted good.

  1. ประโยคคำถามที่ขึ้นต้นด้วย Wh-question

    คำกริยาหลักในประโยคยังคงเหมือนกับแบบ Yes/No question เพียงแต่ใช้คำแสดงคำถามหรือ Wh-question words เข้ามาเชื่อมประโยคแทน และการเรียงลำดับคำในประโยคจะเรียงเหมือนกับประโยคบอกเล่า (ประธาน + (กริยาช่วย) + กริยา + กรรม) จะไม่เหมือนการเรียงประโยคคำถาม ( Wh-words + กริยาช่วย + ประธาน + กริยา) เช่น

Direct speech : They asked, “Who can speak English?”
Indirect speech : They asked who could speak English.

Direct Speech: He said to her, “How did you make it?”
Indirect Speech: He asked her how she had done it.

กฏของการเปลี่ยน Indirect Question
1. ถอดเครื่องหมายคำพูด (Quotation mark) ออก
2. reporting verb ต้องเป็น ask , asks หรือ asked แล้วตามด้วยคำเชื่อม ถ้าคำถามเดิมขึ้นต้นด้วย Question Word ก็ใช้เชื่อมได้เลย แต่ถ้าคำถามเดิมขึ้นต้นด้วย Helping V. ให้ใช้ if หรือ whether เชื่อม
3. การลำดับคำให้อยู่ในรูปประโยคบอกเล่า ตัดเครื่องหมาย ? ออกใส่ full stop แทน
4. มีการเปลี่ยนแปลงสรรพนามให้เหมาะสม และเปลี่ยนแปลง Tense ถ้ากริยานำเป็น Past

 

ใครอ่านมาถึงตรงนี้น่าจะเห็นภาพรวมทั้งหมดของการเปลี่ยนรูปจาก Direct Speech เป็น Indirect Speech แล้วนะคะ จะเห็นได้ว่าไม่ยากเลย เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์มากๆเมื่อต้องนำไปใช้ในการสอบ IELTS ค่ะ ^^

Oxbridge Institute


ภาษาอังกฤษ ป 4 การใช้ can ในรูปประโยคคำถาม ครั้งที่ 2


การใช้ Can ในรูปประโยคคำถามโดยการตอบด้วย Yes หรือ No

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูความรู้เพิ่มเติมที่นี่

ภาษาอังกฤษ ป 4  การใช้ can ในรูปประโยคคำถาม ครั้งที่ 2

ฝึกแต่งประโยค | คำถาม-คำตอบ | Yes-No questions | สำหรับผู้เริ่มเรียน | @เรียนง่ายภาษาอังกฤษ


ฝึกพูดภาษาอังกฤษ ฝึกแต่งประโยค ภาษาอังกฤษ
คลิปวีดีโอฝึกสอนการแต่งประโยคคำถามคำตอบ Yes No questions สำหรับผู้เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษแบบมีตัวอย่างประกอบอธิบายละเอียดชัดๆ

ฝึกแต่งประโยค | คำถาม-คำตอบ | Yes-No questions | สำหรับผู้เริ่มเรียน | @เรียนง่ายภาษาอังกฤษ

โจ ภาณุพล – ประโยคคำถาม [Official Audio]


เพลง : ประโยคคำถาม ? (Single)
นักร้อง : โจ ภาณุพล เอกเพชร
เนื้อร้อง / ทำนอง / เรียบเรียง : ว่านไฉ
Produced By เหยินการดนตรี

โจ ภาณุพล คือ คนตัวเล็กๆ (เหรอออ) ที่เดินไปเดินมาในวงการบันเทิงทำโน่นนี่ นี่นั่น ตามแต่กำลังความสามารถ และกำลังทรัพย์ของผู้จ้างวาน (ซึ่งไม่เยอะ…เชื่อเถอะ)555++
แต่เค้าไม่เคยลืมที่จะกลับมาทำความฝันของเค้าให้เกิดขึ้นอีกครั้ง กับงานเพลงในฐานะนักร้องคนหนึ่ง 🙂
ประโยคคำถาม ? ซิงเกิ้ลล่าสุดจากผู้ชายอารมณ์ดีที่นึกอยากร้องเพลงนี้ให้คุณฟัง
เพราะเนื่องจากสภาวการณ์ปัจจุบัน ประชาชนส่วนใหญ่มักอยู่ในกิจวัตรที่เร่งรีบ
จึงอาจทำให้ลืมเอ่ยสิ่งสำคัญกับคนสำคัญ
ประโยคคำถาม? จึงถูกตั้งขึ้นเพื่อทวงถามให้หายสงสัยว่าสิ่งที่เธอคิดอยู่ในใจ
ตรงกันหรือไม่กับสิ่งที่เธอทำ ^_^

ฟัง / โหลด / โหวต / ชม เพลงและมิวสิกวิดีโอ ประโยคคำถาม? ได้ทาง www.truemusic.com

ติดตามผลงานและข่าวคราวความเคลื่อนไหวของ \”โจ ภาณุพล\” ได้ทาง
AF CHANNEL ทรู วิชั่นส์ ช่อง 65
True Fantasia Fanpage: www.facebook.com/afchannel
AF Channel Twitter : www.twitter.com/afchannel
True Fantasia Official Channel: http://www.youtube.com/AFfantasia
­
โจ ภาณุพล Fanpage : www.facebook.com/JoePanupol
โจ ภาณุพล Twitter : www.twitter.com/JoeAF2

โจ ภาณุพล - ประโยคคำถาม [Official Audio]

ทำประโยคที่มี verb to be ให้เป็น Yes/No question


พื้นฐานการใช้ verb to be และการทำประโยคที่มี verb to be ให้เป็น Yes/No question

ทำประโยคที่มี verb to be ให้เป็น Yes/No question

วิชาภาษาอังกฤษ ชั้น ม.1 เรื่อง การใช้ประโยค Yes/No question


สำหรับนักเรียนชั้น ป.5 ม.6 ทุกคนที่ต้องการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ ภาษาไทย และคณิตศาสตร์
นักเรียนสามารถทำแบบฝึกหัด และทำแบบทดสอบได้จาก เว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชันของเรา
Web: https://nockacademy.com/learn/
iOS: https://apple.co/2SKdksn
Android: http://bit.ly/2REzb7w
●สำหรับผู้ปกครองท่านใดที่สนใจ●
http://nockacademy.com
●สำหรับโรงเรียนใดที่สนใจ●
https://nockacademy.com/forschool/

วิชาภาษาอังกฤษ ชั้น ม.1 เรื่อง  การใช้ประโยค Yes/No question

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูบทความเพิ่มเติมในหมวดหมู่LEARN FOREIGN LANGUAGE

ขอบคุณที่รับชมกระทู้ครับ ประโยค yes no question

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *