Skip to content
Home » [NEW] สรุป 12 tense เข้าใจง่าย จำง่าย พร้อมตัวอย่างประโยค | ความ หมาย past simple tense – NATAVIGUIDES

[NEW] สรุป 12 tense เข้าใจง่าย จำง่าย พร้อมตัวอย่างประโยค | ความ หมาย past simple tense – NATAVIGUIDES

ความ หมาย past simple tense: คุณกำลังดูกระทู้

Tense คือ อะไร

เมื่อพูดถึงเรื่องของ Tense ในภาษาอังกฤษ หลายๆ คน คงไม่อยากจะฟังมัน แต่ด้วยความสำคัญของมันนี่ล่ะ ทำให้คนที่ต้องการพูดภาษาอังกฤษ ปฏิเสธไม่ได้ ที่จะต้องเรียนรู้เรื่อง Tense เพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน การเรียน การสอบต่างๆ เรามาลองทำความเข้าใจไปพร้อมๆ กันนะครับ บทเรียนนี้สรุปหลักการใช้ โครงสร้าง ตัวอย่างประโยค เทนส์ต่างๆ ค่อยๆ อ่าน เข้ามาอ่านบ่อยๆ อ่านทำความเข้าใจวันละ 1-2 หัวข้อ อย่าเครียดนะครับ ทุกคนทำได้ สู้ๆ .. ถ้าอ่านอย่างตั้งใจจนจบ จะรู้ว่า เรื่อง Tense จริงๆ แล้ว ไม่ยากเลยครับ

12 tense มีอะไรบ้าง

เทนส์ในภาษาอังกฤษ โดยหลักไวยากรณ์ส่วนใหญ่จะแบ่งออกเป็น 12 tenses คือ เทนส์บอกอดีต 3 เทนส์, เทนส์บอกปัจจุบัน 3 เทนส์ และเทนส์ที่พูดถึงอนาคตอีก 3 เทนส์ ดังนี้

Present Simple Tense

โครงสร้าง present simple tense (ปัจจุบันกาล)

ประธาน + กริยาช่องที่ 1
ถ้าประธานเป็นบุรุษที่ 3 เอกพจน์ + กริยาช่องที่ 1 เติม s หรือ es
อ่านบทเรียน คลิก >> การเติม s, es

เช่น I go… / You go… / He goes… / They go…

ตัวอย่างประโยค

She sings a song. แปลว่า หล่อนร้องเพลง
He plays football. แปลว่า เขาเล่นฟุตบอล
She is not here. หรือ She isn’t here. แปลว่า หล่อนไม่อยู่ที่นี่
We are not drivers. หรือ We aren’t drivers. แปลว่า พวกเราไม่ใช่คนขับรถ

ประโยคปฏิเสธและคำถามเราจะใช้ Verb to do มาช่วย เช่น

You do not like apple. หรือ You don’t like apple.
She does not eat meat. หรือ She doesn’t eat meat.
Do you like it?
Does he like it?

หลักการเติม ‘s’ ที่คำกริยา (โครงสร้าง present simple tense)

1. เติม s หลังคำกริยานั้นๆ เช่น
He eats / She sings / A tiger runs.

2. ถ้ากริยาลงท้ายด้วย s, sh, ch, x, o, z, ss ให้เติม es เช่น
He teaches English.
She goes away.
She brushes her teeth.

3. ถ้ากริยาลงท้ายด้วย y และหน้า y เป็นพยัญชนะ ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม es เช่น
He tries to study.
She studies English.

หมายเหตุ ถ้าหน้า y เป็นสระ ไม่ต้องเปลี่ยน y เป็น i ให้เติม s ได้เลย เช่น
play – plays = เล่น
pay – pay = จ่าย
destroy – destroys = ทำลาย

สรุป หลักการใช้ Present Simple Tense

1. แสดงลักษณะความจริงอยู่เสมอ ไม่ว่าเหตุการณ์จะผ่านไปเท่าใดก็ตาม เช่น

The earth moves around the sun.
โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์

The sun rises in the east and sets in the west.
ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตก

The earth is round.
โลกกลม

Water freezes at 0 C.
น้ำมีจุดเยือกแข็งที่ 0 องศาเซลเซียส

2. การกระทำที่เกิดขึ้นเสมอๆ เกิดขึ้นจนเป็นนิสัย หรือ ประเพณีนิยม มักจะมี adverb of frequency ประกอบในประโยค เช่น

every day, usually, sometimes, frequently, always, naturally, generally, rarely, seldom, never etc.

She gets up at six o’clock.
หล่อนตื่นนอน 6 โมงเช้า (ตื่นเวลานี้จนเป็นนิสัย)

He runs every morning.
เขาวิ่งทุกๆ เช้า

John often drinks beer.
จอห์นมักจะดื่มเบียร์

She never sits in front of the church.
หล่อนไม่เคยนั่งข้างหน้าของโบสถ์เลย

3. แสดงเหตุการณ์หรือกิจกรรมต่างๆ ที่รู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ เช่น

I go to Chiangmai in the afternoon.
ฉันจะไปเชียงใหม่ในตอนบ่าย

He starts to study in five minutes.
เขาจะเริ่มเรียนภายใน 5 นาที

The concert begins at 1.30.
คอนเสิร์ตเริ่มเวลา 1.30 นาฬิกา

4. ใช้กับสุภาษิต คำพังเพย เช่น

New brooms sweep clean.
ไม้กวาดใหม่ย่อมกวาดสะอาดกว่า

Money makes friend.
เงินทองอาจทำให้ท่านมีเพื่อนฝูงมาก

Health is wealth.
ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ

Present Continuous Tense

โครงสร้าง present continuous tense (ปัจจุบัน กำลังกระทำ)

I + am + กริยาช่องที่ 1 เติม ing
ประธานเอกพจน์ + is + กริยาช่องที่ 1 เติม ing
ประธานพหูพจน์ + are + กริยาช่องที่ 1 เติม ing

ตัวอย่างประโยค

She is running.
Is he playing football now?
I am not sleeping.
They are walking.

หลักการเติม ing ที่คำกริยา (โครงสร้าง continuous tense)

1. คำกริยาที่ลงท้ายด้วย e ให้ตัด e ทิ้งก่อน แล้วเติม ing เช่น
bite > biting
come > coming
arise > arising
write > writing
take > taking

2. กริยาที่ลงท้ายด้วย ee ให้เติม ing ได้เลย เช่น
free > freeing
see > seeing
flee > fleeing
agree > agreeing

3. กริยาที่ลงท้ายด้วย ie ให้เปลี่ยน ie เป็น y แล้วเติม ing เช่น
lie > lying
die > dying
tie > tying

4. คำกริยาพยางค์เดียว มีสระตัวเดียว และมีตัวสะกดเป็นพยัญชนะตัวเดียว ให้เพิ่มตัวสะกดอีก 1 ตัวก่อน แล้วเติม ing เช่น
run > running
sit > sitting
hit > hitting
get > getting
dig > digging
rob > robbing

5. กริยาหลายพยางค์ที่ลงท้ายด้วยพยัญชนะ 1 ตัว ถ้าหน้าพยัญชนะมีสระหนึ่งตัว ให้เพิ่มพยัญชนะเข้าไปอีก 1 ตัวก่อน แล้วเติม ing เช่น
forget > forgetting
admit > admitting

6. คำกริยามี 2 พยางค์ ซึ่งออกเสียงหนักที่พยางค์หลัง มีสระตัวเดียว ตัวสะกดตัวเดียว ให้เพิ่มตัวสะกดเข้ามาอีกหนึ่งตัวก่อน แล้วเติม ing เช่น
offer > offerring
refer > referring
occur > occurring
begin > beginning

7. คำต่อไปนี้ ใช้ได้ 2 แบบ คือ travel, quarrel ดังนี้
travel > traveling (แบบอเมริกัน)
travel > travelling (แบบอังกฤษ)
quarrel > quarreling (แบบอเมริกัน)
quarrel > quarrelling (แบบอังกฤษ)

8. กริยาตัวอื่นๆ เติม ing ได้เลย เช่น
hear > hearing
burn > burning
bend > bending
read > reading

สรุป หลักการใช้ Present Continuous Tense

1. แสดงการกระทำที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะพูด และคาดว่าจะสิ้นสุดลงในไม่ช้า มักมีคำเหล่านี้ คือ now, at the present time, at this moment etc. เช่น

She is eating.
Tom is running now.
We are walking.

2. แสดงการกระทำที่เริ่มก่อนพูดเป็นเวลานาน ขณะที่พูดนี้เหตุการณ์อาจไม่ได้กำลังเกิดขึ้นจริงๆ มักมีคำว่า this week, this month etc. เช่น

I am working with my teacher this summer.
ฉันกำลังทำงานกับครูของฉันในฤดูร้อนนี้
(ขณะที่พูดอาจทำ หรือไม่ทำอาการนี้ก็ได้)

Tom is working for an examination.
ทอม กำลังดูหนังสือสำหรับการสอบในครั้งนี้
(ขณะพูดอาจจะไม่ได้ดูหนังสือก็ได้)

3. ใช้แทนอนาคตที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า หรืออนาคตอันใกล้ มักมี adverb of time (tomorrow, next week, next month etc.) เช่น

I am asking him tomorrow (= I will ask him tomorrow.)
ฉันจะถามเขาพรุ่งนี้

He is leaving on Sunday (= He’ll leave on Sunday.)
เขาจะออกเดินทางในวันอาทิตย์

4. กริยาที่ไม่นิยมใช้รูป Present Continuous Tense คือ

4.1 กริยาแสดงความรู้สึกทางประสาททั้ง 5 เช่น
see = เห็น / notice = สังเกต / smell = ดมกลิ่น / taste = ชิม / hear = ได้ยิน / recognize = จำได้ / etc.

4.2 กริยาที่แสดงความรู้สึกทางอารมณ์ เช่น
love = รัก / like = ชอบ / dislike = ไม่ชอบ / adore = รักยิ่ง, บูชา / forgive = อภัย / wish = ปรารถนา, ต้องการ / care = เอาใจใส่ / desire = ปรารถนา / hate = เกลียด / want = ต้องการ / refuse = ปฏิเสธ

4.3 กริยาแสดงความคิด เช่น
think = คิด / know = รู้ / realize = ตระหนัก / recollect = จำได้ / suppose = คิด / recall = นึกได้ / expect = คาดหวัง / suppose = คิด / understand = เข้าใจ / mean = ตั้งใจ, หมายความว่า / believe = เชื่อ / forget = ลืม / trust = เชื่อ / remember = จำได้

4.4 กริยาอื่นๆ เช่น
seem = ดูราวกับว่า / appear (=seem) / hold = บรรจุ / belong = เป็นของ / own = เป็นเจ้าของ / contain = บรรจุ / possess = เป็นเจ้าของ / consist = ประกอบด้วย

Present Perfect Tense

โครงสร้าง present perfect tense (ปัจจุบันกาลสมบูรณ์)

ประธาน + have, has + Past Participle (คำกริยาช่อง 3)

ตัวอย่างประโยค

We have eaten American foods.
She has not (ย่อเป็น hasn’t) eaten Thai foods.
Has he smoked cigarettes?

สรุป หลักการใช้ Present Perfect Tense

1.แสดงถึงการกระทำที่เกิดขึ้นในอดีต แล้วเหตุการณ์ยังคงดำเนินต่อมาจนถึงปัจจุบัน(ขณะที่พูด) และมีแนวโน้มว่าจะเนินต่อไปในอนาคตมักจะมีคำว่า since, for

ตัวอย่างประโยค

Dr.Helen has lived in Bangkok since 1958.
ดร.เฮเลน อยู่ที่กรุงเทพตั้งแต่ ค.ศ.1958

I have studied in America for four years.
ฉันเคยเรียนที่อเมริกามาเป็นเวลา 4 ปี

2. แสดงการกระทำซึ่งเกิดขึ้นในอดีต และเพิ่งเสร็จสมบูรณ์ไปไม่นาน มักมี adverb เช่น just, yet etc. ประกอบด้วย

ตัวอย่างประโยค

I have just passed my friend’s house.
ฉันพึ่งผ่านบ้านเพื่อนของฉันมา

They have already finished housework.
พวกเขาทำงานบ้านเสร็จแล้ว

3. แสดงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต แต่ผลของการกระทำนั้นยังคงมาถึงปัจจุบันขณะที่พูด

ตัวอย่างประโยค

I have read this book before.
ฉันเคยอ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว

He has opened the door.
เขาได้เปิดประตูแล้ว (ผลของการกระทำยังอยู่ คือประตูเปิดอยู่)

4. เหตุการณ์ที่เคยทำซ้ำๆ กันหลายครั้งแล้วในอดีต อาจจะทำต่อไปในอนาคต แต่ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นเมื่อไรแน่ อาจไม่ได้บอกเวลาไว้ มักมี adverb of time เช่น many times, several times ในประโยคด้วย

ตัวอย่างประโยค

I have been to America many times.
ฉันได้ไปอเมริกาหลายครั้งแล้ว

She has read this book three times.
หล่อนเคยอ่านหนังสือเล่มนี้ 3 ครั้งแล้ว

He has eaten Thai food several times.
เขาเคยกินอาหารไทยหลายครั้งแล้ว

Present Perfect Continuous Tense

โครงสร้าง present perfect continuous tense (ปัจจุบันกาลสมบูรณ์กำลังกระทำ)

ประธาน + has, have + been + กริยาเติม ing

ตัวอย่างประโยค

I have been thinking.
ฉันกำลังคิด

They have been talking.
พวกเขากำลังพูดกัน

She has been living here for 2 weeks.
หล่อนอาศัยอยู่ที่นี่มา 2 สัปดาห์แล้ว

He has been studying hard all year.
เขาเรียนหนังสือหนักมาตลอดปี

สรุป หลักการใช้ Present Perfect Continuous Tense

1. ใช้แสดงการกระทำที่เกิดขึ้นในอดีต และดำเนินมาโดยไม่ขาดตอน

ตัวอย่างประโยค

John has been living in America since 1984.
จอห์นได้มาอยู่อเมริกาตั้งแต่ปี 1984

หมายเหตุ Present Perfect Continuous Tense นี้ ใช้เหมือน Present Perfect ต่างกันที่ว่า Present Perfect Continuous Tense ใช้เพื่อต้องการเน้นย้ำว่าการกระทำนั้นติดต่อกันมาตลอด และกริยาที่ใช้มักเป็นกริยาที่มีลักษณะต่อเนื่องได้ ปัจจุบันไม่ค่อยนิยมใช้เท่าไร

Past Simple Tense

โครงสร้าง past simple tense (อดีตกาล ธรรมดา)

ประธาน + กริยาช่อง 2

ตัวอย่างประโยค

She went home.
เธอกลับบ้าน

I came here last night.
ฉันมาที่นี่เมื่อคืน

สรุป หลักการใช้ Past Simple Tense

1. ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต และจบสิ้นลงไปแล้วในอดีตเช่นกัน มักมีคำว่า once, ago, last night, last week, last year etc.

ตัวอย่างประโยค

I got sick yesterday.
ฉันป่วยเมื่อวานนี้

I lived in Phuket 3 years ago.
ฉันอยู่ที่ภูเก็ตเมื่อ 3 ปีที่แล้ว

She went to the university last week.
หล่อนไปมหาวิทยาลัยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

2. แสดงเหตุการณ์ที่เป็นนิสัย ที่ทำเป็นประจำในอดีต (ปัจจุบันไม่ได้กระทำแล้ว) มักมี adverb ความถี่อยู่ในประโยคด้วย เช่น always, every, frequently etc.

ตัวอย่างประโยค

Mario walked every morning.
มาริโอ้เดินทุกๆ เช้า (เป็นนิสัยในอดีต ปัจจุบันไม่ได้ทำสิ่งนั้นแล้ว)

He always woke up late last year.
เขาตื่นนอนสายเสมอๆ เมื่อปีที่แล้ว

When I was young. I listened to the radio every night.
เมื่อฉันเป็นเด็ก ฉันฟังวิทยุทุกคืน

3. แสดงถึงการกระทำทั้งสองอย่างที่เกิดในเวลาเดียวกัน มักมีคำว่า as, while อยู่ด้วย

ตัวอย่างประโยค

While she sang, I danced.
ขณะที่หล่อนร้องเพลง ฉันเต้นรำ

As she cooked, her son played football.
ขณะที่หล่อนทำอาหาร ลูกชายของหล่อนก็เล่นฟุตบอล

Past Continuous Tense

โครงสร้าง past continuous tense (อดีตกาล กำลังกระทำ)

ประธาน + was, were + กริยาเติม ing

ตัวอย่างประโยค

I was drinking a glass of water.
ฉันกำลังดื่มน้ำ 1 แก้ว

They were playing football in the field.
เขากำลังเล่นฟุตบอลอยู่ในสนาม

สรุป หลักการใช้ Past Continuous Tense

1. ใช้เมื่อเหตุการณ์ 2 อย่าง เกิดขึ้นในอดีต โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและดำเนินอยู่ก่อนแล้วเราจะใช้ Past Continuous และมีเหตุการณ์ที่สองเกิดขึ้น จะใช้ Past Simple

ตัวอย่างประโยค

While I was cooking, the telephone rang.
ขณะฉันทำอาหารโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

We are walking along the street, it began to rain.
พวกเรากำลังเดินไปตามถนนฝนก็เริ่มตก

2. เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องในอดีต

ตัวอย่างประโยค

He was sleeping in the class.
ฉันกำลังหลับในห้องเรียน

He was running in the morning
เขากำลังวิ่งในตอนเช้า

3. แสดงเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน ในเวลาเดียวกัน มักมีคำว่า while ในประโยค

ตัวอย่างประโยค

While I was watching T.V, my brother was reading a book.
ขณะที่ฉันดูทีวี น้องชายของฉันอ่านหนังสือ

She was sleeping while he was talking with his friends.
หล่อนกำลังนอนหลับ ขณะที่เขากำลังพูดคุยกับเพื่อนของหล่อน

Past Perfect Tense

โครงสร้าง past perfect tense (อดีตกาลสมบูรณ์)

ประธาน + had + Past Participle (กริยาช่อง 3)

ตัวอย่างประโยค

She had slept.
หล่อนได้นอนหลับแล้ว

He had not worked.
เขาไม่ได้ทำงาน

I had eaten foods before you came.
ฉันได้รับประทานอาหารก่อนที่คุณจะมา

สรุป หลักการใช้ Past Perfect Tense

1. แสดงเหตุการณ์ 2 อย่าง ที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอดีต โดยเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นก่อน เราจะใช้ Past Perfect Tense และอีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดทีหลัง เราจะใช้ Past Simple Tense

ตัวอย่างประโยค

When I had finished my housework, I played T.V games.
เมื่อฉันทำงานบ้านเสร็จฉันก็เล่น T.V เกมส์ (ทำงานบ้านเสร็จก่อนแล้วจึงเล่น)

2. ใช้เปลี่ยน Past Simple หรือ Present Perfect ให้เป็น Indirect Speech เช่น

Direct Speech : “I have stayed in America for 2 years.” She said
หล่อนพูดว่า “ฉันเคยอยู่อเมริการมา 2 ปีแล้ว”

Indirect Speech : She said that she had stayed in America for 2 years.
หล่อนพูดว่าหล่อนเคยอยู่อเมริกามา 2 ปีแล้ว

Direct Speech : He said “I worked in Bangkok many years.”
เขาพูดว่า”ฉันเคยทำงานในกรุงเทพหลายปี”

Indirect Speech : He said that he had worked in Bangkok many years.
เขาพูดว่าเขาเคยทำงานในกรุงเทพหลายปี

Past Perfect Continuous Tense

โครงสร้าง past perfect continuous tense (อดีตกาลสมบูรณ์ กำลังกระทำ)

ประธาน + had been + กริยาเติม ing + กรรม หรือส่วนขยาย

ตัวอย่างประโยค

I had been sleeping.
ฉันกำลังนอนหลับ

She had been waiting for two hours.
หล่อนคอย 2 ช.ม. แล้ว

He had not (hadn’t) been walking before you came.
เขาไม่ได้กำลังเดินก่อนคุณมา

สรุป หลักการใช้ Past Perfect Continuous Tense

1. ใช้คล้ายๆ กับ Past Perfect ซึ่งเราใช้ก็ต่อเมื่อมีเหตุการณ์ 2 อย่าง เกิดขึ้นในอดีต โดยต้องการเน้นว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างไม่ขาดตอน เราใช้ Past Perfect Continuous Tense แล้วจากนั้นเกิดอีกเหตุการณ์หนึ่งขึ้นมา เราใช้ Past Simple Tense

ตัวอย่างประโยค

She had been living in America before she moved to Bangkok.
หล่อนอยู่อเมริการก่อนที่ย้านมาอยู่ที่กรุงเทพฯ

I had been waiting two hour before He arrived.
ฉันคอยเป็นเวลา 2 ชั่วโมงก่อนที่เขามาถึง

She had been reading for several hours when I saw her.
หล่อนกำลังอ่านหนังสือหลายชั่วโมง เมื่อฉันเห็นหล่อน

Future Simple Tense

โครงสร้าง future simple tense (อนาคต)

ประธาน + will + คำกริยาไม่ผัน

ตัวอย่างประโยค

I will go to see you tomorrow.
ฉันจะไปพบคุณพรุ่งนี้

They will eat.
พวกเขาจะกิน

Mary will run.
แมรี่จะวิ่ง

สรุป หลักการใช้ Future Simple Tense

1. ใช้แสดงเหตุการณ์หรือการกระทำในอนาคต มักมี adverb of time อยู่ด้วย เช่น tonight, tomorrow, next week, next month etc.

ตัวอย่างประโยค

I will meet him tomorrow.
ฉันจะไปพบเขาพรุ่งนี้

She is going to see the doctor next week.
หล่อนจะไปหาหมอสัปดาห์หน้า

The plane will arrive at the airport in a few minutes.
เครื่องบินจะมาถึงสนามบินในอีก 2-3 นาที

การใช้ be going to แทน will

1. ใช้ be going to + กริยาช่อง 1 (ไม่ผัน) เพื่อแสดงถึงความตั้งใจที่ได้คิดไว้ล่วงหน้าแล้ว หรือเชื่อว่าเป็นจริง อย่างนั้นโดยไม่สงสัย

ตัวอย่างประโยค

I am studying hard: I am going to try for scholarship.
ฉันกำลังเรียนหนังสืออย่างหนัก ฉันพยายามเพื่อสอบชิงทุนการศึกษา

She is going to write to her parents.
หล่อนตั้งใจว่าจะเขียนจดหมายถึงพ่อแม่ของเธอ

She has bought flour: She is going to make cake.
หล่อนซื้อแป้งมา หล่อนจะทำเค้ก

2. ใช้ be going to + กริยาช่อง 1 เพื่อแสดงการคาดคะเน

ตัวอย่างประโยค

I think it is going to rain.
ฉันคิดว่าฝนจะตก (อย่างแน่นอน)

Future Continuous Tense

โครงสร้าง future continuous tense (อนาคต กำลังกระทำ)

ประธาน + will + be + กริยาเติม ing + กรรม หรือส่วนขยาย

ตัวอย่างประโยค

I will be running.
ฉันจะกำลังวิ่ง

I will be working tomorrow.
ฉันจะกำลังทำงานพรุ่งนี้

We will be drinking.
เราจะกำลังดื่ม

สรุป หลักการใช้ Future Continuous Tense

1. แสดงเหตุการณ์หรือการกระทำที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งเหตุการณ์นั้นจะกำลังดำเนินอยู่

ตัวอย่างประโยค

At ten o’clock tomorrow morning. I will be waiting my friend.
เวลา 10 โมงเช้าพรุ่งนี้ ฉันจะกำลังรอเพื่อน

I will be cooking at 5 o’clock tomorrow evening.
ฉันจะทำอาหารตอน 5 โมงเย็นพรุ่งนี้

He will be sleeping at 4 o’clock tomorrow morning.
เขากำลังหลับตอน 4 โมงเช้าพรุ่งนี้

2. ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่เกิดขึ้น โดยเหตุการณ์ที่เกิดก่อนใช้ Future Continuous Tense ส่วนเหตุการณ์หลังใช้ Present Simple Tense

ตัวอย่างประโยค

They will be playing football when you arrive at their house.
เขาจะกำลังเล่นฟุตบอลอยู่ เมื่อคุณมาถึงบ้านของเขา (เล่นก่อนที่คุณจะถึงบ้าน)

When he calls to you, she will be going to the market.
เมื่อเขาโทรมาหาคุณ หล่อนกำลังไปตลาด

Future Perfect Tense

โครงสร้าง future perfect tense (อนาคตกาลสมบูรณ์)

ประธาน + will + have + กริยาช่อง 3

ตัวอย่างประโยค

I will have eaten.
ฉันจะกินอยู่แล้ว

Siri will have gone.
สิริไปแล้ว

He will have finished his work.
เขาจะเสร็จงานของเขาแล้ว

สรุป หลักการใช้ Future Perfect Tense

1. ใช้เมื่อคิดว่า ณ เวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต เหตุการณ์หรือการกระทำจะสิ้นสุดลง โดยมักมีคำเหล่านี้ เช่น by that time, by then, by tomorrow, by next year, by next week, by at ten o’clock in two hours etc.

ตัวอย่างประโยค

I will have slept in three hours.
ฉันจะนอนเสร็จใน 3 ชั่วโมง

They will have finished the new road by next week.
พวกเขาจะทำถนนใหม่เสร็จในสัปดาห์หน้า

2. ใช้กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกัน โดยคาดว่าเมื่อถึงเวลานั้นเหตุการณ์หนึ่งจะเสร็จสมบูรณ์ เราจะใช้ Future Perfect Tense กับเหตุการณ์นั้น และจะเกิดเหตุการณ์ที่ 2 ตามมา เราจะใช้ Present Simple Tense

ตัวอย่างประโยค

By the time you arrive, I will have finished homework.
เมื่อเวลาที่คุณมา ฉันก็ทำการบ้านเสร็จพอดี

She will have eaten foods before you came.
หล่อนรับประทานอาหารเสร็จก่อนที่คุณจะมา

The movie will have started before we reach the theater.
ภาพยนตร์เริ่มฉายก่อนที่พวกเราจะมาถึงโรงภาพยนตร์

Future Perfect Continuous Tense

โครงสร้าง future perfect continuous tense (อนาคตกาลสมบูรณ์ กำลังกระทำ)

ประธาน + will + have + been + กริยาเติม ing + กรรม หรือส่วนขยาย

ตัวอย่างประโยค

I will have been working.
เราคงจะทำงาน (ติดต่อกัน)

He will have been running.
เขาคงจะวิ่ง (ติดต่อกัน)

สรุป หลักการใช้ Future Perfect Continuous Tense

หลักการใช้ Tense นี้ เน้นให้เห็นถึงการต่อเนื่องของการกระทำว่าถึงเวลานั้นในอนาคต การกระทำนั้นยังคงดำเนินอยู่ และจะดำเนินต่อไปอีก (ยังไม่หยุด)

ตัวอย่างประโยค

By ten o’clock I will have been working without a rest.
ถึงตอน 10 โมง ฉันได้ทำงาน (ติดต่อกันมา) โดยไม่พัก

When you arrive, she will have waiting for three hours.
เมื่อคุณถึง หล่อนคงจะรอคุณ (โดยไม่หยุดรอ) เป็นเวลา 3 ชั่วโมง

สรุป 12 tense สั้นๆ ง่ายๆ

สรุป Present Simple Tense

Present Simple ใช้เมื่อเป็นการกล่าวถึงสิ่งที่เป็นกิจวัตรประจำวัน หรือสิ่งที่ทำเป็นประจำ หรือ สิ่งที่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดเวลาเป็นปกติ หรือเป็นความจริง

ตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษ

Somchai usually plays tennis on Sunday.
Sue reads the newspaper every day.
Earth revolves around the sun.

สรุป Present Continuous Tense

Present Continuous ใช้เมื่อกล่าวถึงการกระทำที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะปัจจุบัน ในขณะที่ผู้พูดกำลังพูดอยู่ และกำลังดำเนินต่อไปในอนาคต

ตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษ

Sue is reading the newspaper now.
Jame is playing tennis with Jack right now.

สรุป Present Perfect Tense

Present Perfect ใช้เมื่อมีเหตุการณ์ดังต่อไปนี้ คือ

1. ใช้กับเหตุการณ์ที่เพิ่งจบลงไป

ตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษ
Jame has just finished his homework.

2. ใช้ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซ้ำ ๆ หลาย ๆ ครั้งในอดีตโดยไม่ระบุระยะเวลาที่แน่นอน

ตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษ
Jame has eaten at this restaurant many times.

3. ใช้กับ since หรือ for ประโยคจะกล่าวถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและดำเนินจนถึงปัจจุบัน

ตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษ
Jame has lived in Bangkok since 1985.
Sue has known Anny for five years.

หมายเหตุ คำเหล่านี้มักใช้ใน Perfect Tense
just , often , never , over , yet , since , already , for , etc.

สรุป Present Perfect Continuous Tense

Present Perfect Continuous ใช้เมื่อต้องการแสดงถึงเหตุการณ์เกิดขึ้นในอดีตและดำเนินอยู่ในปัจจุบัน และจะดำเนินต่อไป

ตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษ
Sue has been talking to John on the phone for fifty minutes.

สรุป Past Simple Tense

Past Simple ใช้เมื่อต้องการกล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบไปแล้วในอดีต สังเกตจากประโยคนั้นจะเป็นประโยคที่แสดงความเป็นอดีต เช่น เมื่อวานนี้ ปีที่แล้ว หรือ ปี พ.ศ. ที่ผ่านมาแล้ว

ตัวอย่างประโยค
Sue played tennis with Jame yesterday.
Mary saw Jame at the post office last week.

สรุป Past Continuous

Past Continuous ใช้เมื่อต้องการกล่าวถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในอดีต ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งที่แน่นอนในอดีต หรือขณะที่เหตุการณ์หนึ่งดำเนินอยู่

ตัวอย่างประโยค
Sue was playing tennis with Jame when I came.
While Jame was talking a shower , the phone rang.

สรุป Past Perfect Tense

Past Perfect จะใช้ในเหตุการณ์ดังต่อไปนี้

1. ใช้ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ณ เวลาใดเวลาหนึ่งในอดีตและสิ้นสุดในอดีตไปแล้ว

ตัวอย่างประโยค
Jame had seen Anny five years before.

2. ใช้ในเหตุการณ์ที่เกิด 2 เหตุการณ์ในอดีต และต้องการแสดงลำดับเหตุการณ์ว่าเหตุการณ์ใดเกิดก่อน

ตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษ
Jame had finished my homework before Anny arrived.

สรุป Past Perfect Continuous Tense

Past perfect Continuous ใช้ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต และดำเนินมาถึงจุดจุดหนึ่งในอดีต

ตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษ
At that time, Jame had been writing a novel for 3 months.

When Sue came to this university in 1985, Prof. Johnson had already been teaching here for 4 years.

สรุป Future Simple Tense

Future Simple ใช้เมื่อต้องการกล่าวถึงเหตุการณ์ในอนาคต สามารถใช้ will (shall ใช้กับ I หรือ We แต่ในปัจจุบันนิยมใช้ will แทน shall) ซึ่งมีความหมายเดียวกันเมื่อใช้เกี่ยวกับเรื่องอนาคต

ตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษ
Jame will leave tomorrow.
We shall leave tomorrow.

สรุป Future Continuous Tense

Future Continuous ใช้กับเหตุการณ์ดังนี้คือ

1. ใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นอยู่ในอนาคต
When I get home, my son will be watching TV.

2. ใช้กับเหตุการณ์ในอนาคตที่ถูกกำหนดไว้แล้ว
Sue will be staying here till Monday.

สรุป Future Perfect Tense

Future Perfect ใช้กับเหตุการณ์ที่จะจบสมบูรณ์ในอนาคต

ตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษ
Before you go to see him, he will have left that place.

สรุป Future Perfect Continuous Tense

Future Perfect Continuous ใช้กับเหตุการณ์ที่ดำเนินไปช่วงหนึ่งและจะจบลงในอนาคต

ตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษ
When Jame gets his degree, he will have been studying at Harvard University for four years.

[NEW] หลักการใช้ adverb of frequency พร้อมตัวอย่างประโยค | ความ หมาย past simple tense – NATAVIGUIDES

ในภาษาอังกฤษ เวลาเราต้องการบอกว่าเราทำอะไรบ่อยขนาดไหน เราก็จะใช้คำอย่างเช่น always, usually, often, sometimes ซึ่งคำเหล่านี้จะถูกเรียกรวมๆว่า adverb of frequency

สำหรับใครที่ยังไม่ค่อยแม่นเรื่อง adverb of frequency ในบทความนี้ ชิววี่ก็ได้เรียบเรียงเนื้อหามาให้ได้เรียนรู้กันแบบง่ายๆแล้ว ถ้าเพื่อนๆพร้อมแล้ว เราไปดูกันเลย

Adverb of frequency คืออะไร

Adverb of frequency คือคำกริยาวิเศษณ์ที่ใช้บอกว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นบ่อยมากน้อยเพียงใด ยกตัวอย่างเช่นคำว่า always, usually, often, sometimes, never

(คำว่า adverb แปลว่า “คำกริยาวิเศษณ์” ส่วนคำว่า frequency แปลว่า “ความถี่” เมื่อใช้รวมกัน คำว่า adverb of frequency จึงแปลว่า “คำกริยาวิเศษณ์ที่ใช้บอกความถี่” นั่นเอง )

ทบทวนความรู้
Adverb (คำกริยาวิเศษณ์) คือคำที่ใช้ขยาย verb, adjective, adverb หรือประโยค ซึ่งมักจะเป็นคำที่ลงท้ายด้วย -ly อย่างเช่น quickly, slowly, happily, sadly แต่ก็มี adverb บางคำที่ไม่ได้ลงท้ายด้วย -ly เช่นกัน อย่างเช่นคำว่า always, never, very, fast

Adverb of frequency มีคำว่าอะไรบ้าง

Adverb of frequency จะแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มแรกก็คือกลุ่มที่ไม่ชี้ชัด (adverb of indefinite frequency) ซึ่งก็คือกลุ่มคำที่ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าถี่ขนาดไหน แต่จะบอกความถี่แค่คร่าวๆเท่านั้น

ตัวอย่าง adverb of frequency ที่ใช้บ่อยในกลุ่มนี้เรียงตามความถี่จากมากไปน้อยก็อย่างเช่น

ความถี่Adverb of frequencyความหมายตัวอย่างประโยคบ่อยมาก (100%)Alwaysเป็นประจำ, เสมอI always wake up at 6 o’clock.
ฉันตื่นนอนตอนหกโมงเป็นประจำUsuallyมักจะTim usually goes to school by bus.
ทิมมักจะไปโรงเรียนด้วยรถประจำทางNormally
GenerallyโดยปกติWe normally/generally have lunch at the canteen.
โดยปกติแล้ว พวกเราจะกินข้าวเที่ยงที่โรงอาหารOften
Frequentlyบ่อยครั้งAnne often/frequently does yoga.
แอนเล่นโยคะบ่อยSometimesบางครั้งI sometimes go swimming with my friends.
บางครั้งฉันก็ไปว่ายน้ำกับเพื่อนๆOccasionallyเป็นครั้งคราวMy aunt occasionally comes to visit us.
ป้าของฉันมาเยี่ยมพวกฉันบ้างเป็นครั้งคราวSeldomไม่ค่อยHe seldom goes to the gym.
เขาไม่ค่อยไปฟิตเนสRarely
Hardly everนานๆครั้งI rarely/hardly ever eat spicy food.
นานๆครั้งฉันถึงจะกินอาหารเผ็ดไม่เคยเลย (0%)Neverไม่เคยShe never wears high heels.
เธอไม่เคยใส่รองเท้าส้นสูง

นอกจากในตารางแล้ว ยังมี adverb of frequency อีกกลุ่มหนึ่ง นั่นก็คือกลุ่มที่ระบุความถี่แบบชี้ชัด (adverb of definite frequency) โดยจะเป็นตัวที่ระบุชัดเจนเลยว่าถี่ขนาดไหน อย่างเช่น

  • Hourly – ทุกชั่วโมง
  • Every day – ทุกวัน
  • Daily – ทุกวัน
  • Every week – ทุกสัปดาห์
  • Weekly – ทุกสัปดาห์
  • Every month – ทุกเดือน
  • Monthly – ทุกเดือน
  • Every year – ทุกปี
  • Yearly – ทุกปี
  • Annually – ทุกปี
  • Once a day – วันละครั้ง
  • Twice a week – สัปดาห์ละ 2 ครั้ง
  • Three times a month – เดือนละ 3 ครั้ง

ทั้งนี้ adverb of frequency ในกลุ่มนี้หลายๆคำสามารถทำหน้าที่เป็น adjective (คำที่ใช้ขยายคำนาม) ได้ด้วย อย่างเช่นในคำว่า weekly meeting ตัว weekly นี้ทำหน้าที่เป็น adjective ขยายคำว่า meeting ซึ่งจะแปลว่า “การประชุมประจำสัปดาห์”

หลักการใช้ adverb of frequency

การใช้ adverb of frequency นอกจากเราจะต้องดูความหมายของคำแล้ว เรายังต้องคำนึงถึงตำแหน่งในประโยคด้วย

ตำแหน่งในประโยค

เราจะแบ่งตำแหน่งการใช้ adverb of frequency ในประโยคได้หลักๆ 3 แบบ คือกลางประโยค ต้นประโยค และท้ายประโยค

กลางประโยค

ตำแหน่งกลางประโยคเป็นเหมือนตำแหน่งมาตรฐานของ adverb of frequency นั่นก็คือทุกตัวจะสามารถใช้ตำแหน่งนี้ได้หมด (ยกเว้นกลุ่มที่ระบุความถี่แบบชี้ชัด เช่น every day, daily, weekly) โดยจะแบ่งได้เป็น 3 กรณี

1. กรณีที่มีแค่ verb หลัก

ถ้าประโยคมีแค่ verb หลัก โดยที่ verb หลักนั้นไม่ใช่ verb to be (เช่น is, am, are, was, were) เราสามารถใช้ adverb of frequency ไว้หน้า verb หลักได้เลย

I always drink coffee in the morning.
ฉันดื่มกาแฟตอนเช้าเป็นประจำ
(drink เป็น verb หลัก เราสามารถใช้ always หน้า drink ได้เลย)

We rarely see each other now.
เดี๋ยวนี้พวกเรานานๆจะได้เจอกันที
(see เป็น verb หลัก เราสามารถใช้ rarely หน้า see ได้เลย)

2. กรณีที่มี verb หลักเป็น verb to be

ถ้าประโยคมี verb หลักเป็น verb to be (เช่น is, am, are, was, were) โดยทั่วไปแล้ว เราจะใช้ adverb of frequency ไว้หลัง verb to be

I am usually busy with work.
ฉันมักจะยุ่งอยู่กับงาน

He isn’t often late.
เขาไม่ได้สายบ่อยๆ

แต่เราอาจใช้ adverb of frequency ไว้หน้า verb to be เมื่อเราต้องการยืนยันในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด หรือเมื่อเราต้องการเน้น verb to be นั้น

Jack: Is he usually late?
แจ็ค: เขามักจะมาสายใช่มั้ย
Anne: Yes, he usually is.
แอน: ใช่ เขามักจะมาสาย

She was not as cheerful as she normally is.
เธอไม่ร่าเริงเหมือนปกติที่เธอเป็น

3. กรณีที่มี verb ช่วย

ถ้าประโยคมี verb ช่วย (เช่น can, could, may, might, will, would, verb to be ใน continuous tense, verb to have ใน perfect tense) เราจะใช้ adverb of frequency ไว้ระหว่าง verb ช่วยและ verb หลัก (verb ช่วย + adverb of frequency + verb หลัก)

People can sometimes make mistakes.
คนเราบางทีก็สามารถทำอะไรผิดพลาดได้

He has never been to Russia.
เขาไม่เคยไปประเทศรัสเซีย

ต้นประโยค

เราสามารถใช้ adverb of frequency บางคำขึ้นต้นประโยคได้ เช่น usually, normally, often, frequently, sometimes, occasionally

Frequently, social media is used to socialize.
บ่อยครั้ง สื่อโซเชียลก็ถูกใช้ในการเข้าสังคม

Sometimes I miss her.
บางครั้งฉันก็คิดถึงเธอ

แต่ถ้าเป็นคำบางคำอย่าง seldom, rarely, hardly ever, never ถ้าจะใช้ขึ้นต้นประโยค เราจะต้องกลับประธานและ verb (รูป inversion) ซึ่งจะถือเป็นภาษาที่เป็นทางการ ไม่ใช่ภาษาที่ใช้ในชีวิตประจำวันทั่วไป

Hardly ever did he study hard.
เขาแทบจะไม่เคยตั้งใจเรียนเลย

Never have I felt so sad.
ไม่เคยเลยที่ฉันจะรู้สึกเศร้ามากๆ

สำหรับ adverb of frequency กลุ่มที่ระบุความถี่แบบชี้ชัด เช่น every day, annually, twice a month เราก็สามารถใช้ขึ้นต้นประโยคได้เช่นกัน

Every day I walk my dog in the park.
ทุกๆวันฉันจะพาสุนัขไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ
(แม้จะใช้ขึ้นต้นประโยคได้ แต่เรานิยมใช้ every day ไว้ท้ายประโยคมากกว่า)

Once a month, we eat out together at our favorite restaurant.
เดือนละครั้ง พวกเราจะออกไปกินข้าวนอกบ้านที่ร้านโปรด

ทั้งนี้ เมื่อ adverb ทำหน้าที่ขยายทั้งประโยคที่ตามหลัง เราจะนิยมใช้คอมม่า (,) คั่นหลัง adverb แต่ถ้ามันขยายแค่ verb หรือคำบางคำ เราจะเลือกที่จะใช้คอมม่าหรือไม่ก็ได้ (ส่วนมาก adverb of frequency มักจะขยายแค่ verb มากกว่าขยายทั้งประโยค)

ท้ายประโยค

เราสามารถใช้ adverb of frequency บางคำไว้ท้ายประโยคก็ได้เช่นกัน เช่น usually, normally, often, frequently, sometimes, occasionally

I don’t watch movies often.
ฉันไม่ได้ดูหนังบ่อย

We can hang out sometimes.
พวกเราไปเที่ยวด้วยกันบ้างบางครั้งก็ได้นะ

สำหรับ adverb of frequency กลุ่มที่ระบุความถี่แบบชี้ชัด เช่น every day, annually, twice a month เราก็สามารถใช้ท้ายประโยคได้เช่นกัน

I exercise every day.
ฉันออกกำลังกายทุกวัน

My son comes to visit me every year.
ลูกชายฉันมาเยี่ยมฉันทุกปี

รูปปฏิเสธ

Adverb of frequency บางคำจะมีความหมายเชิงปฏิเสธอยู่แล้ว เช่นคำว่า seldom, rarely, hardly ever, never การใช้คำเหล่านี้ในประโยค เราจะไม่ใช้คำปฏิเสธอื่นๆเข้ามาให้มันทับซ้อนกันอีก

เราจะใช้ I rarely eat spicy food. (ฉันไม่ค่อยได้กินอาหารเผ็ด)
แต่จะไม่ใช้ I doesn’t rarely eat spicy food.

เราจะใช้ I have never been to Japan. (ฉันไม่เคยไปประเทศญี่ปุ่น)
แต่จะไม่ใช้ I haven’t never been to Japan.

การใช้ tense

หลายคนมักจะสับสนว่าเราต้องใช้ tense อะไรเวลามี adverb of frequency ในประโยค

ปกติแล้ว adverb ไม่ได้เป็นตัวกำหนด tense ให้กับประโยค แต่สิ่งที่เป็นตัวกำหนด tense จะเป็นใจความของประโยคนั้นๆ ดังนั้น การใช้ adverb of frequency เราจึงสามารถใช้กับ tense อะไรก็ได้ ขอแค่ให้มีความหมายเหมาะสมก็พอ

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพเช่น

ถ้าพูดถึงข้อเท็จจริง หรือสิ่งที่เป็นกิจวัตรทั่วไป เราจะใช้ present simple tense

I always wake up at 5 o’clock.
ฉันตื่นนอนตอนตีห้าเป็นประจำ

ถ้าพูดถึงเหตุการณ์ในอดีตที่จบไปแล้ว เราจะใช้ past simple tense

I always woke up at 5 o’clock when I was a student.
ฉันตื่นนอนตอนตีห้าเป็นประจำเมื่อตอนที่ฉันยังเป็นนักเรียน
(สมัยนู้นฉันตื่นตีห้าเป็นประจำ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว)

ถ้าพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ซึ่งส่งผลมาถึงปัจจุบัน เราจะใช้ present perfect tense

I have always loved you since the first day we met.
ฉันรักคุณเสมอมาตั้งแต่ตอนที่พวกเราเจอกันครั้งแรก
(เริ่มรักตอนนั้น และปัจจุบันก็ยังรักอยู่)

ถ้าพูดถึงเหตุการณ์ในอนาคต เราจะใช้ future simple tense

I will always love you no matter what happens.
ฉันจะรักคุณเสมอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม

จบแล้วนะครับกับหลักการใช้ adverb of frequency ในภาษาอังกฤษ ทีนี้เพื่อนๆก็คงจะเข้าใจและสามารถนำไปใช้ได้ถูกต้องมากขึ้นแล้วนะ

อย่าลืมนะครับ ภาษาอังกฤษยิ่งเรียนรู้ ยิ่งฝึก ก็ยิ่งเก่ง สำหรับบทความนี้ ชิววี่ต้องขอตัวลาไปก่อน See you next time


Past Simple Tense ง่ายๆ – สอนภาษาอังกฤษออนไลน์ฟรี


Past Simple Tense ง่ายๆ สอนภาษาอังกฤษออนไลน์ฟรี
เรียนภาษาอังกฤษกับเคท
Past Simple Tense ใช้ตอนที่เราพูดถึงเหตุการณ์ในอดีตนะคะ
เช่น เมื่อวานนี้ ปีที่แล้ว มีรูปแบบประโยคก็คือ ประธาน + กริยาช่อง 2 (S + V.2)
เรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเติมคลิ๊ก
Will กับ would ใชัยังไง
คลิ๊ก : https://www.youtube.com/edit?o=U\u0026video_id=GqgSnT50v0I
In On At ใช้ยังไง
คล๊ก : https://www.youtube.com/watch?v=Ru4IscO8BI
ประโยคภาษาอังกฤษ เพื่อผู้เริ่มสนทนา
คลิ๊ก: https://www.youtube.com/watch?v=VkdEzzWz_Ss

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูความรู้เพิ่มเติมที่นี่

Past Simple Tense  ง่ายๆ - สอนภาษาอังกฤษออนไลน์ฟรี

Past Simple Tense การใช้งาน Verb to beรูปแบบอดีต ฉบับเต็ม ภาษาอังกฤษ เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์กับESE


Past Simple Tense การใช้งาน Verb to be ฉบับเต็ม ภาษาอังกฤษ ใช้ยังไง ทั้งประโยคบอกเล่า คำถาม ปฏิเสธ ทั้งสองแบบ เข้าใจง่าย สรุปละเอียด เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์กับESE
Present Simple Tense การใช้งาน Verb to be
https://youtu.be/Tj8R7X35afA
เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์กับESE
เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ ครบทุกหลักการใช้งานในคลิปเดียวแบบเต็มสูบทั้งหมด
หากสนใจมาเรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัว กับทางESE สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้ทางช่องทางเหล่านี้นะครับ
อย่าลืมกดติดตามเราทางช่องทางอื่นๆด้วยนะครับ
Follow us on Facebook: https://www.facebook.com/easyandsimpleenglish/
Follow us on Instagram: https://www.instagram.com/ese_stagram_th/
Visit our website: http://easysimpleenglish.com/
Contact: Tel: 0863537300

Past Simple Tense การใช้งาน Verb to beรูปแบบอดีต ฉบับเต็ม ภาษาอังกฤษ  เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์กับESE

Past simple VS Past continuous ใช้กับอดีตทั้งคู่ แต่ใช้ต่างกันยังไง | Eng ลั่น [by We Mahidol]


Past simple กับ Past continuous ใช้กับอดีตทั้งคู่ แต่ใช้ต่างกันยังไง?
หลายคนมักสับสนกับ 2 tense นี้
Past simple ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต เช่น I studied for exams.
Past Continuous ใช้เฉพาะเจาะจงเวลา เน้นความต่อเนื่องของเหตุหารณ์ เช่น I was studying for exams.
วันนี้พี่คะน้า รุ่นพี่วิทยาลัยนานาชาติ ม.มหิดล จะมาสรุปความแตกต่างให้ทุกคนฟังแบบเข้าใจง่าย ไปดูกัน
WeMahidol Mahido Engลั่น PastSimple PastContinuous
YouTube : We Mahidol
Facebook : http://www.facebook.com/wemahidol
Instagram : https://www.instagram.com/wemahidol/
Twitter : https://twitter.com/wemahidol
TikTok : https://www.tiktok.com/@wemahidol
มหาวิทยาลัย มหิดล Mahidol University : https://www.mahidol.ac.th/th/
Website : https://channel.mahidol.ac.th/

Past simple VS Past continuous ใช้กับอดีตทั้งคู่ แต่ใช้ต่างกันยังไง | Eng ลั่น [by We Mahidol]

สรุปวิธีใช้ Past Simple Tense แบบเข้าใจง่ายๆ


สรุปวิธีใช้ Past Simple Tense แบบเข้าใจง่ายๆ
คลิปนี้แยกมาจากคลิป \”Past Simple Tense ใช้ตอนไหน \u0026 แบบฝึกหัดท้ายบท\” เพื่อให้สะดวกแก่ผู้ชมที่ต้องการแยกศึกษาเฉพาะหลักการใช้ในคลิปเดียวค่ะ

สรุปวิธีใช้ Past Simple Tense แบบเข้าใจง่ายๆ

I Was, You Were (\”To Be\” Past Simple Song) – Rockin’ English


Animated musical English lesson teaching the verb \”to be\” in simple past tense. Sing along, learn English and rock!
Lyrics:
Yesterday, last week
yesterday, last week
I was, you were
He, she and it was
We were
You Were
They were
I was and you were
Yesterday, last week
yesterday, last week
I was, you were
He, she and it was
We were
You Were
They were
I was and you were

I Was, You Were (\

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูบทความเพิ่มเติมในหมวดหมู่LEARN FOREIGN LANGUAGE

ขอบคุณที่รับชมกระทู้ครับ ความ หมาย past simple tense

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *