Skip to content
Home » [NEW] ที่เที่ยวนิวยอร์ก อเมริกา เก็บหมดทุกจุดเช็กอินเด็ดและมุมถ่ายรูปสุดฮอต | นิวยอร์ก ประเทศ – NATAVIGUIDES

[NEW] ที่เที่ยวนิวยอร์ก อเมริกา เก็บหมดทุกจุดเช็กอินเด็ดและมุมถ่ายรูปสุดฮอต | นิวยอร์ก ประเทศ – NATAVIGUIDES

นิวยอร์ก ประเทศ: นี่คือโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้

           ที่เที่ยวนิวยอร์ก อเมริกา ที่เที่ยวต่างประเทศที่ใคร ๆ ก็อยากไปเยือนสักครั้ง มีทั้งแลนด์มาร์กห้ามพลาด และมุมถ่ายรูปสวย ๆ มีเอาไว้ลงโซเชียลได้ทั้งปี

Table of Contents

1. Central Park

2. อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพ (Statue of Liberty)

3. สะพานบรูคลิน (Brooklyn Bridge)

4. ไทม์สแควร์ (Time Square)

5. ฟิฟท์ อเวนิว (Fifth Avenue)

6. The High Line

7. หอสมุดประชาชนนิวยอร์ก (The New York Public Library)

8. St. Patrick’s Cathedral

9. Washington Square Park

10. ตึกแฟลตไอออน (Flatiron Building)

11. เกาะเอลลิส (Ellis Island)

12. ตึกเอ็มไพร์สเตต (Empire State Building)

13. พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิแทน (The Metropolitan Museum of Art)

พิพิธภัณฑ์ศิลปะที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของอเมริกา ตั้งอยู่บนถนนฟิฟท์ อเวนิว (Fifth Avenue) ฝั่งเซ็นทรัลปาร์ก ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1870 เป็นสถานที่แสดงงานศิลปะหลากหลายแขนง รวบรวมมาทั้งงานจิตรกรรม ศิลปะอเมริกัน ศิลปะสมัยใหม่ ศิลปะจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก รวมถึงวัตถุโบราณจากสถานที่ต่าง ๆ เช่น อียิปต์, เอเชีย และยุโรป รวมทั้งมีผลงานถาวรจัดแสดงอยู่มากกว่า 2 ล้านชิ้น แบ่งห้องจัดแสดงออกเป็น 19 แผนก นอกจากนี้ยังมีนิทรรศการหมุนเวียนจัดตลอดทั้งปี และมีห้องสมุด The Robert Goldwater Library ตั้งอยู่ด้วย ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ metmuseum.org

14. One World Trade Center & 9/11 Memorial & Museum

15. Rockefeller Center

คอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่ใจกลางนครนิวยอร์ก ตั้งอยู่บนฟิฟท์ อเวนิว (Fifth Avenue) เป็นกลุ่มอาคารในเครือ Rockefeller ซึ่งมีทั้งหมด 19 อาคารพาณิชย์ ครอบคลุมพื้นที่มากถึง 22 เอเคอร์ โดยแต่ละอาคารก็เป็นที่ตั้งของสำนักงานต่าง ๆ สถานีโทรทัศน์ รวมทั้งห้างร้าน ร้านอาหาร และร้านกาแฟชื่อดังระดับโลกมากมาย มีจุดชมวิวอยู่ที่อาคารสูงบนถนน 50th Street โดยใช้ชื่อว่า Top of The Rock นอกจากนี้บริเวณลานกว้างใจกลางอาคารต่าง ๆ เหล่านี้ ยังถูกใช้เป็นลานไอซ์สเกตในฤดูหนาว มีต้นคริสต์มาสขนาดใหญ่ให้มาถ่ายรูปสวย ๆ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ rockefellercenter.com

16. Grand Central Terminal

17. ย่านวอลสตรีท (Wall Street)

18. Chelsea Market

19. พิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ (Museum of Modern Art : MoMA)

20. The Vessel

21. Washington Street

22. ละครบรอดเวย์ (Broadway theatre distric)

          ละครเพลงได้เข้ามาในอเมริกาช่วงราวต้นศตวรรษที่ 20 โดยรับอิทธิพลมาจากทางฝั่งยุโรป ช่วงแรก ๆ จะผสมผสานระหว่างโอเปร่าและการแสดง และพอผ่านไปสักระยะ มีการพัฒนาและปรับเปลี่ยนรูปแบบการแสดง ผสมผสานเพลงป๊อป เปลี่ยนฉาก เนื้อหาหลากหลาย จนทำให้กลายเป็นละครเพลงแบบอเมริกันโดยแท้ และได้รับความนิยมจากชาวอเมริกัน เรียกได้ว่าเป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งที่ต้องทำในช่วงหยุดสุดสัปดาห์กันไปเลยล่ะ ซึ่งกระแสของการชมละครเวทีก็ยังได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบัน

          โดยจุดที่เป็นดั่งแลนด์มาร์กของละครเวทีในนิวยอร์กจะอยู่ที่ถนนบอร์ดเวย์ ใกล้กับไทม์สแควส์ ด้วยบริเวณนี้มีโรงละครดัง ๆ ตั้งอยู่หลายแห่ง มีละครเพลงที่น่าสนใจหลายเรื่องให้ได้ชม เช่น Aladdin, Chicago, Frozen, The Lion King, A Soldier’s play, Ain’t Too Proud, The Phantom of the Opera, Wicked  เป็นต้น

[NEW] ‘เคธี โฮชู’ ผู้หญิงคนแรก นั่งผู้ว่าฯนิวยอร์ก ในประวัติศาสตร์รัฐ 233 ปี | นิวยอร์ก ประเทศ – NATAVIGUIDES

บทบาทนางโฮชู ในฐานะรองผู้ว่าฯนิวยอร์ก ยังเป็นประธานสภาพัฒนาเศรษฐกิจจำนวน 11 แห่ง ที่ลงทุนในโครงการต่างๆ ทั่วรัฐนิวยอร์ก และนางโฮชู ยังเป็นประธานร่วมคณะทำงานเพื่อต่อต้านการใช้เฮโรอีนและฝิ่น รวมทั้งเป็นผู้นำในการรณรงค์ “ความพอเพียงคือเพียงพอ” (Enough is Enough) ของนายคัวโม เมื่อปี 2561 เพื่อต่อสู้กับ “การล่วงละเมิดทางเพศ” ในวิทยาเขตของวิทยาลัยต่างๆ

นางโฮชู สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยซีราคัวส์ ในนครนิวยอร์กปี 2523 และได้รับปริญญาด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยคาธอลิกในกรุงวอชิงตันในปี 2527 

นางโฮชู เคยทำงานในสำนักงานกฎหมายแห่งหนึ่งในวอชิงตัน ซึ่งเธอทำหน้าที่ผู้ช่วยด้านกฎหมายให้กับนายจอห์น ลาฟาลส์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรัฐนิวยอร์ก และแดเนียล แพทริค มอยนิฮาน วุฒิสมาชิกและบุคคลสำคัญทางการเมืองของรัฐ โดยในช่วงเวลาที่เธออยู่ในสภาคองเกรส นางโฮชูช่วยร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปการเงินของการหาเสียงและการโยกย้ายถิ่นฐาน


10เมืองน่าเที่ยวอเมริกาที่ชีวิตนี้ไม่ควรพลาด!


นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูเพิ่มเติม

10เมืองน่าเที่ยวอเมริกาที่ชีวิตนี้ไม่ควรพลาด!

พาย้ายประเทศมานิวยอร์ก 🗽 | ทัวร์ย่านคนไทยในอเมริกา 🇺🇸🇹🇭


ย้ายประเทศ โยกย้ายส่ายสะโพก นิวยอร์ก ย่านคนไทยในอเมริกา คนไทยในนิวยอร์ก ย้ายประเทศมาอเมริกา ออแพร์ ออแพร์ไทย ไทยออแพร์ ออแพร์ไทยในอเมริกา ออแพร์นิวยอร์ก ThaiAupair เที่ยวNewYork

พาย้ายประเทศมานิวยอร์ก 🗽 | ทัวร์ย่านคนไทยในอเมริกา 🇺🇸🇹🇭

CHINESE COMPANIES ARE FAILING! China’s real estate projects in London, New York Sydney bite the dust


China’s real estate projects in London, New York, Sydney, and Los Angeles bite the dust.
The Chinese real estate crisis is now crossing China’s borders and destroying China’s prestige and soft power in the Western world. As per Reuters, China’s property sector woes could now spell trouble for some prestigious megaprojects in top international cities like London, New York, and Sydney as the concerned developers are now scrambling for cash.
China’s top international property developers struggle amidst a real estate crisis
Chinese real estate giants have spent the last one decade competing with each other for building taller skyscrapers across the world. But with the ongoing debt crisis in China and tight liquidity in Chinese real estate majors, it seems that they will have to sell their assets to meet their liabilities.
Take Shanghaibased Greenland Holdings for instance. It is in a delicate position in terms of the growing debt component in its balance sheet just like Evergrande. The real estate giant has built some major projects including Sydney’s tallest residential tower. It also plans to do the same in London and is involved in projects worth billions of dollars in some of the most highprofile cities across the world like Brooklyn, Los Angeles, Paris, and Toronto.
Greenland Holdings has promised that it will remain committed to building its flagship projects including the 235 metrehigh Spire London tower. However, the stressed company recently put one of its major London sites on sale earlier this year.
Chinese property developers selling sizeable assets to meet nearterm debt
Greenland Holdings is just an example, many other firms looking to sell their assets to meet shortterm debt maturities. Evergrande and Kaisa Group, which had defaulted way back in 2015, are looking to sell Hong Kong buildings to get some cash for meeting their nearterm liabilities. On the other hand, Oceanwide Holdings too had what was meant to be San Francisco’s tallest tower seized by disgruntled creditors.
Omotunde Lawal, head of emergingmarkets corporate debt at asset manager Barings, said, “I suspect, as with anything, if you’re running into liquidity issues you start to look to sell your investment properties.”
As per Lawal, many Chinese firms had, in fact, paid over and above market rates in a mad competition to secure prime locations for building new towers. However, now that they don’t have any money left to meet upcoming liabilities, these Chinese firms are compelled to sell their overpaid assets for getting some liquidity. Lawal added, “Probably they are unlikely to get cost, so I think it depends on just how desperate they get.”
Guangzhou R\u0026F Properties, another major Chinese property developer, has come under the scanner as it is facing a monumental cash crunch, which sums up China’s real estate crisis. The developer currently has two unfinished projects in London, one of which includes a dozen skyscrapers at a prime location next to Thames. The group also has numerous buildings in Australia, Canada, and the United States.
An R\u0026F spokesperson claimed that the property developer remains “fully committed” to all its British projects. However, the situation is really bad because Guangzhou R\u0026F Properties has around $8 billion of debt getting due over the next 12 months, and only $2 billion in cash handy to meet whatever liabilities it can. Worse still, sales went down nearly 30% yearonyear last month and major credit rating agencies believe that R\u0026F will need to sell some of its investments now. Fitch estimates that the real estate group has $130 billion of assets that could get sold.

CHINESE COMPANIES ARE FAILING! China’s real estate projects in London, New York Sydney bite the dust

[สารคดี] ประตูสู่นครนิวยอร์ก


สารคดีตอน ประตูสู่นครนิวยอร์ก
เดิมทีนิวยอร์กเป็นที่อยู่ของชนอเมริกันพื้นเมืองที่เรียกว่า “เลนาเป” (Lenape) ขณะนั้นมีประชากรประมาณ 5,000 คน ซึ่งอาศัยดินแดนแห่งนี้อยู่นานนับพันปี ก่อนที่จิโอวานี เดอ เวเรซาโน่ (Giovanni da Verrazzano) นักเดินเรือชาวอิตาเลียนจะค้นพบนิวยอร์กใน ค.ศ. 1524[14] โดยได้รับคำบัญชาจากราชวงศ์ฝรั่งเศส และเรียกดินแดนแห่งนี้ว่า “Nouvelle Angoulême” (New Angoulême ในภาษาอังกฤษ)
แมนแฮตตันส่วนใต้ใน ค.ศ. 1660 ขณะนั้นเป็นส่วนหนึ่งของนิวอัมสเตอร์ดัม
ค.ศ. 1614 ชาวยุโรปได้เข้ามาตั้งรกรากอย่างจริงจัง โดยเริ่มก่อตั้งชุมชนค้าผ้าขนสัตว์ของชาวดัตช์ และเรียกดินแดนแห่งนี้ว่า \”นิว นีเดอร์แลนด์\” (“Nieuw Nederland” ในภาษาดัตช์) เรียกท่าเรือและเมืองในตอนใต้ของเกาะแมนแฮตตันว่า “นิวอัมสเตอร์ดัม” (Nieuw Amsterdam ในภาษาดัตซ์) มี Peter Minuit เป็นผู้ปกครองอาณานิคมนี้ ซึ่งต่อมาเขาได้ซื้อเกาะแมนแฮตตันทั้งหมดจากชนพื้นเมือง ใน ค.ศ. 1626 มูลค่าทั้งหมด 60 กิลเดอร์ (Guilders) หรือประมาณ $1,000 ในปัจจุบัน (ค.ศ. 2006) [16] แต่ต่อมามีข้อพิสูจน์ว่าไม่จริง กล่าวคือ เกาะแมนฮัตตันถูกซื้อไปด้วยลูกปัดที่ทำจากแก้วในราคา $24[17] ก่อนที่อังกฤษจะเข้ายึดครองเป็นอาณานิคมของตนใน ค.ศ. 1664 และเปลี่ยนชื่อเมืองใหม่ว่า “นิวยอร์ก” เพื่อเกียรติให้กับ \”ดยุคแห่งยอร์คและอัลแบนี\” (English Duke of York and Albany) ขณะนั้นคือสมเด็จพระเจ้าเจมส์ที่ 2 แห่งอังกฤษ[18] ในช่วงปลายสงครามแองโกลดัตช์ครั้งที่ 2 ชาวเนเธอร์แลนด์ได้ยึดครองเกาะรัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประเทศอินโดนีเซียปัจจุบัน และเป็นสิ่งที่มีค่ามากในขณะนั้น แลกกับการให้อังกฤษยึดครองนิวอัมสเตอร์ดัม หรือนิวยอร์กในดินแดนอเมริกาเหนือ ส่งผลให้ต่อมาใน ค.ศ. 1700 ประชากรชาวเลนาเปลดลงเหลือเพียง 200 คน
ภายใต้กฎระเบียบของอังกฤษ นิวยอร์กได้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วกลายเป็นเมืองท่าขนาดใหญ่ที่สำคัญอย่างยิ่ง ใน ค.ศ. 1754 มีการก่อตั้งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ที่ได้รับสิทธิจากสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 2 แห่งบริเตนใหญ่ เช่นเดียวกับ มหาวิทยาลัยคิงส์คอลเลจ (King’s College) ที่แมนแฮตตันตอนใต้ ก่อนที่จะเกิดการปฏิวัติอเมริกา (American Revolution War) เนื่องจากอาณานิคมทั้งสิบสามที่อยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษต้องการแยกตัวออกเป็นอิสระ และได้ทำการประกาศอิสรภาพในวันที่ 4 กรกฎาคม 1776 นำโดยจอร์จ วอชิงตัน ผู้บัญชาการกองทัพภาคพื้นทวีปของฝ่ายอาณานิคม (Continental Army) มีการรบกับกองทัพอังกฤษทางตอนเหนือของแมนแฮตตัน และบรูคลิน จนกระทั่งสงครามได้สิ้นสุดลงใน ค.ศ. 1783 โดยชัยชนะเป็นของอดีตอาณานิคม
ภายหลังสงครามยุติลงได้มีการจัดประชุมและประกาศให้นิวยอร์กเป็นเมืองหลวง (จนถึง ค.ศ. 1790[11]) ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกา (United States Constitution) จอร์จ วอชิงตัน ได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาคนแรก และเข้าแถลงต่อสภาคองเกรสใน ค.ศ. 1789 รวมทั้งมีการร่างกฎบัตรว่าด้วยสิทธิของชาวอเมริกัน (United States Bill of Rights) ณ เฟดเดอรัลฮอล (Federal Hall) (ปัจจุบันคืออนุสรณ์สถานแห่งชาติ) ที่วอลล์สตรีท และถือเป็นการเริ่มต้นดินแดนใหม่ที่ถูกเรียกว่า \”สหรัฐอเมริกา\” ก่อนที่จะแผ่ขยายอาณาเขตของตนเองจาก 13 รัฐไปถึง 50 รัฐกับอีกหนึ่งเขตปกครองกลาง
ใน ค.ศ. 1898 ได้มีการยกระดับฐานะของนิวยอร์กโดยการรวมเอาบรูคลิน เคาน์ตี้ นิวยอร์ก (ซึ่งรวมถึงส่วนของเดอะบรองซ์ด้วย) เคานตี้ ริชมอนด์ และส่วนตะวันตกของเคาน์ตี้ ควีนส์ เป็นหนึ่งเดียวกัน ให้เป็นมหานครนิวยอร์กมาถึงปัจจุบัน

แหล่งรวมสารคดีต่างๆจากทั่วโลก
เปิดเผยความลับๆต่างๆที่คุณอาจไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนไหนชีวิต

อย่าลืมกดติดตาม สั่นกระดิ่ง
จะได้ไม่พลาดวิดีใหม่ๆของเรา

[สารคดี] ประตูสู่นครนิวยอร์ก

ทดลองย้ายประเทศทั้งครอบครัว EP.1 หาบ้านที่นิวยอร์กไม่ง่ายอย่างที่คิด


Facebook fanpage : https://www.facebook.com/allbyonoum/
IG : https://www.instagram.com/allbyonoum/
ติดต่องานได้ที่ คุณต้อง 0926382844

ทดลองย้ายประเทศทั้งครอบครัว EP.1 หาบ้านที่นิวยอร์กไม่ง่ายอย่างที่คิด

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูบทความเพิ่มเติมในหมวดหมู่LEARN FOREIGN LANGUAGE

ขอบคุณที่รับชมกระทู้ครับ นิวยอร์ก ประเทศ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *