Skip to content
Home » [NEW] Noun คืออะไร มีการใช้อย่างไร | ยกตัวอย่างเช่น – NATAVIGUIDES

[NEW] Noun คืออะไร มีการใช้อย่างไร | ยกตัวอย่างเช่น – NATAVIGUIDES

ยกตัวอย่างเช่น: นี่คือโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้

Noun หรือที่แปลเป็นไทยว่า “คำนาม” ถือเป็นหนึ่งในหัวข้อแกรมม่าพื้นฐานภาษาอังกฤษที่สำคัญ

สำหรับใครที่ยังไม่ค่อยแม่นเรื่อง noun ในบทความนี้ ชิววี่ก็ได้เรียบเรียงเนื้อหามาให้แล้ว ทั้งนิยามของ noun ประเภทของ noun การใช้ noun รวมไปถึงวิธีการดู noun จาก noun suffix เอาล่ะ ถ้าเพื่อนๆพร้อมแล้ว เราไปดูกันเลย

Noun คืออะไร

Noun (คำนาม) คือคำที่ใช้เรียกสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ กิจกรรม เหตุการณ์ หรือสิ่งที่เป็นนามธรรม ยกตัวอย่างเช่น

ชื่อคน ชื่อสัตว์ ชื่อสถานที่

  • John – จอห์น
  • Garfield – การ์ฟีลด์
  • Chiang Mai – จังหวัดเชียงใหม่
  • Doi Inthanon – ดอยอินทนนท์
  • Siam Paragon – ห้างสยามพารากอน
  • Suvarnabhumi Airport – สนามบินสุวรรณภูมิ

คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ กิจกรรม เหตุการณ์

  • Boy – เด็กผู้ชาย
  • Dog – สุนัข
  • Pen – ปากกา
  • School – โรงเรียน
  • Tennis – กีฬาเทนนิส
  • Wedding – งานแต่งงาน

สิ่งที่เป็นนามธรรม

  • Idea – ความคิด
  • Danger – อันตราย
  • Feeling – ความรู้สึก
  • Sadness – ความเศร้า
  • Happiness – ความสุข
  • Relationship – ความสัมพันธ์

เราจะรู้ได้ยังไงว่าคำไหนเป็น noun

นอกจากการเรียนรู้คำศัพท์แบบตรงๆแล้ว ยังมีอีกวิธีที่จะช่วยให้เรารู้ได้ว่าคำไหนเป็น noun ซึ่งก็คือการดู noun suffix

ทบทวนความรู้
Suffix คือรากศัพท์ที่ใช้วางหลังคำอื่น เพื่อให้เกิดเป็นคำใหม่ อย่างเช่น คำว่า teach ซึ่งแปลว่า “สอน” เมื่อใช้ร่วมกับ suffix -er จะเกิดเป็นคำใหม่คือ teacher ซึ่งแปลว่า “ครู”

Noun suffix คืออะไร

Noun suffix คือรากศัพท์ที่ใช้ลงท้าย noun อย่างเช่น -er ใน teacher, runner, writer หรือ -ee ใน employee, trainee, interviewee

การรู้ noun suffix ที่ใช้บ่อย จะทำให้เราสามารถเดาศัพท์ ว่าคำไหนเป็น noun ได้ถูกต้องมากขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีเวลาเราเจอศัพท์ที่ไม่รู้ความหมายหรือเวลาทำข้อสอบ

ตัวอย่าง noun suffix ที่ใช้บ่อย

Noun suffixตัวอย่าง noun-anceDistance – ระยะทาง
Insurance – ประกัน
Substance – สาร-domFreedom – อิสรภาพ
Kingdom – ราชอาณาจักร
Wisdom – ปัญญา-eeEmployee – ลูกจ้าง
Interviewee – ผู้ถูกสัมภาษณ์
Trainee – ผู้ได้รับการฝึก-eerEngineer – วิศวกร
Puppeteer – นักเชิดหุ่น
Volunteer – อาสาสมัคร-enceConfidence – ความมั่นใจ
Difference – ความต่าง
Silence – ความเงียบ-erReader – ผู้อ่าน
Teacher – ครู
Writer – นักเขียน-hoodChildhood – ช่วงวัยเด็ก
Motherhood – ความเป็นแม่
Neighborhood – ย่านใกล้เคียง-ionCelebration – การฉลอง
Decision – การตัดสินใจ
Option – ทางเลือก-ismCapitalism – ระบบทุนนิยม
Nationalism – ความเป็นชาตินิยม
Tourism – การท่องเที่ยว-istJournalist – นักข่าว
Psychologist – นักจิตวิทยา
Tourist – นักท่องเที่ยว-ityNationality – สัญชาติ
Possibility – ความเป็นไปได้
Responsibility – ความรับผิดชอบ-mentAdvertisement – โฆษณา
Entertainment – ความบันเทิง
Payment – การจ่ายเงิน, ค่าตอบแทน-nessBusiness – ธุรกิจ
Happiness – ความสุข
Thickness – ความหนา-orAuthor – นักเขียน
Doctor – หมอ
Director – ผู้กำกับ, ผู้อำนวยการ-ryDelivery – การส่งของ
Forestry – การป่าไม้
Laboratory – ห้องปฏิบัติการ-tyProperty – ที่ดิน, ทรัพย์สมบัติ
Society – สังคม
Warranty – การรับประกัน-shipFriendship – มิตรภาพ
Leadership – ความเป็นผู้นำ
Membership – ความเป็นสมาชิก

อย่างไรก็ตาม แม้ noun suffix จะช่วยให้เราเดาว่าคำไหนเป็น noun ได้ แต่ก็ไม่ได้แม่นยำ 100% เพราะคำบางคำก็ทำได้หลายหน้าที่ เช่น เป็นได้ทั้ง noun และ adjective เราต้องดูรูปประโยคประกอบ ว่าในประโยคนั้นมันทำหน้าที่อะไร

(เช่น คำว่า “military” ที่สามารถใช้เป็น noun แปลว่า “ทหาร” หรือ “การทหาร” และยังสามารถใช้เป็น adjective ได้อีกด้วย ซึ่งจะแปลว่า “ที่เกี่ยวข้องกับการทหาร”)

หรือคำบางคำที่ดูเหมือนจะลงท้ายด้วย noun suffix แต่จริงๆแล้วเป็นคำประเภทอื่น ก็พอมีอยู่บ้างเช่นกัน (เช่น คำว่า wary ที่ดูเหมือนจะลงท้ายด้วย noun suffix -ry แต่จริงๆแล้วเป็น adjective แปลว่า “ระมัดระวัง”)

Noun มีกี่ประเภท

หลักๆแล้ว เราสามารถแบ่งประเภทของ noun โดยใช้เกณฑ์ได้ 3 แบบ คือ

  • แบ่งตามปริมาณ แบ่งได้ 2 ประเภท (เอกพจน์และพหูพจน์)
  • แบ่งตามความนับได้หรือนับไม่ได้ แบ่งได้ 2 ประเภท (คำนามนับได้และคำนามนับไม่ได้)
  • แบ่งตามหมวดหมู่คำ แบ่งได้ 5 ประเภท (common noun, proper noun, concrete noun, abstract noun, collective noun)

เอกพจน์และพหูพจน์

ในด้านปริมาณ noun จะแบ่งได้เป็นคำนามเอกพจน์และคำนามพหูพจน์

คำนามเอกพจน์ (singular noun) คือคำนามที่แสดงถึงสิ่งที่มีจำนวนหนึ่งหน่วย ซึ่งก็คือคำนามรูปปกติทั่วไป เช่น student, pen, dish, foot, child

คำนามพหูพจน์ (plural noun) คือคำนามที่แสดงถึงสิ่งที่มีจำนวนตั้งแต่สองหน่วยขึ้นไป คำนามพหูพจน์จะเป็นคำนามที่เปลี่ยนรูปมาจากเอกพจน์ด้วยการเติม s หรือ es ต่อท้าย เช่น students, pens, dishes หรือบางคำก็ใช้การเปลี่ยนหรือเติมตัวอักษรอื่นแทน เช่น feet, children

ตัวอย่างคำนามเอกพจน์และพหูพจน์ก็อย่างเช่น

เอกพจน์ความหมายพหูพจน์ความหมายA studentนักเรียนหนึ่งคนTwo studentsนักเรียนสองคนA penปากกาหนึ่งด้ามFour pensปากกาสี่ด้ามThis dishจานใบนี้ (หนึ่งใบ)These dishesจานเหล่านี้ (หลายใบ)This footเท้าข้างนี้ (ข้างเดียว)My feetเท้าของฉัน (สองข้าง)A childเด็กหนึ่งคนAll childrenเด็กทุกคน

พจน์ของ noun จะมีผลต่อการเลือกใช้รูปคำกริยาในประโยค โดยเราจะใช้คำนามเอกพจน์กับคำกริยารูปเอกพจน์ (เช่น is, has, does, คำกริยารูปที่เติม s/es) และจะใช้คำนามพหูพจน์กับคำกริยารูปพหูพจน์ (เช่น are, have, do, คำกริยารูปที่ไม่ได้เติม s/es)

คำนามนับได้และคำนามนับไม่ได้

ในภาษาอังกฤษ noun จะแบ่งออกเป็นคำนามนับได้และคำนามนับไม่ได้

คำนามนับได้ (countable noun) คือคำนามที่นับจำนวนเป็นชิ้นเป็นอันได้ อย่างเช่น

  • Man (ผู้ชาย) – นับได้ว่ากี่คน
  • Cat (แมว) – นับได้ว่ากี่ตัว
  • Pen (ปากกา) – นับได้ว่ากี่ด้าม

คำนามนับไม่ได้ (uncountable noun) คือคำนามที่ตามธรรมชาติแล้วนับจำนวนเป็นชิ้นเป็นอันได้ยาก เรามักจะมองเป็นภาพรวมหรือเป็นกลุ่มก้อนมากกว่า อย่างเช่น

  • Water (น้ำ) – เราจะไม่นับน้ำว่ามีกี่หยด
  • Sugar (น้ำตาล) – เราจะไม่นับน้ำตาลว่ามีกี่เม็ด
  • Happiness (ความสุข) – ไม่สามารถนับเป็นชิ้นเป็นอันได้

เราสามารถทำคำนามนับไม่ได้ให้กลายเป็นคำนามนับได้ด้วยการกำหนดหน่วยเฉพาะให้มัน อย่างเช่น A glass of water (น้ำหนึ่งแก้ว), two teaspoons of sugar (น้ำตาลสองช้อนชา)

คำนามนับได้และนับไม่ได้จะมีความเกี่ยวข้องกับเอกพจน์และพหูพจน์คือ

  • คำนามนับได้จะมีทั้งรูปเอกพจน์และพหูพจน์ เช่น คำว่า cat เป็นเอกพจน์ มีรูปพหูพจน์คือ cats
  • คำนามนับไม่ได้จะมีแค่รูปเอกพจน์เท่านั้น (ยกเว้นเมื่อเรากำหนดหน่วยเฉพาะให้มัน) เช่น คำว่า water เป็นเอกพจน์ แต่จะไม่มีรูปพหูพจน์ (เราจะไม่ใช้ waters)

แบ่งตามหมวดหมู่คำ

Noun จะแบ่งตามหมวดหมู่คำได้เป็น 5 ประเภท คือ

  1. Common noun คือคำนามที่ใช้เรียกสิ่งทั่วไปแบบไม่เจาะจง เช่น child, student, pen, house, happiness, sadness, group, family
  2. Proper noun คือคำนามที่ใช้เรียกสิ่งต่างๆแบบเจาะจงระบุชื่อ เช่น John, Anne, Bangkok, Japan, Monday, Microsoft การใช้ proper noun เราจะใช้ตัวอักษรตัวแรกเป็นตัวใหญ่เสมอ
  3. Concrete noun คือคำนามที่เป็นรูปธรรม จับต้องได้ เช่น child, student, pen, house (concrete noun ถือเป็นส่วนหนึ่งของ common noun)
  4. Abstract noun คือคำนามที่เป็นนามธรรม จับต้องไม่ได้ เช่น happiness, sadness, love, relationship (abstract noun ถือเป็นส่วนหนึ่งของ common noun)
  5. Collective noun คือคำนามที่ใช้เรียกกลุ่มของสิ่งต่างๆ เช่น group, family, team, government (collective noun ถือเป็นส่วนหนึ่งของ common noun)

การใช้ noun ในประโยค

การใช้ noun จะใช้ได้ 4 แบบหลักๆ คือ

1. Noun ทำหน้าที่เป็นประธาน (subject)

Noun ที่ทำหน้าที่เป็นประธาน มักจะอยู่ต้นๆประโยค ตัวอย่างเช่น

Tim lives in Bangkok.
ทิมอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ

This bag is very heavy.
กระเป๋าใบนี้หนักมาก

2. Noun ทำหน้าที่เป็นกรรม (object)

กรรมคือผู้ถูกกระทำ noun ที่ทำหน้าที่เป็นกรรม มักจะอยู่หลัง verb ตัวอย่างเช่น

I play with my cat every day.
ฉันเล่นกับแมวของฉันทุกวัน

She gave me a book yesterday.
เธอให้หนังสือหนึ่งเล่มแก่ฉันเมื่อวานนี้

ตัวอย่างประโยคที่ 2 นี้ จะมีกรรม 2 ตัว โดย book จะถือเป็นกรรมตรง (direct object) เพราะเป็นสิ่งที่ถูกกระทำโดยตรง ส่วน me จะถือเป็นกรรมรอง (indirect object) เพราะเป็นผู้ที่ได้รับผลของการกระทำ

3. Noun ทำหน้าที่เป็นส่วนเติมเต็ม (complement)

ข้อแตกต่างระหว่างกรรมและส่วนเติมเต็มก็คือ กรรมเป็นผู้ถูกกระทำ แต่ส่วนเติมเต็มเป็นคำที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประธาน ซึ่งมักจะตามหลัง linking verb อย่างเช่น is, am, are, was, were, feel, seem, sound, taste เป็นต้น

Anne is a writer.
แอนเป็นนักเขียน

We are Thai.
พวกเราเป็นคนไทย

4. Noun ที่ทำหน้าที่อื่นๆ

Noun ยังสามารถทำหน้าที่อย่างอื่นนอกเหนือจากที่กล่าวมาได้อีกด้วย ซึ่งก็คือ

ทำหน้าที่ขยายความ noun ที่อยู่ข้างหน้า (appositive noun)

My friend, Joe, lives in the same town with me.
เพื่อนของฉัน ซึ่งก็คือโจ อาศัยอยู่ในเมืองเดียวกับฉัน
(คำว่า Joe ทำหน้าที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ my friend เป็นการระบุว่าคือเพื่อนคนไหน)

ทำหน้าที่เป็นคำขยาย (modifier) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ noun ที่ตามหลัง

I love leather bags.
ฉันชอบกระเป๋าหนัง
(คำว่า leather จริงๆแล้วเป็น noun แต่ในประโยคนี้จะทำหน้าที่เหมือน adjective ขยายคำว่า bags การที่ noun 2 ตัวอยู่ติดกันโดยไม่มีคอมม่าคั่น noun ตัวหน้าจะทำหน้าที่เหมือน adjective ขยาย noun ตัวหลัง)

ทำหน้าที่แสดงความเป็นเจ้าของ (possessive noun) โดยจะต้องใส่ ’s หลัง noun ที่เป็นเจ้าของ

Susan’s cat is very cute.
แมวของซูซานนั้นน่ารักมาก

แต่ถ้า noun นั้นเป็นคำนามพหูพจน์ที่ลงท้ายด้วย s เราจะใส่แค่เครื่องหมาย ’ เฉยๆ

My friends’ houses are far from school.
บ้านของเพื่อนๆฉันนั้นอยู่ไกลจากโรงเรียน

จบแล้วนะครับกับเรื่อง noun ในภาษาอังกฤษ ทีนี้เพื่อนๆก็คงจะเข้าใจกันแล้วว่า noun คืออะไร และมีการใช้อย่างไร ถ้ายังไงก็อย่าลืมทบทวนและฝึกใช้บ่อยๆนะครับ

อย่าลืมนะครับ ภาษาอังกฤษยิ่งเรียนรู้ ยิ่งฝึก ก็ยิ่งเก่ง สำหรับบทความนี้ ชิววี่ต้องขอตัวลาไปก่อน See you next time

[Update] สินค้าคงเหลือ (inventory) คืออะไร? เรามาทำความเข้าใจกัน | ยกตัวอย่างเช่น – NATAVIGUIDES

วิธีเข้าก่อนออกก่อน (FIFO) เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยม เพราะเป็นวิธีที่เข้าใจง่ายและบันทึกได้ไม่ยุ่งยาก ซึ่งจากชื่อก็ได้บอกอยู่แล้วว่า “เข้าก่อน ออกก่อน” หรือหากจะขยายความก็คือ หากสินค้า Lot A, B, C เข้ามาในโกดังตามลำดับ เมื่อขายออกไป สินค้า Lot A ย่อมต้องออกก่อนสินค้า Lot B และ C 

ยกตัวอย่างเช่น บริษัท W สินค้า Lot A มีมูลค่า 110 บาท สินค้า Lot B มีมูลค่า 120 บาท สินค้า Lot C มีมูลค่า 100 บาท เมื่อได้รับสินค้า Lot A, B และ C เข้ามาตามลำดับ มูลค่าของสินค้าคงเหลือในโกดังจะเท่ากับ 330 บาท (110 + 120 + 100) ต่อมาเมื่อมีรายการขายเกิดขึ้น ให้ถือว่าสินค้า Lot A ออกไปชิ้นแรก เพราะฉะนั้นเมื่อมีการบันทึกบัญชีให้ถือว่ามีต้นทุนขาย 110 บาท และมูลค่าสินค้าคงเหลือเท่ากับ 220 บาท (120 + 100) และเมื่อได้รับออเดอร์จากลูกค้าอีกก็ให้ถือว่าขายสินค้า Lot B ออกไป จะทำให้ต้นทุนขายมีมูลค่า 230 บาท (110 + 120) และสินค้าคงเหลือมีมูลค่าทั้งสิ้น 100 บาท หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เหลือเพียงแค่สินค้า Lot C เท่านั้นในโกดัง


เซลล์ต้นกำเนิดคืออะไร – Craig A. Kohn


อนาคตของเราจะมียาที่จำเพาะเจาะจงต่อร่างกายเป็นรายบุคคลหรือไม่? ก็น่าจะเป็นได้ ด้วยการใช้เซลล์ต้นกำเนิด ซึ่งคือเซลล์ที่ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง ที่มีศักยภาพที่จะเปลี่ยนไปเป็นเนื้อเยื่ออะไรก็ได้ในร่างกายคุณ เครก เอ โคห์น บรรยายถึงบทบาทของเซลล์ที่เปลี่ยนแปลงได้อันแสนน่าทึ่งนี้ และ วิธีการที่นักวิทยาศาสตร์พยายามจะใช้ประโยชน์จากศัยภาพของมัน
สอนโดย Craig A. Kohn, แอนนิเมชั่นโดย Qa’ed Mai.
รับชมบทเรียนเต็มๆ: https://ed.ted.com/lessons/whatarestemcellscraigakohn

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูเพิ่มเติม

เซลล์ต้นกำเนิดคืออะไร - Craig A. Kohn

อยากโดนช้อนแกง-แจ็กแปปโฮ ft.ป๋าเพชร [official MV]-Prod. By YOSHI


เพลงแรก \”อยากโดนช้อนแกง\”
ความจริง ก็ทำไว้เล่นวันสงกรานต์แหละ
แต่ปีนี้ดันไม่ได้จัดสงกรานต์ โอเค เปิดฟังเล่นๆไป
ติดต่องาน
line : namo.hr56
เพจ
https://www.facebook.com/sawaddekubpomjackpapho
เฟสส่วนตัว
https://www.facebook.com/jackie.papho

อยากโดนช้อนแกง-แจ็กแปปโฮ ft.ป๋าเพชร [official MV]-Prod. By YOSHI

โคกหนองนา Style ผู้นำต้องทำก่อน #นครพนม #ผู้นำ #โคกหนองนา


สกู๊ป โคกหนองนา Style ผู้นำต้องทำก่อน
นายไพรวัล ต้นใหญ่ กำนันตำบลท่าค้อ อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า ตนเองได้เข้ามารับตำแหน่งเป็นกำนัน ก็ได้รับโอกาสจากผู้บังคับบัญชาให้ไปเรียนรู้เกี่ยวกับ โคก หนอง นา ซึ่งก็ได้นำมาพัฒนาในหมู่บ้านเพื่อเป็นครัวเรือนต้นแบบ สิ่งที่ตนเองประทับใจหลังจากไปได้ศึกษาดูงาน คือ บางแห่งไม่มีน้ำเลย พอผ่านไป 2 ปี กลับไปอีกครั้งปรากฏว่ามีน้ำเป็นจำนวนมาก จึงทำให้ตนเองยอมรับว่าทฤษฎีที่พ่อหลวงคิดขึ้นมานั้นถูกต้องแล้ว และภายในหมู่บ้านก็ไม่เชื่อว่าบริเวณนี้จะมีน้ำเพราะปกติในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – มีนาคม แทบจะไม่มีน้ำไว้ดื่มแต่หลังจากที่ตนเองทดลองทำปรากฏว่าปีที่ผ่านมา น้ำมีเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ที่สำคัญคือเราต้องรู้จักวิธีการบริหารจัดการน้ำ ถ้าเรารู้จักเก็บกักน้ำไม่ให้ไหลลงไปที่ลำห้วยทั้งหมด มีการพักน้ำตามจุดต่าง ๆ ก็จะทำให้น้ำอยู่ในทุ่งนาตลอด เมื่อมีน้ำเราก็สามารถเพาะปลูกอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ
โคก หนอง นา เป็นทฤษฎีใหม่ที่คนในหมู่บ้านบางส่วนยังไม่รู้ แต่ปัจจุบันชาวบ้านมีการตื่นตัวมากขึ้น เพราะเห็นผลที่ได้จากแปลงเกษตรของตนเองเพราะคิดว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นมาได้ โดยหลังจากที่ไปอบรมมาตนเองก็เริ่มลงมือทำทันทีประมาณเดือนกรกฎาคมใช้เวลาประมาณ 1 ปี ก็เริ่มได้ขายสินค้าแล้ว เริ่มจากการขายกล้วยที่หลังแจกจ่ายให้ญาติพี่น้องไปรับประทานและเอาไปทำบุญ ส่วนปลาที่เลี้ยงไว้ก็ให้สามารถแบ่งปันเพื่อนฝูงไปทำอาหาร เอาไปทำบุญได้เช่นเดียวกัน ซึ่งตนเองคิดว่าถ้ามีการปิดหมู่บ้านเป็นเดือนเพราะสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด ก็สามารถอยู่ได้ เพราะมีผลผลิตในแปลงโคก หนอง นา ที่เพียงพอต่อครอบครัวและชุมชน
สำหรับการทำโคก หนอง นา นั้น ทุกคนต้องลงมือทำเองและก็ต้องอาศัยความอดทน อย่าใจร้อนอยากเห็นผลเร็วเหมือนคนที่ทำก่อนหน้า ซึ่งเค้าใช้เวลานานกว่าจะได้ขนาดนั้น ซึ่งขอยืนยันว่า โคก หนอง นา เป็นสิ่งที่ทำได้จริง ทำแล้วเกิดผลประโยชน์ อีกอย่างคือทำให้สุขภาพร่างกายของคนดี ยิ่งช่วงนี้ที่คนชอบออกมาอยู่ตามท้องไร่ท้องนา ก็อยากให้ทำการเกษตร ปลูกกล้วย ปลูกพืชผักสวนครัวไม่ทำขนาดเป็นโคก หนอง นา ก็ไม่เป็นไร เพราะนั้นหมายถึงแหล่งอาหารสำหรับทุกคน แต่ถ้าอยากทำตนเองก็ยินดีสนับสนุนสามารถมารับกิ่งพันธุ์ไม้ต่าง ๆ ที่แปลงตนเองมีไปปลูกได้ หรือถ้าใครอยากมาดู มาเรียนรู้มา ศึกษาตนเองก็พร้อมที่จะแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพราะบางอย่างชาวบ้านที่มีอายุเยอะจะมีประสบการณ์มากว่า โดยในปีนี้ตัวเองก็มีการทำในหลายๆ สิ่งหลาย ๆ เพิ่มขึ้นมา ยกตัวอย่างเช่น การทำนาที่แต่ก่อนเคยใช้สารเคมี 100 เปอร์เซ็นต์ ปีนี้ก็ลดลงมาเหลือประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ เมื่อวานคนเกี่ยวข้าวที่มารับจ้างก็สอบถามว่า ทำไมทำนาเท่าเดิมแต่ได้ปริมาณข้าวเยอะขึ้นกว่าปีที่แล้ว ซึ่งแปลงนาตรงนี้พอเราไม่ใช้สารเคมีนอกจากจะลดต้นทุนแล้วยังทำให้สุขภาพของเราดีขึ้นด้วย ที่สำคัญคือตนเองทำแปลงในลักษณะทดลองเปรียบเทียบให้ชาวบ้านเห็นว่าทำตามสูตรพระราชาเป็นอย่างไร
ส่วนเวลาประชุมผู้นำหมู่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นการประชุมผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ก็จะนำทุกคนมาอบรมมาเรียนรู้อยู่ที่แปลงเกษตรเลย ให้ทุกคนได้รู้ได้เห็น และพยายามขอร้องให้ทุกคนปลูกพืชผักสวนครัวรั้วกินได้ ปลูกคนละอย่างสองอย่างแล้วนำผลผลิตที่ได้มาแลกเปลี่ยนกัน เพราะการทำเช่นนี้นอกจากจะเป็นการรับนโยบายจากผู้บังคับบัญชามาให้ชาวบ้านทำ ถ้าตัวเองไม่ปลูก ชาวบ้านเขาก็ไม่ยอมทำตาม เพราะฉะนั้นผู้นำต้องทำก่อน ยิ่งเราทำเวลาเราพูดก็จะทำให้ชาวบ้านมีความเชื่อถือมากยิ่งขึ้น

โคกหนองนา Style ผู้นำต้องทำก่อน #นครพนม #ผู้นำ #โคกหนองนา

คำอำนวยพร บทที่ 46 วันที่ 14 พฤศจิกายน 2564


วันที่ 14 พฤศจิกายน 2564
🌹  ระดับสูงของมนุษย์มักเรียกว่าเทพ  ยกตัวอย่างโตเกียวโอลิมปิคปี 2021 และสุดยอดนักกีฬาที่เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาแห่งชาติจีนครั้งที่ 14 ล้วนถูกขนานนามว่าเป็น \”การรวมกันของเหล่าเทพ\” การแข่งขันชิงชัยกันของนักกีฬา  ถูกพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ว่า \”เทพเซียนประมือกัน\”  สภาวะระดับต่ำของมนุษย์เรียกว่า \”ปีศาจ\” นี่มิใช่ศาสตร์ลี้ลับแต่อย่างใด  ในวัฒนธรรมจีน  อีกคำหนึ่งที่ใช้เรียกโรคภัยไข้เจ็บคือ \”ปีศาจโรคภัย\” อักษรจีนคำว่า \”ปีศาจ\” (魔 อ่านว่าหมัว) มีโครงสร้างอักษรแบบห่อหุ้มครึ่งหนึ่ง  ภายใน \”广\” ของคำว่า \”魔\” มีภาพที่ลึกลับแฝงเร้นอยู่  คือปีศาจที่อยู่ด้านล่างถูกเชือกรัดไว้  ส่วนที่ถูกรัดไว้คือความเจ็บป่วย  เหตุใดหมอจึงไม่สามารถรักษาโรคร้อยละ 70 ที่เกิดขึ้นจากจิตใจของคนเราได้  ความเร้นลับที่ทำให้ใช้ยารักษาไม่ได้คืออะไรเล่า?  เป็นเพราะ \”ปีศาจ\” ที่แฝงมากับโรคภัย  ปีศาจเกิดจากเทพมีปัญหา  ปีศาจคือความคิดเชิงลบที่เรากล่าวถึงกันเป็นประจำ  ความคิดเชิงลบได้แก่ ความโหดร้าย  การหักหลัง  ความเย่อหยิ่ง  เคียดแค้น  เศร้าโศก  เสแสร้ง  และความโลภ  สิ่งเหล่านี้ล้วนจัดเป็นความคิดที่เป็น \”ปีศาจ\”
อรุณสวัสดิ์ 🌹🌹🌹
🌹人的高维端往往被称为神。如2021年东京奥运会和中国第十四届全运会上顶级参赛运动员被称头之为“众神云集”。运动员夺冠之战,被各大版面的头条新闻称之为“神仙打架”。人的低维状态是“鬼”,这也不是玄学,在中国文化中,病的另一个名字是“病魔”。“魔”字是半包围结构,“魔”的广字里隐藏着一幅神秘画面,是下面鬼用麻绳捆住了人身体,被困部位就是那个部位得病。人类百分七十的心因性疾病为什么医生治不了,为什么用药好不了的秘密所在是什么呢?根本原因是因为“魔”,病魔的魔,魔是神出了问题。鬼就是我们通常讲的负面思维,哪些是负面思维:凶恶,背叛、高傲、憎恨、忧愁、敲诈、贪婪等都属“魔性“思维。
早安!🌹🌹🌹
🌹 วันที่ 14 พฤศจิกายน 2564
ขอนำส่งการแบ่งปันเกี่ยวกับคัมภีร์ \”เต้าเต๋อจิง\” บทที่ 46 และคำอำนวยพรในเดือนแห่งการเก็บเกี่ยว
[ความทะยานอยากคือ “เนื้อร้าย” ในจิตวิญญาณของมนุษย์]
ประเด็นที่ 3 การหา “ระดับที่พอดี” ให้พบ คือการตระหนักรู้ถึงกฎ
3.1 ความทะยานอยากคือ “เนื้อร้าย” ในจิตวิญญาณของมนุษย์
ใน “ประเทศร่างกาย” ของมนุษย์ มีประชากรอยู่ 6 แสนล้านล้านเซลล์ แล้วเราปกครองร่างกายซึ่งเป็นประเทศนี้อย่างไรเล่า แม้ว่าเราจะเข้าสู่ยุคเทคโนโลยีขั้นสูงที่เจริญแล้ว โรงพยาบาลนับวันมีมากยิ่งขึ้น ยารักษาโรคก็นับวันมีมากยิ่งขึ้นเช่นกัน อายุขัยเฉลี่ยของมนุษย์เพิ่มสูงขึ้นมาก แต่คุณภาพชีวิตกลับไม่ค่อยดีนัก เพราะกายและใจของมนุษย์มีภูมิต้านทานต่อโรคนับวันยิ่งน้อยลง ผู้คนยุคปัจจุบันเสียค่ารักษาพยาบาลสูงกว่าค่าอาหารอย่างไกลลิบลับ นอกจากนี้ ยิ่งเป็นประเทศที่เจริญมากเท่าไร ค่ารักษาพยาบาลยิ่งแพงมากเท่านั้น และมีโรคจิตเวชมากขึ้นอีกด้วย…
มูลเหตุพื้นฐานที่ก่อให้เกิดสภาพปัจจุบันคือ คนเราไม่เข้าใจว่า “ร่างกายก็ต้องมีเต๋า” คนส่วนมากไม่รู้ว่าสุขภาพโดยรวมของทั้งกายและจิตวิญญาณมีความสำคัญ มัวแต่ลุ่มหลงอยู่ท่ามกลางความทะยานอยากทางแสงสีเสียงและอาหารการกิน มองการฝึกปฏิบัติเพื่อยกระดับจิตภายในเหมือนดินที่ไร้ค่า ทั้งยังหัวเราะเยาะ ผู้คนไม่ควบคุมเรื่องกามารมณ์แม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น สังคมเริ่มใช้ท่วงทำนองวัฒนธรรมที่คลุมเครือและวัฒนธรรมที่มีรสนิยมต่ำมาเป็นกระแสหลักของสังคม นี่คือการสูญเสียเต้าเต๋อ และเป็นเป็นเรื่องน่าเศร้าของมนุษย์ หากเป็นเช่นนี้ตลอดไป ย่อมทำให้จิตใจคนสับสนวุ่นวาย อวัยวะสัมผัสของร่างกายเสียหาย และจิตญาณถูกบดบัง…
ท่านเหลาจื่อบอกเราว่า มีคนมากมายที่มิได้แก่ตายตามธรรมชาติ แต่เป็นเพราะเสพสุขมากเกินไป มีความสุขสูงสุดจนเกิดความทุกข์ ทำให้ตนเองถึงที่ตาย ในความเป็นจริง โรคร้อยละ 70 ของมนุษย์ล้วนมิใช่การเปลี่ยนแปลงของโรคตามพยาธิสภาพ แต่เป็นโรคที่มีสาเหตุมาจากจิตอันเนื่องจากหยินและหยางไม่สมดุล มูลเหตุในนี้อยู่ที่ มนุษย์ยังไม่ได้สร้างหลักการแห่งชีวิตที่ว่า “ร่างกายก็ต้องมีเต๋า”
หาก “ไร้เต๋า” มนุษย์จะถูกความทะยานอยากควบคุมได้ง่ายมาก ความทะยานอยากคือ “เนื้อร้าย” ในจิตวิญญาณของมนุษย์ เนื้อร้ายทางจิตวิญญาณชนิดนี้ มียาดีที่รักษาโดยตรงหรือไม่ คำตอบคือมี สูตรยาที่ท่านเหลาจื่อให้ไว้คือต้อง “ละทิ้งความสุดโต่ง ละทิ้งความฟุ่มเฟือย และความหลงระเริง” กล่าวคือ ทางด้านการกินการอยู่ต้องเรียบง่ายบริสุทธิ์ ลดความเห็นแก่ตัว ละความทะยานอยาก การปฏิบัติตนและการเข้าสังคมต้องละทิ้งความสุดโต่ง ส่วนเกิน และการยึดติด ในการสร้างคุณูปการและกิจการ ต้องกล้าเดินออกจากโซนสบาย ท้าทายตนเองอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันยังสามารถปล่อยวาง และสร้างสรรค์คุณค่าใหม่อย่างไม่ขาดสาย
หากนิยามสูตรยาขนานนี้ นั่นคือการ “รู้จักพอ”
อาจารย์จ้าวเมี่ยวกว่อ
วันที่ 14 พฤศจิกายน 2564
(เผยแพร่วันที่ 1379)
🌹🌹🌹
14欲望就是人类心灵的“癌症”
《道德经第46章分享暨收获月祝福》连载14
第三层次,找到“度”就是感知到了规律。
七、欲望就是人类心灵的“癌症”。
人类的“身体国”里有六千亿兆的细胞子民,我们又是如何来管理身体这个国家的呢?尽管我们进入了发达的高科技时代,医院越来越多,医药也越来越多,人民的平均寿命有了很大提高,但生命的质量却并不乐观——因为,人类的身心对疾病的抵抗力越来越差!现在,人们用于治病的费用已远远高于吃粮的费用;并且越是发达国家,医疗费用越高,精神类疾病也越多……
造成这一现状的根本原因,就是人们不懂“身体也要有道”!绝大多数人不知道身心灵整体健康的重要性,一味沉醉于声色犬马和口腹物欲中,将提升内在修养视如粪土,并对此大加耻笑。人们对于行淫欲之事毫无节制,更有甚者,社会文化都开始以暧昧作风、低俗文化为引流重点——这是道德的沦丧,也是人性的悲哀。长此以往,必然会使人神昏意乱,使身体的感官受损、灵性遮蔽……
老子告诉我们,很多人不是正常的老死,而是享受过了头,乐极生悲,自己把自己作死的!实际上,人类百分之七十的疾病都不是器质性病变,而是由心因性引发的阴阳失衡——其中的根源就在于:人类还没有树立起“身体也要有道”这一生命的原则。
如果“无道”,人类就很容易被欲望所控,欲望就是人类心灵的“癌症”!这种心灵癌症,有没有对症良方?有!老子最后开出的药方就是要“去甚、去奢、去泰”,也就是:要在生活起居上,见素抱朴、少私寡欲;要在为人处世上,去掉极端的、去掉多余的、去掉执著的;要在建功立业上,勇敢走出舒适区,不断挑战自己,同时又能不断放下,不断去创造新的价值。
这个药方如果用两个字来概括,那就是“知足”。
赵妙果,2021年11月14日,第1379天

คำอำนวยพร บทที่ 46 วันที่ 14 พฤศจิกายน 2564

Growth Mindset พัฒนาตัวเองให้สำเร็จแบบก้าวกระโดด l สรุปให้ Podcast EP. 45


เป็นเรื่องของแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนากรอบแนวคิดแบบก้าวหน้า(Growth Mindset)ว่าคืออะไร สำคัญอย่างไร และเราจะนำมาปรับใช้กับชีวิตคนธรรมดาได้อย่างไร และผู้เขียนได้ยกตัวอย่างประสบการณ์จริงในการนำเอาแนวคิดนี้ไปใช้กับตัวเองและประสบการณ์ในการให้คำปรึกษาคนอื่นๆ รวมถึงได้นำเอาแนวคิดอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จดีกว่าและเร็วกว่า เช่น แนวคิดเรื่องการตั้งเป้าหมายแบบ OKRs(Objective \u0026 Key Results) ที่ตั้งเป้าท้าทายและมีแรงบันดาลใจ การคต้นหาคุณค่าในตัวเองตามแนวคิดของอิคิไก(Ikigai) รวมถึงแนะนำแนวทางการนำเอาความรู้ในหนังสือเล่มนี้ไปปรับใช้กับแต่ละคน
Naiin
=====================
รับความรู้ดีๆ ประหยัดเวลาชีวิต
กับ สรุปให้ และเซนเซแป๊ะ ได้ทุกช่องทางดังนี้
Facebook : https://bit.ly/2WgZX9I
Youtube : https://bit.ly/2Wjbjur
Blockdit : https://bit.ly/3Da4ZWD
Line ads : @saroophai
สมัครเข้ากลุ่มความรู้เฉพาะด้านเพื่อรายได้ที่ดีขึ้น
1. กลุ่มพนักงานที่มีเงินเดือนหลักแสน
https://www.facebook.com/groups/100kemployee
2. กลุ่มอาชีพอิสระรายได้หลักล้านต่อปี
www.facebook.com/groups/1millionfreelance/
ติดต่อประชาสัมพันธ์ หรือ งานบรรยาย
Tel : 0623473884
Email : [email protected]

Growth Mindset พัฒนาตัวเองให้สำเร็จแบบก้าวกระโดด l สรุปให้ Podcast EP. 45

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูบทความเพิ่มเติมในหมวดหมู่LEARN FOREIGN LANGUAGE

ขอบคุณมากสำหรับการดูหัวข้อโพสต์ ยกตัวอย่างเช่น

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *