Skip to content
Home » [NEW] เทคนิคเขียนภาษาอังกฤษ ให้เป๊ะเหมือนฝรั่งเขียนเอง!(ไม่ยากอย่างที่คิด คุณก็ทำได้) | ฟัง ภาษา อังกฤษ ไม่รู้ เรื่อง – NATAVIGUIDES

[NEW] เทคนิคเขียนภาษาอังกฤษ ให้เป๊ะเหมือนฝรั่งเขียนเอง!(ไม่ยากอย่างที่คิด คุณก็ทำได้) | ฟัง ภาษา อังกฤษ ไม่รู้ เรื่อง – NATAVIGUIDES

ฟัง ภาษา อังกฤษ ไม่รู้ เรื่อง: คุณกำลังดูกระทู้

พูดถึงการเขียน แม้จะเป็นภาษาไทย ก็ยากแล้วสำหรับหลายๆ คน และถ้าอยู่ดันในสถานการณ์ที่ต้อง เขียนภาษาอังกฤษ ล่ะ เราจะทำยังไงดีนะ? 

ถ้าคุณกำลังอยู่ในสถานการณ์นี้และรู้สึกไม่มั่นใจกับการเขียน วันนี้เรามีตัวช่วยดีๆ มาฝากกันค่ะ

ไม่ว่าคุณกำลังอยู่ในสถานการณ์แบบไหน เขียน Essay เขียนเรียงความ เขียนบทความ เขียนอีเมล เขียนจดหมาย เขียน Landing Page เขียนขายของ เรามี Tips ดีๆ มาฝากที่สามารถประยุกต์ได้หลากหลายค่ะ

ก่อนอื่นขอแนะนำตัวซักนิดนึงนะคะ ตัวเรานั้นเรียนโรงเรียนไทยมาทั้งชีวิต และยังไม่เคยมีโอกาสได้ไปเรียนหรือใช้ชีวิตในต่างประเทศนานๆ มาก่อน แต่เพราะมีสิ่งที่อยากทำหลายอย่าง ที่ผ่านมาเคยทำโปรเจกต์ร่วมกับชาวต่างชาติ เขียนข่าว เขียนบทความภาษาอังกฤษ และล่าสุดก็ได้ร่วมก่อตั้ง Justoneclub.com เป็นเว็บไซต์ที่ขายสินค้าสำหรับคนที่รักการพัฒนาตัวเอง และตั้งเป้าขยายกลุ่มลูกค้าในหลากหลายประเทศทั่วโลก

ที่สำคัญคือไม่ยากอย่างที่คิด เพราะสมัยนี้มีเครื่องมือและเทคโนโลยีมากมาย ส่วนใหญ่เริ่มต้นใช้งานได้ฟรีด้วยค่ะ บทความนี้จะเน้นแนะนำเครื่องมือสำคัญๆ ที่มีประโยชน์ น่าเชื่อถือ ใช้แล้วช่วยเราได้เยอะมากๆ

Table of Contents

แนะนำเครื่องมือช่วยเขียนภาษาอังกฤษ

เครื่องมือช่วยตรวจเช็คแกรมม่าและการสะกดคำ

Grammar หรือ ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่คนไทยเรียนมากันเยอะที่สุดแล้ว แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะเขียนได้อย่าง Perfect หมดจดไม่มีที่ติ บางครั้งเราทราบแต่ก็อาจจะเผลอสะกดผิดบ้าง เช่น ลืมเติม s ต่อท้าย verb

Grammarly ซึ่งเป็นโปรแกรมที่มีเวอร์ชันใช้งานฟรี และรองรับการใช้งานบนหลากหลายแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็นเวอร์ชัน..

  • Native app บนเครื่อง Mac

  • Add-in สำหรับโปรแกรม Microsoft Office บน Windows

  • Web application สามารถใช้งานได้เลยบนเว็บบราวเซอร์ ไม่จำกัด OS

หน้าตาของโปรแกรมจะเป็นดังภาพนี้

เขียนภาษาอังกฤษ เช็คแกรมมาร์ grammarly

Grammarly มันสามารถช่วยเช็คแกรมมาร์ให้เรา พร้อมแนะนำวิธีแก้ไขให้ เราสามารถเขียนเอกสารในโปรแกรม หรือจะ Import ไฟล์ Word (.docx) เข้าไปก็ได้ แล้วมันก็จะช่วยเช็คให้ว่าเราพลาดตรงไหนบ้าง พร้อมบอกเราว่าต้องปรับยังไง รูปด้านล่างคือตัวอย่างผลลัพธ์หลังจากที่เราอัปโหลดไฟล์ Press Release ที่เราเคยเขียนใน Microsoft Word เข้าไป

use-grammarly-for-techsauce-press-release

ตามรูปคือ มันช่วยบอกเราว่าเรามีจุดที่ลืมเติม s อยู่ และมีจุดที่ลืมเติมคำนำหน้า ในที่นี้โปรแกรมช่วยแนะนำให้ด้วยว่า ควรใช้คำว่า the

นอกจากการแปะข้อความ หรืออัปโหลดไฟล์แล้ว อีกเรื่องสำคัญที่อยากชี้คือ Grammarly ยังมีเวอร์ชัน Google Chrome Extension และ Firefox Add-on ด้วยนะ ซึ่งความหมายคือ มันจะช่วยเช็คแกรมมาร์ให้ทุกๆ การพิมพ์ของเราเวลาเราเล่นอินเทอร์เน็ตเลย!

ตัวอย่างนี้คือการติดตั้งบน Chrome และกำลังเปิดหน้าอีเมลเอาไว้อยู่ มันจะถามเราว่าอยากให้เช็คข้อความในอีเมลไหม? นอกจากนี้ยังสามารถใช้เป็นเหมือน Dictionary อังกฤษ-อังกฤษ ช่วยแสดงผล Definition และ Synonym ในตัวได้อีกด้วย

grammarly-on-browser

 

Shifu แนะนำ

การติดตั้งบน Browser นั้นสะดวกมากๆ เพราะแปลว่าไม่ว่าจะเป็นอีเมล เขียนสเตตัสเฟซบุ๊ก

เขียนบล็อก

บน

WordPress

มันก็จะตามอ่านและให้คำแนะนำกับเรา แน่นอนว่ามันสะดวกมาก แต่ก็อาจจะสูญเสียความเป็นส่วนตัวของข้อมูลไปบ้าง แม้ใน Policy จะระบุว่าเขาจะไม่แชร์ข้อมูลให้ปาร์ตี้ที่สามก็ตาม แต่ตัวโปรแกรมเอง ก็มีการเก็บข้อมูลการใช้งานของผู้ใช้ เพื่อการปรับปรุง Product อันนี้ก็แล้วแต่ทางผู้ใช้จะลองพิจารณาดูค่ะ

เครื่องมือช่วยเช็คความอ่านง่ายของการเขียน

บางทีเรื่องที่คนกังวลอาจจะไม่ใช่เรื่องของ Grammar แต่อาจจะเป็นเรื่องการสื่อสารให้ตรงประเด็น ถ้าคุณเขียนแล้วประโยคออกมางงๆ เช่น รูปประโยคซับซ้อนเกินไป เครื่องมืออีกตัวที่คุณใช้ช่วยได้คือ Hemingway สามารถใช้งานได้เลยในเว็บไซต์ หรือจะโหลด Desktop App ก็ได้

ภาพด้านล่างนี้สาธิตการใช้งาน Hemingway มันสามารถไฮไลท์บอกได้ว่าการเรียบเรียงให้ง่ายต่อการอ่าน (Readability) ของข้อความของเรานั้น ทำได้ดีแค่ไหน รวมถึงช่วยไฮไลท์จุดที่คุณควรลองดูเพื่อปรับให้มันง่ายขึ้น โดยเฉพาะประโยคที่ได้รับไฮไลต์สีเหลืองและสีแดง คือประโยคที่ค่อนข้างเป็นรูปประโยคที่ซับซ้อน 

เครื่องมือนี้จึงค่อนข้างเหมาะกับงานเขียนบทความออนไลน์ในภาษาอังกฤษทั่วๆ ไป ซึ่งความง่ายในการอ่านเป็นเรื่องสำคัญ มากกว่าความสวยหรูของประโยค แต่เราอยากบอกว่า ไม่ต้องถึงกับยึดตามคำแนะนำมากก็ได้ เพราะมันจะแนะนำให้เราไม่ใส่ Adverb หรือ Passive voice เยอะเกินไป (ซึ่งเขาถือว่ามันทำให้ประโยคซับซ้อน แต่จริงๆ แล้วสองอย่างนี้ก็มีประโยชน์มากในการแต่งประโยค) โดยส่วนตัวเรามองว่าเป็นเครื่องมือที่เหมาะสำหรับใช้ช่วยเช็คคร่าวๆ เพื่อเพิ่มความมั่นใจ

คิดชื่อเรื่องบทความภาษาอังกฤษดีๆ ไม่ออก

“ชื่อดีมีชัยไปกว่าครึ่ง” พวกเราได้เคยเขียนแนะนำการตั้งชื่อบทความไปตั้งแต่บล็อกแรกๆ การตั้งชื่อสำคัญมากเพราะมันเป็นสิ่งแรกที่คนเห็น แต่ก็ยากไม่ใช่เล่นเลย แล้วทีนี้ถ้าเราต้องเขียนชื่อเป็นภาษาอังกฤษล่ะ ถามว่ามีอะไรที่พอเข้ามาช่วยเราได้บ้างไหม ข่าวดีคือมีค่ะ และลิงก์เหล่านี้คือเครื่องมือที่สามารถใช้ช่วยได้

Shifu แนะนำ

อันที่จริงแล้วเครื่องมือเหล่านี้ทำขึ้นเพื่อช่วยนักเขียนที่เริ่มคิดไม่ออกว่าจะเขียนอะไรดี ไว้ใช้หาไอเดียในการเขียนบล็อกได้ ซึ่งคุณผู้อ่านเองก็สามารถใช้ในการหาไอเดียได้เช่นกัน แถมเมื่อได้ไอเดียแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้ก็ยังช่วยให้ได้เห็นไกด์ไลน์ หรือสไตล์การตั้งชื่อบทความ ที่นักเขียนสากลนิยมใช้อีกด้วย

บทความภาษาอังกฤษ

ภาพด้านบนนี้แสดงตัวอย่างผลลัพธ์ที่ได้จาก HubSpot‘s Blog Topic Generator เมื่อขอไอเดียในการเขียนเรื่อง Inbound Marketing หรือ Blogging ก็จะเห็นสไตล์การตั้งชื่อบทความภาษาอังกฤษ ว่านิยมเขียน Copywriting กันในรูปแบบไหน

ช่วยเขียน Rewrite หรือ Paraphrase เพื่อให้สละสลวยขึ้น

หลายๆ ครั้ง ความยากในการสื่อสารไม่ใช่เรื่องความถูกผิดของภาษา แต่เป็นเรื่องระดับภาษา ว่าที่เขียนมามันสละสลวยไหม ภาษาออกมาเป็นโทนที่เราต้องการสื่อสารหรือเปล่า โดยส่วนตัวมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องยากยิ่งกว่า ถูก หรือ ผิด เยอะเลยค่ะ

โชคดีที่ในปัจจุบัน มีเทคโนโลยี AI ช่วยเขียนคอนเทนต์ภาษาอังกฤษ ออกมาเป็น Products ให้เราเลือกใช้ ซึ่งเจ้า AI เหล่านี้สามารถช่วยแนะนำการเขียนให้กับเราได้ค่ะโดยตัวที่อยากจะขอแนะนำ มีชื่อว่า Quillbot เป็นอีกตัวที่สามารถเริ่มต้นใช้ได้เลยฟรี

จากหน้าจอเมนู Paraphraser นี้ จะเห็นว่าเราสามารถเลือก Mode การเขียนได้แบบ เช่น โหมดแบบครีเอทีฟ โหมด Formal (เป็นทางการ) โหมดเขียนให้สั้นเอง (เดิมเขียนยาวไป อยากย่อ) โหมดเขียนยาวๆ (เดิมเขียนสั้นไป อยากขยาย) เป็นต้น

ช่วยแนะนำการเขียนตามวัตถุประสงค์

อีกหนึ่งความโหดของ AI Content Writer ในปัจจุบัน คือการพัฒนาให้ช่วยแนะนำการเขียนตามวัตถุประสงค์ได้ ซึ่งเดี๋ยวเราจะนำมารีวิวให้ดู พร้อมๆ กับแชร์เทคนิคการเขียนตามวัตถุประสงค์ต่างๆ ในหัวข้อถัดไปให้ด้วยค่ะ

แชร์เทคนิคการเขียนภาษาอังกฤษ

เครื่องมือส่วนใหญ่ที่ได้แนะนำไป สามารถประยุกต์ใช้งานได้หลายรูปแบบ ในขณะเดียวกันก็มีเครื่องมือแบบเฉพาะกิจด้วย  และนอกจากเรื่องเครื่องมือแล้ว ความจริงการรู้จักและเข้าใจ “หลักการสื่อสาร” ที่เหมาะสมกับรูปแบบนั้นๆ คืออีกหัวใจที่สำคัญไม่แพ้เรื่องทักษะด้านภาษาโดยตรงค่ะ

เขียนเมลภาษาอังกฤษ

ปัจจุบัน Email provider ต่างๆ เริ่มมีฟังก์ชัน Quick reply หรือฟังก์ชันแนะนำการเขียนมาให้ใช้งาน ถ้าใครใช้ Gmail อยู่ จะพบว่าเมื่อเราเริ่มพิมพ์ลงไป มันจะสามารถแนะนำคำหรือประโยคที่เป็นที่นิยมเขียนมาให้ด้วย (เรียกว่า Smart compose feedback) หลังจากที่ลองใช้มาสักระยะ คิดว่า AI นี้ของ Gmail เก่งใช้ได้เลยค่ะ แนะนำภาษามาได้ตรงกับรูปแบบภาษาที่นิยมใช้เขียนในอีเมลกัน

อย่างเช่นช่วงที่ขึ้นต้นประโยคแรกๆ ในอีเมล คนนิยมเขียนเพื่อตอบรับอีกฝ่าย เช่น ในที่นี้เขาแนะนำมาเป็น It’s good to hear from you.

หรือช่วงปิดท้ายอีเมล เมื่อมีคำว่า Look ขึ้นประโยคมา Gmail ก็เดาทางต่อว่าเราน่าจะอยากเขียนประโยคนี้

โดยรวมแล้วจึงทำให้การเขียนอีเมลง่ายและเร็วขึ้นค่ะ โดยปกติจะเราเองก็จะเขียนใน Gmail ลงไปเลย และตรวจสอบเพิ่มเติมด้วย Grammarly ต่ออีกหน่อย

Shifu แนะนำ

ความจริง Gmail มีฟีเจอร์ Check spelling ด้วยค่ะ ถ้าเข้าบน Desktop จะอยู่ในเมนูสามจุดด้านซ้ายล่าง ได้ลองใช้แล้ว พบว่าสามารถตรวจสอบการเขียนผิดได้เบื้องต้น แต่ยังตรวจได้ละเอียดไม่เท่า Grammarly เช่น การเช็คว่าคำนามนี้ ต้องต่อท้ายด้วย s หรือไม่ต้อง ด้วย ed หรือไม่ต้อง

อีกเรื่องที่อยากแนะนำเพิ่มเติมคือ แม้โปรแกรมต่างๆ จะช่วยเช็คและแนะนำได้เบื้องต้น แต่การเขียน Effective email นั้น เป็นเรื่องที่ผู้เขียนจะต้องเรียนรู้ตัวอย่างดีๆ เพิ่มเติมกันต่อด้วยนะคะ โดยปกติแล้วอีเมลควรเขียนด้วยรูปประโยคที่อ่านเข้าใจง่าย ไม่ต้องใช้ Complex sentence (ซึ่งใช้ Hemingway ช่วยดูได้ค่ะว่า Complex เกินไปหรือเปล่า) อีเมลควรชัดเจนว่าอยากบอกอะไร Next step คืออะไร เป็นต้น

การเขียนบทความภาษาอังกฤษ

จริงอยู่ที่ AI Content Writer เหล่านี้รองรับความสามารถในการเขียนบทความแล้ว โดยสามารถนำเสนอได้ถึงระดับไอเดียหัวข้อบทความ รวมไปถึง Outline ก็ทำได้โอเคเลย อย่างในเคสนี้คือเราแค่ใส่ประเด็นลงไปว่า ‘English Writing’ โปรแกรมก็แนะนำชื่อบทความและ Outline มาเสร็จสรรพ

ทั้งนี้ เราไม่แนะนำวิธีนี้เท่าไรนะคะ เราคิดว่าดูเป็นไอเดียได้ แต่คนเขียนควรจะเป็น Leader ที่กำหนดทิศทางด้วยตัวเอง โดยปกติเราจะเขียนบทความขึ้นมาด้วยตัวเอง แล้วใช้โปรแกรมในการช่วยตรวจสอบ ช่วย Paraphrase บางประโยค

อีกเรื่องคือ บางคนชอบเขียนบทความเป็นภาษาไทยแล้วเอาไปแปลเป็นภาษาอังกฤษด้วย Google Translate จากนั้นก็อาจจะใช้โปรแกรม Paraphrase ต่อ วิธีนี้ก็ทำได้ แต่โดยส่วนตัวยังเชียร์ให้คิดและเขียนด้วยตัวเองเป็นภาษาอังกฤษเลยแต่แรก จะดีที่สุดค่ะ

Shifu แนะนำ

ถ้าคุณยังเป็นมือใหม่ในเรื่องการเขียนบทความ อาจเริ่มต้นฝึกเขียนบทความในภาษาที่ตัวเองถนัดก่อน และถ้าอยากเรียนรู้วิธีการและเทคนิคการเขียนบทความตั้งแต่มือใหม่จนฝึกเป็นมืออาชีพ ขอแนะนำ คอร์สเรียน Content Writing for Beginners คอร์สนี้ และ คอร์ส Digital Copywriting สำหรับการเขียนก็อปปี้ค่ะ

การเขียน Essay หรือเขียนเรียงความภาษาอังกฤษ

สำหรับการเขียน Essay หรือ เรียงความ คำแนะนำจะไม่ต่างกับการเขียนบทความมากนัก แต่ขอให้บริบทเพิ่มเติมคือ ในการเขียนบทความเพื่อลงในบล็อกต่างๆ ความง่ายในการอ่านจะมีความสำคัญ ในขณะที่เรียงความหรือ Essay มักจะใช้ในเชิงวิชาการ เช่น เพื่อการสมัครเรียนต่อ อาจต้องการรูปประโยคที่สละสลวยและโชว์ความ Advanced English มากกว่า

ในบริบทที่เราเคยเขียน Essay จริงจังเพื่อสอบชิงทุน เราจะไม่ได้ใช้เพียงแค่ตัวเอง+AI Tools แต่จะขอรับ Feedback จากเพื่อนๆ คนอ่านและผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเติมด้วย

เขียน Copywriting หรือข้อความเพื่อการตลาด

ในบรรดา Use Case ทั้งหมด โดยส่วนตัวคิดว่าอันนี้ยากที่สุดสำหรับคนที่ไม่ใช่เจ้าของภาษา เพราะ Copywriting เป็นเรื่องของการกระตุ้นความสนใจ ซึ่งความถูกต้องของภาษาไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แต่ประเด็นคือความน่าสนใจ เรายังคงใช้หลักการเดียวกันกับการเขียน Digital Copywriting ภาษาไทย ตามที่เราเองก็เคยทำคอร์สเรียนสอน แต่สิ่งที่ทำเพิ่มก็คือมีการใช้ AI Writer ช่วยเหลือเพิ่มเติม โดยเฉพาะใน Use Case ที่ต้องการนำไปใช้งานจริง

Shifu แนะนำ

โปรแกรมที่ชื่อ Writesonic เป็นตัวที่เราพบว่ามีฟีเจอร์เพื่อการเขียนขายของและเขียนเพื่อการตลาดเยอะดีค่ะ เลือกได้ว่าต้องการเขียนสำหรับ Channel ไหน เลือกได้ทั้ง Facebook Ads, Google Ads, LinkedIn Ads, Ecommerce Copy, YouTube Copy เป็นต้น

นอกจากนี้ที่ขาดไม่ได้คือการศึกษาดูงานต่างๆ เพราะก็อปปี้เป็นเรื่องของความครีเอทีฟ เราไม่ได้เชื่อใจโปรแกรมอย่างเดียว 100% แต่ Research ดูคนอื่นๆ ที่ทำธุรกิจใกล้เคียงกันว่าเขาเขียนกันประมาณไหน กลุ่มเป้าหมายของเราใกล้เคียงกันกับใคร เป็นต้น

เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติม

ใจเย็นๆ ค่อยๆ ฝึกที่ละสไตล์

แม้ว่าเราจะเคยมีประสบการณ์เขียนบทความสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษก่อนหน้ามาบ้างแล้ว แต่เราก็ยังคงใช้เวลาปรับตัวไม่น้อยตอนเราเริ่มต้นเขียนบทสัมภาษณ์สไตล์แบบไม่เป็นทางการ เรายังไม่ชินกับแนว Lifestyle (สำหรับภาษาอังกฤษ) เพราะเดิมทีที่ประสบการณ์จากรั้วมหาวิทยาลัย จะเน้นสาย Acedemic writing มากกว่า ตอนนั้นเราจึงต้องปรับตัวนิดนึง อ่านบล็อกแนวไลฟ์สไตล์มากขึ้น

ตอนที่ต้องเขียนแนว PR ก็เช่นกัน เราต้องเรียนรู้ใหม่เยอะมาก มันจะใช้เวลาหน่อย แต่ถ้าฝึกเรื่อยๆ คุณจะเก่งขึ้นจริงๆ นะ

ฝึกให้ครบ ฟัง พูด อ่าน เขียน ในชีวิตประจำวัน

ถึงแม้งานของเราจะเน้นที่การเขียนเป็นหลัก แต่เราก็ยังพบว่าการฝึกฟังและพูดนั้นมีส่วนช่วยด้วย หลักๆ แล้วมันช่วยให้เรา “คิดเป็นภาษาอังกฤษ” มากขึ้น นั่นเอง คอนเทนต์ที่ทำมาเพื่อการฟัง เพื่อการพูด การอ่าน การเขียน ก็มีความแตกต่างกันไป เพิ่มความหลากหลายของสไตล์เข้าไปในสมองมากยิ่งขึ้น

เริ่มต้นที่ไดอารี่สั้นๆ

จุดเริ่มต้นของการเป็นนักเขียนของเรา อันที่จริงแล้วมันคือสเตตัสบน Facebook นั่นเอง ซึ่งเราเขียนแบบกึ่งไดอารี่ เมื่อเราเปรียบเทียบสเตตัสเก่าๆ กับสเตตัสใหม่ๆ เราก็เห็นว่าตัวเองเขียนดีขึ้นจริงๆ  หากอยากฝึกภาษาอังกฤษก็สามารถลองเริ่มจากสเตตัสภาษาอังกฤษก็ได้นะ หรือจะเขียนเก็บไว้ดูเอง เป็นไดอารี่สั้นๆ ก็ได้ค่ะ Seth Godin ก็เป็นคนนึงที่เขียนบล็อกแล้วมีคนติดตามเยอะมาก แม้ว่าบล็อกของเขาจะเป็นสไตล์ไดอารี่สั้นๆ ก็ตาม

หาคนช่วยตรวจ

วิธีการจัดการกับความไม่มั่นใจที่ดีที่สุด คือการหาคนช่วยตรวจ ถ้าให้ดี ควรเป็นคนที่สามารถแลกเปลี่ยนกันและกันได้ คือ คุณขอเขาช่วยเล็กๆ น้อยๆ  และเขาก็ขอคุณช่วยบางอย่างเล็กๆ น้อยๆ เช่นกัน

แต่ก่อนจะหาคนตรวจ ให้อากู๋ Google ช่วยตรวจให้ด้วยก็ได้ แทบทุกครั้งที่เขียน เรามักจะมีคำที่ไม่แน่ใจเรื่องวิธีการใช้ ซึ่งเราก็สามารถศึกษาการใช้คำเหล่านี้ก่อน โดยการเซิร์จอ่านเอาได้ อย่างเรื่อง Preposition มักจะเป็นเรื่องที่คนไทยใช้ผิดบ่อย เช่น Interested ต้องใช้คู่กับ in; I am interested in marketing ไม่ใช่ I am interested about marketing เป็นต้น

ทดสอบภาษาอังกฤษ

สำคัญคือต้อง ‘รู้’ ว่าตัวเอง ‘ไม่รู้’ อะไร

สำคัญสุดคือตัวคอนเทนต์

ภาษา คือเครื่องมือที่ใช้ในการสื่อสาร และเครื่องมือน้ันมีไว้ให้ใช้งาน ไม่ได้มีไว้ให้กลัว

ภาษาเป็นเครื่องมือนึง แต่สาระจริงๆ คือตัวคอนเทนต์ ครั้งหนึ่งเราจะเขียนบทความเกี่ยวกับซอฟแวร์สัญชาติญี่ปุ่นตัวหนึ่ง เราหาข้อมูลภาษาอังกฤษไม่ได้เลย จึงตัดสินใจหาเป็นภาษาญี่ปุ่น แล้วใช้ Google Translate ช่วยแปลเอา ผลลัพธ์การแปลอาจจะยังไม่ใช่ภาษาอังกฤษที่สมบูรณ์เพอร์เฟกต์ แต่เมื่อเราได้อ่านแล้ว เราก็พึงพอใจกับเนื้อหา และพบว่าบทความนี้มีคุณค่ากับเรา ในการทำงานเองก็เหมือนกัน ถ้าเชื่อว่าตัวเองมีเนื้อหาที่ดี ก็ลงมือเลย ภาษาเดี๋ยวค่อยๆ พัฒนากันไปได้

สรุป

บทความนี้เราเขียนโดยแบ่งเป็นเคสการใช้งานหลักๆ ที่หลายๆ คนต้องเจอในการเขียนภาษาอังกฤษ โดยเน้นการแนะนำโปรแกรมต่างๆ รวมถึงแนะนำความคิดเห็นเพิ่มเติมจากประสบการณ์ส่วนตัว ยังไงก็ตาม การเรียนภาษาอังกฤษและฝึกเขียนฝึกใช้บ่อยๆ ยังคงเป็นพื้นฐานความรู้ที่สำคัญมากๆ ที่เราไม่อยากให้ละเลยกัน

หวังว่าบทความจะมีประโยชน์เพื่อให้คุณพร้อมลุยตลาด International ไปด้วยกันนะคะ 🙂

ตาคุณแล้ว

หลังจากอ่านบทความนี้แล้ว ขอให้คุณลองเริ่มต้นเขียนภาษาอังกฤษ เริ่มจาก Caption สเตตัสต่างๆ ไล่ไปสู่ไดอารี่ จนกระทั่งเขียนบทความภาษาอังกฤษได้ และอย่าลืมเข้าไปดูเครื่องมือต่างๆ ที่เราแนะนำและลองใช้ดูนะคะ

ใครที่ได้ลองเล่น ลองใช้ ลองทำตามแล้ว เป็นยังไงกันบ้างคะ? นำสิ่งที่คุณได้เรียนรู้หรือได้ลอง มาแชร์ความรู้ด้วยกันได้ที่คอมเมนต์ใต้บทความนี้เลยค่ะ 🙂

New call-to-action

[NEW] DailyEnglish คลังความรู้ภาษาอังกฤษฟรี สำหรับคนไทย | ฟัง ภาษา อังกฤษ ไม่รู้ เรื่อง – NATAVIGUIDES

การรู้คำศัพท์มากมาย หรือท่องจำแกรมม่าร์ได้ขึ้นใจ ก็ไม่สามารถการันตีว่าเราจะพูดภาษาอังกฤษได้เก่ง เพราะภาษาอังกฤษมีวลีและสำนวนมากมายที่ไม่ได้มีความหมายตรงตัว ดังนั้นนอกจากคำศัพท์แล้วเราจำเป็นต้องเข้าใจวลีต่างๆด้วย จะได้คุยกับฝรั่งให้รู้เรื่องมากยิ่งขึ้นครับ

วันนี้ผมได้รวม 10 สำนวนภาษาอังกฤษ ที่มีประโยชน์สำหรับผู้เรียนภาษาอังกฤษอย่างมาก เรียกได้ว่าเป็นคลังคำศัพท์ชั้นเลิศที่สามารถเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง! มาดูกันเลยครับว่ามีคำอะไรบ้าง

englishidioms

1. big deal! – แล้วไง?

ปกติแล้ว big deal เนี่ยแปลว่า “เรื่องใหญ่” เช่น นาย A มาพูดกับ B ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “Sorry mate, I can’t come to the group meeting after school.” ขอโทษทีเพื่อน เรามาประชุมงานกลุ่มหลังเลิกเรียนไม่ได้ว่ะ…ส่วน B ก็ตอบกลับไปว่า “Hey don’t worry. It’s no big deal” เฮ้ยไม่เป็นไร ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายซักหน่อย

แต่! big deal ยังมีอีกความหมายหนึ่งว่า “แล้วไง, ไม่เห็นมีอะไรเลย, ก็แค่นั้น” พูดง่ายๆก็คือ เราสามารถใช้คำนี้ตอนที่เราไม่แคร์สื่อ ไม่อื้อหือกับเรื่องที่ได้ยินมานั่นเองครับ

เช่น ถ้ามีคนมาบอกเราว่า “I’m very happy with my life. I have a well-paid job and a beautiful girlfriend. Oh and I just bought a new car.” ให้เบ้ปากแล้วพูดใส่หน้ามันไปเลยว่า “Big deal!” แล้วไงฟะ! พูดแบบนี้กะมาอวดว่างั้น

2. ring a bell – คุ้นๆนะ แต่จำไม่ได้อะ

เป็นอีกวลีที่ได้ยินบ่อยๆ อะไรก็ตามที่ ring a bell หมายความว่าเราอาจเคยเห็น เคยอ่าน เคยพบเจอ เคยมีประสบการณ์เกี่ยวข้องกับสิ่งของ หรือคนใดคนหนึ่งมาก่อน แต่พอได้เจออีกทีกลับจำไม่ค่อยได้

เช่น Your face rings a bell. Have we met before? หน้าเธอคุ้นๆนะ เราเคยเจอกันมาก่อนรึเปล่า
This book rings a bell. I seem to remember reading it. หนังสือเล่มนี้คุ้นๆแฮะ รู้สึกว่าเราเคยอ่านมันแล้วนะ
You’re Frank? No, I’m afraid your name doesn’t ring a bell. ขอโทษนะแฟรงค์ แต่ว่าเราจำนายไม่ได้จริงๆว่ะ

3. don’t push your luck – ได้ใจเกินไปแล้วนะ

เคยมั้ยครับเวลาหมั่นไส้ใครแล้วอยากบอกคนนั้นเหลือเกินว่า “ได้คืบจะเอาศอก” แต่ไม่รู้จะพูดว่ายังไง…คำว่า don’t push your luck นี่แหละเหมาะสุดๆ!

เช่น เราขอแฟนเล่มเกมส์ชั่วโมงนึง พอครบชั่วโมงยังไม่พอ ขอเล่นต่ออีก คุณแฟนก็ตอบกลับมาด้วยเสียงเรียบๆว่า “Don’t push your luck Babe…” อย่าให้มันมากไปนะที่รัก ถ้าไม่ปิดไฟแล้วมานอนอย่าหาว่าไม่เตือน!

ปล. จะพูดว่า don’t push it ก็มีความหมายเดียวกันนะครับ ใช้แทนกันได้

4. piece of cake – ของกล้วยๆ

สำนวนนี้จะว่าแปลกก็แปลก เพราะให้แปลตรงๆมันคือเค้กดีๆนี่เอง แต่พอมาเทียบกับสำนวนไทยกลับหมายถึงเรื่องกล้วยๆ หรือให้พูดง่ายๆก็คือ อะไรก็ตามที่เป็น piece of cake เนี่ย จะเป็นเรื่องที่เราสามารถได้มาง่ายๆ ทำให้สำเร็จได้แบบชิวๆนั่นเอง

เช่น I’ve studied for months before taking my TOEIC test. It was a piece of cake. สอบโทอิคน่ะเรอะ จิ๊บๆ ชั้นเตรียมตัวมาเป็นเดือนๆ เรื่องแค่นี้สบายมาก (อย่าเพิ่งโม้ รอดูคะแนนก่อนนะจ๊ะ)

บางคนอาจสงสัยว่าทำไม “เรื่องง่ายๆ” ต้องไปเปรียบเทียบกับเค้กด้วย นั่นเป็นเพราะฝรั่งเค้ามองว่าการทำเค้กน่ะเป็นเรื่องยุ่งยาก แต่การกินเค้กนั้นง่ายแสนง่ายนั่นเอง!

5. all ears – ฟังอย่างตั้งใจ

แค่ฟังแบบธรรมดาให้ใช้ listen กับ hear แต่ถ้าเป็น all ears จะหมายถึงการตั้งใจฟังแบบสุดๆ เวลาใช้ให้เติมประธานข้างหน้าด้วยครับ

เช่น Do you want to hear what happened after the party last night? เธออยากรู้มั้ยว่าเมื่อคืนหลังงานปาร์ตี้เกิดอะไรขึ้น
Oh yes! I’m all ears! เล่ามาให้หมดเปลือกเลยนะแก

6. call it a day – วันนี้พอแค่นี้ละกัน

เป็นสำนวนสุดเบสิคที่หลายๆคนกลับไม่รู้ความหมาย เพราะถ้าให้แปลตรงตัวมันไม่ make sense เอาซะเลย

สำนวนนี้มักจะถูกนำมาใช้ในที่ทำงาน เมื่อเราทำงานอย่างหนักมาทั้งวันแล้วมีคนพูดขึ้นมาว่า let’s call it a day เค้าหมายความว่าไว้พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่นะ/ มาทำต่อพรุ่งนี้ละกัน

7. make do – ใช้เท่าที่มี

คำว่า make แปลว่า ทำ ส่วนคำว่า do ก็แปลว่า ทำ แต่เมื่อเอามาผสมกันเป็น “make do” จะหมายถึงการเอาตัวรอดด้วยสิ่งที่มีอยู่ ณ เวลานั้น

เช่น ถ้าเราอยากจะทำการ์ดวันวาเลนไทน์สีชมพูให้แฟน แต่ดันมีแค่กระดาษสีแดง เราก็จะพูดว่า I want to make a pink valentine for my boyfriend. But I’ll have to make do with a red one.

ถ้าอยากไปงานปาร์ตี้ชุดแฟนซี แต่ไม่มีเงินซื้อชุดใหม่ ต้องใช้ชุดเดิม ก็จะพูดว่า I want to buy a new dress for the party, but can’t afford one. I’ll have to make do with my old dress.

8. give it a shot – ลองดูซักตั้ง

เวลาที่เราต้องทำเรื่องยากลำบากที่เราไม่ถนัด หรือไม่มีความมั่นใจ เราก็มักจะท้อแท้ สำนวนนี้เอาไว้ใช้ปลุกใจทั้งตัวเองหรือคนรอบข้างให้ลองไฟท์ดูนั่นเอง

เช่น เพื่อนคนหนึ่งกำลังจะสัมภาษณ์สอบชิงทุนไปเรียนต่อ ในฐานะที่เราเป็นเพื่อนรักก็ต้องให้กำลังใจว่า I know you’re nervous, but you have to give it a shot. กังวลใจอยู่ละสิ แต่ต้องสู้ๆนะเธอ ไม่ลองก็ไม่รู้หรอก!

9. take for granted – เห็นเป็นของตาย

ถ้าเรา take something หรือ take someone for granted หมายความเราเราไม่เห็นคุณค่าของสิ่งนั้น/คนนั้น คิดว่ายังไงก็ไม่มีทางเสียมันไป หรือพูดง่ายๆคือเห็นเป็นของตายนั่นเอง

เช่น Just because I’m here for you all the time doesn’t mean you can take me for granted!
(เห็นชั้นอยู่ข้างๆเธอตอนมีปัญหา ไม่ได้หมายความว่าชั้นจะเป็นของตายนะ!)

แต่ take for granted ยังมีอีกความหมายหนึ่ง ว่า “ทึกทักไปเอง” คือการเชื่อ หรือสันนิษฐานอะไรซักอย่างโดยไม่รู้ว่าจะเป็นจริงรึเปล่า

เช่น I took for granted that John would arrive on time. But it turns out that he was an hour late! (ชั้นทึกทักไปเองว่าจอห์นจะมาตรงเวลาตามนัด แต่เค้าดันมาสายไปเป็นชั่วโมงซะงั้นอะ)

10. guess what? – รู้รึเปล่า?

เรามักจะใช้ guess what เกริ่นนำประโยคหรือข้อมูลน่าเหลือเชื่อบางอย่าง ที่พอเราบอกไปแล้วคนฟังจะต้องประหลาดใจอย่างแน่นอน ไม่ใช่การบอกให้คนฟังลองทายดูว่าเราจะพูดว่าอะไรนะครับ

เช่น Hey guess what? Today’s my birthday! (เฮ้ยรู้ป่าว วันนี้วันเกิดชั้นนะ)

เวลาตอบคนส่วนมากจะใช้คำว่า:
really? (จริงดิ)
wow! (ว้าว ไม่น่าเชื่อ)
I have no idea! (เฮ้ย ไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะ)

จบไปแล้วสำหรับ สำนวนภาษาอังกฤษ ที่เราเห็นได้บ่อยในชีวิตประจำวัน สำหรับคนที่ฝึกพูดภาษาอังกฤษต้องเคยผ่านหูผ่านตามาบ้างอย่างแน่นอน ยังมีสำนวนอีกมากที่เราควรรู้ ไว้วันหลังจะเอามาฝากอีกนะครับ 


3 วิธีแก้ ฟังภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่อง | Live ย้อนหลัง


♡ดูตัวอย่างหนังสือของติน่า https://www.tinaacademy.com/books
♡ติดต่อซื้อหนังสือ @linetina (มี @ ด้วย)
♡ Subscribe จะได้ไม่พลาดคลิปทุกๆสัปดาห์
https://www.youtube.com/tinathanchannel/
♡ Instagram: https://www.instagram.com/tinathanchannel
♡ Facebook: https://www.facebook.com/tinathanchannel
♡ Line ID: @linetina https://line.me/R/ti/p/%40hxr4999x

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูความรู้เพิ่มเติมที่นี่

3 วิธีแก้ ฟังภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่อง | Live ย้อนหลัง

Learn English through story Beauty and the Beast (level 1)


A rich merchant had three sons and three daughters. One of the children, daughter Beauty, was very special. She had a kind heart and was so beautiful, that everybody loved her…
…It was a terrible mistake because it angered the owner of this castle. Now old man had to pay by his death. Watching video now!

Learn English through story Beauty and the Beast (level 1)

วิธีแก้ปัญหา ฟังภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่องซักที


คอร์สเรียนโทอิคที่คุ้มค่าที่สุด👇🏻
สมัครเรียน/สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
Facebook Fanpage TOEIC วันเดียวจบ : https://bit.ly/3cc7AkP
คลิกเลย http://m.me/toeiconeday
Line : http://line.me/ti/p/~ingcnx
โทร 0877269834 พี่อุ๋งอิ๋ง

วิธีแก้ปัญหา ฟังภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่องซักที

คิด(แต่ไม่)ถึง [Same Page?] – Tilly Birds |Official MV|


บางทีการที่ยังอยู่ แต่ไม่มีอะไรเหมือนเดิมแล้ว
มันก็เจ็บปวดไม่ต่างกับการหายไปเลย…
เพลง : คิด(แต่ไม่)ถึง [Same Page?]
ศิลปิน : Tilly Birds
Lyrics :
คิดอยู่ทุกวัน คิดอยู่ทุกคืน
คิดว่าสักวัน ตัวฉันคงถูกลืม
น้อยลงทุกวัน ที่เราคุยกัน
เพราะว่าอะไร เธอถึงได้เปลี่ยนไป
คิด(แต่ไม่)ถึง
คิด คิด (แต่ไม่) ถึงเธอ
คิด(แต่ไม่)ถึง
คิด คิด (แต่ไม่) ถึงเธอ
เธอรู้บ้างไหม ว่ามีใครทนทุกข์ทรมาน
อยากรู้เพียง
ว่าความคิดถึงของเธอกับฉัน
มันเท่ากันหรือเปล่า
ถามจริง ๆ ว่าใจเธอเปลี่ยนไปหรือเปล่า
ฉันไม่คิดไปเองใช่ไหม
ความคิดถึงที่ฉันได้เคยส่งไป
ส่งไปไม่เคยถึงเธอเลย
ยังนึกถึงวันนั้น วันที่เราหัวเราะกัน
ไม่เคยลืมรอยยิ้มเธอสักครั้ง
จำได้ไหม วันที่เราทะเลาะกัน
เธอยังอภัยให้ฉันอยู่ทุกครั้ง
ทุกความทรงจำยังทำให้ฉัน
คิด(แต่ไม่)ถึง
คิด คิด (แต่ไม่) ถึงเธอ
คิด(แต่ไม่)ถึง
คิด คิด (แต่ไม่) ถึงเธอ
เธอรู้บ้างไหม ว่ามีใครทนทุกข์ทรมาน
อยากรู้เพียง
ว่าความคิดถึงของเธอกับฉัน
มันเท่ากันหรือเปล่า
ถามจริง ๆ ว่าใจเธอเปลี่ยนไป หรือเปล่า
ฉันไม่คิดไปเองใช่ไหม
ความคิดถึงที่ฉันได้เคยส่งไป
ส่งไปได้เพียงในความทรงจำ
ที่มีเราเรื่อยมา
แค่นึกภาพตอนนั้น ฉันก็มีน้ำตา
รู้บ้างไหมว่าเจ็บแค่ไหน
ความคิดถึงที่ฉันได้เคยส่งไป
ส่งไปไม่เคยถึงเธอเลย
(คิดแต่ไม่ถึง คิด คิด แต่ไม่ถึงเธอ)
ส่งไปไม่เคยถึงเธอเลย
ถ้าเธอนั้นจะไม่กลับมา
อยากให้รู้ว่าทุกๆช่วงเวลา
ไม่เคยไม่คิดถึงเธอเลย
Tilly Birds
Vocals : อนุโรจน์ เกตุเลขา l Anuroth Ketlkekha ( IG : 2nd__4th )
Guitar : ณัฐดนัย ชูชาติ l Nutdanai Chuchat ( IG : billbilly01 )
Drums : ธุวานนท์ ตันติวัฒนวรกุล l Thuwanon Tantiwattanaworakul ( IG : milomono )
Music : Tilly Birds
Lyrics : อนุโรจน์ เกตุเลขา (เติร์ด)
Arranged by : ธุวานนท์ ตันติวัฒนวรกุล (ไมโล)
Produced by : ณัฐดนัย ชูชาติ (บิลลี่)
Samples Recorded at : ทรยศสตูดิโอ
Additional Singers : อานาปาน ปิ่นประดับ, รวิสรารัตน์ พิบูลภานุวัธน, ณพรัตน์ มั่นสินธร
Studio Engineered by : ยศทร บุญญธนาภิวัฒน์
Asst. Engineered by : ภาคิน วัฒนรุกข์
Vocals Recorded at : Axis Studio
Engineered by : กร มหาดำรงค์กุล
Vocals Edited by : กร มหาดำรงค์กุล
Mixed and Mastered by : Henry Watkins (Karma Sound Studios)
MV Credits:
Director Anuroth Ketlekha, SADUST STAYGOLD
First Assistant Director Sirada Tritruengtassana, Kunatan Limdoo
Second Assistant Director Nitchakarn Pakpairin
Producer Nutdanai Chuchat, Wissuta Suksawat
DOP Chatpol Buawan
Art Director PERDCHAKDEAW
Editor SADUST STAYGOLD, Chatpol Buawan
Colorist Jirayu Jangwattanapong
Acting Coach Sarun Kaensap
Makeup Vimvipa Chayangkura
Catering Napatsawan Mongkolsomboon \u0026 Team
Cast Chayapat Wiratyosin, Supawan Poolcharoen
Extras Irin Poontavee, Phurin Kasikun, Johnparot Wongthes, Natachanun Netikornwiwach, Poomtharit Intharit, Araya Laoprachaiwan
ดาวน์โหลดเพลงนี้ได้ที่ 1230321
คิดแต่ไม่ถึง TillyBirds GeneLab

คิด(แต่ไม่)ถึง [Same Page?] - Tilly Birds |Official MV|

ถึงบางอ้อ…ทำไมฟัง”ฝรั่งพูด”ไม่เข้าใจ!!! | #ไทยคำอังกฤษคำ


เคยไหมเข้าใจภาษาอักฤษ แต่พอไปคุยกับฝรั่งกลับคุยไม่รู้เรื่อง !!!!
เราหรือเขากันแน่ที่ไม่เข้าใจลองฟังดู !!!!
น้าเน็ก อาจารย์อดัม

ถึงบางอ้อ...ทำไมฟัง”ฝรั่งพูด”ไม่เข้าใจ!!! | #ไทยคำอังกฤษคำ

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูวิธีอื่นๆLEARN FOREIGN LANGUAGE

ขอบคุณที่รับชมกระทู้ครับ ฟัง ภาษา อังกฤษ ไม่รู้ เรื่อง

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *