Skip to content
Home » [NEW] ภาษาอังกฤษ พต21001 ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น-Flip eBook Pages 101 – 150 | แบบฝึกหัดการเติม s es ies หลังคํากริยา – NATAVIGUIDES

[NEW] ภาษาอังกฤษ พต21001 ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น-Flip eBook Pages 101 – 150 | แบบฝึกหัดการเติม s es ies หลังคํากริยา – NATAVIGUIDES

แบบฝึกหัดการเติม s es ies หลังคํากริยา: นี่คือโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้

93

4. Pimchai : __________________ What are you doing here?
Amara : I’m going to withdraw some money.

a. Good morning.
b. Excuse me,
c. Thanks.
d. Hi.

5. Pimchai : That’s a very kind of you. Thanks a lot.
Amara : _____________________________________

a. You’re welcome.
b. Don’t mention it.
c. See you soon.
d. Thanks.

6. Miss Kaewta : Why are you so late?
Anus : _______________ I had an accident.

a. All right.
b. Good morning.
c. Excuse me,
d. I’m sorry.

94

7. Anus : Would you mind if I close the window?
Amara : ______________________________

a. I wish I could but I can’t.
b. I’m afraid I can’t.
c. I’m afraid you can’t.
d. I’m sorry.

8. A : Could you buy a cup of coffee for me?
B : ______________________________

a. Thank you.
b. Not at all.
c. That’s O.K.
d. With pleasure.

9. Wittaya : ________________ I forget to tell you about that.
Pong : Don’t worry.

a. Excuse me.
b. I’m sorry.
c. Alright.
d. Certainly.

95

10. Miss Babara : I apologize for not informing you about that case.
Boss : ______________________________

a. Certainly.
b. Of course.
c. With pleasure.
d. Don’t worry about it

96

บทท่ี 4
รปู แบบประโยคในภาษาองั กฤษ
(Types of English Sentence)

สาระสาํ คัญ

การสือ่ สารภาษาองั กฤษจะเนน ทกั ษะทง้ั ดานการฟง การพูด การอานและการเขียน การฟง
การพูด การอานและการเขียนท่ีดีจะเกี่ยวของโดยตรงกับการใชแบบแผนทางไวยากรณที่ถูกตอง
เชน การใช Tense (กาล) Adverb of Time (วิเศษณบอกเวลา) เปนตน จะชวยใหสามารถส่ือสาร
เรื่องราวตาง ๆ ไดอ ยา งมปี ระสิทธภิ าพ

รปู แบบประโยคในภาษาองั กฤษ (Type of English Sentence) ที่ใชในการฟง พูด อาน เขียน
สามารถแบงตามวตั ถุประสงคข องการใชได 5 ชนิด และแบงตามหลกั ไวยากรณได 4 ประเภท

ผลการเรยี นรทู ี่คาดหวัง

เพ่ือใหผูเรียนรูจักและเขาใจลักษณะของประโยคในภาษาอังกฤษตามวัตถุประสงคของ
การใช ไดแก ประโยคบอกเลา ประโยคคาํ ถาม ประโยคปฏิเสธ ประโยคคาํ สั่ง ประโยคอุทาน
และสามารถนาํ ไปใชใ นชวี ติ ประจาํ วันได รวมทงั้ ทราบลกั ษณะของประโยคความรวม (Compound
Sentence)

ขอบขายเนอ้ื หา ชนดิ ของประโยคภาษาอังกฤษท่ีใชในการส่ือสาร (Types of English Sentence for
Communication)
เรอื่ งท่ี 1 ประโยคความรวม (Compound Sentence)

เร่อื งที่ 2

97

เรื่องที่ 1 ชนดิ ของประโยคภาษาอังกฤษที่ใชในการสื่อสาร
(Types of English Sentence for Communication)

ประโยคในภาษาอังกฤษสามารถแบงออกตามวตั ถปุ ระสงคข องการใชไดเ ปน 6 ชนิด คือ
1. ประโยคบอกเลา (Affirmative Statement or Dedication Sentence) คอื ประโยคท่ีใชใ น
การสื่อสารเร่ืองราว ขาวสาร ขอคิดเห็นตา ง ๆ ในชวี ิตประจาํ วัน ประกอบดว ย ประธาน (Subject)
และกริยา (Verb) ซ่ึงอาจจะมีกรรม (Object) หรือสว นขยาย (Complement) ดว ยกไ็ ด

ตวั อยา ง ประธาน + กริยา + กรรม Complement
(Subject) (Verb) (Object) every Sunday.
Subject = S Object = O
I Verb = V
 She sing a letter.
 He cries
 They writes
walk

ในประโยคบอกเลา การกระจายกริยาตองเปนไปตามประธาน (Subject) และกาล (Tense)
ท่บี อกเลาเรื่องนน้ั

2. ประโยคคําถาม (Question sentence) เปนประโยคที่ใชถามเพ่ือตองการคําตอบจาก
ผูที่เราสนทนาดว ย ประโยคคาํ ถามมี 4 ชนิด คือ

(1) ประโยคคําถามที่ข้ึนตนดวยกริยาชวย (Yes – no question) เปนประโยคที่ตองการ
คาํ ตอบวา Yes (ใช) หรือ No (ไมใช) เทานัน้ ประโยคคาํ ถามประเภทน้ีตอ งขนึ้ ตน ประโยคดวยกริยาชว ย

98

การทาํ ประโยคคาํ ถามแบบ Yes-no question น้ีทาํ จากประโยคบอกเลาธรรมดา

(Affirmative sentence) โดยเอากรยิ าชวย (Helping Verb) มาไวข า งหนา ไดแ ก Verb to be, will, have

ถาประโยคใดไมม ีกริยาชว ยใหใช Verb to do โดยกระจายรูปกรยิ าชวยใหถ กู ตองตามประธาน และ

ทํากรยิ าแทใ หอยใู นรปู เดมิ ที่ไมต อ งเติม s หรอื es แลวลงทายประโยคดว ยเคร่ืองหมายคาํ ถาม

(Question mark) ดงั ตัวอยา งตอ ไปนี้

ประโยคบอกเลา ประโยคคําถาม

 She is your teacher.  Is she your teacher?

(เธอเปน ครูของคณุ ) (เธอเปนครูของคณุ ใชไ หม)

 He likes you.  Does he like you?

(เขาชอบคุณ) (เขาชอบคุณหรอื เปลา )

 They buy air ticket.  Do they buy air ticket?

(เขาซ้ือตว๋ั เครอ่ื งบนิ ) (เขาซื้อตวั๋ เคร่ืองบินใชไหม)

(2) ประโยคท่ีข้ึนตนดวยคําที่เปนคําถาม (Question word question) คือ ประโยคท่ี
ขน้ึ ตน ดว ยคําท่ีเปนคําถาม ไดแก what (อะไร), when (เม่ือไหร), where (ท่ีไหน), who (ใคร), whom
(ถึง, แกใคร), whose (ของใคร), which (อนั ไหน/สงิ่ ไหน), why (ทําไม), how (อยา งไร)

ในการต้ังคําถามดวยคําเหลานี้ สวนใหญจะตองตามดวยกริยาชวย ยกเวน who
ตามดว ยกรยิ าแท และ whose ตามดว ยคํานาม สวน which ตามดวยคํานามทเ่ี ปนกรรมหรือกริยาชวย
ขอใหศกึ ษารายละเอยี ดการใชคาํ ทเ่ี ปน คาํ ถาม (Question word question) แตล ะตวั ดงั ตอ ไปนี้

99

1. What อา นวา วอท แปลวา อะไร ใชถ ามเกีย่ วกบั คน สตั ว สิ่งของ เชน

ประโยค ตอบแบบสน้ั ตอบแบบยาว

(Short form) (Long form)

 What is in the cage? A bird. A bird is in the cage.

(อะไรอยูในกรง) (นกตัวหนึง่ )

 What are you reading? A newspaper. I am reading a newspaper.

(คณุ กําลงั อานอะไรอย)ู (หนงั สือพมิ พฉบบั หนึ่ง)

 What is your father? A doctor. He is a doctor.

(พอของคุณเปน (อาชพี ) (หมอคนหน่งึ )

อะไร)

2. Where อา นวา แวร แปลวา ที่ไหน ใชถ ามสถานที่ เชน

ประโยค ตอบแบบส้นั ตอบแบบยาว
(Long form)
(Short form) I live in Phuket.

 Where do you live? In Phuket. I will go to the market

(คณุ อาศยั อยูทใ่ี ด) (ในจงั หวดั ภูเก็ต) Thedogisunderthe tree.

 Where will you go? To the market.

(คุณจะไปไหน) (ไปตลาด)

 Where is the dog? Under the tree.

(สุนขั อยทู ี่ไหน) (ใตตนไม)

100

3. When อา นวา เวน แปลวา เม่ือไร ใชถามเกย่ี วกบั เวลา เชน

ประโยค ตอบแบบส้ัน ตอบแบบยาว
(Long form)
(Short form) I will go home at
four o’clock.
 When will you go home? At four o’clock.
My uncle will visits
(คณุ จะกลับบา นเมอ่ื ไร) (สี่โมง) next year.
 When will your uncle Next year.

Visit you? (ปห นา)
(ลุงของคณุ มาเยยี่ มคุณเมื่อไร)

4. Who อา นวา ฮู แปลวา ใคร ใชถ ามบคุ คล เชน

ประโยค ตอบแบบสัน้ ตอบแบบยาว

(Short form) (Long form)

 Who is that man? George Smith. That man is George Smith.

(ผชู ายคนนน้ั เปน ใคร) (จอรจ สมิธ)

 Who wants to go Boonchu and Chalerm. Boonchu and Chalerm

home now? want to go home.

(ใครอยากจะกลบั บา น (บญุ ชูและเฉลมิ )

ตอนนบ้ี า ง)

101

5. Why อานวา วาย แปลวา ทาํ ไม ใชถ ามเมอ่ื ตองการถามถงึ เหตุผล เชน

ประโยค ตอบแบบสนั้ ตอบแบบยาว

(Short form) (Long form)

 Why do you go to To buy a book. I go to the book

the book store? store to buy a book.

(คุณไปรา นขาย (ซอ้ื หนงั สือ)

หนงั สอื ทําไม)

 Why are you late? Because the traffic I am late

is heavy. Because the traffic

is heavy.

(ทําไมคุณมาสาย) (เพราะรถติด)

6.Which อา นวา วิช แปลวา ตวั ไหนอนั ไหน หรือเปน การไถถามใหเ ลอื กอยา งใดอยางหนึ่ง เชน

ประโยค ตอบแบบสน้ั ตอบแบบยาว

(Short form) (Long form)

 Which work do you A teacher. I prefer a teacher.

prefer, a teacher or a soldier?

(คุณชอบทํางานอะไร (คร)ู

ครูหรือทหาร)

 Which school do you go? Satri Phuket School. I go to Satri Phuket

School.

(คุณจะไปโรงเรียนไหน) (โรงเรยี นสตรภี เู กต็ )

102

7. How อานวา ฮาว แปลวา อยา งไร ใชใ นความหมายท่ตี า งกัน ดงั น้ี

How ใชถามลกั ษณะอาการ วธิ กี ารคมนาคม การใชเครอ่ื งมือตา ง ๆ เชน

ประโยค ตอบแบบส้ัน ตอบแบบยาว

(Short form) (Long form)

 How do you go to By bus. I go to Suan

Suan Chatuchak? Chatuchak by bus.

คณุ จะไปสวนจตจุ กั ร (นงั่ รถโดยสารประจาํ ทางไป)

อยางไร)

 How is Wasana? Very nice. She is very nice.

(วาสนาเปน อยา งไรบา ง) (ดมี าก)

 How are you? Fine, thank you. And you? I am fine, thank you.

And you?

(คุณเปน อยา งไรบา ง) (สบายดี ขอบคุณ แลว คณุ ละ)

How long ใชถ ามเก่ยี วกบั ระยะเวลาวา นานเทา ใด เชน

ประโยค ตอบแบบสน้ั ตอบแบบยาว
(Long form)
(Short form) It’s half an hour by taxi.

 How long does it take About half an hour by taxi.

from Sanamluang

to Victory Monument?

(จากสนามหลวงไป (ประมาณคร่งึ ชว่ั โมง

อนุสาวรียช ัยสมรภมู ิ โดยรถรับจา ง)

ใชเวลานานเทา ไร)

103

How often ใชถ ามเก่ยี วกับความถ่ี เชน

ประโยค ตอบแบบส้ัน ตอบแบบยาว

(Short form) (Long form)

 How often does Once a week. He sees her once a week.

he see her?

(เขามาหาเธอบอ ยเพยี งไร) (สปั ดาหล ะครงั้ )

How many ใชถามจํานวนมากนอ ยเทา ใด (คํานามนบั ได) เชน

ประโยค ตอบแบบสนั้ ตอบแบบยาว

(Short form) (Long form)

 How many books Two books. I read two books.

do you read?

(คุณอานหนงั สอื มากเทาไร) (สองเลม)

How far ใชถามระยะทางวา ไกลเทา ไร เชน

ประโยค ตอบแบบส้ัน ตอบแบบยาว

(Short form) (Long form)

 How far is it from About 850 Kilometers. It is about 850 Kilometers.

here to Bangkok?

(จากทน่ี ไี่ ปกรงุ เทพฯ (ประมาณ 850 กิโลเมตร)

ไกลแคไ หน)

104

How old ใชถามอายุ เชน ตอบแบบสน้ั ตอบแบบยาว
ประโยค (Short form) (Long form)
Twenty years old. I am twenty years old.
 How old are you? (ยส่ี บิ ป)
(คุณอายเุ ทา ไหร )

How about ใชถามความคดิ เหน็ เกย่ี วกบั สง่ิ ตาง ๆ เชน

ประโยค ตอบแบบสน้ั ตอบแบบยาว
(Long form)
(Short form) It is very good.

 How about the cinema? Very good

(ภาพยนตรเปน อยา งไรบา ง) (ดมี าก)

How high ใชถ ามความสูงของส่งิ ของทม่ี ีความสงู มาก ๆ เชน อาคาร ภูเขา เชน

ประโยค ตอบแบบสน้ั ตอบแบบยาว

(Short form) (Long form)

 How high is that building? Fifty feet. It is fifty feet high.

(อาคารหลงั นนั้ สูงเทา ไร) (สูง 50 ฟตุ )

 How tall are you? Six feet. I am six feet tall.

(คณุ สงู เทา ไร) (สูง 6 ฟตุ )

105

การตง้ั คาํ ถาม
ขอใหนักศึกษาสังเกตวาการใช Question words มาต้ังเปนประโยคคําถามน้ัน

Question words จะอยขู า งหนา ประโยค ตามดว ยกรยิ าชวย ประธาน กริยาแท กรรมและสวนขยาย
ตามโครงสรางประโยค ดังนี้

Example (ตวั อยา ง) do you go to Suan Chatuchak?
 How do you live? home?
 Where will you go
 When is that man? to the book store?
 Who are you reading?
 What do you go
 Why

Question words บางคําสามารถตามดวยกริยาแท (Verb) ไดเลย หากคําถามน้ันถามถึง
ประธาน (Subject) ของประโยค ซ่ึงมโี ครงสรา งดังน้ี

Example (ตัวอยา ง)

 What is – in the case?
now?
 Who wants to go home

What ในคาํ ถามแรกถามถึงประธานของประโยคซงึ่ เปนสัตว จึงใชคาํ วา What สวน Who
ใชถามสําหรับคนเทา นน้ั

สําหรับคาํ วา Which เปนคาํ ถามเก่ียวกับลักษณะใหเลือกตอบ แปลวาอันไหน ตัวไหน
จึงตองตามดวยคาํ นามหรือสรรพนามเสมอ แลวตามดวยกริยาชวย ประธาน กริยาแท กรรมและ
สว นขยาย มีโครงสรา งดงั นี้

106

Example (ตัวอยา ง)
 Which work do you prefer, a teacher or a soldier?
 Which school do you go?
 Which one do you like?
 Which one does he want?
สวนคาํ วา How สามารถตามตัวดวยคําคุณศัพท (Adjective) เพ่ือถามลักษณะตาง ๆ

ได มโี ครงสรา ง ดังนี้

Example (ตัวอยา ง)
 How long does it take from Sanamluang to Victory Monument?
 How often does he see her?
 How far is it from here to Bangkok?
 How old are you?
 How high is that building?

ถาถามถึงจาํ นวนหรอื ปรมิ าณจะใช How many สําหรบั ส่งิ ท่ีนบั ได และ How much สําหรับ
ส่งิ ทนี่ บั ไมได เชน

 How many boys are there in this village?
(ในหมบู านนม้ี ีเดก็ ผชู ายกีค่ น)

 How much sugar do you want?
(คณุ ตอ งการนาํ้ ตาลเทา ไร)

 How much coffee does he drink every day?
(เขาด่มื กาแฟมากเทาใดใน 1 วัน)

 How many birds are there in that case?
(ในกรงนัน้ มีนกก่ตี วั )

107

สําหรับการถามราคาจะใชคาํ ถามวา How much does it cost? เสมอ

(3) ประโยคคําถามทล่ี งทา ยดวยวลบี อกเลา หรอื ปฏิเสธที่เปน คําถาม (Question Tags)

เปนประโยคคาํ ถามทมี่ ักจะใชในภาษาพูดหรือบทสนทนาซึ่งผถู ามทราบคาํ ตอบอยูแลว แตต องการยนื ยัน

โดยจะพูดเปนประโยคบอกเลากอนและลงทายดวยกริยาชวยและประธาน ถาประโยคหนาเปน

ประโยคบอกเลา ธรรมดา จะลงทา ยดว ยวลปี ฏเิ สธ แตถ าประโยคหนา เปน ประโยคปฏิเสธ จะลงทา ยดว ย

วลบี อกเลา

(ตัวอยา ง)

 You are interested in English, aren’t you?

(คณุ สนใจภาษาองั กฤษใชไ หม)

 She doesn’t like to walk to school, does she?

(เธอไมช อบเดนิ ไปโรงเรียนใชไหม)

 Sommai and Suchart can’t attend the class today, can they?

(สมหมายและสชุ าติมาเรยี นวนั นี้ไมไดใชไ หม)

 You should come and do the examination next week, shouldn’t you?

(คณุ จะตอ งมาและเขา สอบสปั ดาหห นา ใชไ หม)

วลีปฏเิ สธทนี่ าํ มาลงทา ยประโยคเพือ่ เปนคาํ ถามจะใชในรูปตัวอยา ง เชน

do not you don’t you

will not you won’t you

shall not we shan’t we

am I not aren’t I

(4) ประโยคคําถามแบบลดรูป (Reduced question) คือ คําวลี หรือประโยคที่
ไมส มบรู ณ ซึง่ ลดรูปมาจากประโยคคําถามทีข่ ้ึนตนดวยกริยาชวย (Yes-no question) สวนมากจะใช
ในการสนทนาของผูท่ีมคี วามสนิทสนมคุนเคยกนั เปน พเิ ศษ

108

(ตัวอยา ง) O.K.? Are you O.K.?

 เห็นดว ยไหม, สบายดีไหม

 Any question? Do you have any question?

 อยากถามอะไรหรอื เปลา , สงสยั อะไรหรอื เปลา

 Anything else? Do you want anything else?

เอาอะไรอกี ไหม

Tea or coffee? Would you like tea or coffee?

จะดม่ื ชาหรือกาแฟ

3. ประโยคปฏเิ สธ (Negative Sentence) คือประโยคบอกเลา ทม่ี คี าํ หรือวลที ม่ี ีความหมายใน
เชงิ ปฏเิ สธอยใู นประโยค ซึ่งจะเปนคํากรยิ าวเิ ศษณ (Adverb) เชน not, never, hardly, scarcely, rarely
เปน ตน หรอื คาํ สรรพนามแสดงการปฏเิ สธ เชน no one, nobody, none, no, nothing เปนตน
(ตวั อยา ง)

 Nobody told me to go there on Sunday.
(ไมมใี ครบอกใหฉ นั ไปทนี่ นั่ ในวนั อาทิตย)

 I don’t want to attend the class today.
(ฉนั ไมอ ยากไปเรยี นวนั น้เี ลย)

 This subject is not difficult for us.
(วิชานไ้ี มย ากเลย)

 Nothing is worrying, you will pass the examination.
(ไมต อ งหว ง คณุ คงจะสอบผา น)

109

วธิ กี ารทาํ ประโยคบอกเลาใหเ ปนประโยคปฏิเสธ ทําได 2 แบบ คอื
1. เตมิ คาํ วา not ไปขา งหลังกรยิ าชว ย (Helping or Auxiliary Verb) ในประโยค บอกเลา
(Affirmative Sentence)

(ตวั อยาง)
 I will not go to school tomorrow.
(พรุงนฉ้ี นั จะไมไปโรงเรียน)
 She doesn’t like cats.
(เธอไมช อบแมว)

สังเกตวิธีการทําประโยคบอกเลาใหเปนประโยคปฏิเสธ จะใชหลักเดียวกันกับวิธีทําประโยค
บอกเลาใหเปนประโยคคําถาม คือ ถาประโยคใดมีกริยาชวยอยูใหเติมคําวา “not” (ไม) เขาไปหลัง
กรยิ าชวย แตถาประโยคใดไมมีกริยาชวยใหเติม “Verb to do” ไปหนากริยาแท หรือกริยาหลัก
โดยกระจายใหถ ูกบรุ ษุ เพศ พจนแ ละกาล

ประโยคปฏเิ สธ กรยิ าชว ยท่ีแสดงการปฏเิ สธสามารถใชในรูปยอ ได คอื

do not don’t

does not doesn’t

have not haven’t

has not hasn’t

am not ไมมกี ารยอ

is not isn’t

are not aren’t

shall not shan’t

will not won’t

cannot can’t

110

กรยิ าชวย “can” (สามารถ) เมือ่ เติมคําวา “not” เขา ไปจะเขียนตดิ กันเปน cannot
คํากริยาชวยตัวใดทําหนาท่ีเปนกริยาแท เชน have (กิน,มี) do (ทํา) เวลาทําเปนประโยค
ปฏเิ สธ ตองใชกรยิ าชว ย Verb to do เชนเดียวกัน

4. ประโยคคําสั่ง (Imperative or Order sentence) เปนประโยคที่บอกใหทําหรือ
ขอรอ งใหทําตามท่ีผูนั้นบอก ซึ่งผูท่ีรับคําสั่งคือผูที่คนส่ังพูดดวย ซ่ึงคนท่ีจะส่ังจะเปนบุรุษ ท่ี 1 คือ
ผพู ดู (I หรือ We) สว นคนท่ีถกู ส่งั จะเปนบรุ ษุ ท่ี 2 (You) เมอื่ เปน ประโยคคําสั่งจะตดั ประธาน (You)
ออก ประโยคคาํ ส่ังตองขนึ้ ตนดวยคาํ กรยิ าชองที่ 1 เสมอ ซึ่งอาจจะเปนรปู บอกเลา หรือปฏเิ สธกไ็ ด

(ตัวอยา ง)

 Don’t walk on the lawn! หามเดินในสนาม
 Enter your personal code. ใสร หัสสวนตวั ของทา น
 Sit down here! นัง่ ตรงน้ี
 Follow me! ตามฉันมา

วิธกี ารทําประโยคคาํ สงั่ Object + Complement
Verb + (กรรม) (สว นขยาย)
(กริยา)

ประโยคคาํ ส่ังจะเปนประโยคท่ีสรรพนามบุรุษที่ 2 (You) เปนประธานและอยูในรูป
ปจจบุ นั กาลธรรมดา (Present Simple Tense) เสมอ เพราะการที่จะสงั่ หรอื ขอรองใหใ ครทํา อะไรจะ
พดู หรอื บอกใหท าํ หรอื ไมท ําในขณะทพี่ ดู นน้ั

111

การทาํ ประโยคคาํ สง่ั จะมาจากประโยคบอกเลา (Affirmative Sentence) โดยตัด ประธานออก
(ตัวอยา ง)

ประโยคบอกเลา ประโยคคาํ สง่ั

(Affirmative Sentence) (Imperative or Order sentence)
 You follow me.  Follow me.

(คุณตามฉนั มา) (ตามฉันมา)
 You sit down here.  Sit down here.

(คณุ นั่งลงตรงน)้ี (น่ังลงตรงน)ี้
 You don’t walk on the lawn.  Don’t walk on the lawn.

(คณุ ไมเ ดนิ บนสนามหญา ) (อยา เดนิ บนสนามหญา )
 You turn a little bit left.  Turn a little bit left.

(คุณเขยิบไปทางซา ยอีกสกั นดิ ) (เขยบิ ไปทางซา ยอกี สกั นิด)

5. ประโยคอุทาน (Exclamatory sentence) คือประโยคท่ีใชแสดงความรูสึกและอารมณ
เชน เสียใจ ดีใจ เปน ตน ใชไดทงั้ ประโยคเตม็ รูปและลดรปู

(1) ประโยคอุทานเต็มรูป จะขึ้นตนดวยคําท่ีเปนคําถาม (Question word)
how (อยางไร) และ what (อะไร) ถาขึ้นตนดวย How จะตามดวยคําคุณศัพท (Adjective) หรือ
คํากริยา วิเศษณ (Adverb) แลวตามดวยประธาน (Subject) และกริยา (Verb) ซึ่งอาจจะมีสวนขยาย
(Complement) ดว ยก็ได สว นประโยคท่ีข้นึ ตนดว ย What จะตามดวยนามวลี (Noun phrase) แลว ตาม
ดว ยประธาน (Subject) และกรยิ า (Verb)

112

How + Adjective + Subject + Verb + Complement

(คําคุณศัพท) (ประธาน) (กรยิ า) (สวนขยาย)

Adverb

(คํากรยิ าวเิ ศษณ)

What + Noun phrase + Subject + Verb

(นามวล)ี (ประธาน) (กรยิ า)

เชน

 How beautiful she is! เธอชา งสวยอะไรเชน น้ี

 How fluently he can speak English! เขาชา งพูดภาษาอังกฤษคลอ งอะไรเชน นี้

 What a healthy man he is! เขาชา งเปน คนแข็งแรงอะไรเชน น้ี

 What a wonderful girl she is! เธอชา งเปนเด็กมหัศจรรยอะไรอยา งน้ี

(2) ประโยคอุทานลดรูป เปนประโยคที่ตัดประธาน (Subject) และกริยา (Verb)

รวมท้งั สว นขยาย (Complement) ออก

เชน

 How beautiful! สวยจรงิ ๆ

 How fluently! พูดคลองจรงิ ๆ

 What a healthy man! ชา งเปน คนทแ่ี ขง็ แรงจรงิ ๆ

 What a wonderful girl! ชา งเปนเด็กมหัศจรรยอ ะไรเชน นี้

113

กิจกรรม

ใหผูเ รยี นทบทวนความรูในบทนี้ แลว ทาํ แบบฝกหัดตอ ไปน้ี

Exercise 1
Change these sentences into question (Q) and negative (N) sentences.

1. I’ll meet you tonight.
Q : ___________________________________________________
N : ___________________________________________________

2. He planted flowers of different kinds.
Q : ___________________________________________________
N : ___________________________________________________

3. She kepts her secret very well.
Q : ___________________________________________________
N : ___________________________________________________

4. They sang and played the guitar.
Q : ___________________________________________________
N : ___________________________________________________

5. He borrowed books from the library.
Q : ___________________________________________________
N : ___________________________________________________

114

6. She can speak English.
Q : ___________________________________________________
N : ___________________________________________________

7. The World Trade building had collapsed.
Q : ___________________________________________________
N : ___________________________________________________

8. The boy is sneezing.
Q : ___________________________________________________
N : ___________________________________________________

9. He works hard everyday.
Q : ___________________________________________________
N : ___________________________________________________

10. Pom must invite Toom to her party.
Q : ___________________________________________________
N : ___________________________________________________

115

Exercise 2 Make imperative sentence from these words.

1. work/harder
___________________________________________________

2. not close/the door
___________________________________________________

3. read/loudly
___________________________________________________

4. not smoke/in this room
___________________________________________________

5. shut/the window
___________________________________________________

6. visit/your parent
___________________________________________________

7. do/your homework
___________________________________________________

8. give/me/that pencil
___________________________________________________

116

9. cook/Thai salad
___________________________________________________

10. turn/the light/off
___________________________________________________

Exercise 3 Make explanative sentences by the words given.

1. you/clever
___________________________________________________

2. she/intelligent
___________________________________________________

3. he/talkative
___________________________________________________

4. we/wise
___________________________________________________

5. you/lazy
___________________________________________________

6. it/fearful
___________________________________________________

117

7. they/funny
___________________________________________________

8. I/lovely
___________________________________________________

9. he/happy
___________________________________________________

10. she/nice
___________________________________________________

เร่อื งท่ี 2 ประโยคความรวม (Compound Sentence)

ประโยค (Sentence) หมายถงึ กลมุ คาํ ทป่ี ระกอบดว ยภาคประธาน ภาคแสดงและภาคขยายที่
เรียงประกอบเขาดว ยกนั อยา งเปนระเบียบ โดยแสดงขอความทม่ี ีความหมายอยางใดอยางหนงึ่

ประโยคพื้นฐานในภาษาอังกฤษ มี 4 ชนิด คือ Simple Sentence, Compound Sentence,
Complex Sentence และ Compound – Complex Sentence

ในระดับมัธยมศึกษาตอนตน จะศึกษารูปประโยค Compound Sentence หรือประโยค
ความรวม แตกอนท่ีจะเรียนรายละเอียดเร่ืองรูปประโยค Compound Sentence เรามาทบทวนรูป
ประโยค Simple Sentence กนั กอน

118

ประโยคความเดียวหรือเอกัตถประโยค (Simple Sentence) หมายถึงประโยคท่ีแสดง
ขอความทพ่ี ดู ซึ่งมีความเดยี ว ไมก าํ กวม สามารถเขาใจไดงาย

ยกตัวอยา งเชน

 He is a boy.

 Suda walks to school.

 I sit on a chair.

ประโยคความเดียว (Simple Sentence) จะมีประธานและกริยาเพียงตวั เดียว ประกอบดวย

ภาคประธาน (Subject) คือสวนทเี่ ปนประธานของประโยค และภาคแสดง (Predicate) คือสวนท่ีเปน

กริยาและสว นขยายอ่ืน ๆ

ภาคประธาน ภาคกริยา

(Subject) (Predicate)

 The birds sing.

 The mob move down the street.

 It rained heavily in Bangkok.

 He sent her a bouquet of flowers.

สําหรับประโยคความรวมหรือเอกัตถประโยค (Compound Sentence) หมายถึง ประโยค

ท่ีมีขอความ 2 ขอความ มารวมกันแลวเช่ือมดวยคําสันธาน (Conjunction หรือตัวเชื่อมประสาน)

ไดแก and (และ), or (หรือ), but (แต), so (ดังนั้น), still (ยังคง), yet (แลว) etc. และ Conjunctive

Adverb (คํากริยาวิเศษณเชื่อม) ไดแก however (อยางไรก็ตาม), meanwhile (ในขณะท่ี), therefore

(ดังนัน้ ), otherwise (มิฉะนัน้ ), thus (ดังนั้น) etc.

Compound Sentence ประโยคท่ีเชื่อมดวยบุพบท (Conjunction หรือตัวเชื่อมประสาน) ไดแก and,

or, but, so, still, yet etc.

ยกตวั อยางเชน 119
 Suda can speak English.
สดุ าพดู ภาษาอังกฤษได Suda can speak English and French.
 Suda can speak French. สดุ าพูดภาษาองั กฤษและภาษาฝรงั่ เศสได
สุดาพดู ภาษาฝรง่ั เศสได
Malee does not study French
 Malee does not study French. but she can speak it.
มาลไี มไดเรียนภาษาฝรงั่ เศส มาลีไมไดเ รยี นภาษาฝรง่ั เศส
แตพดู ภาษาฝรง่ั เศสได
 Malee can speak French.
มาลพี ดู ภาษาฝร่ังเศสได He is strong but silly.
เขาเปนคนแข็งแรงแตโง
 He is strong.
เขาเปนคนแข็งแรง Chuan and Banharn were prime ministers.
ชวนและบรรหารเปน นายกรฐั มนตรี
 He is silly.
เขาเปน คนโง You can have fried rice or boiled rice.
คุณสามารถเลือกทานขา วผดั
 Chuan was prime minister. หรอื ขา วตมก็ได
ชวนเปน นายกรัฐมนตรี

 Banharn was prime minister.
บรรหารเปนนายกรฐั มนตรี

 You can have fried rice.
คุณทานขาวผัดได

 You can have boiled rice.
คุณทานขาวตม ได

120

คาํ สันธานทีใ่ ชเ ชื่อมประโยคความรวม (Compound Sentence) ทสี่ าํ คัญ ไดแ ก
and แปลวา และ, กับ ใชเช่ือมประโยคทีม่ ีใจความคลอ ยตามกัน
(ตวั อยาง)

 Obb and Toom work in Distance Education Institute.
ออ็ บและตุม ทาํ งานทส่ี ถาบันการศกึ ษาทางไกล

 This table is new and shiny.
โตะตัวนี้ใหมแ ละเปน เงางาม

 Pom talks and walks to school.
ปอ มคยุ ไปและเดนิ ไปโรงเรยี น

but แปลวา แต ใชเชื่อมประโยคทีม่ ีใจความขัดแยง กัน

(ตวั อยา ง)

 That house is old but strong.
บานหลงั นเี้ กาแตย ังแขง็ แรง

 He complains but he goes with his mother.
เขาบนแตเขาก็ไปกับแม

or แปลวา หรือ ใชเชอ่ื มประโยคทม่ี ใี จความใหเ ลอื กอยางใดอยา งหนึ่ง
(ตัวอยาง)

 What would you like, coffee or tea?
คุณตอ งการอะไร กาแฟหรอื ชา

 You can sit here or in that room.
คณุ จะนง่ั ทน่ี ่ีหรือในหองนั้นก็ได

both…and แปลวา ทง้ั …และ

121

(ตัวอยา ง)

 Both boys and girls learn English.
ทัง้ เดก็ ผชู ายและเด็กผูห ญงิ เรยี นภาษาองั กฤษ

 Idd is both pretty and clever.
อิด้ ทงั้ นารกั และฉลาด

 Suchart both works and studies in the university.
สชุ าตทิ ง้ั ทาํ งานและเรียนในมหาวิทยาลัย

either…or แปลวา ไมอยา งหนึ่งกอ็ กี อยา งหนง่ึ (ใหเ ลือกเอาอยา งใดอยา งหนง่ึ )

(ตัวอยา ง)

 Either me or you should telephone to the director.
ไมฉ นั กค็ ณุ จะตองโทรศัพทไปหาทา นผอู าํ นวยการ

 Dan begins either reading or writing English tomorrow.
แดนจะเริ่มไมอา นก็เขียนภาษาองั กฤษพรงุ นี้

 You have to sell either the house or the car.
คุณจะตองขายไมบา นกร็ ถยนต

neither…nor แปลวา ไมท้ังสองอยาง

(ตวั อยา ง)

 This man is neither rich nor clever.
ผูชายคนนท้ี ง้ั ไมร วยและไมฉ ลาด

 Pan will neither live nor work in Bangkok.
ปานจะไมม วี นั อยหู รอื ทาํ งานในกรงุ เทพฯ

122

ถา ใช neither วางไวหนา ประโยค จะตองตามดว ยกรยิ าชวย ประธานและกรยิ าแท เชน
 Neither did he listen his teacher, nor did he read the book.
เขาท้งั ไมฟ งครแู ละไมอา นหนังสอื

not only…but also แปลวา ไมเพยี ง…….แต. ……ดว ย

(ตัวอยาง)

 Not only man, but also woman could be the prime minister.
ไมใชเฉพาะแตผ ชู ายเทา นน้ั ผูห ญงิ ก็สามารถเปน นายกรฐั มนตรีได

 Not only you, but also he has not read the book yet.
ไมเ พยี งแตคณุ เทา นน้ั เขากย็ ังไมไ ดอา นหนังสอื เชน เดยี วกนั

 I know not only Sumalee but also her family.
ฉันไมเพยี งแตรจู ักกบั สมุ าลเี ทา นน้ั ฉนั ยังรจู กั ครอบครัวของเธอดว ย

สาํ หรบั ประโยคความรวม (Compound Sentence) บางประโยคจะเช่อื มดว ยคํากริยา วิเศษณ

(Conjunctive Adverb) ไดแก however (อยา งไรก็ตาม), meanwhile (ในขณะที่), therefore (ดังน้ัน,

เพราะฉะนั้น), otherwise (มิฉะน้ัน), thus (ดังน้ัน), hence (ดวยเหตุน้ี), nevertheless (แมกระนั้น),

etc.

ยกตวั อยา งเชน

 Suda comes to see me at the temple. She comes to see me at the temple,

It begins to rain. meanwhile it begins to rain.

 Malee was ill. Malee was ill, thus she went to

Malee went to see the doctor at a hospital. see the doctor at a hospital.

ประโยคความรวมท่เี ช่อื มดวยคาํ กรยิ าวิเศษณจะมีเคร่ืองหมาย, ค่ันระหวางขอความในสวนแรก

กับขอ ความในสวนหลัง

123

ยกตัวอยา งเชน
 They tried their best, yet they didn’t succeed.
เขาพยายามทาํ ดีท่สี ุดแลว เขาก็ยงั ทําไดไ มสาํ เร็จ
 Before I go out, I would like to leave my messages.
กอนทีฉ่ ันจะออกไป ฉนั ตอ งการทิ้งขอ ความเอาไว

บ า ง ค ร้ั ง อ า จ จ ะ พ บ ก า ร ใ ช เ ค ร่ื อ ง ห ม า ย ว ร ร ค ต อ น ห ล า ย ช นิ ด อ ยู ใ น ป ร ะ โ ย ค เ ดี ย ว กั น
ถาเปน ประโยคท่ีมกี ารขยายความหรือใหรายละเอยี ดมากขึ้น

 I do not only buy her a new car, but also give her a diamond set; anyway she doesn’t
use it.
ฉนั ไมไ ดซ อื้ ใหเ ธอแตเ พียงรถใหมเ ทา นน้ั แตย งั ซอ้ื ชดุ เคร่ืองเพชรใหเธอดว ย
อยางไรก็ตามเธอกไ็ มไ ดใ ชมนั

ใหสังเกตวาประโยคความรวม (Compound Sentence) คือ การนาํ ประโยคความเดียว
(Simple Sentence) 2 ประโยคมารวมกนั และเชอื่ มดว ยคาํ สันธาน (Conjunction) หรอื คาํ กริยา วเิ ศษณ
(Conjunctive Adverb)

124

กจิ กรรม

ใหผ ูเรยี นทบทวนความรูในบทนี้ แลว ทาํ แบบฝกหดั ตอ ไปนี้

Exercise 1 Choose the best answer.

1. If you want to ask about your friend’s health. You say “_____________”
a. Where do you live?
b. How do you do?
c. What do you do?
d. How about you?

2. You accidentally step on someone’s foot. You blame yourself “____________”
a. How clumsy of me!
b. It’s not my fault.
c. I’m sorry.
d. Thank you.

3. Suda would like to buy a computer notebook. The shopkeeper say “________”
a. May I help you?
b. Where are you going?
c. What are you doing here?
d. What would you like to do?

4. Suda : Could you show me how to get to the post office?
Malee : “_____________”
a. Yes, I can.
b. Yes, I do.
c. Yes, I should.
d. Yes, I would.

125

5. A tourist is visiting Bangkok for the first time and she wants to go to
the Grand Palace. She asks a policeman, “_____________”
a. I want to go to the Grand Palace. Please take me there.
b. Could you tell me where I go to the Grand Palace?
c. Could you tell me how to get to the Grand Palace?
d. Give me the map of the Grand Palace.

6. Suda has got grade A in English. What will you say?
a. Cheers.
b. I wish you luck.
c. Don’t worry about it.
d. How clever you are!

7. When will you say, “Merry Christmas and a Happy New Year.”
a. On your birthday.
b. On Christmas day.
c. On New Year’s day.
d. On Christmas and New Year’s day.

8. What is the population of this town?
The answer will be about, “_____________”.
a. the number of people
b. famous men and women
c. history and geography
d. masses of buildings

126

9. The apartment has been vacant for over a week. What will you do?
a. Make a notice for the apartment to rent.
b. Tell all of my friends.
c. Have it repaired.
d. Leave it like that.

10. The robber climbed up and went into the opened window and stole his money.
What should he do?
He should “_____________”.
a. do nothing
b. tell his friend
c. inform the police
d. blame his neighbor

Exercise 2 Put the correct conjunction in the blank

1. I met Toom _________ Obb in the restaurant.
2. They are talkative ___________ they are friendly.
3. You can enroll Mathemetic ___________ English according to your choice.
4. Pom ate ___________ fried chicken ___________ french fried.
5. ___________ Liverpool ___________ Manchester United will win.
6. She is ___________ ugly ___________ silly.
7. He bought ___________ a car ___________ a washing machine.
8. She has been very sad ___________ her mother died.
9. I was very tired ___________ I stayed at home.
10. Today is ___________ Tuesday ___________ Friday.

127

บทท่ี 5
อดีตกาล
( Past Tense)

สาระสําคัญ

การใชภาษาอังกฤษสาํ หรับการส่ือสารเรื่องราวที่ผานมาแลวในอดีต จะตองใชอดีตกาล
(Past Tense) เพ่ือใหส ามารถใชภาษาองั กฤษสาํ หรบั การฟง พูด อาน เขียนเรื่องราวในอดีตไดตรง
ตามความตองการ

ผลการเรียนรทู ค่ี าดหวงั

เพื่อใหผูเรียนรูจักและเขาใจโครงสรางของประโยคในภาษาอังกฤษซ่ึงใชในอดีตกาล
(Past Tense) ในรปู ของ Past Simple Tense และ Past Continuous Tense ไดอยางถูกตอ งและสามารถ
นาํ ไปใชในชวี ิตประจาํ วนั ได

ขอบขา ยเนอื้ หา

เรอื่ งที่ 1 ทบทวนการใช Present Simple Tense,
Present Continuous Tense และ Future Simple Tense

เรื่องท่ี 2 Past Simple Tense
เรื่องที่ 3 Past Continuous Tense

128

เรอ่ื งท่ี 1 ทบทวนการใช Present Simple Tense, Present
Continuous Tense และ Future Simple Tense

ในภาษาอังกฤษจะมีการใชไวยากรณแตกตางกันในประโยคสําหรับกาลเวลา (Tense)
ที่แตกตา งกนั ซ่งึ แบง ออกเปนปจจบุ นั กาล (Present Tense) และอดีตกาล (Past Tense) และอนาคตกาล
(Future Tense) แตละกาล (Tense) แยกเปนกาลยอย ๆ 4 กาล (4 Tense) รวมแลวเปน 12 กาล
(12 Tense) คอื

Time Tense

129

ในระดับประถมศึกษา ผูเรียนไดเรยี น Present Simple Tense, Present Continuous Tense
และ Future Simple Tense ไปแลว ในระดบั มัธยมศึกษาตอนตนน้ี จะเรียนอดีตกาล (Past Tense) คือ
Past Simple Tense และ Past Continuous Tense โดยละเอยี ด

กอนอื่นตองขอใหทบทวนการใช Present Simple Tense, Present Continuous Tense และ
Future Simple Tense กันกอน

1. Present Simple Tense คือ ประโยคที่แสดงเหตุการณท่ีเกิดข้ึนในปจจุบันมีโครงสราง
ประโยค ดังน้ี

Subject Verb ชอ งท่ี 1 Object Complement
(ประธาน) + (คาํ กิริยาชอ งที่ 1) + + (สวนขยาย)
(กรรม)

โครงสรา งของประโยคดงั กลา ว อาจจะมกี รรม (Object) และสวนขยาย (Complement)
หรอื ไมม ีกไ็ ด ใหส ังเกตวา การใชป ระโยคปจจบุ นั กาลนั้น จะมวี ิธีการกระจายคํากริยา (Verb)
ตามประธาน (Subject) ของประโยค ดังตาราง

Subject Verb 1 Object Complement Meaning
(ประธาน) (ชอ งที่ 1) (กรรม)
(สวนขยาย) (หมายเหตุ)
I sing a song
We sing a song loudly. ฉนั รอ งเพลงเสียงดงั
You laugh
He laughs – happily. ฉนั รอ งเพลงอยา งมคี วามสขุ
She laughs –
It laughs – funny. คณุ หัวเราะตลก ๆ
They laugh –
– lightly. เขาหวั เราะเบา ๆ

Ugly. เธอหวั เราะนา เกลียด

terribly. มนั หวั เราะนา กลวั

lovely. พวกเขาหวั เราะนา รกั

130

จากตาราง เราจะเห็นวาการกระจายกริยาในประโยคปจจุบันกาล (Present Simple Tense) นั้น
ถา ประธานเปน เอกพจนบ ุรุษท่ี 3 (He, She, It) คาํ กริยาตองเตมิ “s” หรือคาํ กริยา บางตัวตอ งเตมิ “es”

1. คํากรยิ าทเ่ี ติม “S” ขางหลังไดเลย เชน
 The wind blows.
 He eats a mango.
 She likes fish.

2. คาํ กรยิ าทลี่ งทา ยดว ย s, ss, sh, ch, o และ x ใหเติม “es” หลังคาํ กริยาตวั นน้ั เชน
 My sister watches television.
 She washes her clothes every day.
 My father misses the train.

3. คํากริยาท่ีลงทายดวย “y” ใหเปล่ียน “y” เปน “i” แลว จึงเติม “es” หลัง คํากริยา
ตวั น้ัน ยกตวั อยาง เชน
 He carries a big box.
(carries มาจาก carry)
 Suda tries to call me every day.
(tries มาจาก try)
 My mother fries bean with egg.
(fries มาจาก fry)

4. คํากรยิ าทลี่ งทายดว ย “y” แตห นา “y” เปน สระใหเ ตมิ “s” ไปขา งทาย เชน
 He stays with his mother.
(stay หนา y คือ a ซง่ึ เปน สระ)
 Malee pays for a dress.
(pay หนา y คือ a ซ่งึ เปน สระ)
 Suda enjoys eating.
(enjoy หนา y คอื o ซ่ึงเปน สระ)

131

วิธีการใช Present Simple Tense มีดังนี้
(1) เพอ่ื แสดงถึงการกระทําที่เปนนิสัย การกระทําซ้ํา ๆ ที่ทําอยูเปนประจํา โดยปกติมักมีคํา
วิเศษณบงช้ีอยูดวย เชน every day, every year, every month, every hour, often, usually, always,
daily, weekly, yearly, annually, sometimes และ regularly เปน ตน

ขณะพดู

อดตี  อนาคต
xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx
เหตกุ ารณเ กดิ ข้นึ เปน ประจาํ จนเปน นสิ ยั

(ตวั อยาง) She sometimes does things because she wants to be diligent.
บางครง้ั เธอก็ทาํ ส่งิ ตา ง ๆ ไป เพราะเธอตองการทจี่ ะใหเ ห็นวา เธอเปน คนขยนั
 The girls always stay at home on Monday nights to do the housework.
 ผูห ญิงมกั จะอยบู า นในคืนวนั จนั ทรเ พ่อื ทาํ งานบา น
 Mr. Cornway has meeting there one a month.
 นายคอนเวยไ ปประชุมทน่ี น่ั เดือนละครั้ง
 He often comes late to school.
 เขามกั จะมาโรงเรียนสายบอย ๆ
They usually walk up this way.
ปกตเิ ขาเดินขึน้ มาทางน้ี
I drink a glass of milk every day.
ฉันดม่ื นมหนงึ่ แกว ทุกวนั

132

(2) เพื่อกลา วถงึ ความจริงโดยทว่ั ๆ ไป ซ่งึ เปน ความจรงิ อยูเ สมอ (To state a general truth)
ขณะพดู

อดตี  อนาคต
xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx
เหตกุ ารณทเี่ ปนความจรงิ อยูเสมอ

(ตวั อยาง) It often rains at this time. ฝนจะตกในชว งเวลานบี้ อ ย ๆ
Light moves faster than sound. แสงเดนิ ทางเรว็ กวา เสยี ง
 The earth rotates around the sun. โลกหมนุ รอบดวงอาทิตย
 The sun gives us warmth. ดวงอาทติ ยใ หค วามอบอนุ แกเ รา

(3) เพ่ือแสดงถึงการกระทําทีจ่ ะเกิดขน้ึ ในอนาคตอยา งแนน อน (To show future action)

(ตวั อยาง)
 The plane arrives at Don Muang Airport at ten a.m.
เคร่ืองบนิ จะมาถึงสนามบนิ ดอนเมอื งตอน 10 โมงเชา (อยางแนน อน)
 He departs for London on Thursday morning.
เขาจะออกเดินทางไปลอนดอนตอนเชาวนั พฤหสั (อยางแนนอน)
 Surin leaves by his car in the morning.
สุรนิ ทรจ ะออกเดนิ ทางโดยรถยนตข องเขาในตอนเชา (อยางแนน อน)
(4) เพ่อื เลาหรอื เขียนเรื่องราวทเี่ ปน อดีต เพ่ือใหผูฟงหรือผูอานต่ืนเตนเราใจเห็นคลอยตาม

นยิ มใชในบทละครหรอื เร่อื งราวบางตอนท่ีเหมาะสม การเลาหรือเขียนแบบนี้เรียกวา Historic Present
(To show historic present)

133

(ตวั อยาง) A witch points her finger to the child and says, “Die.”
แมม ดชนี้ ้ิวของเธอไปท่ีเด็กแลว พดู วา จงตายเสยี เถอะ
 Finally, a gunman shoots him dead on the spot.
ในท่สี ดุ มอื ปนกไ็ ดยงิ เขาจนตายคาท่ี

(5) เพ่อื บอกถึงคําพูด คําประพนั ธห รอื สงิ่ หนึ่งสงิ่ ใดทผ่ี ปู ระพนั ธไดกลาวหรอื เขียนไว

(ตวั อยาง) Aristotle says, “Human beings are rational animals.”
อรสิ โตเตลิ กลา วไวว า “มนุษยเ ปน สัตวท ่ีมเี หตุผล”
 A poet says, “Beauty is truth.”
กวีทา นหนึ่งกลาวไววา “ความสวยคอื ความจริง”

(6) เพื่อบอกเหตุผลทจี่ ะเกิดข้ึนในประโยคท่ีนําดวย If – clause เปนการแสดงถึงเง่ือนไข
บางประการของความนา จะเปนจรงิ ในอนาคต (conditions of future possibility)

(ตวั อยา ง) If you drink poison, you die.
ถาคณุ ดม่ื ยาพษิ คณุ ตองตาย
 If you fail English, you have to enroll again.
ถาคุณสอบภาษาองั กฤษตก คุณจะตองลงทะเบยี นเรยี นหมวดวชิ านีอ้ กี ครงั้

หมายเหตุ จะสังเกตเห็นวา drink และ die เปนกริยาชองท่ี 1 ท่ีแสดงถึงเงื่อนไขที่เปน
เหตุผลซ่ึงกันและกนั ในแบบท่เี ปน จรงิ และตอ งเกดิ ข้ึนแน ๆ

134

(7) ใชใน If – clause เพอื่ แสดงถงึ เง่อื นไขบางประการท่เี ปนไปได

(ตัวอยา ง) If you help me do this work, I shall give you money.
ถา คุณชว ยผมทาํ งานชนิ้ นี้ ผมจะใหเ งนิ คณุ
 If he comes, I’ll see him.
ถาเขามาฉนั จะตอ งไดพบเขา

(8) ใชใ น Passive form เพื่อแสดงถึงการถูกกระทาํ

(ตวั อยาง) Active form : They make it into a paste. พวกเขาทาํ มนั เละ (เปนแปงเปย ก)
Passive form : It is made into a paste. มนั ถูกทําใหเปน แปง เปย ก
 Active form : Hesells themat$5 each. เขาขายมนั ดว ยราคาอันละ5ดอลลาร
 Passive form : They are sold at $ 5 each. พวกมันถูกขายในราคาอนั ละ 5 ดอลลาร

(9) ใช Present Simple Tense หลงั Here และ There

(ตัวอยาง) Here comes the bride . เจา สาวกําลังมานแ่ี ลว
There goes the train. รถไฟกาํ ลงั ไปโนน ไง
 There goes your friend, Surin. สุรนิ ทรเ พอื่ นของคณุ กาํ ลงั ไปโนน ไง

135

2. Present Continuous tense หรือ Present Progressive Tense คอื ประโยคท่ีใช แสดง
เหตกุ ารณท่ีกําลงั ทาํ อยูในขณะทพี่ ดู มีโครงสรางประโยค ดังนี้

Subject + Verb to be + V1 + ing Object
(ประธาน) (is, am, are)
am walking –
I is playing football.
He reading a book.
She are drawing a flower.
Suda
You eating. rice.
We
They
The boys

กฎการเตมิ ing ทคี่ าํ กรยิ า
กรยิ าบางคาํ เม่ือจะเตมิ ing ตอ งเปลี่ยนแปลง ดงั น้ี
1. คาํ พยางคเ ดียว มีสระตัวเดียว และมีตวั สะกดตัวเดียว ตองเพิ่มตัวสะกดอีกหน่งึ ตวั

กอ นเติม ing เชน
cut cutting
get getting
run running
swim swimming
stop stopping

136

2. คาํ สองพยางคซงึ่ ลงทา ยดว ยตวั “l” ตวั เดยี ว ใหเ พมิ่ “l” อกี หนงึ่ ตัวกอ นเตมิ ing เชน
Travel Travelling
control controlling
fulfil fulfilling

3. คาํ ที่ลงทา ยดว ย “e” ใหต ดั ตัว “e” ออกกอนเตมิ ing เชน
lose losing
come coming
write writing
hope hoping
move moving

4. คาํ ทลี่ งทา ยดวย “ie” ใหเปลี่ยน “ie” เปน “y” กอนเติม ing เชน
die dying
lie lying
tie tying

เม่ือตองการเปล่ียนประโยคบอกเลาของ Present Continuous Tense เปนประโยคคําถาม
ใหว างคํากริยา is, am หรอื are ไปไวห นาประโยค ดังนี้

(is / am / are) + subject + V. ing

ตวั อยา ง เชน
 Is she drawing a flower?
 Are you reading a comic book?

137

ประโยคคําถามทข่ี ึน้ ตน ดว ย Verb to be (is, am, are) จะตอ งตอบดวย yes หรอื no
ตวั อยา ง เชน

 Is she drawing a flower?
 Yes, she is drawing a flower. หรือ Yes, she is. หรอื

No, she is not drawing a flower. หรือ No, she isn’t.
วิธีการใช Present Continuous Tense มดี ังนี้
(1) เพอ่ื แสดงถงึ การกระทาํ ทกี่ าํ ลงั เกดิ ขน้ึ ในขณะทพ่ี ดู (To show action happening now)

ขณะพดู

อดีต  อนาคต

(ตวั อยาง) เรม่ิ ตน คาดวา จะจบ

 Surin is driving out of house now.

สุรินทรก ําลังขับรถออกมาจากบา นของเขาตอนนี้

 He is now studying English.

เขากาํ ลังศกึ ษาภาษาองั กฤษอยตู อนน้ี

(2) เพื่อแสดงถึงการกระทําท่ีเกิดขึ้นในอนาคตอันใกลน้ี (To show action in the near
future) แตยงั ไมแนน อนมากเทากบั Present Simple Tense

ขณะพดู

อดตี  อนาคต

เหตกุ ารณน้จี ะเกดิ ข้นึ

138

(ตัวอยาง)
 We’re flying back to London tomorrow.
เราจะบนิ กลบั ลอนดอนพรงุ น้ี
 I’m wearing it this evening.
ฉันจะสวมมนั เยน็ น้ี
 Supol is coming here next week.
สุพลจะมาทน่ี ี่สัปดาหห นา
 We are going to see him next Monday.
เราจะไปพบเขาวันจนั ทรหนา

(3) เพ่ือแสดงถึงการกระทาํ ทท่ี าํ อยจู นเกอื บจะเปนนสิ ยั ซึง่ มักจะถกู กระทาํ ซา้ํ ๆ อยบู อ ย ๆ
หรอื บอยครงั้ ที่สดุ (To express habitual action that is often repeated.)

(ตวั อยา ง) She is always asking silly questions.
เธอมักจะถามคาํ ถามโง ๆ อยเู สมอ
 He is always banging the door shut.
เขามักจะปด ประตดู งั โครมเสมอ ๆ
 They are always arguing with each other.
พวกเขามกั จะโตเถยี งกนั อยูเสมอ

139

(4) ใชก ับการกระทาํ ทัง้ สองอยา งท่ีกาํ ลงั ดาํ เนนิ การอยพู รอ ม ๆ กัน

(ตวั อยา ง)
 She is reading a book and (is) singing a song.
เธอกาํ ลงั อา นหนงั สอื และกาํ ลงั รอ งเพลง
 She is jogging along the road and (is) singing a song.
เธอกําลงั วงิ่ เหยาะ ๆ ไปตามถนนและกาํ ลงั รอ งเพลง

(5) ใชก ับการกระทาํ อยางหนง่ึ ที่กาํ ลงั ดาํ เนนิ อยแู ละมผี กู ระทาํ การอีกอยา งหนง่ึ ข้ึนมา
โดยไมค าดฝน มากอ น

(ตัวอยาง)
 She enters the room while I am reading a book.
เธอเขามาในหอ งขณะทฉ่ี ันกาํ ลงั อา นหนังสอื อยู
 My mother opens the door while I am watching T.V.
คณุ แมเปด ประตูขณะทผี่ มดทู ีวอี ยู

(6) ใชในรูป Passive voice เมื่อเราตองการจะแสดงใหเ หน็ วาการกระทําน้ัน ๆ มีส่ิงหน่ึง
หรือบุคคลหนึง่ กระทาํ ตอ ประธานของประโยค

(ตัวอยาง) Someone is cutting tree down.
 Active Voice : ใครคนหนึ่งกาํ ลงั ตดั ตนไมล ง
The tree is being cut down.
 Passive Voice : ตนไมก าํ ลงั ถกู ตดั
Someone is painting the house.
 Active Voice :

140

 Passive Voice : ใครบางคนกาํ ลงั ทาสีบา น
The house is being painted.
บานกาํ ลังถกู ทาสี

ขอ สงั เกต

มคี าํ กริยาบางประเภทที่ไมใชใ นรูปของ Continuous form (Verb to be + V.ing) ไดแ ก

1. Verb to be เชน is, am, are, was, were ท่ีแสดงถงึ ลักษณะ (stative verbs)

ถกู : He is handsome. เขาหลอ

ผดิ : He is being handsome.

2. กริยาประเภทท่ีแสดงถึงจิตใจ (mind) เชน think, know, recognize, understand,

believe, desire, wish, love, realize, forget, dislike, hate เปน ตน

(ตวั อยา ง)

ถูก : I remember him quite clearly. ฉนั จําเขาไดดที ีเดยี ว

ผดิ : I am remembering him quite clearly.

ถกู : They wish to go home now. พวกเขาอยากจะกลับบาน

เด๋ยี วน้ี

ผดิ : They are wishing to go home now.

ถูก : She thinks everybody likes her. เธอคิดวา ทกุ คนชอบเธอ

ผิด : She is thinking everybody likes her.

ถูก : We know them very well. เรารจู กั เขาเปน อยางดี

ผดิ : We are knowing them very well.

ถูก : I love you. ผมรกั คุณ

ผิด : I am loving you.

141

3. กรยิ าที่แสดงถงึ ความรูสึกประสาทสัมผสั (senses) เชน fell, see, hear, taste, smell
เปน ตน
(ตัวอยาง)

ถูก : I fell very warm. ฉนั รสู ึกอบอนุ ขน้ึ มาก

ผดิ : I am feeling very warm.

ถกู : I smell something burning. ฉันไดกลน่ิ อะไรไหม

สกั อยา ง

ผิด : I smelling something burning.

ถูก : I hear someone walking up the stairs. ฉนั ไดยนิ ใครคนหนง่ึ กาํ ลงั

ขึน้ บันไดมา

ผดิ : I am hearing someone walking up the stairs.

ถกู : The coffee tastes sweet. กาแฟหวาน

ผดิ : The coffee is tasting sweet.

ถูก : I see her walking in the garden. ฉนั เห็นเธอกาํ ลงั เดนิ

อยใู นสวน

ผดิ : I am seeing her walking in the garden.

4. กริยา “to have” ที่หมายถงึ การเปนเจา ของ (possession) แปลวา “มี”

( ตัวอยา ง)

ถูก : She has a lot of money. เธอมเี งินจาํ นวนมาก
ผิด : She is having a lot of money.
ถกู : We have a lot of homework to do. เรามกี ารบา นทจ่ี ะตอ งทาํ
อีกเยอะ

142

ผดิ : We are having a lot of homework to do.

ถกู : She has a cold. เธอเปน หวดั

ผิด : She is having a cold.

5. กรยิ าบางตัวทเี่ ปน Continuous form ไมได เชน matter, consist, possess, own,

fit, belong, contain, see, suppose, owe, suit, concern, appear, look, call เปนตน

(ตัวอยา ง)

ถกู : It seems that he dislike that girl. ดเู หมือนวา เขาจะไมช อบ

ผูหญิงคนนน้ั

ผิด : It is seeming that he dislike that girl.

ถูก : Fruit contains good deal of vitamins. ผลไมประกอบดว ยวติ ามนิ

จํานวนมาก

ผิด : Fruit is containing good deal of vitamins.

ถกู : He supposes that the news is true. เขานกึ วา ขา วนนั้ เปน เรอื่ งจรงิ

ผิด : He is supposing that the news is true.

ถูก : This book belongs to me. หนงั สือเลม นี้เปนของฉนั

ผดิ : This book is belonging to me.

3. Future Simple tense คือ ประโยคที่ใชกับเหตุการณท่ีจะเกิดข้ึนในอนาคต
โดยวางโครงการหรอื วางแผนไวล วงหนา

โครงสรางประโยค Future Simple Tense

Subject + shall, will + V1 + (สวนขยาย)

[Update] สรุป 12 tense เข้าใจง่าย จำง่าย พร้อมตัวอย่างประโยค | แบบฝึกหัดการเติม s es ies หลังคํากริยา – NATAVIGUIDES

Tense คือ อะไร

เมื่อพูดถึงเรื่องของ Tense ในภาษาอังกฤษ หลายๆ คน คงไม่อยากจะฟังมัน แต่ด้วยความสำคัญของมันนี่ล่ะ ทำให้คนที่ต้องการพูดภาษาอังกฤษ ปฏิเสธไม่ได้ ที่จะต้องเรียนรู้เรื่อง Tense เพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน การเรียน การสอบต่างๆ เรามาลองทำความเข้าใจไปพร้อมๆ กันนะครับ บทเรียนนี้สรุปหลักการใช้ โครงสร้าง ตัวอย่างประโยค เทนส์ต่างๆ ค่อยๆ อ่าน เข้ามาอ่านบ่อยๆ อ่านทำความเข้าใจวันละ 1-2 หัวข้อ อย่าเครียดนะครับ ทุกคนทำได้ สู้ๆ .. ถ้าอ่านอย่างตั้งใจจนจบ จะรู้ว่า เรื่อง Tense จริงๆ แล้ว ไม่ยากเลยครับ

12 tense มีอะไรบ้าง

เทนส์ในภาษาอังกฤษ โดยหลักไวยากรณ์ส่วนใหญ่จะแบ่งออกเป็น 12 tenses คือ เทนส์บอกอดีต 3 เทนส์, เทนส์บอกปัจจุบัน 3 เทนส์ และเทนส์ที่พูดถึงอนาคตอีก 3 เทนส์ ดังนี้

Present Simple Tense

โครงสร้าง present simple tense (ปัจจุบันกาล)

ประธาน + กริยาช่องที่ 1
ถ้าประธานเป็นบุรุษที่ 3 เอกพจน์ + กริยาช่องที่ 1 เติม s หรือ es
อ่านบทเรียน คลิก >> การเติม s, es

เช่น I go… / You go… / He goes… / They go…

ตัวอย่างประโยค

She sings a song. แปลว่า หล่อนร้องเพลง
He plays football. แปลว่า เขาเล่นฟุตบอล
She is not here. หรือ She isn’t here. แปลว่า หล่อนไม่อยู่ที่นี่
We are not drivers. หรือ We aren’t drivers. แปลว่า พวกเราไม่ใช่คนขับรถ

ประโยคปฏิเสธและคำถามเราจะใช้ Verb to do มาช่วย เช่น

You do not like apple. หรือ You don’t like apple.
She does not eat meat. หรือ She doesn’t eat meat.
Do you like it?
Does he like it?

หลักการเติม ‘s’ ที่คำกริยา (โครงสร้าง present simple tense)

1. เติม s หลังคำกริยานั้นๆ เช่น
He eats / She sings / A tiger runs.

2. ถ้ากริยาลงท้ายด้วย s, sh, ch, x, o, z, ss ให้เติม es เช่น
He teaches English.
She goes away.
She brushes her teeth.

3. ถ้ากริยาลงท้ายด้วย y และหน้า y เป็นพยัญชนะ ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม es เช่น
He tries to study.
She studies English.

หมายเหตุ ถ้าหน้า y เป็นสระ ไม่ต้องเปลี่ยน y เป็น i ให้เติม s ได้เลย เช่น
play – plays = เล่น
pay – pay = จ่าย
destroy – destroys = ทำลาย

สรุป หลักการใช้ Present Simple Tense

1. แสดงลักษณะความจริงอยู่เสมอ ไม่ว่าเหตุการณ์จะผ่านไปเท่าใดก็ตาม เช่น

The earth moves around the sun.
โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์

The sun rises in the east and sets in the west.
ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตก

The earth is round.
โลกกลม

Water freezes at 0 C.
น้ำมีจุดเยือกแข็งที่ 0 องศาเซลเซียส

2. การกระทำที่เกิดขึ้นเสมอๆ เกิดขึ้นจนเป็นนิสัย หรือ ประเพณีนิยม มักจะมี adverb of frequency ประกอบในประโยค เช่น

every day, usually, sometimes, frequently, always, naturally, generally, rarely, seldom, never etc.

She gets up at six o’clock.
หล่อนตื่นนอน 6 โมงเช้า (ตื่นเวลานี้จนเป็นนิสัย)

He runs every morning.
เขาวิ่งทุกๆ เช้า

John often drinks beer.
จอห์นมักจะดื่มเบียร์

She never sits in front of the church.
หล่อนไม่เคยนั่งข้างหน้าของโบสถ์เลย

3. แสดงเหตุการณ์หรือกิจกรรมต่างๆ ที่รู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ เช่น

I go to Chiangmai in the afternoon.
ฉันจะไปเชียงใหม่ในตอนบ่าย

He starts to study in five minutes.
เขาจะเริ่มเรียนภายใน 5 นาที

The concert begins at 1.30.
คอนเสิร์ตเริ่มเวลา 1.30 นาฬิกา

4. ใช้กับสุภาษิต คำพังเพย เช่น

New brooms sweep clean.
ไม้กวาดใหม่ย่อมกวาดสะอาดกว่า

Money makes friend.
เงินทองอาจทำให้ท่านมีเพื่อนฝูงมาก

Health is wealth.
ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ

Present Continuous Tense

โครงสร้าง present continuous tense (ปัจจุบัน กำลังกระทำ)

I + am + กริยาช่องที่ 1 เติม ing
ประธานเอกพจน์ + is + กริยาช่องที่ 1 เติม ing
ประธานพหูพจน์ + are + กริยาช่องที่ 1 เติม ing

ตัวอย่างประโยค

She is running.
Is he playing football now?
I am not sleeping.
They are walking.

หลักการเติม ing ที่คำกริยา (โครงสร้าง continuous tense)

1. คำกริยาที่ลงท้ายด้วย e ให้ตัด e ทิ้งก่อน แล้วเติม ing เช่น
bite > biting
come > coming
arise > arising
write > writing
take > taking

2. กริยาที่ลงท้ายด้วย ee ให้เติม ing ได้เลย เช่น
free > freeing
see > seeing
flee > fleeing
agree > agreeing

3. กริยาที่ลงท้ายด้วย ie ให้เปลี่ยน ie เป็น y แล้วเติม ing เช่น
lie > lying
die > dying
tie > tying

4. คำกริยาพยางค์เดียว มีสระตัวเดียว และมีตัวสะกดเป็นพยัญชนะตัวเดียว ให้เพิ่มตัวสะกดอีก 1 ตัวก่อน แล้วเติม ing เช่น
run > running
sit > sitting
hit > hitting
get > getting
dig > digging
rob > robbing

5. กริยาหลายพยางค์ที่ลงท้ายด้วยพยัญชนะ 1 ตัว ถ้าหน้าพยัญชนะมีสระหนึ่งตัว ให้เพิ่มพยัญชนะเข้าไปอีก 1 ตัวก่อน แล้วเติม ing เช่น
forget > forgetting
admit > admitting

6. คำกริยามี 2 พยางค์ ซึ่งออกเสียงหนักที่พยางค์หลัง มีสระตัวเดียว ตัวสะกดตัวเดียว ให้เพิ่มตัวสะกดเข้ามาอีกหนึ่งตัวก่อน แล้วเติม ing เช่น
offer > offerring
refer > referring
occur > occurring
begin > beginning

7. คำต่อไปนี้ ใช้ได้ 2 แบบ คือ travel, quarrel ดังนี้
travel > traveling (แบบอเมริกัน)
travel > travelling (แบบอังกฤษ)
quarrel > quarreling (แบบอเมริกัน)
quarrel > quarrelling (แบบอังกฤษ)

8. กริยาตัวอื่นๆ เติม ing ได้เลย เช่น
hear > hearing
burn > burning
bend > bending
read > reading

สรุป หลักการใช้ Present Continuous Tense

1. แสดงการกระทำที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะพูด และคาดว่าจะสิ้นสุดลงในไม่ช้า มักมีคำเหล่านี้ คือ now, at the present time, at this moment etc. เช่น

She is eating.
Tom is running now.
We are walking.

2. แสดงการกระทำที่เริ่มก่อนพูดเป็นเวลานาน ขณะที่พูดนี้เหตุการณ์อาจไม่ได้กำลังเกิดขึ้นจริงๆ มักมีคำว่า this week, this month etc. เช่น

I am working with my teacher this summer.
ฉันกำลังทำงานกับครูของฉันในฤดูร้อนนี้
(ขณะที่พูดอาจทำ หรือไม่ทำอาการนี้ก็ได้)

Tom is working for an examination.
ทอม กำลังดูหนังสือสำหรับการสอบในครั้งนี้
(ขณะพูดอาจจะไม่ได้ดูหนังสือก็ได้)

3. ใช้แทนอนาคตที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า หรืออนาคตอันใกล้ มักมี adverb of time (tomorrow, next week, next month etc.) เช่น

I am asking him tomorrow (= I will ask him tomorrow.)
ฉันจะถามเขาพรุ่งนี้

He is leaving on Sunday (= He’ll leave on Sunday.)
เขาจะออกเดินทางในวันอาทิตย์

4. กริยาที่ไม่นิยมใช้รูป Present Continuous Tense คือ

4.1 กริยาแสดงความรู้สึกทางประสาททั้ง 5 เช่น
see = เห็น / notice = สังเกต / smell = ดมกลิ่น / taste = ชิม / hear = ได้ยิน / recognize = จำได้ / etc.

4.2 กริยาที่แสดงความรู้สึกทางอารมณ์ เช่น
love = รัก / like = ชอบ / dislike = ไม่ชอบ / adore = รักยิ่ง, บูชา / forgive = อภัย / wish = ปรารถนา, ต้องการ / care = เอาใจใส่ / desire = ปรารถนา / hate = เกลียด / want = ต้องการ / refuse = ปฏิเสธ

4.3 กริยาแสดงความคิด เช่น
think = คิด / know = รู้ / realize = ตระหนัก / recollect = จำได้ / suppose = คิด / recall = นึกได้ / expect = คาดหวัง / suppose = คิด / understand = เข้าใจ / mean = ตั้งใจ, หมายความว่า / believe = เชื่อ / forget = ลืม / trust = เชื่อ / remember = จำได้

4.4 กริยาอื่นๆ เช่น
seem = ดูราวกับว่า / appear (=seem) / hold = บรรจุ / belong = เป็นของ / own = เป็นเจ้าของ / contain = บรรจุ / possess = เป็นเจ้าของ / consist = ประกอบด้วย

Present Perfect Tense

โครงสร้าง present perfect tense (ปัจจุบันกาลสมบูรณ์)

ประธาน + have, has + Past Participle (คำกริยาช่อง 3)

ตัวอย่างประโยค

We have eaten American foods.
She has not (ย่อเป็น hasn’t) eaten Thai foods.
Has he smoked cigarettes?

สรุป หลักการใช้ Present Perfect Tense

1.แสดงถึงการกระทำที่เกิดขึ้นในอดีต แล้วเหตุการณ์ยังคงดำเนินต่อมาจนถึงปัจจุบัน(ขณะที่พูด) และมีแนวโน้มว่าจะเนินต่อไปในอนาคตมักจะมีคำว่า since, for

ตัวอย่างประโยค

Dr.Helen has lived in Bangkok since 1958.
ดร.เฮเลน อยู่ที่กรุงเทพตั้งแต่ ค.ศ.1958

I have studied in America for four years.
ฉันเคยเรียนที่อเมริกามาเป็นเวลา 4 ปี

2. แสดงการกระทำซึ่งเกิดขึ้นในอดีต และเพิ่งเสร็จสมบูรณ์ไปไม่นาน มักมี adverb เช่น just, yet etc. ประกอบด้วย

ตัวอย่างประโยค

I have just passed my friend’s house.
ฉันพึ่งผ่านบ้านเพื่อนของฉันมา

They have already finished housework.
พวกเขาทำงานบ้านเสร็จแล้ว

3. แสดงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต แต่ผลของการกระทำนั้นยังคงมาถึงปัจจุบันขณะที่พูด

ตัวอย่างประโยค

I have read this book before.
ฉันเคยอ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว

He has opened the door.
เขาได้เปิดประตูแล้ว (ผลของการกระทำยังอยู่ คือประตูเปิดอยู่)

4. เหตุการณ์ที่เคยทำซ้ำๆ กันหลายครั้งแล้วในอดีต อาจจะทำต่อไปในอนาคต แต่ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นเมื่อไรแน่ อาจไม่ได้บอกเวลาไว้ มักมี adverb of time เช่น many times, several times ในประโยคด้วย

ตัวอย่างประโยค

I have been to America many times.
ฉันได้ไปอเมริกาหลายครั้งแล้ว

She has read this book three times.
หล่อนเคยอ่านหนังสือเล่มนี้ 3 ครั้งแล้ว

He has eaten Thai food several times.
เขาเคยกินอาหารไทยหลายครั้งแล้ว

Present Perfect Continuous Tense

โครงสร้าง present perfect continuous tense (ปัจจุบันกาลสมบูรณ์กำลังกระทำ)

ประธาน + has, have + been + กริยาเติม ing

ตัวอย่างประโยค

I have been thinking.
ฉันกำลังคิด

They have been talking.
พวกเขากำลังพูดกัน

She has been living here for 2 weeks.
หล่อนอาศัยอยู่ที่นี่มา 2 สัปดาห์แล้ว

He has been studying hard all year.
เขาเรียนหนังสือหนักมาตลอดปี

สรุป หลักการใช้ Present Perfect Continuous Tense

1. ใช้แสดงการกระทำที่เกิดขึ้นในอดีต และดำเนินมาโดยไม่ขาดตอน

ตัวอย่างประโยค

John has been living in America since 1984.
จอห์นได้มาอยู่อเมริกาตั้งแต่ปี 1984

หมายเหตุ Present Perfect Continuous Tense นี้ ใช้เหมือน Present Perfect ต่างกันที่ว่า Present Perfect Continuous Tense ใช้เพื่อต้องการเน้นย้ำว่าการกระทำนั้นติดต่อกันมาตลอด และกริยาที่ใช้มักเป็นกริยาที่มีลักษณะต่อเนื่องได้ ปัจจุบันไม่ค่อยนิยมใช้เท่าไร

Past Simple Tense

โครงสร้าง past simple tense (อดีตกาล ธรรมดา)

ประธาน + กริยาช่อง 2

ตัวอย่างประโยค

She went home.
เธอกลับบ้าน

I came here last night.
ฉันมาที่นี่เมื่อคืน

สรุป หลักการใช้ Past Simple Tense

1. ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต และจบสิ้นลงไปแล้วในอดีตเช่นกัน มักมีคำว่า once, ago, last night, last week, last year etc.

ตัวอย่างประโยค

I got sick yesterday.
ฉันป่วยเมื่อวานนี้

I lived in Phuket 3 years ago.
ฉันอยู่ที่ภูเก็ตเมื่อ 3 ปีที่แล้ว

She went to the university last week.
หล่อนไปมหาวิทยาลัยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

2. แสดงเหตุการณ์ที่เป็นนิสัย ที่ทำเป็นประจำในอดีต (ปัจจุบันไม่ได้กระทำแล้ว) มักมี adverb ความถี่อยู่ในประโยคด้วย เช่น always, every, frequently etc.

ตัวอย่างประโยค

Mario walked every morning.
มาริโอ้เดินทุกๆ เช้า (เป็นนิสัยในอดีต ปัจจุบันไม่ได้ทำสิ่งนั้นแล้ว)

He always woke up late last year.
เขาตื่นนอนสายเสมอๆ เมื่อปีที่แล้ว

When I was young. I listened to the radio every night.
เมื่อฉันเป็นเด็ก ฉันฟังวิทยุทุกคืน

3. แสดงถึงการกระทำทั้งสองอย่างที่เกิดในเวลาเดียวกัน มักมีคำว่า as, while อยู่ด้วย

ตัวอย่างประโยค

While she sang, I danced.
ขณะที่หล่อนร้องเพลง ฉันเต้นรำ

As she cooked, her son played football.
ขณะที่หล่อนทำอาหาร ลูกชายของหล่อนก็เล่นฟุตบอล

Past Continuous Tense

โครงสร้าง past continuous tense (อดีตกาล กำลังกระทำ)

ประธาน + was, were + กริยาเติม ing

ตัวอย่างประโยค

I was drinking a glass of water.
ฉันกำลังดื่มน้ำ 1 แก้ว

They were playing football in the field.
เขากำลังเล่นฟุตบอลอยู่ในสนาม

สรุป หลักการใช้ Past Continuous Tense

1. ใช้เมื่อเหตุการณ์ 2 อย่าง เกิดขึ้นในอดีต โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและดำเนินอยู่ก่อนแล้วเราจะใช้ Past Continuous และมีเหตุการณ์ที่สองเกิดขึ้น จะใช้ Past Simple

ตัวอย่างประโยค

While I was cooking, the telephone rang.
ขณะฉันทำอาหารโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

We are walking along the street, it began to rain.
พวกเรากำลังเดินไปตามถนนฝนก็เริ่มตก

2. เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องในอดีต

ตัวอย่างประโยค

He was sleeping in the class.
ฉันกำลังหลับในห้องเรียน

He was running in the morning
เขากำลังวิ่งในตอนเช้า

3. แสดงเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน ในเวลาเดียวกัน มักมีคำว่า while ในประโยค

ตัวอย่างประโยค

While I was watching T.V, my brother was reading a book.
ขณะที่ฉันดูทีวี น้องชายของฉันอ่านหนังสือ

She was sleeping while he was talking with his friends.
หล่อนกำลังนอนหลับ ขณะที่เขากำลังพูดคุยกับเพื่อนของหล่อน

Past Perfect Tense

โครงสร้าง past perfect tense (อดีตกาลสมบูรณ์)

ประธาน + had + Past Participle (กริยาช่อง 3)

ตัวอย่างประโยค

She had slept.
หล่อนได้นอนหลับแล้ว

He had not worked.
เขาไม่ได้ทำงาน

I had eaten foods before you came.
ฉันได้รับประทานอาหารก่อนที่คุณจะมา

สรุป หลักการใช้ Past Perfect Tense

1. แสดงเหตุการณ์ 2 อย่าง ที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอดีต โดยเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นก่อน เราจะใช้ Past Perfect Tense และอีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดทีหลัง เราจะใช้ Past Simple Tense

ตัวอย่างประโยค

When I had finished my housework, I played T.V games.
เมื่อฉันทำงานบ้านเสร็จฉันก็เล่น T.V เกมส์ (ทำงานบ้านเสร็จก่อนแล้วจึงเล่น)

2. ใช้เปลี่ยน Past Simple หรือ Present Perfect ให้เป็น Indirect Speech เช่น

Direct Speech : “I have stayed in America for 2 years.” She said
หล่อนพูดว่า “ฉันเคยอยู่อเมริการมา 2 ปีแล้ว”

Indirect Speech : She said that she had stayed in America for 2 years.
หล่อนพูดว่าหล่อนเคยอยู่อเมริกามา 2 ปีแล้ว

Direct Speech : He said “I worked in Bangkok many years.”
เขาพูดว่า”ฉันเคยทำงานในกรุงเทพหลายปี”

Indirect Speech : He said that he had worked in Bangkok many years.
เขาพูดว่าเขาเคยทำงานในกรุงเทพหลายปี

Past Perfect Continuous Tense

โครงสร้าง past perfect continuous tense (อดีตกาลสมบูรณ์ กำลังกระทำ)

ประธาน + had been + กริยาเติม ing + กรรม หรือส่วนขยาย

ตัวอย่างประโยค

I had been sleeping.
ฉันกำลังนอนหลับ

She had been waiting for two hours.
หล่อนคอย 2 ช.ม. แล้ว

He had not (hadn’t) been walking before you came.
เขาไม่ได้กำลังเดินก่อนคุณมา

สรุป หลักการใช้ Past Perfect Continuous Tense

1. ใช้คล้ายๆ กับ Past Perfect ซึ่งเราใช้ก็ต่อเมื่อมีเหตุการณ์ 2 อย่าง เกิดขึ้นในอดีต โดยต้องการเน้นว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างไม่ขาดตอน เราใช้ Past Perfect Continuous Tense แล้วจากนั้นเกิดอีกเหตุการณ์หนึ่งขึ้นมา เราใช้ Past Simple Tense

ตัวอย่างประโยค

She had been living in America before she moved to Bangkok.
หล่อนอยู่อเมริการก่อนที่ย้านมาอยู่ที่กรุงเทพฯ

I had been waiting two hour before He arrived.
ฉันคอยเป็นเวลา 2 ชั่วโมงก่อนที่เขามาถึง

She had been reading for several hours when I saw her.
หล่อนกำลังอ่านหนังสือหลายชั่วโมง เมื่อฉันเห็นหล่อน

Future Simple Tense

โครงสร้าง future simple tense (อนาคต)

ประธาน + will + คำกริยาไม่ผัน

ตัวอย่างประโยค

I will go to see you tomorrow.
ฉันจะไปพบคุณพรุ่งนี้

They will eat.
พวกเขาจะกิน

Mary will run.
แมรี่จะวิ่ง

สรุป หลักการใช้ Future Simple Tense

1. ใช้แสดงเหตุการณ์หรือการกระทำในอนาคต มักมี adverb of time อยู่ด้วย เช่น tonight, tomorrow, next week, next month etc.

ตัวอย่างประโยค

I will meet him tomorrow.
ฉันจะไปพบเขาพรุ่งนี้

She is going to see the doctor next week.
หล่อนจะไปหาหมอสัปดาห์หน้า

The plane will arrive at the airport in a few minutes.
เครื่องบินจะมาถึงสนามบินในอีก 2-3 นาที

การใช้ be going to แทน will

1. ใช้ be going to + กริยาช่อง 1 (ไม่ผัน) เพื่อแสดงถึงความตั้งใจที่ได้คิดไว้ล่วงหน้าแล้ว หรือเชื่อว่าเป็นจริง อย่างนั้นโดยไม่สงสัย

ตัวอย่างประโยค

I am studying hard: I am going to try for scholarship.
ฉันกำลังเรียนหนังสืออย่างหนัก ฉันพยายามเพื่อสอบชิงทุนการศึกษา

She is going to write to her parents.
หล่อนตั้งใจว่าจะเขียนจดหมายถึงพ่อแม่ของเธอ

She has bought flour: She is going to make cake.
หล่อนซื้อแป้งมา หล่อนจะทำเค้ก

2. ใช้ be going to + กริยาช่อง 1 เพื่อแสดงการคาดคะเน

ตัวอย่างประโยค

I think it is going to rain.
ฉันคิดว่าฝนจะตก (อย่างแน่นอน)

Future Continuous Tense

โครงสร้าง future continuous tense (อนาคต กำลังกระทำ)

ประธาน + will + be + กริยาเติม ing + กรรม หรือส่วนขยาย

ตัวอย่างประโยค

I will be running.
ฉันจะกำลังวิ่ง

I will be working tomorrow.
ฉันจะกำลังทำงานพรุ่งนี้

We will be drinking.
เราจะกำลังดื่ม

สรุป หลักการใช้ Future Continuous Tense

1. แสดงเหตุการณ์หรือการกระทำที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งเหตุการณ์นั้นจะกำลังดำเนินอยู่

ตัวอย่างประโยค

At ten o’clock tomorrow morning. I will be waiting my friend.
เวลา 10 โมงเช้าพรุ่งนี้ ฉันจะกำลังรอเพื่อน

I will be cooking at 5 o’clock tomorrow evening.
ฉันจะทำอาหารตอน 5 โมงเย็นพรุ่งนี้

He will be sleeping at 4 o’clock tomorrow morning.
เขากำลังหลับตอน 4 โมงเช้าพรุ่งนี้

2. ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่เกิดขึ้น โดยเหตุการณ์ที่เกิดก่อนใช้ Future Continuous Tense ส่วนเหตุการณ์หลังใช้ Present Simple Tense

ตัวอย่างประโยค

They will be playing football when you arrive at their house.
เขาจะกำลังเล่นฟุตบอลอยู่ เมื่อคุณมาถึงบ้านของเขา (เล่นก่อนที่คุณจะถึงบ้าน)

When he calls to you, she will be going to the market.
เมื่อเขาโทรมาหาคุณ หล่อนกำลังไปตลาด

Future Perfect Tense

โครงสร้าง future perfect tense (อนาคตกาลสมบูรณ์)

ประธาน + will + have + กริยาช่อง 3

ตัวอย่างประโยค

I will have eaten.
ฉันจะกินอยู่แล้ว

Siri will have gone.
สิริไปแล้ว

He will have finished his work.
เขาจะเสร็จงานของเขาแล้ว

สรุป หลักการใช้ Future Perfect Tense

1. ใช้เมื่อคิดว่า ณ เวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต เหตุการณ์หรือการกระทำจะสิ้นสุดลง โดยมักมีคำเหล่านี้ เช่น by that time, by then, by tomorrow, by next year, by next week, by at ten o’clock in two hours etc.

ตัวอย่างประโยค

I will have slept in three hours.
ฉันจะนอนเสร็จใน 3 ชั่วโมง

They will have finished the new road by next week.
พวกเขาจะทำถนนใหม่เสร็จในสัปดาห์หน้า

2. ใช้กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกัน โดยคาดว่าเมื่อถึงเวลานั้นเหตุการณ์หนึ่งจะเสร็จสมบูรณ์ เราจะใช้ Future Perfect Tense กับเหตุการณ์นั้น และจะเกิดเหตุการณ์ที่ 2 ตามมา เราจะใช้ Present Simple Tense

ตัวอย่างประโยค

By the time you arrive, I will have finished homework.
เมื่อเวลาที่คุณมา ฉันก็ทำการบ้านเสร็จพอดี

She will have eaten foods before you came.
หล่อนรับประทานอาหารเสร็จก่อนที่คุณจะมา

The movie will have started before we reach the theater.
ภาพยนตร์เริ่มฉายก่อนที่พวกเราจะมาถึงโรงภาพยนตร์

Future Perfect Continuous Tense

โครงสร้าง future perfect continuous tense (อนาคตกาลสมบูรณ์ กำลังกระทำ)

ประธาน + will + have + been + กริยาเติม ing + กรรม หรือส่วนขยาย

ตัวอย่างประโยค

I will have been working.
เราคงจะทำงาน (ติดต่อกัน)

He will have been running.
เขาคงจะวิ่ง (ติดต่อกัน)

สรุป หลักการใช้ Future Perfect Continuous Tense

หลักการใช้ Tense นี้ เน้นให้เห็นถึงการต่อเนื่องของการกระทำว่าถึงเวลานั้นในอนาคต การกระทำนั้นยังคงดำเนินอยู่ และจะดำเนินต่อไปอีก (ยังไม่หยุด)

ตัวอย่างประโยค

By ten o’clock I will have been working without a rest.
ถึงตอน 10 โมง ฉันได้ทำงาน (ติดต่อกันมา) โดยไม่พัก

When you arrive, she will have waiting for three hours.
เมื่อคุณถึง หล่อนคงจะรอคุณ (โดยไม่หยุดรอ) เป็นเวลา 3 ชั่วโมง

สรุป 12 tense สั้นๆ ง่ายๆ

สรุป Present Simple Tense

Present Simple ใช้เมื่อเป็นการกล่าวถึงสิ่งที่เป็นกิจวัตรประจำวัน หรือสิ่งที่ทำเป็นประจำ หรือ สิ่งที่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดเวลาเป็นปกติ หรือเป็นความจริง

ตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษ

Somchai usually plays tennis on Sunday.
Sue reads the newspaper every day.
Earth revolves around the sun.

สรุป Present Continuous Tense

Present Continuous ใช้เมื่อกล่าวถึงการกระทำที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะปัจจุบัน ในขณะที่ผู้พูดกำลังพูดอยู่ และกำลังดำเนินต่อไปในอนาคต

ตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษ

Sue is reading the newspaper now.
Jame is playing tennis with Jack right now.

สรุป Present Perfect Tense

Present Perfect ใช้เมื่อมีเหตุการณ์ดังต่อไปนี้ คือ

1. ใช้กับเหตุการณ์ที่เพิ่งจบลงไป

ตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษ
Jame has just finished his homework.

2. ใช้ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซ้ำ ๆ หลาย ๆ ครั้งในอดีตโดยไม่ระบุระยะเวลาที่แน่นอน

ตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษ
Jame has eaten at this restaurant many times.

3. ใช้กับ since หรือ for ประโยคจะกล่าวถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและดำเนินจนถึงปัจจุบัน

ตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษ
Jame has lived in Bangkok since 1985.
Sue has known Anny for five years.

หมายเหตุ คำเหล่านี้มักใช้ใน Perfect Tense
just , often , never , over , yet , since , already , for , etc.

สรุป Present Perfect Continuous Tense

Present Perfect Continuous ใช้เมื่อต้องการแสดงถึงเหตุการณ์เกิดขึ้นในอดีตและดำเนินอยู่ในปัจจุบัน และจะดำเนินต่อไป

ตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษ
Sue has been talking to John on the phone for fifty minutes.

สรุป Past Simple Tense

Past Simple ใช้เมื่อต้องการกล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบไปแล้วในอดีต สังเกตจากประโยคนั้นจะเป็นประโยคที่แสดงความเป็นอดีต เช่น เมื่อวานนี้ ปีที่แล้ว หรือ ปี พ.ศ. ที่ผ่านมาแล้ว

ตัวอย่างประโยค
Sue played tennis with Jame yesterday.
Mary saw Jame at the post office last week.

สรุป Past Continuous

Past Continuous ใช้เมื่อต้องการกล่าวถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในอดีต ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งที่แน่นอนในอดีต หรือขณะที่เหตุการณ์หนึ่งดำเนินอยู่

ตัวอย่างประโยค
Sue was playing tennis with Jame when I came.
While Jame was talking a shower , the phone rang.

สรุป Past Perfect Tense

Past Perfect จะใช้ในเหตุการณ์ดังต่อไปนี้

1. ใช้ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ณ เวลาใดเวลาหนึ่งในอดีตและสิ้นสุดในอดีตไปแล้ว

ตัวอย่างประโยค
Jame had seen Anny five years before.

2. ใช้ในเหตุการณ์ที่เกิด 2 เหตุการณ์ในอดีต และต้องการแสดงลำดับเหตุการณ์ว่าเหตุการณ์ใดเกิดก่อน

ตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษ
Jame had finished my homework before Anny arrived.

สรุป Past Perfect Continuous Tense

Past perfect Continuous ใช้ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต และดำเนินมาถึงจุดจุดหนึ่งในอดีต

ตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษ
At that time, Jame had been writing a novel for 3 months.

When Sue came to this university in 1985, Prof. Johnson had already been teaching here for 4 years.

สรุป Future Simple Tense

Future Simple ใช้เมื่อต้องการกล่าวถึงเหตุการณ์ในอนาคต สามารถใช้ will (shall ใช้กับ I หรือ We แต่ในปัจจุบันนิยมใช้ will แทน shall) ซึ่งมีความหมายเดียวกันเมื่อใช้เกี่ยวกับเรื่องอนาคต

ตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษ
Jame will leave tomorrow.
We shall leave tomorrow.

สรุป Future Continuous Tense

Future Continuous ใช้กับเหตุการณ์ดังนี้คือ

1. ใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นอยู่ในอนาคต
When I get home, my son will be watching TV.

2. ใช้กับเหตุการณ์ในอนาคตที่ถูกกำหนดไว้แล้ว
Sue will be staying here till Monday.

สรุป Future Perfect Tense

Future Perfect ใช้กับเหตุการณ์ที่จะจบสมบูรณ์ในอนาคต

ตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษ
Before you go to see him, he will have left that place.

สรุป Future Perfect Continuous Tense

Future Perfect Continuous ใช้กับเหตุการณ์ที่ดำเนินไปช่วงหนึ่งและจะจบลงในอนาคต

ตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษ
When Jame gets his degree, he will have been studying at Harvard University for four years.


สรุปคลิปเดียวจบ *V-ing* ใช้ยังไง?


สรุปสั้น การใช้ V ing 4 งานหลักๆ
1) กำลังเกิดขึ้น
2) จวนจะเกิดขึ้น
3) Present Perfect Con.
4) Gerund

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูเพิ่มเติม

สรุปคลิปเดียวจบ  *V-ing*  ใช้ยังไง?

หลักการเติม s และ es หลังคำกริยา


หลักการเติม s และ es หลังคำกริยา

Grammar Quiz – Add: s / es / ies


For a free printable version of this quiz, please visit: https://www.allthingsgrammar.com/addsoresories.html
Follow me on Facebook: https://www.facebook.com/FreeESLHandouts114600995237370

Grammar Quiz - Add: s / es / ies

หลักการเติม ing EP 1


ลองฝึกและทบทวนกันบ่อยๆนะคะ

หลักการเติม ing EP 1

การเติม s, es, ies ที่คำกริยา


มาทบทวนการเติม s, es, ies ที่คำกริยากันครับ

การเติม s, es, ies ที่คำกริยา

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูวิธีอื่นๆLEARN FOREIGN LANGUAGE

ขอบคุณมากสำหรับการดูหัวข้อโพสต์ แบบฝึกหัดการเติม s es ies หลังคํากริยา

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *