Skip to content
Home » [NEW] รวม ❝การแนะนำตัวภาษาอังกฤษ ❞ แบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ | ปรับตัวเข้ากับผู้อื่น ภาษาอังกฤษ – NATAVIGUIDES

[NEW] รวม ❝การแนะนำตัวภาษาอังกฤษ ❞ แบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ | ปรับตัวเข้ากับผู้อื่น ภาษาอังกฤษ – NATAVIGUIDES

ปรับตัวเข้ากับผู้อื่น ภาษาอังกฤษ: นี่คือโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้

รวม ❝การแนะนำตัวภาษาอังกฤษ ❞ แบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ

 

รวม ❝การแนะนำตัวภาษาอังกฤษ ❞

แบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ

การแนะนำตัวภาษาอังกฤษ เป็นวิธีการสร้างความประทับใจที่ง่ายที่สุด และทำให้คนจดจำเราได้ตั้งแต่แรกพบ เพราะฉะนั้น ถ้าหากมีแพทเทิร์นในการแนะนำตัวเป็นภาษาอังกฤษของตัวเองได้ก็จะยิ่งดีมาก ๆ 

 

และถ้ายิ่งได้ฝึกพูดแนะนำตัวภาษาอังกฤษอย่างสม่ำเสมอ ก็จะยิ่งพูดคล่อง และมั่นใจค่ะ เมื่อเจอกับเพื่อนร่วมงานหรือเพื่อนต่างชาติใหม่ ๆ ก็จะพูดได้เลย โดยที่ไม่ต้องคิดนาน

 

ถ้าหากฝึกซ้อมแนะนำตัวแล้ว อย่าลืมซ้อมตอบคำถาม และปรับบุคลิกภาพด้วย คลิก

 

20 ประโยคจำไว้ถาม-ตอบเวลาพรีเซนต์

How to พรีเซนต์งานภาษาอังกฤษ ให้โดนใจคนฟัง!

 

การแนะนำตัวเป็นภาษาอังกฤษสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ นั่นก็คือ การแนะนำตัวแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ ซึ่งสามารถนำไปใช้ได้ในสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น สัมภาษณ์งาน, Presentation หรือการไปเที่ยวแล้วพบเจอคนใหม่ ๆ ก็สามารถใช้ได้เช่นกัน

 

ซึ่งนอกจาก Globish จะมาแนะนำวิธีการและประโยคแล้ว ยังมีตัวอย่างการแนะนำตัวภาษาอังกฤษให้ทุกท่านนำไปใช้ได้เลยอีกด้วยค่ะ

 

แต่ก่อนจะเข้าเนื้อหา อยากให้ทุกท่านลองลิสต์คำตอบของคำถามเหล่านี้ดูก่อนค่ะ 

 

1) What is your name? 

ตัวอย่างคำตอบ

Pim, Jane, Sam etc.

 

2) Where are you from? 

ตัวอย่างคำตอบ

Bangkok, Thailand etc.

 

3) How are you related to the person who has introduced you? 

ตัวอย่างคำตอบ

Husband, wife, friend etc.

 

4) Why are you in that situation? 

ตัวอย่างคำตอบ

Party, Family introductions, Wedding etc.

 

5) What makes you interesting? 

ตัวอย่างคำตอบ

You’re good at singing, painting, playing the piano etc.

 

เมื่อคุณสามารถตอบคำถามครบแล้ว ก็จะเริ่มรู้แนวแล้วว่า คุณควรจะพรีเซนต์ตัวเองไปในทิศทางไหน และควรพูดเรื่องอะไรดี

 

แต่ถ้ายังไม่รู้ว่าจะพูดแนะนำตัวเรื่องอะไรดีหรือยังไม่มีเรื่องในใจ Globish ได้เตรียมหัวข้อมาให้ทุกท่านเลือกเช่นกันค่ะ ได้แก่

 

Personality นิสัย

Likes สิ่งที่ชอบ

Dislikes สิ่งที่ไม่ชอบ

Hobbies งานอดิเรก

Skills ทักษะ

Talents พรสวรรค์

Qualifications คุณสมบัติ

Interests ความสนใจ

Awards รางวัลหรือความสำเร็จ

Ideas ความคิด

Opinions ความคิดเห็น

 

ซึ่งทุกท่านไม่จำเป็นต้องพูดในทุกหัวข้อเมื่อแนะนำตัวภาษาอังกฤษก็ได้ แต่เลือกเฉพาะสิ่งที่เข้ากับสถานการณ์นั้น ๆ เช่น ถ้าหากต้องแนะนำตัวสัมภาษณ์งาน อาจจะพูดถึง Personality, Hobbies, Qualifications, Skills, หรือ Awards ค่ะ

 

เชื่อว่าทุกท่านน่าจะพอเห็นภาพกันแล้ว เรามาเริ่มกันที่การแนะนำตัวภาษาอังกฤษแบบไม่เป็นทางการกันเลยค่ะ

1. การแนะนำตัวภาษาอังกฤษแบบ Informal (ไม่เป็นทางการ)

 

การแนะนำตัวแบบนี้ เหมาะมาก ๆ กับสถานการณ์อย่าง ไปเจอครอบครัวของเพื่อนหรือเพื่อนของเพื่อนในงานต่าง ๆ หรือเจอเพื่อนร่วมงานใหม่ ๆ ก็สามารถใช้ได้เช่นกันค่ะ 

 

  ■ สถานการณ์: แนะนำตัวในงานเลี้ยงของเพื่อน

 

เริ่มจากการทักทาย…

 

Hi everybody.

สวัสดีค่ะ/ครับทุกคน

 

Hello.

สวัสดีค่ะ/ครับ

 

Hi there.

สวัสดีค่ะ/ครับ

 

Hey there

สวัสดีค่ะ/ครับ

แนะนำตัวเอง…

 

I’m Sam, Jane’s friend. It’s a pleasure to meet you.

ฉันชื่อแซมนะ เป็นเพื่อนของเจน ยินดีที่ได้พบคุณมาก ๆ เลย

 

You can call me Sam. It’s nice to meet you.

คุณเรียกฉันว่าแซมก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ

พูดถึงงานปาร์ตี้หรือคนที่คุณทั้งสองคนรู้จักร่วมกัน

 

This is a fantastic party, very well-organised.

ปาร์ตี้นี้สุดยอดมากเลยนะครับ จัดได้ดีมาก ๆ

 

The food in this restaurant is so good, I’m on my third round!

อาหารในร้านนี้อร่อยมาก ๆ เลย นี่ผมตักอาหารรอบที่ 3 แล้ว

 

I work with Jane (the hostess) at Globish. We first met when we studied at Thammasart university together, so we’ve known each other for 10 years.

ฉันทำงานกับเจนที่โกลบิช แต่เราเจอกันครั้งแรกตั้งแต่สมัยเรียนธรรมศาสตร์ ตอนนี้ก็รู้จักกันมา 10 ปีแล้ว

 

ปิดท้ายการแนะนำตัว…

 

So, tell me a bit about yourself. How do you know Jane?

เล่าเรื่องของคุณซักหน่อยได้ไหม คุณรู้จักเจนได้ยังไง

 

By the way, please tell me about yourself. How did you and Jane meet?

ว่าแต่… คุณช่วยเล่าเรื่องของคุณได้ไหม แบบคุณกับเจนเจอกันได้ยังไง

 

 


■ สถานการณ์: แนะนำตัวในทีทำงาน (เพิ่งเริ่มทำงานวันแรก)

 

เริ่มจากการทักทาย….

 

Hi, everybody.

สวัสดีทุกคน

 

Hello.

สวัสดีค่ะ/ครับ

 

Hi there.

สวัสดีค่ะ/ครับ

 

Hey there

สวัสดีค่ะ/ครับ

 

Good morning/ afternoon/ evening.

สวัสดีตอนเช้า/ บ่าย/ เย็น

แนะนำตัวเองและตำแหน่งงาน…

 

Nice to meet you. My name is Laticia. I’m the new graphic designer. 

ยินดีที่ได้รู้จัก ฉันชื่อลาทีเซีย เป็นกราฟิกดีไซน์คนใหม่ค่ะ

 

My name is Jack, your new marketing manager. 

ผมชื่อแจ็ค เป็นผู้จัดการแผนกมาร์เก็ตติ้ง

 

I’m Javier, an engineer in the IT department.

ฉันชื่อจาเวียร์ เป็นวิศวะแผนกไอทีค่ะ

 

Hi, I am Jeff from the Marketing Team.

สวัสดี ฉันชื่อเจฟจากทีมมาร์เก็ตติ้ง

   

I’m Mike, the new engineer. Nice to meet you.

ผมชื่อไมค์ เป็นวิศวะกรคนใหม่ ยินดีที่ได้รู้จักครับ

พูดถึงประวัติการทำงาน…

 

Previously, I worked as marketing manager in Noc Company. So, I have 10 years of experience.

ก่อนหน้านี้ ผมเคยทำงานในตำแหน่งผู้จัดการแผนกมาร์เก็ตติ้งที่บริษัทน็อค ผมเลยมีประสบการณ์ทางด้านนี้มากว่า 10 ปี 

สร้างความประทับใจ…

 

I believe I can lead this team to even more success, but I can’t produce great results alone. That’s why I need your utmost cooperation. Together, we can achieve great things.

ผมเชื่อว่าผมสามารถพาทีมไปสู่ความสำเร็จ แต่คงทำคนเดียวไม่ได้ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมผมถึงต้องการความร่วมมือจากพวกคุณ หากร่วมมือกัน เราจะสามารถสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้แน่นอน

 

I worked at ABC Company for one year before joining this company. Outside of work, I enjoy doing yoga and reading novels at the beach. If you have any interesting books, feel free to recommend them to me.

ฉันทำงานที่บริษัท ABC มา 1 ปี ก่อนที่จะย้ายมาทำงานที่นี่ นอกเหนือจากการทำงาน ฉันชอบเล่นโยคะและนั่งอ่านหนังสือริมชายหาด ถ้าคุณมีหนังสือที่น่าสนใจ แนะนำฉันมาได้เลย

 

I graduated with my degree in Economics two months ago.

Although I don’t have real-life work-experience, I’m ready to learn new things from all of you.

ผมจบเศรษฐศาสตร์มาเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว แม้ว่าผมยังไม่มีประสบการณ์จริง แต่ผมพร้อมจะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ จากคุณทุกคน

ปิดท้ายการแนะนำตัว…

 

I’m excited to work with all of you.

ผมตื่นเต้นมากที่จะได้ร่วมงานกับพวกคุณทุกคน

 

We’ll be working together in the future and I’m excited to be a part of the team

เราจะได้ร่วมงานกันในอนาคตแน่นอน และฉันตื่นเต้นมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของทีม

 

I’m looking forward to working with you in the future. See you around.

ฉันตั้งตารอที่จะได้ทำงานกับคุณในอนาคต แล้วพบกันนะคะ

 

 

 

2. การแนะนำตัวภาษาอังกฤษแบบ Formal (เป็นทางการ)

 

ข้อแตกต่างระหว่างการแนะนำแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ คือ ภาษาที่ใช้ค่ะ แบบเป็นทางการจะใช้ภาษาที่ค่อนข้างสุภาพมากกว่า เหมาะกับสถานการณ์แบบ สัมภาษณ์งาน หรือใช้เกริ่นก่อนนำเสนองานให้คนที่ไม่รู้จัก และเพื่อนร่วมงานแผนกอื่นในบริษัทฟัง ก็สามารถใช้ได้ค่ะ

 

■ สถานการณ์: แนะนำตัวเมื่อไปสัมภาษณ์งาน

 

เริ่มจากการทักทาย….

 

Good morning/ afternoon/ evening.

สวัสดีตอนเช้า/ บ่าย/ เย็น

 

Hello.

สวัสดีค่ะ/ครับ

 

แนะนำตัวเองพร้อมประวัติการเรียนหรือการทำงาน…

 

My name is Kevin Smith. Glad to meet you. I’m 21 years old and I’m a fresh graduate from XYZ University with Business management.

ผมชื่อเควิน สมิธ ยินดีที่ได้พบคุณนะครับ ผมอายุ 21 ปี เพิ่งจบจากมหาวิทยาลัย XYZ ด้านการจัดการธุรกิจครับ

 

First of all, it’s my pleasure to speak with you today. My name is Paul Smith. I’m 23 years old and I have just completed my graduation from XYZ University with Human Resource Management as the subject.

ก่อนอื่นเลย ยินดีอย่างยิ่งที่ได้พูดคุยกับคุณวันนี้ครับ ผมชื่อพอล สมิธ อายุ 23 ปี เพิ่งจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย XYZ ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลครับ

 

Good morning, I’m Janejira Rakdee. Pleased to meet you. I’m from Bangkok. I completed my Bachelor of Engineering degree in 2009 from Abac university.

สวัสดีตอนเช้าค่ะ ดิฉันชื่อเจนจิรา รักดี ยินดีที่ได้พบคุณค่ะ ฉันมาจากกรุงเทพฯ จบการศึกษาจากคณะวิศวะกรรมศาสตร์ตอนปี 2009 จากมหาวิทยาลัยเอแบคค่ะ

 

Good afternoon, I’m Sam Brandon. I have been working as a Sales Professional for 5 years now. I joined as a Sales executive and worked my way up to the position of Sales Manager within 3 years.

สวัสดีตอนบ่ายครับ ผมชื่อแซม แบรนดอน ผมทำงานเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการขายมา 5 ปีแล้ว นอกจากนี้ ผมเริ่มจากตำแหน่งพนักงานขายไปจนถึงผู้จัดการฝ่ายขายภายใน 3 ปี

พูดถึงสกิลที่ถนัด ความสามารถ หรือประสบการณ์ที่โดดเด่น…

 

One of my accomplishments during my university life was being a speaker at a Science seminar. I have completed my internship in ABC Motor company. During my internship, I gained a lot of useful skills that weren’t included in the academic curriculum such as negotiation and time management skills.

หนึ่งในความสำเร็จช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัยของดิฉันคือ การได้เป็นผู้บรรยายในงานสัมมนาวิทยาศาสตร์ อีกทั้งดิฉันยังได้ฝึกงานในบริษัทยานยนตร์ ABC ระหว่างการฝึกงาน ฉันได้เรียนรู้สกิลที่มีประโยชน์ และไม่มีสอนในรั้วมหาลัย เช่น สกิลการต่อรองและการจัดการเวลา

 

I’ve been hard-working and have taken my subjects quite seriously. Now, as I am graduated, I want to implement my knowledge in my work. That is the reason I applied for this job. 

ผมค่อนข้างทุ่มเทและจริงจังกับการเรียนมาตลอด และตอนนี้ ในฐานะที่เป็นเด็กจบใหม่ ผมอยากเอาความรู้ที่ได้เรียนมาปรับใช้กับการทำงาน นี่คือเหตุผลที่ผมสมัครงานในตำแหน่งนี้ครับ

ปิดท้ายการแนะนำตัว…

 

Now, I am all set to start my career, and hoping to get selected into your esteemed company which will help me explore my other abilities, and improve myself.

และตอนนี้ ดิฉันพร้อมแล้วที่จะเข้าสู่การทำงาน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับเลือกให้ทำงานในบริษัทสามารถช่วยดิฉันค้นหาความสามารถอื่น ๆ ของตัวเองและพัฒนาตัวเองไปได้อีกค่ะ

 

Although I don’t have real-life work-experience, I have learned a lot about business through subjects during my graduation. So, I would assure you to be a valuable asset to your esteemed company by implementing all of my knowledge mixed up with hard work.

แม้ว่าผมจะไม่มีประสบการณ์ในการทำงานจริง แต่ผมได้เรียนรู้ด้านธุรกิจผ่านวิชาเรียนที่หลากหลายในรั้วมหาวิทยาลัย ผมจึงอยากให้คุณมั่นใจเลยว่า ผมจะเป็นพนักงานที่มีคุณค่าต่อบริษัท โดยการนำความรู้ทั้งหมดที่ผมมีมาปรับใช้ไปพร้อม ๆ กับความมุมานะในการทำงาน

 

 

■ สถานการณ์: แนะนำตัวก่อนพรีเซนต์งาน

 

เริ่มจากการทักทาย….

 

Hi, everyone. Thanks for coming.

สวัสดีค่ะ/ครับ ทุกคน ขอบคุณที่มาในวันนี้

 

Hello, everyone. I’d like, first of all, to thank the organizers of this meeting for inviting me here today.

สวัสดีครับ ก่อนอื่นเลย ผมขอขอบคุณผู้จัดงานที่เชิญผมมาในวันนี้

 

Good morning everyone and welcome to the meeting. First of all, let me thank you all for coming here today. 

สวัสดีตอนเช้าค่ะทุกคน ขอต้อนรับสู่การประชุมค่ะ ก่อนอื่นเลย ขอขอบคุณทุกท่านที่มาในวันนี้ค่ะ

แนะนำตัวเองและตำแหน่ง…

 

I’m John, who heads the marketing team.

ผมชื่อจอห์น เป็นหัวหน้าทีมมาร์เก็ตติ้งครับ

 

Let me introduce myself. I’m Jan from the marketing team.

ขอแนะนำตัวสักหน่อยนะคะ ดิฉันชื่อแจน มาจากทีมมาร์เก็ตติ้งค่ะ

 

For those of you who don’t know me, my name’s Jane from the operation management team.

สำหรับคนที่ยังไม่รู้จักดิฉันนะคะ ดิฉันชื่อเจน มาจากทีมการจัดการการผลิตค่ะ

บอกหัวข้อหลักของการพรีเซนต์…

 

What I’d like to present to you today is our annual sales report.

สิ่งทีผมต้องการจะนำเสนอในวันนี้คือรายงานยอดขายประจำปี

 

As you can see on the screen, our topic today is our annual sales report.

อย่างที่คุณเห็นบนหน้าจอ หัวข้อในวันนี้คือการรายงานยอดขายประจำปี

 

In my presentation I would like to report on our annual sales report.

ในการนำเสนอ ดิฉันจะชี้แจงเรื่องรายงานยอดขายประจำปี

 

I’m here today to present our annual sales report.

วันนี้ฉันจะมานำเสนอเรื่องการรายงานยอดขายประจำปี

บอกจุดมุ่งหมายของการพรีเซนต์…

 

The purpose of this presentation is for us to come up with short-term and long-term strategies to increase our profit. 

จุดประสงค์ของการนำเสนอคือต้องการให้พวกเราหาวิธีเพิ่มกำไรด้วยกลยุทธ์ทั้งแบบระยะสั้นและระยะยาว

 

My main objective for today is for us to come up with short-term and long-term strategies to increase our profit. 

จุดประสงค์หลังของการนำเสนอคือต้องการให้พวกเราหาวิธีเพิ่มกำไรด้วยกลยุทธ์ทั้งแบบระยะสั้นและระยะยาว

บอกหัวข้อย่อยที่จะพรีเซนต์…

 

I’ve divided my presentation into three main parts.

ผมได้แบ่งการนำเสนอนี้ออกเป็น 3 หัวข้อหลัก ๆ

 

In my presentation I’ll focus on three major issues.

ในการนำเสนอ ผมจะมุ่งไปที่ 3 หัวข้อหลัก ๆ

 

I thought it would be useful to divide our talk into three main sections.

ฉันคิดว่ามันน่าจะเป็นประโยชน์มาก ถ้าแบ่งการนำเสนอออกเป็น 3 ส่วน

บอกลำดับเรื่องที่จะพรีเซนต์…

 

First of all, I’d like to give you an overview of

our monthly sales report.

Next, I’ll focus on

our annual sales report.

Lastly, I’ll deal with

our company goals for next year.

อันดับแรก ดิฉันขอเริ่มด้วยภาพรวมของยอดขายในแต่ละเดือน หลังจากนั้น ดิฉันจะพูดถึงยอดขายในปีนี้ และสุดท้าย จะจบด้วยเป้าหมายของบริษัทในปีหน้าค่ะ

 

So, I’ll begin by bringing you up-to-date on

our monthly sales report.

And then, I’ll go on to

our annual sales report.

I’ll end with

our company goals for next year.

ผมจะเริ่มต้นด้วยภาพรวมของยอดขายในแต่ละเดือน หลังจากนั้น ผมจะพูดถึงยอดขายในปีนี้ และจบด้วยเป้าหมายของบริษัทในปีหน้าครับ

บอกระยะเวลาของการพรีเซนต์…

 

This should only last 20 minutes.

การนำเสนองานจะใช้เวลา 20 นาที

 

My presentation will take about an hour.

การนำเสนองานจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง

 

It will take about 1 hour and a half to cover these issues.

การนำเสนองานจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง เพื่อพูดถึงหัวข้อทั้งหมด

 

 

บอกเรื่องเอกสารประกอบการบรรยาย…

 

I’ll be handing out copies of the slides at the end of my talk.

ผมจะแจกเอกสารหลังจากจบการพรีเซนต์นะครับ

 

I can email the PowerPoint presentation to anybody who wants it.

ดิฉันจะส่งอีเมลแนบเพาเวอร์พ้อยท์ที่พรีเวนต์วันนี้ให้ผู้ที่ต้องการนะคะ

ปิดท้ายด้วยการให้ผู้ฟังถามคำถามหลังการพรีเซนต์…

 

There will be time for questions after my presentation.

เดี๋ยวจะมีช่วงให้ถามคำถามในตอนท้ายของการนำเสนอนะคะ

 

 

  

ทั้งหมดนี้คือการแนะนำตัวภาษาอังกฤษทั้งแบบที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการค่ะ ทุกท่านสามารถนำไปปรับใช้ให้เข้ากบัสถานการณ์ของตัวเองได้นะคะ

ที่สำคัญ อย่าลืมหมั่นฝึกฝน และซ้อมบ่อย ๆ เพราะจะช่วยเรื่องการพูดอย่างเป็นธรรมชาติ และเป็นตัวของตัวเองค่ะ

 

ขอบคุณที่มาข้อมูลจาก:

เว็ปไซต์ Indeed

เว็ปไซต์ HQ hire

เว็ปไซต์ Interview Questions

 

เรียนภาษาอังกฤษเพิ่มความโปร พูดโฟลว์ได้อย่างมั่นใจ ได้ที่ Globish คอร์สเรียนภาษาอังกฤษที่ดีที่สุดสำหรับวัยทำงาน พิสูจน์แล้วจากผู้เรียนกว่า 10,000 คน ว่าพูดได้จริง ไม่ใช่แค่ท่องจำ

วัดระดับภาษาอังกฤษ ฟรี! คลิก

[NEW] เจาะลึก! เรียน “เอกอังกฤษ” ต้องเทพอังกฤษระดับไหน และเขาเรียนอะไรกันบ้าง? | ปรับตัวเข้ากับผู้อื่น ภาษาอังกฤษ – NATAVIGUIDES

     สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว

Dek-D.com

วันนี้

พี่พิซซ่า

จะมาดูสาขาการเรียนที่เป็นสาขาในฝันของคนสนใจภาษาอังกฤษ อย่างเอกภาษาอังกฤษหรือเอกอิ๊งค์ (Eng) ที่เรียกกันโดยทั่วไปนั่นเอง หลายคนคิดว่าจะเข้าเอกอังกฤษได้คือต้องเป็นเทพภาษาอังกฤษที่พูดอังกฤษได้ประหนึ่งภาษาแม่ หรือต้องเคยไปแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศมาตอนมัธยม หรือไม่ก็จบนานาชาติเท่านั้นถึงจะเข้าได้ มาทำความรู้จักสาขานี้ให้ลึกซึ้งกันดีกว่าค่ะว่ามันเหมือนที่เขาว่ากันว่ามาจริงมั้ย


 

หมายเหตุ: บทความนี้จะเน้นไปที่เอกภาษาอังกฤษ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นหลัก
เพราะผู้เขียนบทความจบมาโดยตรง เอกอังกฤษของมหาวิทยาลัยอื่นอาจมีหลักสูตรที่แตกต่างออกไป

ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการเรียนเอกภาษาอังกฤษ

1. เป็นหลักสูตรนานาชาติที่เรียนทุกอย่างเป็นภาษาอังกฤษ

X

     จริงๆ แล้วเอกภาษาอังกฤษเป็นหลักสูตรภาคปกติไม่ใช่หลักสูตรนานาชาติค่ะ เรายังต้องเรียนวิชาพื้นฐานทั่วไปเหมือนเอกอื่นๆ ตัวอย่างวิชาพื้นฐานคณะอักษรศาสตร์ก็เช่น วรรณคดีไทย, การเขียนภาษาไทยเพื่อวิชาชีพ, อารยธรรมตะวันออก, อารยธรรมตะวันตก, ปรัชญาทั่วไป, ปริทัศน์ศิลปการละคร หรือภาษาทัศนา ซึ่งวิชาเหล่านี้เรียนเป็นภาษาไทยค่ะ แต่พอขึ้นปี 2 ที่เลือกเอกกันแล้ว เอกอังกฤษก็จะเรียนวิชาของเอกเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดไม่ว่าอาจารย์จะเป็นอาจารย์ชาวไทยหรือชาวต่างชาติก็ตาม เวลาสอนอาจารย์จะแทบไม่พูดภาษาไทยเลย ยกเว้นก็วิชาการแปลที่จะใช้ภาษาไทยเยอะเป็นพิเศษทั้งแปลอังกฤษ-ไทยและแปลไทย-อังกฤษ เพราะการใช้ภาษาไทยให้ถูกก็เป็นเรื่องสำคัญด้วยเช่นกัน ส่วนหนังสือเรียนก็ภาษาอังกฤษล้วนเลยค่ะ

2. คนที่เข้าเอกอังกฤษได้เคยไปอยู่เมืองนอกกันมาแล้วทั้งนั้น 

X

     ข้อนี้ก็ไม่ใช่ความจริงนะคะ จริงอยู่ว่าหลายคนในเอกเคยไปแลกเปลี่ยนสมัยมัธยม แต่ก็ไม่ใช่แค่เอกอังกฤษค่ะ เอกอื่นๆ ในคณะก็มีคนไปแลกเปลี่ยนมาแล้วเช่นกัน แต่ประชากรส่วนมากในคณะก็เป็นนักเรียนที่ไม่เคยไปแลกเปลี่ยนมาก่อนนะคะ หลายคนไม่เคยไปต่างประเทศเลยด้วย และก็ไม่จำเป็นว่าต้องจบจากโรงเรียนนานาชาติ โรงเรียนคริสต์ หรือโรงเรียนระบบไบลิงกวลเท่านั้นที่ระดับภาษาเก่งพอจะเข้าเอกได้ เด็กโรงเรียนรัฐบาลไทยทั่วไปจากทั่วประเทศก็สามารถเข้าเอกอังกฤษได้ทั้งนั้นค่ะ

3. คนที่เข้าเอกอังกฤษได้ต้องพูดอังกฤษปร๋อมาก่อนแล้ว 

X

     นี่ก็ไม่ใช่เรื่องจริงเช่นกันค่ะ อย่างรุ่นที่พี่เรียนมีเอกอังกฤษประมาณ 80 คน คนที่พูดอังกฤษเก่งมาก่อนในระดับเป็นภาษาแม่มีประมาณ 5 คนเอง ซึ่งพี่ก็ไม่ใช่หนึ่งในนั้นด้วย 555 ส่วนมากตอนที่อยู่ปี 2 ก็ไม่ได้เก่งกันแบบฟังพูดอ่านเขียนระดับสูงเลยนะคะ ส่วนใหญ่จะอยู่ระดับกลางๆ กัน และหลายคนไม่ได้เก่งครบทุกทักษะด้วย อย่างพี่ตอนนั้นได้แค่ฟัง ส่วนพูดอ่านเขียนนี่ระดับกลางๆ เอง แต่พอได้เข้าเอกอังกฤษแล้วก็ได้เรียนวิชาโน้นวิชานี้ จนได้พัฒนาหลายๆ ทักษะไปพร้อมๆ กัน และไปไกลกว่าตอนเป็นเฟรชชี่เยอะเลยค่ะ

4. คนที่เข้าเอกอังกฤษได้ ต้องได้เกรดรวมสูงๆ ในปี 1  

X

     ถ้าหมายถึงเกรดเฉลี่ยรวมก็บอกได้เลยว่าไม่ใช่ค่ะ เพราะวิชาเรียนในปี 1 เป็นวิชาพื้นฐานคณะอักษรศาสตร์ ที่นอกจากสายภาษาแล้วก็มีทั้ง ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ สารนิเทศ ปรัชญา และศิลปการละคร ดังนั้นจะเอาเกรดจากวิชาเหล่านี้มาเป็นตัวตัดสินว่าเข้าเอกอังกฤษได้มั้ยก็คงไม่แฟร์แน่ๆ ฉะนั้นเกรดที่เอามาตัดสินว่าจะได้เข้าเอกอังกฤษรึเปล่าคือเกรดวิชาภาษาอังกฤษ 2 (English II) และ แปลอังกฤษขั้นต้น (Introduction to Translation) ที่เป็นวิชาบังคับคณะตอนปี 1 เทอม 2 ค่ะ น้องต้องทำให้ได้อย่างน้อยเกรด B ทั้ง 2 ตัวถึงจะเข้าเอกอังกฤษได้
     ถามว่ายากมั้ย ก็ขึ้นกับตัวบุคคลนะคะ แต่น้องจะได้เรียนวิชาภาษาอังกฤษ 1 (English I) ในเทอมแรกของปี 1 วิชานี้เป็นเหมือนวิชาที่แนะนำให้น้องได้รู้จักกับการเรียนภาษาอังกฤษของอักษรศาสตร์ ซึ่งไม่เหมือนวิชาบังคับภาษาอังกฤษที่คณะอื่นเรียนกัน หลายคนได้เกรดวิชานี้ไม่ค่อยดีเพราะเพิ่งเข้ามาเลยยังปรับตัวไม่ได้ ทางภาควิชาจึงไม่เอาเกรดวิชาแรกนี้มาพิจารณาค่ะ ให้โอกาสน้องได้ปรับตัวและจับทางให้ได้ก่อน แม้วิชาในเทอม 2 จะยากกว่าแต่พอปรับตัวกับการเรียนมหาวิทยาลัยได้แล้ว หลายคนก็ทำเกรด 2 วิชานี้ได้ดีกว่าเกรดของอังกฤษ 1 อีก เลยทำให้ได้เกรดสูงพอที่จะเลือกเข้าเอกอังกฤษได้ ฉะนั้นถ้าใครเห็นเกรดอังกฤษ 1 แล้วช็อกก็ไม่เป็นไรนะคะ เทอม 2 อาจดีขึ้นก็ได้ การเข้าเอกอังกฤษไม่ได้ยากขนาดนั้นค่ะ

แนะนำหลักสูตรมัธยมที่

5. จะเข้าเอกอังกฤษได้ ต้องอ่านวรรณกรรมภาษาอังกฤษเยอะๆ

     ถ้ายิ่งอ่านเยอะก็ยิ่งทำให้มีโอกาสเข้าได้สูง แถมยังทำให้การเรียนวิชาบังคับสายวรรณคดีของเอกเป็นเรื่องง่ายขึ้นด้วย แต่ถึงไม่เคยอ่านพวกเชคสเปียร์หรือหนังสือคลาสสิกที่ได้รางวัลมากมายมาก่อน ก็ยังมีโอกาสเข้าเอกอังกฤษได้อยู่ดีค่ะ อย่างที่บอกไปว่าปี 1 เทอม 1 จะได้เรียนวิชาภาษาอังกฤษ 1 (English I) ซึ่งในวิชานี้ก็จะได้อ่านอะไรเยอะเลยค่ะ มีหนังสือนอกเวลาที่อ่านทั้งตอนเปิดเทอมและปิดเทอมด้วย ถ้าก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัยเราต้องอยู่กับหลายวิชาเพื่อทำให้ได้คะแนนสูงๆ จนไม่ได้อยู่กับภาษาอังกฤษเป็นพิเศษมาก่อน ช่วงปี 1 เทอมแรกและช่วงปิดเทอมเล็กนี่แหละที่เราต้องพัฒนาตัวเองค่ะ และหลายคนก็ใช้ช่วงเวลาแค่นี้พัฒนาตัวเองได้เยอะเลยด้วย

6. จบเอกอังกฤษแล้วพูดภาษาอังกฤษได้เหมือนฝรั่ง

     ก่อนอื่นต้องตีความก่อนว่า “พูดได้เหมือนฝรั่ง” หมายความว่าอะไร จะแปลว่าได้สำเนียงแบบฝรั่งเป๊ะ หรือพูดได้น้ำไหลไฟดับเหมือนเจ้าของภาษา จริงๆ แล้วไม่ใช่ว่าทุกคนที่จบเอกอังกฤษมาจะพูดสำเนียงบริติชหรืออเมริกันได้เป๊ะๆ นะคะ คนที่ได้เป๊ะจริงก็มี แต่อีกหลายคนก็ยังติดสำเนียงไทยบ้าง และก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะพูดได้คล่องเท่ากันค่ะ
     เรื่องแบบนี้ขึ้นกับตัวบุคคลด้วย เนื่องจากในคณะมีวิชาเรียนให้เลือกมากมาย ถ้าใครชอบด้านวรรณคดีและลงวิชาวรรณคดีเยอะๆ ส่วนวิชาที่เน้นทักษะพูดลงเรียนแค่ตัวที่เป็นวิชาบังคับเท่านั้นไม่ลงตัวอื่นเพิ่ม คนนี้ก็อาจจะพูดได้ไม่คล่องมาก แต่เขาอาจจะมีทักษะการเขียนที่เลิศเลอมากเลยก็ได้ นอกจากนี้การมีโอกาสพูดบ่อยๆ ก็เป็นอีกปัจจัยที่ช่วยให้บางคนพูดคล่องเป็นพิเศษ เช่นอาจจะไปปรึกษาพูดคุยกับอาจารย์ต่างชาติบ่อย หรือมีเพื่อนต่างชาติไว้พูดคุยด้วย ก็ทำให้มีความคล่องมากขึ้นได้ค่ะ

7. จบเอกอังกฤษต้องแปลออกหมดทุกคำ  

X

     นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่เข้าใจผิดกันไปใหญ่ จบเอกอังกฤษไม่ได้แปลว่าจะแปลศัพท์อังกฤษทุกคำออกหมดเหมือนกินพจนานุกรมเข้าไปนะคะ ทุกวันนี้เราก็ยังใช้พจนานุกรมกันอยู่ค่ะ แต่คนนอกมักคิดว่าเราแปลได้ทุกอย่างบนโลก อย่างพี่ที่ไม่เคยท่องศัพท์เลยก็ไม่รู้ศัพท์เยอะอยู่เหมือนกันค่ะ อ่านข่าวต่างประเทศบางทีก็เจอคำที่ต้องไปเสิร์ชหาอยู่ตลอด ศัพท์บางตัวที่เจอ 10 ทีแล้วยังจำคำแปลไม่ได้ก็มี แต่ส่วนมากทักษะที่เราเก่งกันคือการเดาความหมายจากบริบทรอบข้าง บางทีแปลคำนั้นตรงๆ ไม่ได้ แต่อ่านทั้งย่อหน้าแล้วก็ทำให้เดาได้ว่าคำนั้นน่าจะสื่อความประมาณไหน และมีความหมายแง่บวกหรือลบหรือยังไง เท่านี้ก็ทำให้อ่านรู้เรื่องโดยที่ไม่ต้องแปลออกครบทุกตัว

เอกอังกฤษเขาเรียนอะไรกัน

     แน่นอนว่าการเรียนเอกภาษาอังกฤษในประเทศที่ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่กับประเทศที่ภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาแม่ย่อมต่างกัน พี่พิซซ่าเลยเลือกตัวแทนหลักสูตรเอกภาษาอังกฤษมาเทียบกันจาก 4 ประเทศค่ะ คือ
 

      ประเทศไทย

ที่ใช้หลักสูตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นตัวแทน
      

เกาหลีใต้

ที่ใช้หลักสูตรของ Seoul National University เป็นตัวแทน
      

สหรัฐอเมริกา

ที่ใช้หลักสูตรของ University of California, Los Angeles เป็นตัวแทน
      และ

สหราชอาณาจักร

ที่ใช้หลักสูตรของ University of Cambridge เป็นตัวแทน

     สำหรับ

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

วิชาเอกภาษาอังกฤษเป็นวิชาเอกแบบเอก-โท แปลว่าเรียนวิชาเอกภาษาอังกฤษ 51 หน่วยกิต และต้องไปเรียนโทสาขาอื่นหรือคณะอื่นอีก 21 หน่วยกิต ซึ่งวิชาในเอกภาษาอังกฤษก็แบ่งเป็นวิชาบังคับ 24 หน่วยกิตหรือ 8 วิชา และวิชาเลือก 27 หน่วยกิตหรือ 9 วิชา แล้ววิชาเลือกในเอก 9 วิชานี้เนี่ย บังคับเป็นสายภาษา 3 วิชา สายวรรณคดี 3 วิชา และจะเลือกจากสายภาษาและ/หรือวรรณคดีก็ได้อีก 3 วิชาค่ะ จะเห็นว่าคนเรียนเอกอังกฤษเหมือนกันก็อาจถนัดและชอบไม่เหมือนกันก็ได้ อย่างพี่ที่ไม่ชอบอ่านวรรณกรรมเยอะๆ ตรงวิชาเลือกที่ให้เลือกฝั่งไหนก็ได้พี่ก็ลงสายภาษา เรียนการพูดกับการเขียนเพิ่มไปค่ะ

     สำหรับวิชาบังคับเอก 8 วิชานั้นมีทั้งสายภาษาและสายทักษะเท่าๆ กันอย่างละ 4 วิชา ได้แก่ ทักษะการพูดภาษาอังกฤษเชิงวิชาการ, เรียงความอังกฤษ 1, ทักษะการอ่านอังกฤษ, ระบบเสียงและโครงสร้างภาษาอังกฤษขั้นต้น, การศึกษาวรรณกรรมอังกฤษเบื้องต้น, การอ่านวิเคราะห์เพื่อการศึกษาวรรณกรรมอังกฤษ, ภูมิหลังของวรรณคดีอังกฤษ, และภูมิหลังของวรรณคดีอเมริกัน ถ้าถามว่าแล้วเรียนแกรมมาร์ตรงไหน แกรมมาร์สอดแทรกอยู่ในภาษาอังกฤษ 1 และ 2 ที่เป็นวิชาบังคับปี 1 ไปเรียบร้อยแล้วค่ะ
     เมื่อเข้าเอกแล้วก็เหมือนอย่างที่บอกไปว่า มีวิชาทั้งสายภาษาและวรรณคดีให้เลือกเรียนมากมาย ซึ่งหลายคนก็อยากเรียนเยอะเกินหน่วยกิตที่ต้องเรียนอีก ตัวอย่างวิชาสายภาษาก็เช่น English Business Writing, Translation: Thai – English I, Phonetics for English Pronunciation, และ Creative Writing ส่วนสายวรณคดีก็มีวิชาที่น่าเรียนมากมายเช่นกัน อาทิ Mythological and Biblical Background to English Literature, Drama from the Twentieth Century to the Present,  Literature and Film, หรือ Shakespeare สายวรรณคดีก็มีให้เลือกอีกว่าชอบเรียนร้อยแก้วหรือร้อยกรอง หรือชอบสไตล์งานยุคไหน หรือชอบทางอังกฤษหรืออเมริกันอีก ใครชอบอ่านนิยายน่าจะเลือกยาก

     ทีนี้ลองมาดู

เอกอังกฤษของมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล

กันบ้าง ที่นี่ก็เลือกเอกอังกฤษกันทีหลังเหมือนกันค่ะ แต่ของเขาจะดูทั้งเกรดเฉลี่ยรวม เกรดเฉลี่ยเฉพาะวิชาที่ต้องใช้เข้าเอก ผลสอบวัดระดับภาษาอังกฤษและข้อสอบสรุปความและแปลความระหว่างภาษาเกาหลีและอังกฤษ รวมไปถึงยังต้องเขียน study plan เพื่อเข้าเอกด้วย โดยวิชาเฉพาะที่ใช้เข้าเอกจะมี 3 ตัวคือ Introduction to English Linguistics, Introduction to English Literature และ The World of English Masterpieces มีทั้งตัวสายภาษาและสายวรรณคดีเหมือนของไทยเลย
     เมื่อเข้าเอกได้แล้วก็มีวิชาเอกให้เลือกเรียนทั้งสายภาษาและสายวรรณคดีไม่ต่างกัน เช่น English Grammar, English Composition, Structure of English, Applied English Linguistics และ History of English Language สำหรับสายภาษา หรือ 18th and 19th-Century English Novel, English Poetry 1, English Drama, หรือ English and American Literary Criticism สำหรับสายวรรณคดี

     จะเห็นว่าของไทยกับของเกาหลีมีลักษณะคล้ายกัน อาจจะเพราะเป็นหลักสูตรปกติในประเทศที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเหมือนกันด้วยก็ได้ โดยจะวัดความสามารถก่อนให้เข้าเอกเหมือนกัน และวิชาพื้นฐานที่ใช้เป็นคะแนนเข้าเอกก็จะเป็นวิชาวัดทักษะพื้นฐานทางภาษารวมถึงแกรมมาร์ด้วยค่ะ

     เอาล่ะ! มาดูของประเทศเจ้าของภาษากันบ้าง เริ่มจากของอเมริกาก่อนละกันนะคะ เพราะปริญญาตรีเรียน 4 ปีเหมือนบ้านเราค่ะ จะได้เห็นภาพง่ายๆ ส่วนปริญญาตรีของอังกฤษเรียน 3 ปี

     หลักสูตร

เอกภาษาอังกฤษของ UCLA

มีวิชาเตรียมก่อนเข้าเอกดังนี้
   – วิชา English Composition 3: English Composition, Rhetoric, and Language วิชาทักษะการเขียนขั้นสูงที่หากใครมีผลสอบ AP วิชาการเขียนมาแล้วก็ใช้แทนเกรดวิชานี้ได้
   – วิชา English 4W/4HW/4WS: Critical Reading and Writing วิชาที่เน้นทักษะการเขียนและการอ่านเชิงวิเคราะห์
   – กลุ่มวิชา English 10 (English 10A: Literatures in English to 1700; English 10B: Literatures in English, 1700-1850; English 10C: Literatures in English, 1850-Present) ทั้ง 3 วิชานี้ต้องเรียนทั้งปี เพื่อวัดความรู้ด้านวรรณคดี การอ่านและวิเคราะห์วรรณคดี และทักษะที่เกี่ยวข้อง
   
     นอกจากนี้ด้วยความที่ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักของประเทศอยู่แล้ว ทำให้มีข้อบังคับเพิ่มด้วยว่าเด็กเอกนี้ต้องได้ภาษาต่างประเทศอื่นๆ อีกอย่างน้อย 1 ภาษาในระดับ 5 (สูง) หรืออย่างน้อย 2 ภาษาในระดับ 3 (กลาง)
     เรามาดูกันต่อว่าพอเข้าเอกแล้ว เรียนอะไรกันอีกบ้าง? หลักสูตรของ UCLA จะบังคับให้เรียนวรรณคดีตามยุคสมัยอีก 4 วิชา วิชาละยุค และเรียนวรรณคดีตามธีมอีก 3 ตัว เช่น ธีมการศึกษาด้านเพศ ชาติพันธุ์ และความพิการ หรือธีมยุคหลังยุคล่าอาณานิคม นอกจากนี้ก็มีวิชาเลือกอีก 2 ตัว และมีวิชาสัมมนาทางวิชาการในชั้นปีสุดท้ายอีกตัวนึงค่ะ

     ส่วน

เอกภาษาอังกฤษของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์

นั้น จะแบ่งสไตล์การเรียนระหว่างปี 1-2 และปี 3 ที่เป็นปีสุดท้ายไว้ต่างกันค่ะ ช่วงปี 1-2 จะเน้นเรียนกว้างๆ แบบยังไม่ลงลึกมาก แต่เรียนด้านวรรณคดีล้วนๆ เลย โดยวิชาบังคับ 2 ตัวได้แก่ English Literature and its Contexts 1300-1550 และ Shakespeare จากนั้นก็มีวิชาบังคับเลือกอีก 4 จาก 5 ตัว ซึ่งก็คือยุคต่างๆ ของวรรณคดี นอกจากนี้ก็ต้องทำสารนิพนธ์อีก 2 ฉบับในธีมต่างๆ ที่สนใจเกี่ยวกับภาษาอังกฤษค่ะ
     ของปี 3 นั้นจะเรียนและทำรายงานวิชาบังคับ 2 ตัวคือ Practical Criticism และ Tragedy นอกจากนี้ก็ต้องทำวิทยานิพนธ์ 6,000-7,500 คำ 2 ฉบับ หรือจะเลือกทำวิทยานิพนธ์ 1 ฉบับ และทำสารนิพนธ์ที่บางกว่าอีก 2 ฉบับแทนก็ได้ ซึ่งธีมที่จะให้เลือกทำจะเปลี่ยนไปทุกปีการศึกษาค่ะ อย่างปีการศึกษานี้มีให้เลือก 14 หัวข้อ เช่น Shakespeare in Performance, Literature and Visual Culture และ Contemporary Writing in English

     จะเห็นว่าถ้าเป็นหลักสูตรเอกภาษาอังกฤษของประเทศเจ้าของภาษา จะไม่สอนเรื่องแกรมมาร์หรือทักษะฟังพูดอ่านเขียนระดับพื้นฐานอีก เริ่มต้นกันก็ที่การอ่านและเขียนในเชิงวิเคราะห์ระดับสูงเลย จากนั้นก็เน้นด้านวรรณคดีกันล้วนๆ ยิ่งถ้าเป็นของประเทศอังกฤษก็เน้นทำวิทยานิพนธ์กันตั้งแต่ปริญญาตรีเลยค่ะ เห็นแบบนี้แล้วนับถือนักศึกษาเคมบริดจ์เลยว่ามั้ย

    

วกกลับมาที่เรื่องการเข้าเอกภาษาอังกฤษในไทยของเรากันต่อ อย่างที่บอกไปค่ะว่ามันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะเข้า และการจบออกมาก็ไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ด้วยเช่นกัน ส่วนหลักสูตรเอกภาษาอังกฤษของไทยก็ออกแบบมาให้เหมาะกับคนไทยและการนำไปต่อยอดแล้ว ใครอยากเรียนเพื่อทำงานเกี่ยวกับภาษาก็มีวิชาสายภาษาให้เลือก แต่ถ้าใครอยากไปเรียนต่อด้านวรรณคดีโดยเฉพาะก็มีวิชาด้านวรรณคดีให้เลือกมากมายเช่นกัน บทความนี้ก็น่าจะคลายข้อสงสัยต่างๆ เกี่ยวกับการเรียนเอกภาษาอังกฤษได้ไม่มากก็น้อยนะคะ


การปรับตัวมาอยู่อังกฤษ!!! #ปรับตัวอย่างไร#อังกฤษ#ภาษา #อากาศ


ปรับตัวอย่างไรมาอยู่อังกฤษ

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูเพิ่มเติม

การปรับตัวมาอยู่อังกฤษ!!! #ปรับตัวอย่างไร#อังกฤษ#ภาษา #อากาศ

เปิดหัวใจ ไขเรื่องลับๆ ท๊อป BITKUB ซีอีโอหมื่นล้านแห่งจักรวาลการเงินออนไลน์


รีวิวความเป็นซีอีโอหมื่นล้าน แห่งจักรวาลการเงินออนไลน์ ท๊อป จิรายุส Topp Jirayut CEO Bitkub คุยรอบนี้ไม่ได้มีแต่เรื่องงาน แต่ยังมาเปิดหัวใจ ไขเรื่องลับๆ และเผย ชีวิตส่วนตัวท๊อปจิรายุส เขา เป็นคนง่ายง่าย จริงไหม ติดดินกินข้าวแกง ได้หรือเปล่า ต้องไปฟัง!

เปิดหัวใจ ไขเรื่องลับๆ ท๊อป BITKUB ซีอีโอหมื่นล้านแห่งจักรวาลการเงินออนไลน์

ทำไม Binance ยกเลิกบริการภาษาไทย กระทบใครบ้าง?


ถามทันที คริปโต ทำไม Binance ยกเลิกบริการภาษาไทย แล้วกระทบใครบ้าง?
ถามอีก กับ พี่บิท คุณศุภกฤษฎ์ บุญสาตร์ นายกสมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย bitcast
และพี่ซันเจ คุณสัญชัย ปอปลี Cofounder, Cryptomind Asset CEO
โดย อิก บรรพต ธนาเพิ่มสุข, AFPT ที่ปรึกษาการเงิน
สัมภาษณ์วันที่ 13 พ.ย. 2564

ทุกเรื่องที่นักลงทุนต้องรู้ ติดตามกันได้ในทุกช่องทางคร้าบ:
Youtube: http://bit.ly/TAMEIG_Youtube
Clubhouse: https://bit.ly/3mmJgVA
Line Official: http://bit.ly/TAMEIG_LINE
Twitter: https://bit.ly/2UFAczy

ทำไม Binance ยกเลิกบริการภาษาไทย กระทบใครบ้าง?

ทำในสิ่งที่ คนอื่นไม่ทำ Ep.246(@พศ ลายเซ็น Phot Signature )


ลายเซ็นทีดี ต้องมีการคิดการทำทีพัฒนาตนเองเช่นการลงมือทำ ในขณะที่คนอื่นผลัดวันประกันพรุ่งหรือการวางแผนในขณะที่คนอื่นขอพรภาวนาฯลฯแบบนี้แล้วท่านจะประสบความสำเร็จนั่นเองครับ(@พศ ลายเซ็น Phot Signature )

ทำในสิ่งที่ คนอื่นไม่ทำ Ep.246(@พศ ลายเซ็น Phot Signature )

อย่าเอากูไปเทียบกับใคร – Am seatwo (cover version) Original : มะเดี่ยวศรี นักเลงไมค์


ขอบคุณต้นฉบับ
เพลง : อย่าเอากูไปเทียบกับใคร
ศิลปิน : มะเดี่ยวศรี นักเลงไมค์
ฉบับ cover
อย่าเอากูไปเทียบกับใคร : Am Seatwo
——————————————————————————
Producer : พ็อก บิ๊กอายส์
——————————————
ขออนุญาตหยิบยกเพลงนี้ขึ้นมา cover คับ

ขอบคุณสถานที่ ร้าน coffee dept คอฟฟี่ เดปท์ : https://www.facebook.com/CoffeeDeptSongkha
ติดตามความเคลื่อนไหว

Facebook Amseatwo : https://bit.ly/2SXnL0a​​​
เพจ Amseatwo : https://bit.ly/2EkzOKT​​​

ถ่ายทำและตัดต่อ : seatwo Production

ติดต่องาน : 0851935454 (คุณแยม)

0825391496 (คุณกอล์ฟ)

อย่าเอากูไปเทียบกับใคร - Am seatwo  (cover version) Original : มะเดี่ยวศรี นักเลงไมค์

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูวิธีอื่นๆMAKE MONEY ONLINE

ขอบคุณมากสำหรับการดูหัวข้อโพสต์ ปรับตัวเข้ากับผู้อื่น ภาษาอังกฤษ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *