Skip to content
Home » [NEW] 7 สิ่งที่ผมจะทำเพื่อพัฒนาตัวเองในปีหน้า (ในเรื่องงาน) | อยากจะทําทุกสิ่ง – NATAVIGUIDES

[NEW] 7 สิ่งที่ผมจะทำเพื่อพัฒนาตัวเองในปีหน้า (ในเรื่องงาน) | อยากจะทําทุกสิ่ง – NATAVIGUIDES

อยากจะทําทุกสิ่ง: นี่คือโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้

เนื่องจากขนาดที่เริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ของบริษัท ช่วง 2-3 อาทิตย์ที่ผ่านมา บริษัทของผมได้เริ่มทำ Performace Evaluation กันอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก ซึ่งการประเมินจะแบ่งออกเป็น 4 ส่วนใหญ่ๆ คือ 1. การประเมินตัวเอง 2. การประเมินเพื่อนร่วมงาน 3. การประเมินหัวหน้างาน และ 4. การประเมินทีมงาน (ลูกน้อง)

นอกจากการประเมินเพื่อนร่วมงานและประเมินทีมงานที่ช่วยให้ผมสามารถบอกสิ่งที่ผมคิดว่าเขาทำได้ดี (และควรทำต่อไป) และสิ่งที่ควรปรับปรุงแล้ว การที่ผมได้มีโอกาสประเมินตัวเองก็ได้ทำให้ผมได้ Reflect สิ่งที่ตัวเองทำในปีที่ผ่านมาเช่นเดียวกัน

ในบทความนี้ผมจะพยายามไม่พูดถึงสิ่งที่ผมคิดว่าตัวเองทำได้ดี (ผมว่าผมเป็นโรคจิตนิดๆ เพราะไม่ชอบชมตัวเองหรือโดนชมว่าดีหรือเก่ง ฮา) แต่ผมจะมาเขียนถึงสิ่งที่ตัวเองควรจะต้องพัฒนาหรือปรับปรุงในปีที่ผ่านมา (ผมชอบโดนติหรือโดนด่ามากกว่า มีข้อแม้นิดหน่อยคือต้องเป็น Constructive Feedback – พูดถึงสิ่งที่ผมทำ สาเหตุที่ควรต้องปรับปรุง และแนวทางในการแก้ไขปรับปรุง)

ความเข้มงวด มีให้คนอื่นเท่าไหร่ ยิ่งต้องมีให้กับตัวเองมากขึ้นเป็นทวีคูณ

ข้อที่ผมควรพัฒนา/ปรับปรุงหลายๆ ข้อ ก็อาจจะเป็นสิ่งที่คุณควรต้องพัฒนา/ปรับปรุงเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นลองอ่านสิ่งที่ผม Reflect เกี่ยวกับตัวเองในบทความนี้ดู บางทีคุณอาจจะได้รับไอเดียที่ใช้สำหรับพัฒนาตัวเองในปีหน้าก็ได้ 🙂

7 สิ่งที่ผมอยากจะพัฒนา/ปรับปรุงในปีหน้า

1. การบริหารจัดการเวลาของตัวเอง

ในปีที่ผ่านมา ผมยังรู้สึกว่าผมยัง Optimize เวลาตัวเองได้ไม่ดีในระหว่างวัน สิ่งแรกที่ผมทำคือการลบแอป Facebook ซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งกิจกรรมอันไร้ประโยชน์ที่ผมใช้เวลากับมันมากเกินไป (ไถ Feed ดูนู่นี่นั่น)

นอกจากนั้นแล้วช่วงบ่ายๆ หลังมื้อเที่ยง ผมสังเกตตัวเองได้ว่าผมมักจะง่วงเหงาหาวนอนอยู่บ่อยๆ สาเหตุน่าจะเป็นเพราะการที่ผมกินข้าวเที่ยงเยอะ – จานเดียวไม่เคยพอ ต้องต่อด้วยของกินเล่นหรือของหวาน วิธีการแก้ไขปัญหาในข้อนี้คือการจำกัดตัวเองให้กินข้าวแค่จานเดียว (ผมถึงขนาดบอกพี่โบที่เป็น Partner ของผมที่ Magnetolabs ว่าถ้าวันไหนพี่เขาเห็นผมซื้อของหวานมาด้วย ให้เก็บเงินผมครั้งละ 5 บาทเลย ฮา)

นอกจาก 2 เรื่องนี้แล้ว จริงๆ ผมยังคิดวิธีการบริหารจัดการเวลาของตัวเองเพิ่มเติมไว้อีกหลายอย่าง คุณสามารถเข้าไปอ่านเอาเป็นไอเดียได้ที่นี่

2. การสื่อสารภายในบริษัท

ในปีที่ผ่านมาบริษัทของผมโต 2-3 เท่า แต่ผมรู้สึกว่าผมเองยังไม่โตตามสักเท่าไหร่เพราะผมยังคงโฟกัสกับงานของตัวเองมากเกินไป แต่ดันให้เวลากับงานของทีมงานน้อยเกินไป โดยเฉพาะในเรื่องของการคอมเมนต์งานที่หลายๆ ครั้งผมมักจะละเลยหรือมักจะปล่อยผ่านไปง่ายๆ (ทั้งๆ ที่หลายๆ งานยังสามารถปรับปรุงได้อีกมาก)

ในปีหน้า ผมจะพยายามทำให้การนัดคุยงานและการคอมเมนต์งานของผมเป็นงาน Routine อาจจะกำหนดวันและเวลาในสัปดาห์ไว้เลย เพื่อที่ว่าน้องๆ ในทีมจะได้รับคอมเมนต์ที่ทำให้พวกเขาพัฒนาได้มากกว่านี้

3. การบริหารทรัพยากรของทีมงาน

ผมคิดว่าการบริหารทรัพยากรของทีมงานก็เป็นอีกหน่ึงอย่างที่ผมยังทำได้ไม่ดีพอ บางครั้งงานก็จะแน่นกว่าปกติ บางครั้งก็หลวมกว่าปกติ เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญเพราะถ้าผมปล่อยไว้ ปัญหานี้อาจจะมีมากขึ้นเมื่อทีมขยายใหญ่ขึ้น

ผมลองกลับไปนึกๆ ดู ผมคิดว่าหนึ่งในปัญหาหลักของเรื่องนี้คือ Project Management Software ที่ชื่อว่า Clickup ที่ทางบริษัทของผมใช้งานอยู่ซึ่งผมและทีมของผมยังใช้งานมันอย่างไม่เต็มประสิทธิภาพสักเท่าไหร่ ในปีหน้าผมจะพยายาม Set Standard และกระตุ้นให้ทีมงานโดยเฉพาะคนที่เป็นคนบริหารจัดการโปรเจคต์ต่างๆ ใช้ Clickup ให้มากขึ้น และตัวผมเองก็จะต้องดู Workload ของคนแต่ละคนก่อนที่จะ Assign งานเพิ่มเติมให้

เพราะการบริหารทรัพยากรที่ดีต้องเร่ิมจากการทำความเข้าใจว่าใครถืองานไว้มากน้อยแค่ไหน

4. การวางแผนงาน

ในปีที่ผ่านมา หลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่างไม่เป็นไปตามเป้าที่วางไว้เช่นเรื่องของยอดขายของ Magnetolabs ที่ถึงแม้จะเยอะกว่าปีที่แล้วมากแต่ก็ยังน้อยกว่าที่ตั้งเป้าไว้อยู่ดี หรือเรื่องของ Content Shifu ที่แทบจะทุกอย่างไม่เป็นไปตาม Timeline ทั้งเรื่องของการพัฒนา Product หรือเรื่องยอดขาย

ในปีหน้าสิ่งที่ผมจะทำคือ ในขั้นตอนการวางแผน ผมจะพยายามคิดให้มากขึ้นถึง Scenario ต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น มองโลกในแง่ร้ายไว้บ้าง และเตรียมแผนสองแผนสามไว้ด้วย

อีกเรื่องคือการส่งต่องาน ที่ผมยังพยายามถืองาน (ที่ไม่จำเป็นต้องใช้ผม) ไว้กับตัวเยอะเกินไปอยู่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการ Setup ซอฟต์แวร์ต่างๆ หรือการวางแผน Pitch งาน และอีกหลายๆ ครั้งที่ผมส่งต่องานแล้วไม่ค่อยได้ติดตามผลสักเท่าไหร่ ซึ่งพอผมไม่ติดตามผล คนที่ได้รับการส่งต่องานก็อาจจะคิดว่าผมไม่จริงจังในงานนั้นๆ ก็เลยอาจจะทำให้พวกเขาไม่จริงจังตาม รวมไปถึงการที่ผมควร

การที่ผมยังส่งต่องานได้ไม่ดี ทำให้ผมมีเวลาให้กับเรื่องที่ผมควรจะต้องทำน้อยลง ซึ่งส่งผลให้งานบางอย่างอาจจะไม่ออกมาตามที่คาดหวังไว้

ปีหน้าผมจะลอง List งานออกมาให้ย่อยที่สุดแล้วดูว่างานไหนผมควรต้องทำเองและงานไหนควรที่จะต้องส่งงานต่อให้คนในทีมดูแล

5. การให้ Feedback

การให้ Feedback เป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าให้อ้อมไป… ไม่ดี

หลายๆ ครั้งผมพยายามที่จะให้ Feedback แบบอ้อมๆ (บางครั้งชักแม่น้ำทั้ง 5 หรืออ้างอิงถึงคนอื่น) เพราะไม่อยากทำให้คนได้รับ Feedback รู้สึกแย่กับตัวเองหรือรู้สึกแย่กับผม รวมไปถึงการมองข้ามหรือพยายามปล่อยผ่านพฤติกรรมที่ไม่ดีและส่งผลเสียกับบริษัทในภาพรวม

สำหรับเรื่อง Feedback ในปีที่ผ่านมาผมได้เรียนรู้มา 2 อย่างคือ

1. สิ่งที่ผู้นำควรทำไม่ใช่การการทำให้ทุกคน Happy โดยการให้ Feedback ที่ไม่ทำให้ก่อให้เกิดการพัฒนา แต่ผู้นำควรจะให้ Feedback ที่ทำให้คนคนนั้นเกิดการพัฒนารวมไปถึงทำให้ส่งผลดีต่อบริษัทในภาพรวม (ถึงแม้ว่าคนได้รับ Feedback จะรู้สึกไม่ดีไปชั่วขณะหนึ่งก็ตาม)

ตัวอย่างของ Feedback ที่ก่อให้เกิดการพัฒนาคือคนที่ทำดีอยู่แล้ว ผมก็ต้องหา Feedback ให้พวกเขาทำได้ดียิ่งๆ ขึ้นไป ส่วนใครที่ยังทำไม่ได้ไม่ดี ควรจะได้รับ Constructive Feedback ที่นอกจากจะบอกถึงสิ่งที่ปรับปรุงได้แล้ว ยังต้องให้ตัวอย่างของสิ่งที่ต้องปรับปรุงและแนวทางในการปรับปรุงด้วย

2. การให้ Feedback อย่างตรงไปตรงมา จริงใจ และมีเหตุผลรองรับที่ดี จะให้ผลลัพธ์ที่ดี

โดยเนื้อแท้แล้ว ผมเชื่อว่าคนทุกคนในทีมที่ผมคัดเลือกมามีความเข้าใจสิทธิและหน้าที่ และมีความอยากที่จะพัฒนาตัวเองอยู่แล้ว (คุณเองก็ควรที่จะเชื่อคนในทีมของคุณเช่นเดียวกัน) เพียงแต่ว่าพวกเขาอาจจะต้องได้รับ Feedback หรือการ Coach เพิ่มเติม

ในปีที่ผ่านมา บริษัทของผมจะมีการนัดคุยเพื่อให้ Feedback กับพนักงานใหม่อยู่แล้วทุกๆ 1 เดือนและ 3 เดือน (ก่อนผ่านโปร) แต่สำหรับพนักงานปัจจุบัน ผมไม่ได้มีการจัดตารางให้ Feedback อย่างจริงจังเลย (จนมีน้องในทีม บอกว่ามีอยู่ช่วงนึงที่ห่างๆ และไม่ค่อยได้คุยกับผม)

เพราะฉะนั้นในปีหน้า สิ่งที่ผมจะทำคือจะจัดตารางทำ One on One Feedback กับคนที่ผมทำงานอย่างใกล้ชิดทุกเดือน และถ้าผมมี Feedback อะไรที่เป็นประโยชน์ต่อคนที่ได้รับ ต่อตัวผมเอง และต่อบริษัท ผมจะพูดอย่างตรงๆ ไม่อ้อมโลกอีก

เพราะการสื่อสารทำให้คนเข้าใจกันมากขึ้น และการให้ Feedback คือการทำให้คนเติบโต

6. การบริหารจัดการธุรกิจ

ในปีที่ผ่านมาเป็นหนึ่งในปีที่ผมมีการเติบโตมากที่สุดในแง่ของ Management skill ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการบริหารจัดการ แต่ทั้งนี้ ด้วยความที่ว่าบริษัทของผมยังไม่ใหญ่มาก ผมเลยต้องทำอะไรหลายๆ อย่างตั้งแต่การบริหารโปรเจคต์ บัญชี การเงิน ภาษี กฏหมาย ไปจนกระทั่งการบริหารทรัพยากรบุคคล จนมันทำให้ผมรู้สึกเหมือนเป็น “เป็ด” คือทำอะไรได้หลายอย่างแต่ยังไม่ดีสักอย่าง

ในปีหน้าบริษัทของผมจะโตขึ้นอีกอย่างน้อยเป็นเท่าตัว เพราะฉะนั้นผมคงไม่สามารถทำอะไรพวกนี้พร้อมๆ กันได้อีกต่อไป ผมจะพยายามโฟกัสแค่เรื่องบางเรื่อง แบ่งบางอย่างไปให้พาร์ทเนอร์ช่วย หรือไม่ก็ผลักดันทีมงานในทีมมีความสามารถในด้านนั้นๆ (ไม่ก็หาทีมงานเพิ่ม) เพื่อมาช่วย

ตอนบริษัทยังเล็ก การเป็นเป็ดทำได้ทุกอย่างอาจจะดูเข้าที แต่ถ้าบริษัทเติบโตขึ้น การโฟกัสเฉพาะสิ่งที่ควรทำและต้องทำเป็นสิ่งสำคัญ

7. การพูด

ในปีที่ผ่านมาได้มีโอกาสทำ Public Speaking มากยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน ถึงแม้ว่ายังทำได้ไม่ได้เท่าที่คาดหวัง แต่คิดว่าตัวเองก็พัฒนาขึ้นมากในส่วนนี้เช่นเดียวกัน

ในปีหน้าสิ่งที่อยากจะพัฒนาให้มากขึ้นสำหรับด้านนี้คือความเป็นธรรมชาติเวลาพูด และทักษะในการโน้มน้าวให้ผู้ฟังสามารถฟังเราได้จนจบ เช่นอาจจะเพิ่มทักษะทางด้าน Story Telling หรือเพิ่มมุกขำขันเข้าไป (ผมมักจะโดนแฟนของผมบอกเป็นประจำว่าผมดูซีเรียสเกินไปเวลาผมพูดบนเวที ฮา)

สิ่งที่ผมคิดว่าสำคัญมากๆ ในการพัฒนาทักษะการพูดคือ “ชั่วโมงบิน” เพราะฉะนั้นในปีหน้า ผมจะพยายามตอบรับโอกาสการทำ Public Speaking ที่เข้ามามากยิ่งขึ้น

สรุป

หวังว่าคุณจะได้ไอเดียจากที่ผม Feedback ตัวเองไม่มากก็น้อยนะครับ

ถ้าคุณเป็นคนที่รู้จักผมอยู่แล้ว เคยร่วมงานกับผม หรือเคยเจอผมในงานต่างๆ และคิดว่าผมต้องปรับปรุงอะไรเพิ่มเติมนอกจากนี้ ผมยินดีรับฟังนะครับ คุณสามารถให้ Feedback กับผม (แบบไม่ระบุตัวตน) ได้ที่นี่เลยครับ 🙂

[NEW] 15 วิธีทำงานอย่างมีความสุข ที่ไม่ยากอย่างที่คิด | อยากจะทําทุกสิ่ง – NATAVIGUIDES

เราใช้ชีวิตมากกว่า 30% ในการทำงาน เพื่อที่จะสร้างความมั่นคงสำหรับความสุขในอนาคต 

การทำงานต้องใช้ความอดทนครับ บางครั้งเราป่วย รู้สึกไม่ดี หรือพักผ่อนไม่พอ เราก็ต้องฝืนตัวเองไปทำงาน แต่มันจะมีวิธีไหนที่เราจะทำงานอย่างมีความสุขได้ไหมนะ 

ในสภาพแวดล้อมที่ถูกต้อง เราสามารถหาความสุขจากการทำงานได้ เราสามารถรู้สึกรักในงานที่เราทำและภูมิใจกับคุณค่าของงานของเรา เราจะรู้สึกว่าการทำงานเป็นอะไรที่มากกว่าการหาเงินเพื่อใช้ชีวิต

คนเราต้องทำงานเพื่อมีชีวิตอยู่และเราก็ใช้เวลาของชีวิตไปกับการทำงานเยอะมาก แต่เราไม่ควรมองการทำงานว่าเป็นการ ‘ลงทุนเพื่ออนาคต’  หรือการ ‘สร้างความมั่นคง’ เท่านั้น งานสามารถเป็นความสุขให้กับเราได้ ซึ่งความสุขจากการทำงานนี้ก็มาจากได้หลายช่องทางเลย ในบทความนี้เราจะมาดูกันว่าวิธีสร้างความสุขจากการทำงานมีอะไรบ้าง

ในช่วงหลายปีแรกที่เราเริ่มทำงาน เราอาจจะคิดว่างานที่เราทำไม่ได้ทำให้เรามีความสุข เพราะงานอาจจะไม่เหมาะกับเราหรือไม่ตรงกับสิ่งที่เราฝันไว้ บางครั้งการย้ายงาน การย้ายแผนก การได้ลองทำอะไรใหม่ๆบ้างก็เป็นการเติมไฟให้เราอย่างดีครับ ยิ่งถ้าเราย้ายงานแล้วใกล้บ้านหรือได้เงินเดือนเยอะกว่าเดิมก็เป็นเรื่องที่น่าฉลอง

แต่หลายคนย้ายงานไปสุดท้ายก็เกิดอาการเบื่อซ้ำไปซ้ำมาอยู่ดี อาการเบื่องานอาจจะเป็นหนึ่งในสาเหตุที่เราทำงานไม่มีความสุข และการย้ายงานการลาออกก็ไม่ใช่ทางออกที่ดีสำหรับทุกคน บางทีการทำงานอย่างมีความสุขก็ทำได้ง่ายกว่านั้น

ความท้าทายอย่างหนึ่งของการหาความสุขจากการทำงานก็คือเรามีเป้าหมายและหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบเสมอ ซึ่งมันก็ยากที่จะทำการ ‘ปล่อยวาง’ หรือ ‘เลิกเครียด’ กับสิ่งพวกนี้ได้ ในวันนี้ผมจะลองเสมอวิธีที่ช่วยให้คุณมีความสุขกับการทำงาน แถมบางวิธีอาจจะช่วยให้งานของคุณดีขึ้นด้วยครับ

หลายคนไม่มีความสุขกับงานของตัวเองเพราะรู้สึกว่าสิ่งที่ทำ ‘ไม่มีความหมาย’ บางทีเราอาจจะทำงานอย่างเดิมซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้งจนรู้สึกว่ามันไม่สำคัญ หรือบางทีเราก็อาจจะไม่ได้เข้าใจว่าคุณค่าของตำแหน่งงานของเราอยู่ในส่วนไหนของภาพรวมบริษัท 

การทำงานทั้งที่ไม่เข้าใจคุณค่าหรือเป้าหมายของตัวงานจะทำให้เรารู้สึกเบื่อหรือรู้สึกว่าสิ่งที่ทำอยู่มันไม่มีความหมาย ซึ่งอาการรู้สึกเบื่อหรือรู้สึกว่าสิ่งที่เราทำไม่มีความหมายก็จะทำให้เราทำงานได้อย่างไม่มีความสุข

อาสาสมัครที่ทำงานช่วยสังคมเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดครับ คนพวกนี้ทำงานเพื่อสร้างประโยชน์ให้กับสิ่งที่เขาสนใจหรือเห็นค่า ต่อให้ได้ผลตอบแทนไม่เยอะ ทำงานเหนื่อยแค่ไหน หรือทำงานซ้ำไปซ้ำมา เขาก็ยังมีความสุขกับงานที่เขาทำได้

เพราะฉะนั้นหากคุณคิดว่าคุณไม่เข้าใจคุณค่าหรือเป้าหมายของงานที่ตัวเองทำ ให้พยายามศึกษาภาพรวมของบริษัทดู บริษัทของคุณขายลูกค้าประเภทไหน ลูกค้าพวกนี้ใช้สินค้าเราเพื่อทำอะไร และหน้าที่ของเรามีประโยชน์ต่อจุดมุ่งหมายพวกนี้มากแค่ไหน

อีกส่วนหนึ่งที่ทำให้คนไม่มีความสุขเวลาทำงานก็คือการที่เรารู้สึกว่าเราติดอยู่กับที่ไม่สามารถไปไหนได้

เป้าหมายของการทำงานหลายคนก็คือการเรียนรู้ครับ สำหรับบางคนการได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ (โดยเฉพาะสิ่งที่สามารถทำเงินได้) ก็เป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นและทำให้เรารู้สึกสนุก 

ซึ่งการทำงานก็คือหนึ่งในโอกาสที่เราจะได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ได้หาวิธีแก้ปัญหาอะไรใหม่ๆที่เราไม่เคยคิดไม่เคยคาดฝัน และได้ทำความรู้จักและเรียนรู้เกี่ยวกับคนที่เราไม่เคยเจอมาก่อน 

หากคุณรู้สึกว่ายังไม่มีความสุขกับงานที่ทำ ก็ให้ลองเก็บเกี่ยวโอกาสหาความรู้เกี่ยวกับบริษัท เกี่ยวกับสินค้า หรือเกี่ยวกับระบบการทำงานทั้งหมด ศึกษาเพื่อพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ ยิ่งคุณเก่งขึ้น คุณก็จะมั่นใจในตัวเองมากขึ้น และสิ่งที่ตามมาก็คือความสุขในการทำงาน

สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับเลยก็คือไม่ใช่ทุกงานที่จะเหมาะกับทุกคน แต่ละคนมีข้อจำกัดในชีวิตไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราก็ควรจะหางานที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่เราอยากได้

หากคุณเป็นคนที่มีภาระทางบ้านเยอะ มีข้อจำกัดต่างๆที่การทำงานไม่สามารถตอบโจทย์ให้ได้ คุณก็ควรศึกษาวิธีเรื่องการพัฒนาสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานเพิ่มเติมครับ

คนบางคนหากเป็นงานที่ชอบก็ยอมทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้เลย คนบางคนก็มีข้อจำกัดต้องเลิกงานให้ตรงเวลาไปรับลูก ไม่ว่าข้อจำกัดหรือความชอบของคุณคืออะไร คุณก็ต้องหาจุดพอดีระหว่างการทำงานและการใช้ชีวิตให้ได้ 

หากคุณไม่สามารถหาจุดพอดีระหว่างการทำงานและการใช้ชีวิต คุณก็จะไม่มีความสุขทุกๆครั้งที่คุณสูญเสียการควบคุมตารางเวลาของตัวเองไม่ว่าจะไปกับเรื่องงานหรือเรื่องภาระส่วนตัว 

ดูแลตัวเองให้ดี ตอบให้ได้ว่าจุดพอดีของคุณอยู่ที่ไหน และหาความสุขกับความพอดีนั้นให้เจอ ผมแนะนำให้คนที่สนใจสามารถอ่านบทความเรื่อง ความสมดุลของชีวิตกับการทำงาน (Work-Life Balance) ดูนะครับ

เวลาเราทำงานเราก็คงมีเรื่องให้ปวดหัวหรือเรื่องที่เราทำไม่ได้มากมายใช่ไหมครับ บางครั้งการพยายามทำอะไรด้วยตัวเองหรือการเรียนรู้ด้วยตัวเองในที่ทำงานก็ไม่เพียงพอ 

วิธีแก้ปัญหาหลายอย่างเราก็ไม่อาจจะคิดด้วยตัวเองได้ การขอคำแนะนำจากคนแผนกอื่นหรือหัวหน้างานที่มีประสบการณ์มากกว่าเราหรือมุมมองไม่เหมือนเราก็จะทำให้เราทำงานได้ดีขึ้น คำแนะนำไม่ได้จำเป็นต้องเกี่ยวกับเรื่องหน้าที่ของเราอย่างเดียวนะครับ การถามอะไรง่ายๆเช่น ‘คิดว่าจุดไหนที่ผมควรจะพัฒนามากขึ้นอีก’ หรือ ‘ส่วนนี้มีอะไรที่ต้องแก้ไขหรือเปล่า’ จะทำให้คนอยากช่วยให้ความรู้และช่วยสอนเรามากขึ้น

ปัญหางานที่ยากเกินไปหรือเพื่อนร่วมงานไม่เป็นมิตรไม่ให้ข้อมูลเป็นสิ่งที่ทำให้คนหนักใจจนต้องเปลี่่ยนงานบ่อยๆ ถ้าเราเข้าใจวิธีการขอความร่วมมือที่ถูกทาง ปัญหาของเราก็จะน้อยลง และความสุขของเราก็จะมากขึ้นด้วย

อย่างไรก็ตาม หากเราเลือกที่จะขอคำแนะนำของคนอื่นเราก็ต้องรู้ที่จะขอบคุณและเคารพเวลาของอีกฝ่าย หากเราเลือกที่จะให้คนอื่นตัดสินใจแทนเราตลอดเวลา ผลงานของเราก็อาจจะออกมาไม่ดีเท่าไร

ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนเราชอบอยากลองอะไรใหม่ๆและชอบความรู้สึกว่าเราไปข้างหน้าเสมอ ยิ่งเป็นการไปข้างหน้าจากความพยายามและความสามารถของเรา เราก็ยิ่งมีความสุข

งานบางอย่างก็มีช่องทางในการโตน้อยครับ เราอาจจะรู้สึกว่าสิ่งที่เราทำอยู่คือสิ่งที่เราต้องทำตลอดไป และเราก็จะเบื่อและหมดความสุขกับการทำงาน (ไม่ได้เป็นสำหรับทุกคน แต่ส่วนมากก็ใช่)

การที่เรารู้ว่าเราสามารถโตได้ในบริษัทก็คือการ ‘สร้างความหวัง’ ให้ตัวเองอย่างหนึ่ง ความหวังจะช่วยสร้างความสุข ลดความเครียด และผลักดันให้เราพยายามมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเราพยายามและพัฒนามากขึ้นคุณภาพชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวของเราก็จะดีขึ้น

ในแง่ของความหวัง ต่อให้คุณไม่ชอบงานหรือไม่รู้สึกว่างานน่าตื่นเต้น บางครั้งความรู้สึกแค่ว่า ‘เดี๋ยวทุกอย่างก็ดีขึ้นแล้ว’ ก็เพียงพอสำหรับการหาความสุขในการทำงานครับ

ความหมายของโอกาสและความหวังของแต่ละคนไม่เหมือนกัน สุดท้ายแล้วคำตอบที่เหมาะสมที่สุดก็ขึ้นอยู่กับคุณเอง คุณอาจจะมองหาโอกาสในงานที่มีอยู่หรือหาโอกาสจากงานอื่นๆที่สามารถหาได้ หรืออาจจะแค่เปลี่ยนมุมมองว่าทุกปัญหาคือโอกาสก็ได้ ตราบใดที่คุณยังให้โอกาสกับตัวเองอยู่เสมอ คุณก็จะมีความสุขมากขึ้น

การมองโลกในแง่ดีกับการสร้างบรรยากาศที่ดีย่อมทำให้เรามีความสุขใช่ไหมครับ ตามทฤษฎีแล้วการทำให้ที่ทำงานเป็นสถานที่สร้างความสุขนั้นฟังดูง่าย แต่ขั้นตอนแต่ละอย่างต้องทำให้ถูกต้อง

วิธีที่เราสามารถทำได้ทันทีก็คือเริ่มจากวิธีการพูดและการสื่อสารของเรา

ยกตัวอย่างเช่น เราควรเลิกวิธีการพูดเรื่องการหาคนที่ผิดหรือคนรับผิดชอบ และโฟกัสเรื่องวิธีการแก้ปัญหาและการป้องกันไม่ได้ให้ปัญหาเกิดขึ้นได้อีกในอนาคตเป็นต้น เราคงไม่สามารถควบคุมคำพูดของคนอื่นได้ แต่เราสามารถควบคุมวิธีการสื่อสารของตัวเองและการแก้ปัญหารอบตัวเราได้ทันที

อีกหนึ่งในวิธีการสื่อสารแง่บวกก็คือการขอคำแนะนำที่ผมได้อธิบายไปแล้วในข้อ (4) ยิ่งเราแสดงตัวว่าเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนและรับความคิดเห็นของคนอื่นมากเท่าไร เรายิ่งได้รับความเคารพและความเชื่อใจจากเพื่อนร่วมงานมากเท่านั้น

ตัวอย่างสุดท้ายก็คือคำพูดที่ตัดกำลังใจตัวเอง เช่น ‘ทำไม่ได้หรอก’ หรือ ‘ยากเกินไป’ ผมเข้าใจว่าหากเป็นงานที่มีความสำคัญเช่นการดูแลลูกค้าบัญชีใหญ่คุณอาจจะรู้สึกประหม่าได้ ซึ่งในกรณีนี้ผมก็แนะนำให้ขอความช่วยเหลือหรือคำแนะนำจากคนอื่น แต่สำหรับงานจิปาถะส่วนมากที่เป็นโอกาสให้คุณเรียนรู้อะไรใหม่ๆ คำพูดที่ดีก็คือ ‘จะพยายามทำให้ดีที่สุดครับ!’

‘เข้ากันไม่ได้’ เป็นอะไรที่ใช้ได้มากกว่าชีวิตคู่ครับ 

เราสามารถเกิดอาการ ‘เข้ากันไม่ได้’ กับบริษัทและสถานที่ทำงานด้วย สิ่งที่เกิดขึ้นง่ายที่สุดก็คือการเข้าไม่ได้กับวัฒนธรรมองค์กรครับ ยกตัวอย่างเช่นหากเราทำงานบริษัทฝรั่ง ทางบริษัทก็จะชอบคนที่กล้าแสดงออกมากกว่า หากเราทำงานกับบริษัทญีปุ่นทางบริษัทก็จะชอบคนที่ทำงานละเอียดทำงานเป็นระบบ หรือถ้าเราทำงานองค์กรไทยเราก็ต้องทำความเข้าใจระบบ ‘ระดับความอาวุโส’ เป็นต้น

แต่ละวัฒนธรรม แต่ละระบบการทำงานมีข้อดีข้อเสียไม่เหมือนกัน และนอกจากคุณจะเป็นซุปเปอร์สตาร์ของบริษัท การเปลี่ยนระบบการทำงานของบริษัทก็เป็นอะไรที่เปลี่ยนแปลงได้ยากมาก เพราะฉะนั้นทางเลือกที่ดีและทำให้เรามาความสุขที่สุดคือการหาบริษัทที่มีวัฒนธรรมการทำงานที่เหมาะกับเรา

วัฒนธรรมองค์กรในที่นี้รวมถึงวิธีทำงานและวิธีสื่อสารของแต่ละแผนกในองค์กรด้วยนะครับ ยกตัวอย่างเช่นแผนกฝ่ายขายอาจจะเป็นแผนกที่ชอบการเข้าสังคมมากกว่าแผนกบัญชี แผนกฝั่งไอทีอาจจะชอบการเล่นเกมมากกว่าแผนกผู้บริหารเป็นต้น หากเราเลือกแผนกและบริษัทที่มีวัฒนธรรมเหมือนกับสิ่งที่เราชอบเราก็จะสามารถทำงานได้อย่างมีความสุขมากขึ้น

การให้คือการโฟกัสไปที่ปัญหาของคนอื่นมากกว่าการที่จะมาทุกข์กับปัญหาตัวเอง ยิ่งเราให้คนอื่นเยอะชีวิตเราก็จะมีความสุขมากขึ้น

ปัญหาของการให้ในที่ทำงานก็คือเราต้องเรียนรู้ที่จะให้อย่างมีเหตุผลและรู้จักรักษาผลประโยชน์ของตัวเองด้วย หากเราเข้าใจหน้าที่การงานและความรับผิดชอบที่เราต้องทำแล้ว เราก็ควรหาวิธีทำงานพวกนั้นให้ดีก่อน

หลักจากเราทำหน้าที่ตัวเองได้ดีแล้ว เราค่อยแบ่งเวลาให้เพื่อนร่วมงานและบริษัทของเรา แต่การให้ในที่ทำงานหมายถึงอะไรกันบ้าง?

การให้ที่ง่ายและเป็นภาระกับเราน้อยที่สุดคือการให้ข้อมูล ความรู้ และคำแนะนำ สิ่งพวกนี้เป็นอะไรที่เราไม่ต้องใช้เวลาเยอะแต่สามารถสร้างมูลค่าให้กับคนอื่นได้มาก เพราะฉะนั้นคราวหน้าที่มีคนมาขอคำแนะนำจากเรา ก็อย่าไปหวงความรู้มากเลยครับ การสร้างความสุขให้คนอื่นก็จะกลายเป็นความสุขของเราต่อมา

หรือบางครั้งคุณอาจจะเลือกซื้อขนมซื้อน้ำหวานแจกเพื่อนร่วมงานเพื่อสร้างมิตรเพิ่มก็ได้ โดนัทราคาไม่เท่าไรก็สามารถซื้อใจคนได้มากกว่าที่คิด

งานที่ทำแล้วมีความสุขที่สุดคืองานที่เราอยากทำ ซึ่งคนที่ทำงานก็จะมีอยู่สามประเภทครับ

คนประเภทแรกคือคนที่มีความสุข ประเภทที่สองคือคนที่อาจจะรู้สึกหงุดหงิดหรือเสียกำลังใจ ส่วนคนประเภทที่สามคือคนที่กำลังหลงทางอยู่ครับ ซึ่งประเภทที่สองและสามก็คือไม่มีความสุขเท่าไร

หากคุณรู้ว่าตัวเองอยากทำอะไรแต่ไม่ได้ทำงานที่ตัวเองอยากทำ คุณก็ต้องถามคำถามว่าคุณจะทำให้สถานการณ์มันดีขึ้นได้ยังไงบ้าง คุณอาจจะเปลี่ยนงานไปทำอะไรที่คุณอยากทำ หรือถ้าสิ่งที่คุณอยากทำมีความเสี่ยงหรือไม่สามารถสร้างเงินได้ คุณจะลดความเสี่ยงหรือหาช่องทางทำสิ่งพวกนี้เป็นงานอดิเรกได้หรือเปล่า

หากคุณไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร คุณก็ต้องหาเวลาว่างมาลองอะไรใหม่ๆเพื่อตอบคำถามตัวเองให้ได้ หาอะไรที่คุณชอบหรือคุณถนัดทำไปเรื่อยๆจนกว่าคุณจะเจอสิ่งที่คุณอยากจะทำให้กลายเป็น ‘งานประจำ’ ของตัวเอง

สุขภาพร่างกายสำคัญต่อความสุขทากครับ แค่คุณออกกำลังกายและพักผ่อนให้เพียงพอคุณก็จะเครียดน้อยลงมากแล้ว

แต่สิ่งที่ผมต้องเน้นเป็นพิเศษสำหรับคนทำงานก็คือการนอน บ่อยครั้งที่เราอาจจะใช้เวลาทำงานมากเกินไปจนกลับบ้านสายและทำให้นอนสายไปด้วย หรือบางทีเราก็เก็บเรื่องงานมาคิดมากจนเครียดนอนไม่หลับ

การนอนไม่พอจะทำให้คุณรู้สึกเบลอไม่สามารถโฟกัสกับการทำงานได้ และยังทำให้คุณรู้สึกเครียดและหงุดหงิดมากขึ้นด้วย

นอกจากการนอนแล้ว เราควรแบ่งเวลาพักผ่อนไปเที่ยวหรืออยู่กับบ้านดูแลตัวเองด้วย ร่างกายคนเราเป็นเหมือนเครื่องจักรหากไม่มีการหยุดพักตรวจสอบสภาพร่างกายบ่อยๆก็จะมีอาการล้าและเครียดได้ การให้เวลาร่ายการเราพักไม่ใช่เป็นการขี้เกียจ แต่มันเป็นเหมือนการเติมน้ำมันรถครับ รถต่อให้วิ่งเร็วแค่ไหนก็ต้องมีการแวะเติมน้ำมันอยู่ดี

การทำงานส่วนมากต้องมีการพูดคุยกับคนอื่น เช่นการทำงานร่วมกันแผนกอื่น การคุยกับคู่ค้าทางธุรกิจ หรือการคุยกับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นงานระดับไหนเราก็ต้องใช้ทักษะการเข้าสังคมไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง

เท่ากับว่าเราก็ต้องเลือกงานที่มีระดับการ ‘เข้าสังคม’ ให้เหมาะสมกับตัวเอง หากเราไม่อยากพูดคุยกับคนเแปลกหน้าเยอะ เราก็ควรเลี่ยงงานที่ต้องพบลูกค้า แต่ต่อให้เราเป็นพนักงานวิเคราะห์ข้อมูลที่อยู่หน้าจอคอมทั้งวัน เราก็ต้องมีการพบปะพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานไม่มากก็น้อยอยู่ดี ทางที่ดีเราเปิดใจให้กว้างและเรียนรู้ที่จะมีความสุขกับคนรอบข้างจะดีกว่าครับ

Soft Skill หรือทักษะด้านอารมณ์ ในการเข้าสังคมจะทำให้เรามีความสุขกับการทำงานมากขึ้น ถ้าเป็นไปได้ก็ฝึกไว้ไม่เสียหายอะไร แถมยิ่งเราฝึกเยอะโอกาสที่หน้าที่การงานของเราจะดีขึ้นก็มีเยอะขึ้นด้วย ซึ่งก็จะเกี่ยวข้องกับหัวข้อถัดไป…

ทุกคนมีความต้องการและความชอบไม่เหมือนกัน และการเข้าสังคมที่ดีที่สุดก็คือการ ‘แลกเปลี่ยนของที่ความชอบไม่เท่าเทียม’ 

หมายความว่ายังไง?

ยกตัวอย่างเช่น เวลาคุณไปกินข้าวกับเพื่อนแล้วสั่งผัดผักมาหนึ่งจาน คุณชอบกินผักบุ้ง ส่วนเพื่อนคุณชอบกะหล่ำปลี คุณสองคนก็แค่แบ่งอาหารกินแต่สิ่งที่ตัวเองชอบก็พอ การทำงานก็เช่นกันครับ

ทุกคนมีความต้องการไม่เหมือนกัน บางคนก็อาจจะทำงานเพราะรู้สึกสนุก บางคนอาจจะทำงานได้ขอแค่มีคนชม บางคนมาทำงานเพื่อเข้าสังคมมีคนเดินมาทักทายสวัสดีทุกวันก็มีความสุขแล้ว หากคุณรู้ว่าคุณต้องการอะไร แต่ละคนต้องการอะไร คุณก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งพวกนี้เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมในการทํางานที่มีความสุขได้แล้ว

ความหมายของอิสระของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนชอบคิดเองทำอะไรเองเพราะได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์เยอะ ส่วนบางคนชอบให้คนช่วยคิดให้ชอบพิจารณาตัวเลือกคำแนะนำของคนรอบข้าง

งานที่สร้างความสุขคืองานที่มีระดับของ ‘อิสระ’ ที่เหมาะสมกับเรา

หากคุณเป็นคนที่ชอบอะไรท้าทายอยากจะทดลองไอเดียของตัวเอง คุณคิดว่าคุณต้องอยู่ในองค์กรบริษัทแบบไหนถึงจะได้รับอิสระมากขนาดนี้ และคุณสามารถพิสูจน์ตัวเองเพื่อขอโอกาสพวกนี้ได้หรือเปล่า

หากคุณเป็นคนที่ต้องการคนจูงมือหรือคนสอนงานเยอะ คุณจะสามารถหาองค์กรที่มีทรัพยากรเหมาะสมกับความต้องการเราได้ยังไงบ้าง

‘มีสติ’ และ ‘อยู่กับปัจจุบัน’ เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับความสุขที่มีมาหลายร้อยปีแล้วครับ

แต่เราจะนำวิธีคิดนี้มาใช้กับการทำงานได้ยังไงบ้าง

การมีสติหมายความว่าเราต้องไม่โฟกัสไปกับความทุกข์ของปัญหาต่างๆ เวลาเราเจอปัญหาในที่ทำงาน เราควรหาวิธีแก้ไขและป้องกันมากกว่าการเสียใจหรือกระวนกระวายใจ 

ใช้สติกับสิ่งที่ทำ ตั้งใจทำงานสำคัญให้ดีที่สุด และอย่าให้ใจหลุดลอยไปกับอะไรที่ไม่คู่ควรต่อความสนใจของเรา ทำทีละงาน ค่อยๆทำให้เสร็จตามลำดับความสำคัญ ยิ่งเราเจอปัญหาเราก็ความใช้สมาธิให้มากขึ้น หากคุณทำได้ คุณจะมีความสุขกับงานและงานของคุณก็จะออกมาดีขึ้นด้วย

ข้อสุดท้ายเป็นเทคนิคส่วนตัวของผมเอง

มันง่ายที่เราจะรู้สึก ‘หลงทาง’ เวลาเราไม่มีเป้าหมาย ซึ่งอาการของความรู้สึกหลงทางก็มีหลายอย่าง บางคนอาจจะรู้สึกว่าเปล่า รู้สึกว่าสิ่งที่ทำอยู่ไม่มีค่า หรือรู้สึกว่าเราทำงานเหนื่อยเพื่ออะไรกัน

สาเหตุที่คนอยากเกษียณหรืออยากเลิกทำงานก็เพราะรู้สึกว่างานที่ทำไม่ได้ตอบโจทย์ของชีวิต แต่ถ้าเราสามารถหาเป้าหมายของการทำงานได้ ชีวิตของเราก็จะมีความหมายมากขึ้น เราจะสามารถใช้ 30% ของชีวิตที่เราต้องทำงานให้มีประโยชน์ได้มากขึ้น

เป้าหมายการทำงานอาจจะเป็นอะไรง่ายๆแค่การเก็บเงิน หรือจะเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นก็ได้ ตราบใดที่เป้าหมายการทำงานทำให้เราตั้งใจทำงานและรู้สึกอยากลุกขึ้นไปทำงานทุกวันก็เพียงพอแล้ว

สุดท้ายนี้ผมขอจบบทความด้วยคำพูดของ ‘สตีฟ จอบส์’ เกี่ยวกับการทำงานครับ

“Being the richest man in the cemetery doesn’t matter to me. Going to bed at night saying we’ve done something wonderful, that’s what matters to me.”

การเป็นชายที่รวยที่สุดในสุสาน มันไม่ได้สำคัญอะไรกับผมเลย การได้พูดกับตัวเองก่อนนอนว่า เราได้ทำบางสิ่งที่สุดยอด นั่นต่างหากที่สำคัญสำหรับผม


SARAN x The BESTS – อะไรฉันก็ยอม Ft.Pondering , WHALJAY , SLOWVXNZ (Prod.Tower Beatz)


Lyrics By SARAN , The BESTS , @Pondering N TOWN , WHALJAY , @SLOWVXNZ
Beat By Tower Beatz
Rec/Mix\u0026Mastering By @SLOWVXNZ
© LOFI Station

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูเพิ่มเติม

SARAN x The BESTS - อะไรฉันก็ยอม Ft.Pondering , WHALJAY , SLOWVXNZ (Prod.Tower Beatz)

MAN’R – ทุกครั้งที่ถาม – ft JACK WC \u0026 แม่ทองแปน พันบุปผา [OFFICIAL MV] Prod By YOSHI


Song : ทุกครั้งที่ถาม
Artist : MAN’R ft. JACK W’C
Lyrics : MAN’R
Mixed \u0026 Mastered : DJ YOSHI
Arrange : YOSHI
Music Video : TheFaceMediaStudio
ทุกครั้งที่ถาม
MANR
อาจมีบางครั้งที่น้อยใจในโชคชะตา
เก็บเอาความจนใว้เป็นแรงบันดาลใจ
สักวันเราต้องสบาย
มองดูพ่อแม่ก็แก่ลงทุกวัน

MAN’R - ทุกครั้งที่ถาม - ft  JACK WC  \u0026 แม่ทองแปน พันบุปผา [OFFICIAL MV] Prod By YOSHI

SPRITE x GUYGEEGEE – ทน (Prod. by MOSSHU) OFFICIAL MV


Prod. by MOSSHU
Executive Producer : NINO
Lyrics : SPRITE x GUYGEEGEE
Mix : NINO \u0026 MOSSHU
Master : Henry Watkins
Studio : NINO TRAP HOUSE STUDIO
Director: Jediiano
Editor : Jediiano
DOP: Aongkai
Executive Producer: NINO
Producer: Hannah J. Pischedda
Art Director: Parida Roongruang
Stylist: Unisa K. \u0026 Parida Roongruang
Editor: Jediiano
Focus Puller: Phasu Boonpupiphat
Colorist: Icesmith
Camera crew: Camera Corner
Location: Pattaya, Yin Yom Beach
Still Photography: Keaidkumchai Tongpai
Staring: NINO, SEEDA THE VILLAIN, Phattanitporn Baramee
Special thanks: Vee’s Beach Shop
สามารถฟังเพลง \”ทน\” ได้แล้ววันนี้ทุก Streaming Platform
https://HYPETRAIN.lnk.to/TonID

LYRICS
(SPRITE)
พี่ไม่มี Louis Vuitton
มีแต่หนี้ก้อนโต
นวลน้องคงน้ำตานอง
เพราะต้องช่วยพี่ออกค่าคอนโด
อยู่กับพี่น่ะมันลำบากนะ หรือว่าน้องจะทน
อยู่กับพี่ลำบากนะหรือว่าน้องจะทน
(GUY)
ก็พี่ไม่มี Balen
เเถมค่ารถพี่ส่งไม่ทัน
กระเป๋าของพี่ Dior เเต่ตัวพี่นะไม่มีตังค์
อยู่กับพี่น่ะมันลำบากนะ
หรือว่าน้องจะทน
อยู่กับพี่ลำบากนะ
หรือว่าน้องจะทน
(GUY)
วัน ๆ พี่เอาเเต่เติมเงินทงเงินทองพี่ก็ไม่หานะ
เธอบอกมันดูไม่ดี เธอชอบคนที่มันมีฐานะ
กูกะจะไปหาตังอยู่เเล้ว อยู่ดี ๆ (ดูดิ๊) เพื่อนโทรมาหา
อ้าวเห้ย กูไปดีกว่า เห้ยกูไปดีกว่า
ตัวเธอไม่ชอบที่เราไม่ทำอะไรเลยนอกจากเติม
ไม่พาเธอไปชมที่ใหม่ ๆ วนอยู่เก่า ๆ เดิม ๆ
ไอ้หนุ่มรูปหล่อสปอร์ตคันใหม่ถูกใจเธอไปเลยเชิญ
เผอิญมีนัด น้องกิฟ น้องนุ๊ก น้องพลอยคืนนี้อะดิมีเพลิน
เพลิน เพลิน เพลิน x1
เพลิน x7
(SPRITE)
พี่ไม่มี Louis Vuitton
มีแต่หนี้ก้อนโต
นวลน้องคงน้ำตานอง
เพราะต้องช่วยพี่ออกค่าคอนโด
อยู่กับพี่น่ะมันลำบากนะ หรือว่าน้องจะทน
อยู่กับพี่ลำบากน่ะหรือว่าน้องจะทน
(GUY)
ก็พี่ไม่มี Balen
เเถมค่ารถพี่ส่งไม่ทัน
กระเป๋าของพี่ Dior เเต่ตัวพี่น่ะไม่มีตังค์
อยู่กับพี่น่ะมันลำบากนะ
หรือว่าน้องจะทน
อยู่กับพี่ลำบากนะ
หรือว่าน้องจะทน
(SPRITE)
หกโมงเช้าพระมาพี่ยังไม่ตื่น ๆ
นั่งชิวกับพี่กายเเต่ไม่ได้ดื่ม ๆ
พี่กายเขาเพ้อถึงรักเก่านั่งโศกเศร้าอยู่เมื่อคืน
รักเรานี่เเสนอาภัพเพียงเพราะว่าเราไม่มีเงินหมื่น
หมื่น 1 หมื่น 2 หมื่น 3 หมื่น 4 หมื่น 5 หมื่น 6 หมื่น 7
เอ้ยลืมไปนี่ว่าต้องคืนตังค์พี่โน่หมื่น 8
ใครบอกใครเตือนอะไรใครพูดอะไรพี่ก็ไม่ฟัง
น้องไม่ชอบคนทะเล้นเเต่เธอบอกชอบคนเต้นระบำ ๆ ๆ
(SPRITE)
พี่ไม่มี Louis Vuitton
มีแต่หนี้ก้อนโต
นวลน้องคงน้ำตานอง
เพราะต้องช่วยพี่ออกค่าคอนโด
อยู่กับพี่น่ะมันลำบากนะ หรือว่าน้องจะทน
อยู่กับพี่ลำบากนะหรือว่าน้องจะทน
(GUY)
ก็พี่ไม่มี Balen
เเถมค่ารถพี่ส่งไม่ทัน
กระเป๋าของพี่ Dior เเต่ตัวพี่น่ะไม่มีตังค์
อยู่กับพี่น่ะมันลำบากนะ
หรือว่าน้องจะทน
อยู่กับพี่ลำบากนะ
หรือว่าน้องจะทน

ติดตามช่องทาง Social Media
HYPE TRAIN
https://HYPETRAIN.lnk.to/HYPETRAINID
SPRITE
https://HYPETRAIN.lnk.to/SPRITEID
GUYGEEGEE
https://HYPETRAIN.lnk.to/GUYGEEGEEID

FOR WORK : 0812579651 (K.NAMFON)
HYPETRAIN SPRITE GUYGEEGEE ทน หรือว่าน้องจะทน

SPRITE x GUYGEEGEE - ทน (Prod. by MOSSHU) OFFICIAL MV

เงิน – Rapper Tery Feat. เต้ย ณัฐพงษ์


เพลง : เงิน
Beat Produced : [RPTBeats] x E_YENstudio
คำร้อง/ทำนอง : ณัฐพงษ์ หอมเทียน / Rapper Tery
เรียบเรียง : ณัฐพงษ์ หอมเทียน / E_YENstudio
Recorded/Mastered : E_YENstudio
Lyric Video : E_YENstudio
Rapper Tery / เต้ย ณัฐพงษ์
https://www.facebook.com/rapper.tery
https://www.facebook.com/natty.move

เงิน - Rapper Tery Feat. เต้ย ณัฐพงษ์

ฮักเหม็ดใจ – คิว สราวุฒิ 【OFFICIAL MV】


สามารถโหลดซาวด์ดนตรีแท้ๆ ไป Cover ได้ตาม Link ข้างล่างนี้นะครับ
https://bit.ly/3F8B3vc
เพลง : ฮักเหม็ดใจ
ศิลปิน : คิว สราวุฒิ
คำร้อง/ทำนอง : ลูกน้ำ จุลินทรีย์
เรียบเรียง : เอ็ม นาโนน/ยศดนัย ภู่ทอง
คุมร้อง/บันทึกเสียง : สัญญา อิทธสัน
มิกซ์​มาสเตอร์​ : ภานุวัฒน์​ สิงห์​สนั่น
กีต้าร์​ : ป๊อป​ นิติ​พงษ์
เบส​/กลอง​ : ภา​นุวัฒน์​ สิงห์​สนั่น
พิณ​ : อ.โน​ชา​นน​ ชินราช
ปี่ใต้​ : ณกรณ์ ชูรักษ์
กราฟฟิก : วิเรศ จันทเขต
Production : Samkip Production
อำนวยการผลิต : สาธิต นุ่นพันธ์
สังกัด/ลิขสิทธิ์ : หรอยหลาย มิวสิค
โปรเจ็กต์ : มนต์รักอีสานใต้
____________________________________
Facebook Fan Page : หรอยหลาย มิวสิค
☎ ติดต่องานจ้างศิลปิน
หรอยหลาย มิวสิค 0824448966
Facebook, Tiktok : นักร้อง \u0026 แสดง
นักร้องชาย : คิว สราวุฒิ
Tiktok : kiw_sarawut
__________________________________
พระเอก : เจตริน ศรีสังข์ (เนเงิน)
Tiktok : n_chettarin168
__________________________________
นางเอก : Nutiya Yarapan (ครูเบียร์)
Tiktok : nutiya0503
__________________________________
พระรอง : ประสิทธิ์ เทียมรัตนพงษ์
Tiktok : prasit_09
__________________________________
นางรอง : นิล จิราพัชร
Tiktok : ninny6311
__________________________________
พ่อนางเอก : เอก ธณากร
Tiktok : proeak12
เนื้อเพลง
พี่รัก น้องเหม็ดใจ ฮู้บ่ยังคิดฮอด
Intro..
ระยะเส้นทาง ไม่อาจกั้นใจ
และยังจำคำน้องได้ ว่าฮักอ้ายเด้อ
ทั้งใจเด็กใต้คนนี้ก็มีแค่เธอ
ยอมทุกอย่างเสมอได้เคียงคู่นาง
อาจไม่ดีเท่าใคร แต่ว่าให้เกินร้อย
อย่างน้อยๆ หมดทั้งชีวิตก็ยกให้เธอ
ถ้าน้องมองเห็นถึงหัวใจ จะรู้ว่าฮักหลายเด้อ
เธอคนเดียวเท่านั้น ที่จะเอาไป ฝากแม่ให้เป็นลูกใภ้
จะทำทุกอย่างให้พ่อแม่น้อง รับพี่เป็นลูกเขย
ยอมหมดเลยต้องการอะไร ทำได้ทั้งเพ
แค่เพียงมีเธอ อยู่ข้างกายสัญญาจะไม่เกเร
เด็กใต้คนนี้จะไม่โลเล เพราะใจรักจริง
ระยะทางหลายพันกิโล ระยะใจใกล้เพียงแค่นี้
รักอย่างแรงแหลงจริงอีหลี เพื่อเธอคนดี ทำได้ทุกอย่าง
Solo…โว้ โห้ โห
(//)
ฮักเหม็ดใจ คิวสราวุฒิ หรอยหลายมิวสิค
เนเงิน ครูเบียร์

ฮักเหม็ดใจ - คิว สราวุฒิ 【OFFICIAL MV】

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูวิธีอื่นๆMAKE MONEY ONLINE

ขอบคุณที่รับชมกระทู้ครับ อยากจะทําทุกสิ่ง

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *