Skip to content
Home » [NEW] โกรธก็บอก อย่าหลอกว่า “ไม่เป็นไร” เพราะการมองข้ามปัญหาและทำเป็นให้อภัย อาจทำร้ายความสัมพันธ์มากกว่าที่คิด | การ รักษา ความ สัมพันธ์ – NATAVIGUIDES

[NEW] โกรธก็บอก อย่าหลอกว่า “ไม่เป็นไร” เพราะการมองข้ามปัญหาและทำเป็นให้อภัย อาจทำร้ายความสัมพันธ์มากกว่าที่คิด | การ รักษา ความ สัมพันธ์ – NATAVIGUIDES

การ รักษา ความ สัมพันธ์: นี่คือโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้

คุณเคยยกโทษให้ใคร ทั้งๆ ที่ยังโกรธอยู่หรือไม่? เพราะอยากรักษาความสัมพันธ์ คุณจึงพยายามปกปิดอารมณ์โกรธ และบอกกับเขาว่า “ไม่เป็นไร”

เราทุกคนล้วนถูกปลูกฝังมาว่าการให้อภัยผู้อื่นเป็นสิ่งที่ควรทำ และคิดว่าการละทิ้งความขุ่นเคืองจะสามารถรักษาความสัมพันธ์ไว้ได้ เราจึงยกโทษให้กับผู้อื่นอย่างง่ายดาย โดยที่ความรู้สึกลบๆ ยังไม่หายไปไหน แต่หารู้ไม่ว่าการทำสิ่งนี้ จะทำให้ปัญหาที่ค้างคาใจยังไม่ได้รับการแก้ไข เพราะเราไม่ได้แสดงออกว่าเราไม่พอใจอะไร และมันจะติดอยู่ในใจเราไปเรื่อยๆ เมื่อมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำอีก ปัญหาที่พอกพูนเอาไว้มันจะเป็นชนวนที่ทำให้ความสัมพันธ์พังลงในที่สุด

คู่รักที่มีชีวิตคู่ที่ยืนยาว ไม่ได้มาจากการหล่อเลี้ยงด้วยความรักที่หวานชื่นเพียงอย่างเดียว และไม่ใช่การหลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่งอีกเช่นกัน แต่เป็นการเผชิญปัญหาและจัดการกับความขัดแย้งอย่างตรงไปตรงมา

Advertisements

ในปี 2018 นักวิจัยกลุ่มหนึ่งได้ออกบทความวิเคราะห์ “Forgive and Forget: A Typology of Transgressions and Forgiveness Strategies in Married and Dating Relationships” ลงบน Western Journal of Communication โดยกลุ่มนักวิจัยได้ทำการวิจัยความสัมพันธ์สองรูปแบบ คือผู้ใหญ่ที่แต่งงานแล้ว 123 คน และผู้ใหญ่ที่ออกเดต 93 คน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสำรวจวิธีการให้อภัยในความสัมพันธ์ของทั้งสองกลุ่มตัวอย่าง รวมถึงหาคำตอบวิธีการให้อภัยแบบใดที่พวกเขาใช้แล้วทำให้มีชีวิตคู่ที่ยืนยาว มาดูกันมาว่าผลการวิจัยออกมาเป็นอย่างไร

Kelley และ Waldron นักวิจัยสองท่านนี้ได้ระบุวิธีที่คู่รักและคู่ที่กำลังคบกันใช้เพื่อรักษาความสัมพันธ์หลังจากเกิดความขัดแย้ง โดยมีอยู่ 5 วิธีด้วยกัน

1) การพูดคุยถึงปัญหาอย่างตรงไปตรงมา 

2) การให้อภัยอย่างชัดเจน บอกกับฝ่ายตรงข้ามว่าเราอภัยกับสิ่งสิ่งนี้แล้ว

3) การให้อภัยแบบใช้ภาษากาย เช่น การกอดหลังทะเลาะกัน เป็นต้น

4) การลดขนาดของปัญหา ซึ่งก็คือการมองข้ามปัญหาและเลือกที่จะเพิกเฉย เพราะเห็นว่าเป็นปัญหาเล็กน้อย

5) การให้อภัยแบบมีเงื่อนไข เช่น ถ้าคุณทำสิ่งนี้แล้วฉันจะหายโกรธ เป็นต้น

นักวิจัยพบว่าทั้ง 5 กลยุทธ์เหล่านี้ล้วนมีประสิทธิภาพในการรักษาความสัมพันธ์ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นคู่สมรสหรือคู่เดตก็ตาม และกลยุทธ์ที่เลือกใช้มักขึ้นอยู่กับความรุนแรงของความคับข้องใจ เช่น การพูดคุยกันมักใช้สำหรับความผิดที่เลวร้ายที่สุด อย่างการนอกใจ หรือการมองข้ามปัญหา การให้อภัยแบบใช้ภาษากายจะมักใช้กับปัญหาเล็กๆ น้อยๆ เช่น การมาทานอาหารเย็นสาย และการให้อภัยอย่างชัดเจนมักจะใช้กับความขัดแย้งที่ไม่อาจหาข้อสรุปได้ เป็นต้น

โดยทางนักวิจัยก็ได้อธิบายเกี่ยวกับรูปแบบการให้อภัยแบบมีเงื่อนไขและ ‘Pseudo-Forgiveness’ หรือการให้อภัยแบบหลอกๆ ไว้อย่างน่าสนใจ การให้อภัยแบบมีเงื่อนไขอาจเรียกว่าเป็น ‘การปกป้องทางอารมณ์’ เพราะพวกเขาได้ปกปิดบาดแผลนั้นและใช้สิทธิ์ของการเป็นผู้ถูกกระทำในการควบคุมอีกฝ่าย สร้างเงื่อนไขเพื่อสนองความต้องการของตัวเอง ซึ่งบางครั้งเงื่อนไขที่เอ่ยนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องหรือสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้เลยสักนิด 

Advertisements

ส่วนการให้อภัยแบบหลอกๆ นั้นมีความคล้ายคลึงและแย่พอๆ กับการให้อภัยแบบมีเงื่อนไข  โดยผู้ถูกกระทำเลือกที่จะก้าวต่อไปและบอกว่า “ไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก” การมองข้ามปัญหาเช่นนี้สามารถยืดอายุความสัมพันธ์ได้ก็จริง แต่เป็นความสัมพันธ์ที่รอระเบิดเวลา เนื่องจากไม่มีการให้อภัยที่แท้จริงเกิดขึ้น ซึ่งผลการวิจัยชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มของการอยู่รอดของความสัมพันธ์ที่อาจไม่ยืนยาวนัก

Table of Contents

การอภัยจะดีต่อความสัมพันธ์ก็ต่อเมื่อเราปล่อยวางจากความรู้สึกแย่ๆ อย่างแท้จริง โดยกฎการให้อภัยที่จะทำให้ความสัมพันธ์ยืนยาวมีอยู่ 3 กฎด้วยกัน

1) การให้อภัยไม่ใช่ทำเพื่อใคร แต่ทำเพื่อตัวเอง

การให้อภัยไม่ใช่ทางออกของปัญหา ไม่ใช่วิธีการที่จะทำให้ผู้อื่นสบายใจหรือเป็นวิธีการประคองความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน แต่การให้อภัยคือการทำเพื่อตัวเราเองต่างหาก และการให้อภัยผู้อื่นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราให้อภัยตัวเองก่อน  การให้อภัยตัวเองคือการหยุดปล่อยให้ความโกรธกัดกินหัวใจ เข้าใจที่มาของความรู้สึกและจัดการกับมันอย่างค่อยเป็นค่อยไป  หันไปโฟกัสกับสิ่งที่มีคุณค่ากับชีวิตเราจริงๆ และเมื่อเราปล่อยวางสิ่งแย่ๆ ได้ด้วย ‘ตัวเอง’ วันนั้นจะเป็นวันที่เราสามารถพูดคำว่ายกโทษได้อย่างเต็มปาก 

2) หาทางออกของความขัดแย้งด้วยวิธีอื่นๆ

เมื่อวิธีแก้ไขที่เราใช้ไม่ได้ผล บางทีเราอาจตัดปัญหาหรือมองมันให้เป็นเรื่องเล็กๆ เมื่อเราสามารถยอมรับปัญหานั้นได้ หรือบางสถานการณ์ เมื่อเกิดความขัดแย้งที่รุนแรงเกินกว่าจะแก้ไขด้วยวิธีที่เราเคยใช้ในกรณีที่เราเป็นผู้ถูกกระทำ ทางออกคือการให้อภัยอย่างชัดเจน บอกความรู้สึกและแสดงออกให้อีกฝ่ายเข้าใจอย่างชัดเจน หากเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นร่วมกัน ให้ลองหันหน้าพูดคุย ปรับความเข้าใจกัน

3) ความขัดแย้งบางเรื่องไม่คุ้มที่จะปะทะโดยตรง

ในหลายกรณี การละทิ้งความขัดแย้งแทนที่จะพยายามแก้ไขเป็นทางออกที่ดีที่สุด เช่น ความคิดที่แตกต่างกันในครอบครัว ให้เราลองชั่งใจว่าระหว่างความสัมพันธ์ในครอบครัวหรือความคิดที่แตกต่างอะไรมีความสำคัญมากกว่ากัน หรืออย่างการที่คนรักอารมณ์เสียใส่หลังจากเขากลับมาจากที่ทำงานเหนื่อยๆ แทนที่เราจะโมโห การไม่เก็บปัญหาเล็กๆ มาใส่ใจจะเป็นทางออกที่ดีกว่า เพราะฉะนั้น การเมินเฉยกับปัญหา เพื่อลดความกระทบกระทั่งก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ทำให้ความสัมพันธ์มั่นคงได้

จาก 3 กฎที่กล่าวไปเป็นเพียงการแนะนำการประคองความสัมพันธ์เบื้องต้นเท่านั้น เพราะจากการวิจัยพบว่า เมื่อเกิดการกระทบกระทั่ง แต่ละคนล้วนมีพฤติกรรมการแสดงออกที่แตกต่างกันออกไป สำหรับคู่รักบางคู่อาจเลือกใช้วิธีที่ดีกว่าก็ได้เช่นกัน 

อย่างผลการวิจัยพบว่า วิธีรับมือปัญหาของคู่สมรสมักจะใช้วิธีการให้อภัยหลอกๆ ในขณะที่คู่เดตมักใช้การลดขนาดของปัญหา และเมื่อต้องการแสดงออกกับอีกฝ่ายว่าตนให้อภัย คู่สมรสมักจะพูดคุยเรื่องการให้อภัยอย่างตรงไปตรงมา แต่คู่เดตมักจะเลือกใช้การสื่ออ้อมๆ นอกจากการรูปแบบของความสัมพันธ์ที่ทำให้แต่ละคนเกิดการแสดงออกการให้อภัยและมีวิธีการรับมือกับปัญหาที่แตกต่างกันแล้ว ยังมีตัวแปรของอายุความสัมพันธ์ระหว่างคู่รัก และลักษณะนิสัยรายบุคคลที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการแสดงออกต่างๆ นี้อีกด้วย

แม้ว่าแต่ละคู่จะมีวิธีการแสดงออกการให้อภัยที่แตกต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นหัวใจสำคัญของการให้อภัยสำหรับทุกความสัมพันธ์คือการระบุปัญหาและจัดการกับความขัดแย้งให้เหมาะสม โดยถามตัวเองว่าปัญหานี้คืออะไร จะแก้ไขมันอย่างไร วิธีที่แก้ไขนี้สามารถจัดการกับรากของปัญหาจนทำให้ความสัมพันธ์ของคู่เรามั่นคงยิ่งขึ้นใช่หรือไม่  และหลังจากเกิดความขัดแย้งขึ้น เราต้องมั่นใจว่าเรา ‘สบายใจ’ ที่กล่าวให้อภัยกับอีกฝ่ายด้วยเช่นกัน 

อ้างอิง
https://bit.ly/3iXF7oA
https://bit.ly/3DFI6cW

#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast
#psychology

ติดตามความเคลื่อนไหวและเนื้อหาน่าสนใจอื่นๆ ได้ที่ https://missiontothemoon.co/

Advertisements

[NEW] วิธีการ รักษาความสัมพันธ์ทางไกล | การ รักษา ความ สัมพันธ์ – NATAVIGUIDES

  1. Stafford, L., & Merolla, A. J. (2007). Idealization, reunions, and stability in long-distance dating relationships. Journal of Social and Personal Relationships,24(1), 37-54.

  2. Aylor, B. A. (2003). Maintaining long-distance relationships. Maintaining relationships through communication: Relational, contextual, and cultural variations, 127-140.

  3. Aylor, B. A. (2003). Maintaining long-distance relationships. Maintaining relationships through communication: Relational, contextual, and cultural variations, 127-140.

  4. Johnson, A. J., Haigh, M. M., Becker, J. A., Craig, E. A., & Wigley, S. (2008).College Students’ Use of Relational Management Strategies in Email in Long‐Distance and Geographically Close Relationships. Journal of Computer-Mediated Communication, 13(2), 381-404.

  5. Aylor, B. A. (2003). Maintaining long-distance relationships. Maintaining relationships through communication: Relational, contextual, and cultural variations, 127-140.

  6. Johnson, A. J., Haigh, M. M., Becker, J. A., Craig, E. A., & Wigley, S. (2008).College Students’ Use of Relational Management Strategies in Email in Long‐Distance and Geographically Close Relationships. Journal of Computer-Mediated Communication, 13(2), 381-404.

  7. Sahlstein, E. M. (2006). Making plans: Praxis strategies for negotiating uncertainty–certainty in long-distance relationships. Western Journal of Communication, 70(2), 147-165.

  8. Stafford, L., & Merolla, A. J. (2007). Idealization, reunions, and stability in long-distance dating relationships. Journal of Social and Personal Relationships,24(1), 37-54.

  9. Dainton, M., & Aylor, B. (2002). Patterns of communication channel use in the maintenance of long‐distance relationships. Communication Research Reports,19(2), 118-129.


60 02 10 Young Health @Heart การรักษาความสัมพันธ์กับคนรักให้ยั่งยืน คุณฌอน บูรณะหิรัญ


นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูเพิ่มเติม

60 02 10 Young Health @Heart การรักษาความสัมพันธ์กับคนรักให้ยั่งยืน คุณฌอน บูรณะหิรัญ

#อย่าหาว่าน้าสอน “รูปแบบความสัมพันธ์” สำคัญต่อการมีแฟน!!!


\”ความสัมพันธ์\” มีหลายรูปแบบ
การที่คน 2 คนจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้
ต้องเข้าใจ \”รูปแบบความสัมพันธ์\” ของกันและกันด้วยนะน้องๆ !!!

#อย่าหาว่าน้าสอน “รูปแบบความสัมพันธ์” สำคัญต่อการมีแฟน!!!

จัดระเบียบ “ความสำคัญ” ใน “ความสัมพันธ์” | #อย่าหาว่าน้าสอน


ความรักเป็นเรื่องของคน 2 คน ท่ามกลางคนอื่น
เมื่อสนิทสนมมากขึ้น ระยะเวลามากขึ้น คนรอบข้างของกันและกันจะค่อยๆมาเจอกัน
ถ้าโชคดีคนรอบข้างเข้ากันได้ก็แล้วไป…

จัดระเบียบ “ความสำคัญ” ใน “ความสัมพันธ์” | #อย่าหาว่าน้าสอน

หลายความสัมพันธ์ \”พัง\” เพราะสิ่งนี้


\”ความรัก\” ที่ขาด \”ความเข้าใจ\”
ก็เหมือน \”เปลวไฟ\” ที่ไร้ \”ฟืน\”
ขุนเขา สินธุเสน เขจรบุตร
ติดตามผมได้ที่
Official Line:
@kskhunkhao (มีเครื่องหมาย @ ด้วยนะครับ)
ลิ้งก์ https://lin.ee/1VT3k3oPo
Facebook: K.S. Khunkhao
ลิ้งก์ https://bit.ly/2Set3Cz
Instagram: ks_khunkhao
ลิ้งก์ https://bit.ly/2S7lwWm

หลายความสัมพันธ์ \

#อย่าหาว่าน้าสอน \”มีก็เหมือนไม่มี\” ชีวิตคู่แบบนี้ใครเป็นบ้าง !?!


ความสัมพันธ์ที่ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรให้แก่กัน สักวันมันคงต้องพังทลาย…
แต่สุดท้าย เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของใครเพียงหนึ่งคน…
ทั้งคู่คงต้องคุยกันให้เข้าใจนะ พี่เป็นกำลังใจให้ !!!

#อย่าหาว่าน้าสอน \

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูวิธีอื่นๆLEARN FOREIGN LANGUAGE

ขอบคุณที่รับชมกระทู้ครับ การ รักษา ความ สัมพันธ์

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *