Skip to content
Home » [NEW] ทฤษฎี Elliott Wave (อีเลียตเวฟ) คืออะไร [แบบละเอียด] | รูป แบบ คือ อะไร – NATAVIGUIDES

[NEW] ทฤษฎี Elliott Wave (อีเลียตเวฟ) คืออะไร [แบบละเอียด] | รูป แบบ คือ อะไร – NATAVIGUIDES

รูป แบบ คือ อะไร: คุณกำลังดูกระทู้

Elliott Wave คือ ทฤษฏีที่ใช้สำหรับ วิเคราะห์ตลาด จากพื้นฐานแนวคิดรูปแบบราคา บนกรอบเวลา (Timeframe) ขนาดเล็ก และ ในกรอบเวลาขนาดใหญ่ โดยรูปแบบราคาเหล่านี้ จะเป็นการบ่งบอกถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต

R.N. Elliott เป็นผู้คิดค้นทฤษฏีในปี ค.ศ.1930 และหลังจากนั้น Robert Prechter ได้นำมาปรับปรุงต่อ จนเป็นที่นิยม ช่วงปี ค.ศ.1970 โดยกล่าวถึง พฤติกรรมการซื้อขายของคนหมู่มาก ที่ทำให้เกิดเทรนแนวโน้ม โดยทฤษฏียังเอ่ยถึงการแสดงออกทางกายภาพ และจิตวิทยาที่เกิดขึ้นบนโลก และรูปแบบเหล่านี้ไม่เพียงแต่ปรากฏในตลาดหุ้น แต่เกิดในทุกที่ ที่มนุษย์มีการตัดสินใจลักษณะเป็นกลุ่ม

Table of Contents

ความหมายแต่ละคลื่นของ Elliott Wave

Motive Waves

Source: https://school.stockcharts.com

ครึ่งแรกของคลื่น Elliott คือ Motive Wave คลื่นที่เคลื่อนไหวไปตามเทรนแนวโน้มใหญ่ โดยแบ่งออกเป็นคลื่นเล็กๆ อีก 5 คลื่นย่อย (1, 2, 3, 4, 5) ตามที่แสดงในกราฟด้านบน และภายใน Motive Wave จะมีคลื่นย่อยขนาดเล็กอีก 2 ประเภท คือ Impulse Wave, Diagonal Wave

สามารถสังเกตได้จากกราฟ คลื่นย่อยทั้ง 3คลื่น คือ คลื่น1, 3, 5 จะเป็นเคลื่อนไปตามเทรนแนวโน้มหลัก และอีก 2 คลื่น คือ คลื่น 2, 4 จะเป็น Corrective Wave ที่มีทิศทางสวนเทรนแนวโน้มหลัก โดยคลื่นที่ 1, 3, 5 ของ Motive Wave จะถูกเรียกว่า Actionary ดังนั้นจึงง่ายต่อการสังเกต

กฎ 3 ข้อ สำหรับ Motive Wave

1) คลื่นที่ 2 จะไม่ร่วงลงไปต่ำกว่า จุดเริ่มต้นของคลื่นที่ 1 เสมอ

2) คลื่นที่ 4 จะไม่ร่วงลงไปต่ำกว่า จุดเริ่มต้นของคลื่นที่ 3 เสมอ

3) คลื่นที่ 3 จะเป็นคลื่นที่เดินทางไกลที่สุด ยาวกว่าคลื่นที่1 และไม่เป็นคลื่นที่สั้นที่สุด

หากพิจารณาคลื่นย่อยทั้ง 5 คลื่น และ คลื่นปรับของคลื่นย่อย ที่มี 3 คลื่น ของ Motive wave ขนาดใหญ่ จะมีลักษณะ ดังกราฟด้านล่าง ในกรณีนี้ คลื่นย่อย ทั้ง 5 คลื่น อยู่ในทิศทางเทรนแนวโน้มใหญ่ ทำให้เกิดโครงสร้าง Motive wave ในรูปแบบ 5-3-5-3-5

Source: https://school.stockcharts.com

Corrective Waves

Source: https://school.stockcharts.com

โดยทั่วไปแล้ว Corrective Wave จะมีโครงสร้างเป็น 3 คลื่นย่อย ดังภาพตัวอย่าง ประกอบด้วย คลื่น A, B, C และ Corrective Wave นี้ สามารถทำให้เข้าใจผิดได้ โดยในส่วนรายละเอียดของ Corrective Wave จะอธิบายในภายหลัง แต่วัตถุประสงค์หลัก ก็คือ Corrective Wave จะมีเพียง คลื่นย่อย 3 คลื่น เท่านั้น

หากดูโครงสร้าง จะพบว่า คลื่น A และ คลื่น C ทั้งสองนี้ มีเทรนแนวโน้มแบบเดียวกัน และ คลื่น B จะเป็นคลื่นที่ มีทิศทางสวนกับเทรนแนวโน้มหลัก และการปรับตัวของคลื่นนี้ จะมีรูปแบบโครงสร้าง 5-3-5

Source: https://school.stockcharts.com

การรวมตัวกันของ Motive Wave และ Corrective Wave คือรูปแบบโครงสร้างทั่วไปของ Elliott Wave Cycle และมีทั้งหมด 8 คลื่น โดย Motive Wave จะมี 5 คลื่น (1 2 3 4 5) โดยทิศทางการเคลื่อนไหว เป็นไปตามเทรนแนวโน้มหลักและมี Corrective Wave 3 คลื่น (A B C) ที่มีทิศทางการเคลื่อนไหว จะสวนทางกับเทรนแนวโน้มหลัก

Complete 8 Wave Bullish Cycle

Source: https://school.stockcharts.com

เมื่อครั้ง Elliott ยังมีชีวิตอยู่ เขาได้สังเกตว่า การเคลื่อนไหวของตลาดมักเกิดโครงสร้าง 5-3 ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จึงเป็นที่มาของรากฐานโครงสร้างทฤษฏี Elliott Wave Cycle

จากกราฟด้านบน เป็นการแสดงลำดับ ของคลื่นทั้ง 8 โดยประกอบด้วย Motive Wave ทั้ง 5 คลื่น และ Corrective Wave ทั้ง 3 คลื่น และสามารถสังเกตได้ ตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งโครงสร้าง 5-3 เป็นโครงสร้างมาตรฐาน เพื่อความชัดเจน และสังเกตเห็นความผันผวน ของตลาด ไม่ว่าจะเป็น ขาขึ้น หรือ ขาลง

ในเทรนแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) จะมีรูปแบบการปรับตัวขึ้น คือ 5 คลื่น ที่พุ่งทะยานขึ้นไป และ 3 คลื่นปรับตัวลง แต่ในเทรนแนวโน้มขาลง (Downtrend) จะมีรูปแบบการปรับตัวลง คือ 5 คลื่น ที่ปรับตัวลง และ 3 คลื่น ที่ปรับตัวขึ้น

Source: https://school.stockcharts.com

จากกราฟด้านบน แสดงโครงสร้างของ คลื่นทั้ง 8 ในช่วงที่ตลาดจะปรับตัวลง และเป็นการร่วงลงมาต่ำกว่าจุดเริ่มต้น หากเกิดรูปแบบขึ้น ในเทรนแนวโน้มใหญ่ ให้คาดการณ์ไว้ได้เลยว่า กำลังจะมีอีก 5 คลื่น เป็นคลื่นที่ร่วงตามลงมา

Fractal Nature

เมื่อรวม Motive wave และ Corrective wave เข้าด้วยกัน จะพบกับความละเอียด ในโครงสร้างที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งสามารถเห็นการพุ่งทะยานของคลื่น Motive Wave ที่กลายเป็นคลื่นขนาดยักษ์ คลื่น (I) เช่นเดียวกับคลื่นย่อยที่ร่วงลงมา ในคลื่นปรับขนาดยักษ์ ที่ทำให้กลายเป็นคลื่น (II)

อย่างไรก็ตาม ให้สังเกตคซึ่งภายในโครงสร้างเหล่านี้ จะมีหลายคลื่นก่อตัวขึ้น ทั้งคลื่นขนาดเล็ก และ คลื่นขนาดใหญ่ รวมกันภายในภาพเดียวกัน ทำให้เกิด Elliott Cycle

Source: https://school.stockcharts.com

ตัวอย่างรูปแบบ “Fractal Nature of the Elliott Wave Patterns” คือ รูปแบบที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่างเช่น ต้นไม้ที่ต่อกิ่งก้านออกไปเรื่อยๆ หรือโครงสร้างที่ต่อไปออกไปเรื่อยๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า อะไรก็ตาม ที่คล้ายรูปแบบนี้ ถือว่าเป็น “Fractal” ภายในโครงสร้าง Elliott wave เป็นการบ่งบอกถึง การขยายตัว หรือ หดตัว ของโครงสร้างคลื่นที่คล้ายกัน โดยคลื่น (I) คือแนวโน้มระดับใหญ่มาก และใหญ่กว่า คลื่น 1 และภายในคลื่น 1 จะมีคลื่นเล็กย่อยอื่นๆ เกิดรูปแบบโครงสร้าง 5-3 ซ้ำๆ

ความแตกต่าง ของแนวโน้มที่แสดงในกราฟด้านบน คลื่น (I) และ คลื่น (II) ก่อตัวเป็น Cycle ขนาดใหญ่ รองลงมาก็คือ คลื่นที่มีข้อความ 1, 2, 3, 4, 5, A, B, C และรองลงมาก็คือคลื่นที่มีข้อความ i, ii, iii, iv, v, a, b, c ตามทฤษฏีแล้ว รูปแบบนี้ จะขยายแบบไม่จำกัด และ ย่อแบบไม่จำกัด เรียกว่า Fractal รูปแบบ การหดตัว และ การขยายตัว ไม่สิ้นสุด

Source: https://school.stockcharts.com

จากแผนภาพด้านบน แสดงภาพเดียวกันในตลาดขาลง

Elliott Wave ไม่ใช่วิธีการบอก สัญญาณซื้อขาย ไม่มีกฎในการเข้า หรือ ออก และไม่มีวิธีที่ถูกต้อง มีนักลงทุน และ นักวิเคราะห์เทคนิค บางคน พยายามหลีกเลี่ยงการใช้ Elliott Wave ในการวิเคราะห์ แม้จะไม่ได้เกิดจากขาดความเข้าใจในทฤษฏี แต่เป็นเพราะรูปแบบลักษณะที่เกิด ที่สามารถมองได้หลากหลายมุมมอง และ วิเคราะห์ได้หลายรูปแบบ อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้ที่ใช้งาน Elliott Wave ในการซื้อขาย โดยพวกเขาได้ประยุกต์ นำเอา Indicator เครื่องมือ หรือ เทคนิคต่างๆ เข้ามาประยุกต์ช่วยในการจับจังหวะ เพิ่มประสิทธิภาพในการซื้อขาย (Trading) จนประสบผลสำเร็จ

รูปแบบโครงสร้าง Elliot Wave

หากสังเกตุโครงสร้าง Elliott wave ของคลื่นขนาดเล็ก จะมีป้ายกำกับซึ่งแตกต่างจากโครงสร้างของคลื่นขนาดใหญ่ เพื่อช่วยแยกแยะระหว่างระหว่างคลื่น โดยมีวิธีในการกำหนดความแตกต่างของ Elliott Wave ซึ่งรายละเอียดสามารถ ศึกษาเพิ่มเติมได้จาก “Elliott Wave Principle by Frost and Prechter” ในบทความนี้จะกล่าวถึงวิธีการกำหนดป้ายกำกับ ในเบื้องต้น

       Source: https://school.stockcharts.com

เมื่อพูดถึง Elliott หลักการติดป้ายกำกับ เพื่อระบุถึงความแตกต่างของเทรนแนวโน้มคลื่น ด้วยตัวเลขโรมัน พิมพ์ใหญ่ แสดงถึงคลื่นขนาดใหญ่ ตัวเลขธรรมดาแสดงถึงคลื่นระดับกลาง และตัวเลขโรมันพิมพ์เล็กแสดงถึงคลื่นขนาดเล็ก

เทรนแนวโน้มเริ่มต้นจากคลื่นขนาดใหญ่มาก (GrandSuper Cycle) ลดหลั่นระดับลงมา ไปสู่ระดับที่น้อยกว่า ตัวอย่าง Cycle wave มีขนาดใหญ่กว่า Primary wave แตกต่างกัน 1 ระดับ ในทางกลับกัน Primary Wave มีระดับน้อยกว่า Cycle Wave 1 ระดับ กล่าวคือ คลื่น1 ของ คลื่น (1) ความหมายคือ คลื่น1 เป็นส่วนหนึ่งของ คลื่น (1) ที่มีระดับที่ใหญ่กว่า หรือ จะเขียนอีกแบบก็คือ คลื่น1 มีระดับที่น้อยกว่า คลื่น (1)

ในความจริง นักลงทุนส่วนใหญ่มักจะใช้เฉพาะ คลื่นระดับ 1-3 (GrandSuper cycle, Super cycle, Cycle)

อาจดูซับซ้อนในการลองนับคลื่นทั้งหมดภายในกราฟเดียว หากนักลงทุนใช้การวิเคราะห์ด้วยกราฟ มักจะใช้ระดับคลื่น 1-3 บนกราฟของตัวเอง ซึ่งง่ายต่อการกำหนด โดยหมายเลขโรมัน (I, II, III, VI, V, a, b, c) ใช้ในคลื่นขนาดใหญ่มาก ส่วนคลื่นขนาดกลาง ที่ใช้คือ (1, 2, 3, 4, 5, A, B, C) และคลื่นระดับเล็ก ก็จะใช้หมายเลขโรมันพิมพ์เล็ก (I, ii, iii, iv, v, a, b, c)

ประเภทของ Motive Wave

หลักๆแล้วมี 2 ประเภท คือ Impulse Wave และ Diagonal Wave

Impulse Waves คือ

เป็นรูปแบบคลื่นที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน และแสดงถึงโครงสร้างของ Elliott Wave ถูกรวมเข้าด้วยกัน ซึ่งเป็นหนึ่งใน Motive wave ที่พบบ่อยที่สุด และ สังเกตง่ายที่สุด เช่นเดียวกับ Motive Wave มีทั้งหมด 5 คลื่น แบ่งเป็น คลื่นย่อย 3 Motive wave และ 2 Corrective wave ทั้งหมดนี้ อยู่ภายในโครงสร้าง 5-3-5-3-5 อย่างไรก็ตาม มีกฎตายตัว 3 ข้อ ที่ซึ่งกำหนดการก่อตัวของคลื่น หากมีการผิดกฏข้อใด ข้อหนึ่ง โครงสร้างดังกล่าวจะไม่ใช่ Impulse wave และอาจจำต้องติดป้ายกำกับคลื่นที่สงสัย

กฎ 3 ข้อ

1) คลื่น 2 จะไม่ลงมาต่ำกว่า คลื่น 1

2) คลื่น 3 จะไม่ใช่คลื่นที่สั้นที่สุด ในบรรดาคลื่น 1 3 5

3) คลื่น 4 จะไม่ลงมาถึงยอด คลื่น 1

Source: https://school.stockcharts.com

จากกราฟด้านบนของ Impulse Wave สังเกตได้ว่า คลื่น 4 จะไม่ลงมาใกล้คลื่น 2 และ คลื่น 2 ไม่ลงมาต่ำกว่าคลื่น 1 นอกจากนั้น คลื่น 3 จะไม่ใช่คลื่นที่สั้นที่สุด เพราะคลื่น 3 โดยปกติแล้ว จะเป็นคลื่นที่ยาวที่สุดในบรรดาคลื่นทั้ง 5 และยังสามารถยืดขยายออกมาได้อีก

คลื่น 2 จะไม่ลงมาต่ำกว่า คลื่น1 และคลื่น 2 มักเป็นที่รู้จักกันว่าเป็น คลื่นย้อนกลับของคลื่น 1 แต่ถ้าหากย้อนกลับได้หมด ก็จะไม่ใช่คลื่น 2 ซึ่งมันคือการทำลายจุดต่ำสุดของคลื่น 1 และผลที่ตามมาคือ การนับคลื่นที่ผ่านมา เป็นโฆษะ และต้องนับใหม่ทั้งหมด

Wave Extensions คือ

ในกรณีส่วนใหญ่ Impulse wave จะแสดงสิ่งที่เรียกว่า ส่วนขยาย (Extension) ให้เป็นรูปแบบปกติ ซึ่งหมายความว่า หนึ่งใน Impulse wave ของ 3คลื่นย่อย Motive wave มีแรงกระตุ้นให้ยืดขยายออก โดยสิ่งเหล่านี้ สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งใน คลื่น1, 3, 5 คลื่นใด คลื่นหนึ่ง

Source: https://school.stockcharts.com

ในบางครั้ง การแบ่งของคลื่นย่อย (Sub-wave) ที่ขยายออกไป (Extended) จะมีความยาว และระยะเวลา เท่ากับ คลื่นอื่นๆ อีก 4 คลื่น โดยปกติแล้ว Impulse wave จะมีการนับเพียง 5 คลื่น และอาจจะเกิดภาพหลอกให้นับได้ 9 คลื่น ทำให้ยากต่อการสังเกตุ ว่าคลื่นใดเป็นคลื่นขยาย (Extended) หนำซ้ำสัญญาณทางเทคนิค อาจทำให้เกิดความสับสน และเข้าใจผิด ในการนับคลื่นผิดพลาด

Source: https://school.stockcharts.com

Impulse Wave Truncation (Truncated Fifth)

หลายครั้งที่เกิดการขยายตัวมากเกินไป ในคลื่น 3 จนทำให้ไม่มีแรงเหลือพอ ที่จะทำให้คลื่น Impulse สมบูรณ์ เมื่อเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น โอกาสที่คลื่น 5 คลื่นสุดท้าย ของ Impulse Wave จะไม่ไปถึงจุดสิ้นสุดของคลื่น 3 (คลื่น 5 ต่ำกว่า คลื่น 3) ก่อนที่ราคาจะเริ่มเกิดการพักตัวลง เงื่อนไขนี้จะถูกเรียกว่า “Failure” หรือ “Truncation”

Truncation (ตัดทอน) หรือ การตัดทอน 5 ครั้ง ประกอบด้วยคลื่นย่อย 5คลื่น เช่นเดียวกับ Motive Wave และมักจะเกิดขึ้นหลังจากคลื่นลูกที่ 3 แข็งแกร่งเป็นพิเศษ แม้ว่าจะด้วย Sentiment หรือ เหตุผลใดก็ตาม คลื่น5  จะยุติไม่เกินจุดสิ้นสุดคลื่น 3

Source: https://school.stockcharts.com

Diagonal Waves คือ

คลื่นประเภทที่ 2 ของ Motive Wave ที่ไม่ใช่ Impulse Wave ประกอบด้วย คลื่นย่อยทั้ง 5 คลื่น โดยเคลื่อนไหวไปตามทิศทางแนวโน้มหลัก ความแตกต่างของ Diagonal Wave คือจะเหมือน “ลิ่ม” (ทั้งยืดขยาย หรือ หดตัว) นอกจากนี้ คลื่นย่อยอาจนับไม่ถึง 5คลื่น ขึ้นอยู่กับประเภทของคลื่น

Ending Diagonals

เมื่อจบ Diagonal แล้ว โดยเป็นคลื่นประเภทพิเศษ ที่เกิดขึ้นในคลื่น 5 ของ Impulse หรือ คลื่นสุดท้ายของรูปแบบ Corrective wave คลื่น C ของ Corrective wave (A, B, C) คลื่นนี้มักเกิดขึ้นก่อน จะมีเทรนแนวโน้มใหม่ โดยจะเกิดไว และ จบไว ในกรณีนี้ จะพบได้ในช่วงสุดท้าย ของจุดสูงสุดของ Motive Wave หรือ Corrective Wave และรูปแบบคลื่นนี้ จะบ่งบอกถึงการยุติเทรนแนวโน้มก่อนหน้า

โครงสร้างของ Diagonal ที่กำลังจะสิ้นสุด จะแตกต่างจาก Impulse Wave ในกรณีที่ Impulse wave มีโครงสร้างทั่วไป คือ นับ 5-3-5-3-5 และโครงสร้าง Diagonal ที่กำลังจะสิ้นสุด คือ นับ 3-3-3-3-3 คลื่นทั้ง 5 ของ Diagonal ที่กำลังสิ้นสุด จะเหลือเพียง 3 คลื่น และในแต่ละครั้ง แสดงให้เห็นถึงความ อ่อนแรงของแนวโน้ม นอกจากนี้ คลื่น 2 และ คลื่น 4 อาจทับซ้อนกัน

Source: https://school.stockcharts.com

ส่วนใหญ่ เมื่อ Diagonal มาถึงจุดสิ้นสุด จะเกิดเป็นรูป “ลิ่ม” โดยสังเกตจาก Trend line ทั้ง 2 เส้น มาบรรจบกัน อย่างไรก็ตาม มีบางครั้ง ที่เกิดการยืดขยาย (Extended) แต่เกิดขึ้นได้ยาก

Leading Diagonals 

จะค่อนข้างพบยากในคลื่น1 ของ Impulse Wave หรือในคลื่น A ของ Corrective wave แบบ ZigZag โดยมีโครงสร้าง 5-3-5-3-5  เหมือนกับ Impulse Wave แต่กรณีนี้ คลื่น 2 และ คลื่น 4 จะทับซ้อนกัน (Overlap) และสร้างรูปแบบ ลิ่ม ที่มีเส้น Trend line ทั้ง 2 เส้น มาบรรจบกัน

เพราะการแบ่งย่อยของ 5 คลื่น โดยรูปแบบคลื่น 1, 3, 5 บ่งบอกถึงความต่อเนื่องของเทรนแนวโน้ม และในขณะที่รูปแบบ Diagonal กำลังจะสิ้นสุด มีโครงสร้าง 3-3-3-3-3 ที่มีความหมายว่า เทรนแนวโน้มจะจบแล้ว หลังจากที่ตลาดปรับตัวลงมา และจะไม่เกินจุดเริ่มต้นของ Leading Diagonal และสามารถคาดการณ์ได้ว่า เทรนแนวโน้มจะยังคงดำเนินต่อ ภายใต้ ทิศทางของ Leading Diagonal

http://www.elliottwave.net/educational/basictenets/basics4.htm

ประเภทของ Corrective Waves

Corrective waves มี 2 ประเภท คือแบบ Sharp correction และ Sideways correction โดยที่ Sharp correction นั้นจะเคลื่อนไหวสวนทางกับเทรนแนวโน้ม แต่ในขณะที่ Sideways correction จะเป็นโครงสร้างในรูปแบบที่ ค่อยๆเคลื่อนตัวไปหา ณ ราคาก่อนที่จะสิ้นสุด โดย Correction โดยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลัก ดังนี้

  • ZigZag Corrections
  • Flat Corrections
  • Horizontal Triangles
  • Correction Combinations

ZigZag Correction

Source: https://school.stockcharts.com

คือ Correction wave 3 คลื่น โดยโครงสร้างจะมีคลื่น A-B-C ลำดับคลื่นย่อย 5-3-5 และจะสามารถเห็นรูปแบบนี้ ในรูปแบบคลื่นขยาย คลื่น A และ คลื่น C เป็น Motive Wave (มี 5 คลื่นย่อย) ในขณะที่คลื่น B คือ Correction wave (มี 3 คลื่นย่อย) ทราบกันดีกว่า ZigZag เป็นรูปแบบที่มาจาก Sharp style ของ Correction wave และใน Impulse wave โดยปกติจะเกิดในคลื่น 2

ZigZag ในกราฟอาจมีมากว่า 1 คลื่น และอาจรวมกัน และกลายเป็น Double ZigZag หรือ Triple ZigZag เมื่อคลื่นเหล่านี้ผสานกัน อธิบายรายละเอียดเพิ่มเติมใน Flat Correction

Flat Corrections

Source: https://school.stockcharts.com

คือ Correction wave 3 คลื่น โดยที่คลื่นย่อยก่อตัวขึ้นจากโครงสร้าง 3-3-5 และเช่นเดียวกับ ZigZag ที่มีโครงสร้าง A-B-C และในกรณีนี้ ทั้ง 2คลื่น A และ B คือ Correction wave ที่มีความซับซ้อน และคลื่น C คือ “Flat” มี 5คลื่นย่อย เพราะว่า รูปแบบการเคลื่อนไหว อยู่ในรูปแบบ Sideways ภายใน Impulse wave และมักจะเกิดขึ้นในคลื่น 4 แต่ในคลื่น 2 ไม่เกิดขึ้น

Runing Flat

Source: https://school.stockcharts.com

Running Flat มักเกิดขึ้นในช่วงที่เทรนแนวโน้มแข็งแกร่ง แม้ว่า คลื่นB จะสิ้นสุด แต่ คลื่นC จะหลุดลงไปต่ำกว่าจุดเริ่มต้นของคลื่นA (ซึ่งเป็นกรณีที่เกิดขึ้นยาก)

Horizontal Triangles

Source: https://school.stockcharts.com

Horizontal Triangles ที่ประกอบไปด้วยคลื่นย่อย 5 คลื่น โดยมีโครงสร้าง 3-3-3-3-3 มีป้ายกำกับคลื่น A-B-C-D-E ซึ่งจะแตกต่างจาก Motive Wave ที่มี 5คลื่น และรูปแบบสะท้อนความสมดุล ระหว่างการเคลื่อนไหวในรูปแบบ Sideways

Horizontal Triangles สามารถยืดขยายได้ และตามมาด้วยคลื่นย่อยที่มีความกว้าง และค่อยๆหดตัวลง จนกลายเป็นรูปลิ่ม โดยสามเหลี่ยมนี้ อาจถูกจัดว่าเป็น สามเหลี่ยมสมมาตร Descending หรือ Ascending ขึ้นกับทิศทางการเคลื่อนไหว เช่น ราคายังไม่สามารถเคลียร์จุดสูงสุดได้ แต่ค่อยๆยกจุดต่ำขึ้นมาเรื่อยๆ จนท้ายที่สุดสามารถพุ่งทะยานเคลียร์ High ที่เคยทำไว้ก่อนหน้านี้ได้เสร็จ อย่างนี้ เรียกว่า “Ascending Triangle” หรือ ราคาพยายามยกตัวสูงขึ้นไป แต่ไม่สามารถผ่าน จุดสูงสุดก่อนหน้านี้ขึ้นไปได้ แล้วค่อยๆทำ จุดสูงใหม่ ต่ำลงมาเรื่อยๆ (Higher Low) จนร่วงหลุด Low ที่เคยทำไว้ก่อนหน้า อย่างนี้เรียกว่า “Descending Triangle”

Source: https://www.dailyfx.com/education/technical-analysis-chart-patterns/triangle-pattern.html

คลื่นย่อยอาจจะมีความซับซ้อน ไม่ใช่มีเพียงใน ZigZag หรือ Flags แม้ว่าทางทฤษฏี จะสามารถสังเกตเห็นสามเหลี่ยมได้ง่าย แต่ก็อาจต้องฝึกฝนการสังเกต วิเคราะห์ เพื่อให้คุ้นชินกับรูปแบบที่เกิดขึ้นในตลาด

สามเหลี่ยมอาจยืดขยาย โดยประกอบด้วย 5คลื่น เหมือนกับสามเหลี่ยมที่มีระดับต่ำกว่า และจะเป็น Horizontal Triangle อีกรูป ซึ่งเป็นการแสดงถึงระดับความซับซ้อนของ Elliott Wave

สิ่งที่ต้องจดจำเกี่ยวกับ Horizontal Triangle คือ จะปรากฏให้เห็นรูปแบบก่อนการร่วงลง หรือ รูปแบบที่ผสมผสานกัน

เหล่านี้จะปรากฏที่คลื่น 4 ใน Impulse wave หรือ คลื่น B ใน ZigZag เป็นสัญญาณแจ้งเตือนผู้ที่ใช้ Elliott Wave ในการวิเคราะห์ถึงการเปลี่ยนแปลงเทรนแนวโน้ม

Correction Combinations

Source: https://school.stockcharts.com

ตลาดไม่เคยสร้างรูปแบบที่เรียบง่าย โครงสร้างมักซับซ้อน และ หลักการของ Elliott Wave ที่ใช้สำหรับจัดการสิ่งเหล่านี้คือ การผสมผสาน (Combination)

การผสมผสาน ประกอบด้วย Correction wave ที่ยืดขยาย และเคลื่อนไหว Sideways แต่ในกรณีนี้ อาจเป็นได้ทั้ง Double หรือ Triple และสำหรับ Double Combination คือโครงสร้างติดป้าย W-X-Y หรือ Triple Combination จะติดป้าย W-X-Y-X-Z

Source: https://school.stockcharts.com

คลื่น W และ X ที่เป็น Flat หรือ ZigZag โดยปกติแล้ว คือ Flat หรือ ZigZag ยืดขยาย (ยกเว้นรูปสามเหลี่ยม บ่งชี้ว่าเป็นคลื่นสุดท้ายของ Combination) และคลื่นที่เหลือ จะเป็น Correction wave สิ่งที่ต้องระวังคือ Horizontal Triangle ที่อาจอยู่ช่วงสุดท้าย หรือ ก่อนคลื่น X

Source: https://school.stockcharts.com

ก่อนหน้านี้ได้กล่าวถึง Double หรือ Triple ZigZag ไปแล้ว โดยลักษณะของ Double ZigZag นั้นจะมีป้ายกำกับ W-X-Z สำหรับ Triple ZigZag จะเพิ่มคลื่น Z และในส่วน Final ZigZag จะเพิ่มคลื่น Z

การประยุกต์ใช้งาน Elliott Wave Theory

Guideline of Equality

จะกล่าวถึง คลื่นย่อย Motive ทั้ง 2 คลื่น ใน 5 ลำดับคลื่น  ที่มีแนวโน้มไปตามเทรน โดยทั่วไปแล้วจะไม่ใช่คลื่นยืดขยาย (Extended) ซึ่งหมายความว่า เมื่อคลื่น3 ของ Impulse wave คือ คลื่นยืดขยาย คลื่น 5 จะยาวพอๆกับคลื่น 1 สิ่งนี้เป็นสัญญาณเตือนถึงการสิ้นสุด ของคลื่น5 ใน Impulse wave หากคลื่น 3 เป็นคลื่นขยาย

Source: https://school.stockcharts.com

Guideline of Alternation within an Impulse

เมื่อกล่าวถึงรูปแบบ คลื่น 2 และ คลื่น 4 จะผลัดเปลี่ยนกัน หากคลื่น2 คือ การปรับตัวแบบ Sharp คลื่น 4 จะปรับตัวแบบSideways หรือ หากคลื่น 2 ปรับตัวแบบ Sideways คลื่น4 จะปรับตัวแบบ Sharp เทคนิคนี้สามารถใช้คาดการณ์สิ้นสุดคลื่น 4

Source: https://school.stockcharts.com

Guideline of Alternation within a Correction

เมื่อกล่าวถึง คลื่น A และ คลื่น B จะผลัดเปลี่ยนรูปแบบกัน ใน Correction wave หากคลื่น A คือรูปแบบ Flat Correction คลื่น B อาจจะเป็นรูปแบบ ZigZag Correction และทางกลับกัน คลื่น A เป็นรูปแบบ ZigZag Correction คลื่น B จะเป็นรูปแบบ Flat Correction นอกจากนี้ ยังเป็นสิ่งแจ้งเตือนว่า หากคลื่นA กำลังเริ่มการปรับตัว และสามารถคาดการณ์ได้ว่า คลื่น B และ C อาจจะมีความซับซ้อนมากกว่า (โดยคลื่น C จะเป็นรูปแบบเช่นเดียวกับคลื่นA)

Guideline of Depth of Corrective Waves

เมื่อถึงยามตลาดพักตัว บ่อยครั้งจะปรับตัวลงไปยังบริเวณแนวรับก่อนหน้า ก่อนจะถึงจุดเริ่มคลื่น 4 ซึ่งไม่ได้หมายความว่า จะร่วงลงต่ำกว่าคลื่น 4 ควรมองว่า ก่อนที่ร่วงลงมาถึงจุดเริ่มต้นคลื่น4 มักจะเป็นจุดที่ต่ำสุด เหมาะสำหรับเป็นแนวรับ (หรือแนวต้าน) ก่อนที่จะเคลื่อนไปตามเทรนแนวโน้ม

Source: https://school.stockcharts.com

Guideline of Channeling

เทคนิคใช้สำหรับวิเคราะห์การสิ้นสุดของคลื่น แม้ว่ากรอบซื้อขาย (Channel) จะสามารถใช้กับ Corrective Wave แต่การใช้งานเครื่องมือ (Trend line) กับการเคลื่อนไหวที่ปราศจากเทรนแนวโน้ม อาจเป็นการยากในการหาจุดสิ้นสุด และใน Impulse waves อิเลียตเคยสังเกตุว่า Channel line มีความแม่นยำบ้าง ในบางครั้ง

มี 3 วิธี ในใช้งาน Channel สำหรับวิเคราะห์หาจุดสิ้นสุดของคลื่น ทั้งหมดนี้เป็นเทคนิคเดียวกัน ต้องการเพียง 3 จุด คือ จุดเริ่มต้นคลื่น 1 และจุดสิ้นสุดของคลื่น 2 ลากขึ้นไปให้เป็นเส้นแนวโน้ม (Trend line) และ Copy วางเส้น Trend line ณ จุดสิ้นสุดคลื่น1 เพื่อสร้างเส้นขนาน (Parallel) หรือ Channel เทคนิคนี้ สามารถใช้หาจุดสิ้นสุดคลื่น กับคลื่น 3 4 และ 5

Projecting the end of wave 3 ลากเส้นแนวโน้ม (Trend line) จากจุดเริ่มต้น คลื่น1 ไปยังจุดสิ้นสุดของคลื่น2 และ Copy เล้นแนวโน้ม (Trend line) มาวาง ณ จุดสิ้นสุดคลื่น1 เพื่อสร้างเส้นขนาน (Parallel) หรือ Channel เพื่อคาดการณ์ว่าคลื่น3 จะมาสิ้นสุด ณ บริเวณเส้นแนวโน้มที่วาดไว้

Projecting the end of wave 4 ลากเส้นแนวโน้ม (Trend line) จากสิ้นสุด คลื่น1 ไปยังจุดสิ้นสุดของคลื่น3 และ Copy เส้นแนวโน้ม (Trend line) มาวาง ณ จุดสิ้นสุดคลื่น2 เพื่อสร้างเส้นขนาน (Parallel) หรือ Channel เพื่อคาดการณ์ว่า Correction wave คลื่น4 ลงจะมาสิ้นสุด ณ บริเวณเส้นแนวโน้มที่วาดไว้

Projecting the end of wave 5 ลากเส้นแนวโน้ม (Trend line) จากจุดเริ่มต้นคลื่น1 ผ่านจุดสิ้นสุดคลื่ น2 และ คลื่น 4 และ Copy เส้นแนวโน้ม (Trend line) มาวาง ณ จุดสิ้นสุดคลื่น 1 และ คลื่น 3 เพื่อสร้างเส้นขนาน (Parallel) หรือ Channel เพื่อคาดการณ์ว่าคลื่น 5 จะขึ้นไปถึงบริเวณเส้นแนวโน้มที่วาดไว้

จิตวิทยามวลชน กับ ทฤษฎี Elliott Waves

เป็นภาพสะท้อนจิตวิทยามวลชน พฤติกรรมตลาดที่ไหลเวียน จากมองในแง่ดี (Optimism) ไปยัง มองในแง่ร้าย (Pessimism) เกิดเป็นโครงสร้างตลาด ที่สังเกตุเห็นบ่อยครั้ง โดยประเภทของคลื่น Personality คือ จะเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นคลื่นที่มีระดับสูง หรือ ระดับต่ำกว่า

First wave (Wave 1) เกี่ยวกับคลื่นลูกแรก ที่เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างรากฐานเทรนแนวโน้ม และจะมีการพักตัวอย่างหนัก ในคลื่น2 หลายคนมองว่านี่คือโอกาส ในการซื้อชายตามเทรนแนวโน้ม แต่ถ้าหากร่วงลง ก็จะมีอีกหลายคนที่เทขายออกมา อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวของตลาดจะแกว่งตัวมากขึ้น พร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่สูงขึ้นตาม

50% ของคลื่นลูกแรก จะฟื้นตัวขึ้นจากการปรับฐานครั้งก่อนหน้า สิ่งเหล่านี้มักเป็นในรูปแบบ Dynamic และการย้อนกลับพอประมาณ และในคลื่น1 มีโอกาสที่จะเกิดคลื่นยืดขยายได้

Second Waves (Wave 2) มักจะร่วงลงไปหาจุดเริ่มต้นคลื่น1 โดยปกตืแล้วจะจบคลื่น ด้วยปริมาณการซื้อชายต่ำ และความผันผวนที่เล็กน้อย ในสภาวะตลาดหมี สิ่งนี้บ่งบอกถึงแรงเทขายที่ลดลง อย่างไรก็ตามในระหว่างคลื่น2 นักลงทุนส่วนใหญ่ มักคิดว่า สภาวะหมี ยังคงอยู่

Third Waves (Wave 3) คลื่นที่มีเทรนแนวโน้มแข็งแกร่ง การเคลื่อนไหวแกว่งตัวกว้างมาก และ มีทิศทางแนวโน้มที่ชัดเจน โดยปกติแล้ว คลื่น3 จะมีการแกว่งตัวของราคา พร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่สูง และ เป็นคลื่นที่มีโอกาสเกิดการยืดขยายมากที่สุด

Fourth Waves (Wave 4) สามารถคาดการณ์ได้ทั้งความลึก และ รูปแบบการหมุนเวียน แต่ในความคล้าย จะมีความแตกต่างกับคลื่น 2 บ่อยครั้งมักเป็นเทรนแนวโน้ม Sideways และเริ่มสร้างฐานสำหรับคลื่นลูกที่5 ซึ่งเป็นคลื่นสุดท้าย

Fifth Waves (Wave 5) การเคลื่อนไหวเริ่มชะลอลง โดยความเร็วของการเปลี่ยนแปลงราคาช้ากว่าคลื่นก่อนหน้า โดยปกติจะมาพร้อมกับ ปริมาณการซื้อขายลดลง และ การเคลื่อนไหวที่แคบลง อย่างไรก็ตาม ในกรณีคลื่น5 ที่เป็นคลื่นขยาย (Extended) จะเป็นการแจ้งเตือนการเปลี่ยนแปลงเทรนแนวโน้ม ไกล้เข้ามาแล้ว

A Waves (Wave A) ในระหว่างคลื่น A ผู้คนมักเชื่อว่าเป็นเพียงการปรับฐาน (Correction) ของคลื่นก่อนหน้า และใช้ให้เกิดประโยชน์ แม้จะมีสัญญาณที่อาจสร้างความเสียหายได้ก็ตาม ซึ่งสิ่งนี้สามารถคาดการณ์คลื่นลูกต่อไปได้ หากคลื่นA มีคลื่นย่อยรูปแบบ ZigZag จะมี 5 คลื่นย่อย แต่ถ้าหากมีคลื่นย่อยรูปแบบ Flag หรือ Triangle จะมี3 คลื่นย่อย

B Wave (Wave B) คลื่นนี้ ผู้คนมักจับทิศทางไม่ถูก มันคือการล่อหลอกให้เข้ามาติดกับดักตลาด ไม่ว่าจะเป็น กับดักหมี (Bear Trap) หรือ กับดักกระทิง (Bull Trap) โดยทั่วไปแล้ว ในเทรนแนวโน้มคลื่น B จะมีปริมาณซื้อขายที่ต่ำ

C Wave (Wave C) จะเป็นการทำลาย ภาพหลวงหลอก ของคลื่น A และ B และสามารถทำลายความกลัว ในช่วงที่ตลาดร่วงลง คลื่น C เป็นมากกว่าการปรับฐาน (Correction) ครั้งใหญ่ ในตลาดหมี เช่นเดียวกับการเคลื่อนไหว Dynamic ที่หลอกนักลงทุน ให้คิดว่าเป็นจุดเริ่มต้นของขาขึ้นรอบใหม่ ความจริงคลื่น C อาจมี 5 คลื่นย่อย ไว้สำหรับหลอกนักลงทุน

D Waves (Wave D) เป็นรูปแบบ Horizontal Triangles บ่อยครั้งมักจะมาพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นคลื่นที่เคลื่อนไปตามเทรนแนวโน้ม

E Waves (Wave E) เป็นคลื่นสุดท้ายในกรอบ Horizontal Triangles บ่อยครั้งมักจะเกิด False Break บน Trend line ก่อนที่ตลาดจะเคลื่อนไปในทิศทางตรงกันข้าม หาก Triangles เป็นคลื่น4 ใน Rising Impulse ซึ่งจะทำให้เกิดสภาวะหมี ก่อนที่ตลาดจะเกิดคลื่น 5 บ่อยครั้ง Wave E มักจะเล่นกับจิตวิทยาชองนักลงทุน

สรุป

บทความนี้จะกล่าวถึงทฤษฏี Elliott Wave ในเบื้องต้น โดยเนื้อหาหลักๆจะเน้นอธิบายรูปแบบโครงสร้างคลื่น เพื่อนำไปใช้สำหรับวิเคราะห์ และ ในโครงสร้างของ Elliott Wave นั้นประกอบด้วยคลื่น Motive wave (คลื่นตามแนวโน้ม), Corrective wave (คลื่นสวนแนวโน้ม) ซึ่งในแต่ละคลื่น ก็จะมีคลื่นเล็กย่อย แตกรายละเอียดปลีกย่อยเพิ่มเติม และภายในคลื่นต่างๆก็จะมีโครงสร้างลักษณะการเคลื่อนไหวเฉพาะของแต่ละคลื่น โดยมาตราฐาน ก็คือ 5-3 (อธิบาย ก็คือ ใน 1คลื่น จะมี 5 คลื่นตามแนวโน้ม และ 3 คลื่น ที่เป็นคลื่นสวนแนวโน้ม) พร้อมทั้งได้อธิบาย วิธีติดป้ายกำกับคลื่น (Labeling Wave Degrees) เพื่อให้นักทุนทราบว่าคลื่นที่กำลังนับอยู่ เป็นคลื่นขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ หรือ ใหญ่มาก และในบทความได้กล่าวถึง รายละเอียดโครงสร้าง Elliott Wave ไว้ดังนี้

  1. Motive Wave คือ คลื่นหลักที่เคลื่อนไปตามเทรนแนวโน้ม ประกอบด้วย Impulse wave, Diagonal wave
    1. Impulse wave คือ คลื่นที่เคลื่อนไหวไปตามทิศทางเทรนแนวโน้มหลัก ประกอบด้วย คลื่น1, คลื่น3, คลื่น5 และมีกฎ 3ข้อ เพื่อใช้เป็นที่ยึดหลักในการนับคลื่น
    2. Diagonal wave คือ คลื่นที่เคลื่อนไหวตามทิศทางเทรนแนวโน้มหลัก แต่การเคลื่อนไหวจะมีลักษณะเป็น “ลิ่ม” ประกอบด้วย Ending Diagonals, Leading Diagonals ในคลื่นย่อยอาจนับไม่ถึง 5คลื่น ขึ้นอยู่กับประเภทของคลื่น
  2. Corrective Wave คือ คลื่นสวนแนวโน้มที่เคลื่อนไหวสวนทางกับเทรนแนวโน้มหลัก ประกอบด้วย Sideways Corrective, Sharp Corrective
    1. Sideways Corrective คือ รูปแบบการปรับตัวชนิดหนึ่ง ที่ราคาจะค่อยๆเคลื่อนตัวไปหาราคาก่อนหน้า อย่างช้าๆ
    2. Sharp Corrective คือ รูปแบบการปรับตัวที่ซับซ้อน ที่มี 4 รูปแบบย่อย
  • Zigzag Correction
  • Flat Correction
  • Horizontal Triangles
  • Correction Combinations

อย่างไรก็ตามการที่จะใช้งาน Elliott Wave ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น นักลงทุนจำเป็นต้องหมั่นศึกษาเรียนรู้  ฝึกฝน เปิดรับความรู้ใหม่ๆ อยู่ตลอด จนเกิดความชำนาญ เนื่องจากทฤษฏี Elliott Wave ไม่ใช่การทำนายตลาด แต่เป็นเพียงการคาดการณ์การเคลื่อนไหว จากสถิติในอดีต ไม่มีกฎที่ใช้บอกจังหวะเข้า-ออก ไม่มีวิธีที่ตายตัว ด้วยเหตุนี้ นักลงทุนที่นำไปใช้งาน หลายคน มักจะมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน แม้ในกราฟเดียวกัน นี่อาจเป็นข้อจำกัด หรือ ข้อด้อยของทฤษฏี ที่เปิดกว้างความคิดเห็นของผู้ใช้งานมากจนเกินไป แต่ถึงกระนั้น ก็ยังมีนักลงทุนบางคน สามารถใช้งาน Elliott wave ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากได้ปรับปรุงวิธีคิด ประยุกต์หลักการวิเคราะห์ใหม่ๆ ประกอบการตัดสินใจ สุดท้ายนี้ ไม่มีหลักการใดที่เป็นหลักการดีที่สุด มีเพียงหลักการ หรือ วิธีที่เหมาะกับตัวนักลงทุนเท่านั้น ที่จะพาพบความสำเร็จในการลงทุน

Writer : ชายโขง

[Update] การเขียนผังงาน (Flowchart) | รูป แบบ คือ อะไร – NATAVIGUIDES

การเขียนผังงาน (Flowchart)

หลังจากทำความเข้าใจและวิเคราะห์ปัญหาโจทย์จนได้ข้อสรปุว่าโจทย์ต้องการอะไรแล้ว ผู้เขียนโปรแกรมก็จะทำการกำหนดแผนในการแก้ไขปัญหาโดยการเขียนผังงาน (Flowchart) ซึ่งการเขียนผังงานคือการเขียนแผนภาพที่เป็นลำดับ เพื่อแสดงขั้นตอนการทำงานของโปรแกรมเพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ การเขียนผังงานมี 3 แบบคือ แบบเรียงลำดับ(Sequential) แบบมีการกำหนดเงื่อนไข(Condition) และแบบมีการทำงานวนรอบ(Looping)










ผังงานกับชีวิตประจำวัน
การทำงานหลายอย่างในชีวิตประจำวัน จะมีลักษณะที่เป็นลำดับขั้นตอน ซึ่งก่อนที่ท่านจะได้ศึกษาวิธีการเขียนผังงานโปรแกรม จะแนะนำให้ท่านลองฝึกเขียนผังงานที่แสดงการทำงานในชีวิตประจำวันวันก่อนเพื่อเป็นการสร้างความคุ้นเคยกับสัญลักษณ์รูปภาพต่าง ๆ ที่จะมีใช้ในผังงานโปรแกรมต่อไป ดังตัวอย่าง

โครงสร้างการทำงานแบบมีการเลือก ( Selection )
เป็นโครงสร้างที่ใช้การตรวจสอบเงื่อนไขเพื่อการทำงานอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยโครงสร้างแบบนี้จะมีอยู่ด้วยกัน 2 รูปแบบ คือ IF – THEN – ELSE และ IF – THEN

                       โครงสร้างแบบ IF – THEN – ELSE   เป็นโครงสร้างที่จะทำการเปรียบเทียบเงื่อนไขที่ใส่ไว้ในส่วนหลังคำว่า IF และเมื่อได้ผลลัพธ์จากการเปรียบเทียบก็จะเลือกว่าจะทำงานต่อในส่วนใด กล่าวคือถ้าเงื่อนไขเป็นจริง ( TRUE ) ก็จะเลือกไปทำงานต่อที่ส่วนที่อยู่หลัง THEN แต่ถ้าเงื่อนไขเป็นเท็จ ( FALSE ) ก็จะไปทำงานต่อในส่วนที่อยู่หลังคำว่า ELSE แต่ถ้าสำหรับโครงสร้างแบบ IF – THEN เป็นโครงสร้างที่ไม่มีการใช้ ELSE ดังนั้น ถ้ามีการเปรียบเทียบเงื่อนไขที่อยู่หลัง IF มีค่าเป็นจริง ก็จะไปทำส่วนที่อยู่หลัง Then แต่ถ้าเงื่อนไขเป็นเท็จ ก็จะไปทำคำสั่งที่อยู่ถัดจาก IF – THEN แทน

ตัวอย่าง

การเขียนผังงานอ่านค่าข้อมูลเข้ามาเก็บไว้ในตัวแปร A และ B แล้วทำการเปรียบเทียบในตัวแปรทั้งสอง โดยมีเงื่อนไขดังนี้ ถ้า A มากกว่า B ให้คำนวณหาค่า A – B และเก็บผลลัพธ์ไว้ในตัวแปรชื่อ RESULT ถ้า A น้อยกว่าหรือเท่ากับ B ให้คำนวณหาค่า A + B และเก็บผลลัพธ์ไว้ในตัวแปรชื่อ RESULT

ตัวอย่าง

การเขียนผังงานเปรียบเทียบค่าข้อมูลที่เก็บอยู่ในตัวแปร X โดยมีเงื่อนไขดังนี้
ถ้า X > 0 ให้พิมพ์คำว่า ” POSITIVE NUMBER ”
ถ้า X < 0 ให้พิมพ์คำว่า ” NEGATIVE NUMBER ”
ถ้า X = 0 ให้พิมพ์คำว่า ” ZERO NUMBER ”

โครงสร้างการทำงานแบบมีการทำงานซ้ำ
เป็นโครงสร้างที่มีการประมวลผลกลุ่มคำสั่งซ้ำหลายครั้ง ตามลักษณะเงื่อนไขที่กำหนด อาจเรียก การทำงานซ้ำแบบนี้ได้อีกแบบว่า การวนลูป ( Looping ) โครงสร้างแบบการทำงานซ้ำนี้จะมีอยู่ 2 ประเภท คือ
*DO WHILE
*DO UNTIL

          *DO WHILE
เป็นโครงสร้างที่มีการทดสอบเงื่อนไขก่อน ถ้าเงื่อนไขเป็นจริงก็จะเข้ามาทำงานในกลุ่มคำสั่งที่ต้องทำซ้ำ ซึ่งเรียกว่าการเข้าลูป หลังจากนั้นก็จะย้อนกลับไปตรวจสอบเงื่อนไขใหม่อีก ถ้าเงื่อนไขยังคงเป็นจริงอยู่ ก็ยังคงต้องทำกลุ่มคำสั่งซ้ำหรือเข้าลูปต่อไปอีก จนกระทั่งเงื่อนไขเป็นเท็จ ก็จะออกจากลูปไปทำคำสั่งถัดไปที่อยู่ถัดจาก DO WHILE หรืออาจเป็นการจบการทำงาน

              *DO UNTIL
เป็นโครงสร้างการทำงานแบบทำงานซ้ำเช่นกัน แต่มีการทำงานที่แตกต่างจาก DO WHILE คือจะมีการเข้าทำงานกลุ่มคำสั่งที่อยู่ภายในลูปก่อนอย่างน้อย 1 ครั้ง แล้วจึงจะไปทดสอบเงื่อนไข ถ้าเงื่อนไขเป็นเท็จก็จะมีการเข้าทำกลุ่มคำสั่งที่ต้องทำซ้ำอีก หลังจากนั้นก็จะย้อนกลับไปตรวจสอบเงื่อนไขใหม่อีก ถ้าเงื่อนไขยังคงเป็นเท็จอยู่ ก็ยังต้องทำกลุ่มคำสั่งซ้ำหรือเข้าลูปต่อไปอีก จนกระทั่งเงื่อนไขเป็นจริง จึงจะออกจากลูปไปทำคำสั่งถัดจาก UNTIL หรืออาจเป็นการจบการทำงาน

สรุปข้อแตกต่างระหว่าง DO WHILE และ DO UNTIL มีดังนี้
1. DO WHILE ในการทำงานครั้งแรกจะต้องมีการตรวจสอบเงื่อนไขก่อนทุกครั้ง ก่อนที่จะมีการเข้ลูปการทำงาน
2. DO UNTIL การทำงานครั้งแรกจะยังไม่มีการตรวจสอบเงื่อนไข แต่จะเข้าไปทำงานในลูปก่อนอย่างน้อย 1 ครั้งแล้วจึงจะไปตรวจสอบเงื่อนไข
3. DO WHILE จะมีการเข้าไปทำงานในลูปก็ต่อเมื่อตรวจสอบเงื่อนไขแล้วพบว่า เงื่อนไขเป็นจริง แต่เมื่อพบว่าเงื่อนไขเป็นเท็จ ก็จะออกจากลูปทันที
4. DO UNTIL จะมีการเข้าไปทำงานในลูปก็ต่อเมื่อตรวจสอบเงื่อนไขแล้วพบว่า เงื่อนไขเป็นเท็จ แต่เมื่อพบว่าเงื่อนไขเป็นจริง ก็จะออกจากลูปทันที

ตัวอย่าง

จงเขียนผังงานแสดงการเพิ่มของข้อมูลตัวเลขที่เก็บอยู่ในหน่วยความจำที่แอดเดรส 1 โดยที่ค่าเริ่มต้นจาก 0 ให้ทำการเพิ่มค่าทีละ 1 เรื่อยไปจนกระทั่ง J มีค่าข้อมูลมากกว่า 100 จึงหยุดการทำงาน ตัวอย่างนี้ เป็นตัวอย่างการทำงานแบบทำซ้ำ ซึ่งจะสามารถแสดงการเขียนได้ทั้งแบบ DO WHILE และ DO UNTIL ดังนี้

ตัวอย่างการเขียน Flowchart
เราต้องการเขียน Flowchart เพื่อคำนวณภาษีที่พนักงานต้องชำระ อัตราภาษี 10% Flowchart ดังกล่าวกำหนดให้ผู้ใช้ป้อนค่าเงินเดือน (salary) แล้วเครื่องจะทำการคำนวณ ภาษี (tax) 10% ให้โดยอัตโนมัติ และจะพิมพ์ค่า salary กับ tax Output ที่เราต้องการก็คือ salary และ tax (การสั่งพิมพ์ขึ้นอยู่ที่เราว่าเราต้องการให้พิมพ์อะไร ไม่จำเป็นต้องพิมพ์ salary, tax ตามตัวอย่างก็ได้ เราอาจสั่งพิมพ์ tax อย่างเดียวก็ได้ Input คือสิ่งที่ผู้ใช้ต้องป้อนให้ระบบ จากตัวอย่างก็คือ salary เพราะหากผู้ใช้ไม่ป้อน salary ระบบจะคำนวณ tax ไม่ได้ ส่วนอัตราภาษี 10% ผู้ใช้ไม่ต้องป้อนเพราะมีการกำหนด มาอยู่แล้วว่าภาษีคือ 10% ระบบไม่จำเป็นต้องถามผู้ใช้ เพราะฉะนั้นอัตราภาษี 10% จึงไม่ใช่ input หากจะสรุปง่ายๆ input ก็คือสิ่งที่เราต้องถามผู้ใช้ ส่วนอัตราภาษีคือ ค่าคงที่ ซึ่งเราจะกำหนดไว้ในโปรแกรมเลย โดยผู้ใช้ไม่ต้องป้อน

หากเราต้องการเขียน Flowchart ให้บวกเลข 1 ถึง 10 จะพบว่า Flowchart ดังกล่าวไม่มี input เลยเพราะ flow ดังกล่าวไม่จำเป็นต้องถามผู้ใช้ ดังรูป แต่หากเราต้องการเขียน Flowchart ให้บวกเลขจำนวนที่หนึ่ง ถึง เลขจำนวนที่สอง เราจะพบว่าผู้ใช้จำเป็นต้องบอกเราว่า จำนวนที่หนึ่ง คือเลขอะไร และ จำนวนที่สอง คือเลขอะไร เพราะฉะนั้น input คือ first (เลขจำนวนที่หนึ่ง) และ last (เลขจำนวนที่สอง) ดังรูป

Iteration (การทำซ้ำ) Flowchart หากเราต้องการให้คำนวณคนที่สอง สาม สี่ … เราจะต้องสั่งให้กลับมาทำงานดังรูป
ให้สังเกตว่า flowchart ดังกล่าวไม่มีทางออกจาก loop ได้เลย นั่นหมายถึงหลังจากคำนวณภาษีเสร็จเครื่องจะรอรับค่า salary คนต่อไปไม่มีวันสิ้นสุด
คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ เมื่อไหร่ที่เราต้องการออกจาก loop คำตอบก็คือ เมื่อคำนวณภาษีให้พนักงานทุกคนครบแล้ว วิธีการที่เราจะบอกระบบว่าพนักงานหมดแล้วเราสามารถบอกได้โดย “ถ้าเรา input ค่า salary เป็น 0 หมายถึงพนักงานหมดแล้ว นั่นคือให้ออกจาก loop” (ที่ใช้เป็น 0 เพราะไม่มีพนักงานคนใดที่มีเงินเดือนเท่ากับ 0 บาท) ซึ่งเราเรียกค่าดังกล่าวว่าค่า dummy ดังได้กล่าวไว้ต้นแล้วว่าการเลือกใช้ loop มีให้เลือกใช้สองชนิดคือ DO WHILE และ DO UNTIL ซึ่ง DO WHILE จะทำการเช็คเพื่อออกจาก loop ที่ต้น loop ในขณะที่ DO UNTIL เช็คปลาย loop
สังเกตว่า การเช็ค ณ ต้น loop คือ การเช็คก่อนมี process ใดๆทั้งสิ้น (DO WHILE) ในขณะที่การเช็ค ณ ปลาย loop คือให้มี process ทุกอย่างก่อนแล้วค่อยเช็ค (DO UNTIL) โดยปกติแล้วเราจะใช้ DO WHILE หรือ DO UNTIL ก็ได้ (แต่มีบางกรณีที่จำเป็นต้องใช้ DO WHILE หรือ DO UNTIL) จาก flowchart รูปที่ 11 หากเราใช้ DO UNTIL จะได้ flowchart ดังรูป
             จะเห็นว่าเงื่อนไขออกจาก loop จะต้องเป็นจริง และการเช็คออกจาก loop จะอยู่ ณ ตำแหน่งสุดท้ายของ loop นอกจากนี้การที่ต้องมี input salary เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง process และไว้อยู่หน้าการเช็คเพื่อออกจาก loop เพราะว่า เมื่อ ผู้ใช้ใส่ค่า 0 มา ระบบจะทำการออกจาก loop ทันที เพราะหากไว้ตำแหน่งอื่นระบบอาจจะมีการ print หรือคำนวณ tax ซึ่งเราไม่ต้องการให้ทำ

Flowchart แสดงการใช้ DO WHILE loop ให้สังเกตุว่า การเช็คเพื่อที่จะออกจาก loop อยู่ต้น loop และเงื่อนไขเพื่อที่จะออกจาก loop จะเป็นเท็จ (เพราะฉนั้น เงื่อนไขจึงต้องเป็น salary > 0)

ใน Flowchart จะมีการ input Salary อยู่สองตำแหน่งคือบนสุด และใน loop ณ ตำแหน่งล่างสุด input Salary ซึ่งอยู่บนสุดมีไว้เพื่อ input ค่า salary คนแรก เท่านั้น สำหรับค่า salary คนต่อๆมา จะถูก input จาก input salary ที่อยู่ใน loop สาเหตุที่เราไม่สามารถเขียน flowchart ให้วนกลับไป input salary คนต่อๆมาดังรูปที่ 14 แม้ว่าจะสามารถทำงานได้ถูกต้อง เนื่องจากจะผิดกฏ DO WHILE ซึ่งกำหนดไว้ว่า การเช็คเพื่อออกจาก loop จะต้องอยู่ต้น loop

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

Share this:

Like this:

ถูกใจ

กำลังโหลด…


รูปแบบธุรกิจ วันที่ 24 ก.ย.63


นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูความรู้เพิ่มเติมที่นี่

รูปแบบธุรกิจ วันที่ 24 ก.ย.63

โมดูลที่ 2 Clip 8 – จิตวิทยากับการเข้าใจตนเอง (บุคลิกภาพ)


Module2 Clip8
โมดูลที่ 2 จิตวิทยากับการเข้าใจตนเอง (บุคลิกภาพ)
Clip 8 แนะนำเนื้อหาของสัปดาห์นี้
Clip 9 ประเภท และที่มาของบุคลิกภาพ
Clip 10 ทฤษฎีบุลิกภาพ

โมดูลที่ 2 Clip 8 - จิตวิทยากับการเข้าใจตนเอง (บุคลิกภาพ)

มาดูคูจิ้น นัดดาว และ น้องกูด Gx2!! โคตรน่ารัก


ແບກຶ

มาดูคูจิ้น นัดดาว และ น้องกูด Gx2!! โคตรน่ารัก

รูปแบบการเรียนรู้ (Learning Style)


รูปแบบการเรียนรู้ (Learning Style)
“สื่อการสอนนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ThaiMOOC (thaimooc.org) และเผยแพร่ภายใต้สัญญาอนุญาตสิทธิ์แบบ Creative Commons ด้วยเงื่อนไข CC BY NC SA”

รูปแบบการเรียนรู้ (Learning Style)

วิทยาการคำนวณ ม.4 บทที่ 1 แนวคิดเชิงคำนวณ เรื่อง การหารูปแบบ


การหารูปแบบ เป็นทักษะการหาความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้อง แนวโน้ว และลักษณะทั่วไปของสิ่งต่าง ๆ อาจจะใช้ทักษะการแยกส่วนประกอบ ทำให้ได้องค์ประกอบภายในอื่น ๆ แล้วจึงใช้ทักษะการหารูปแบบ เพื่อสร้างความเข้าใจระหว่างองค์ประกอบเหล่านั้น

วิทยาการคำนวณ ม.4 บทที่ 1 แนวคิดเชิงคำนวณ เรื่อง การหารูปแบบ

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูบทความเพิ่มเติมในหมวดหมู่LEARN TO MAKE A WEBSITE

ขอบคุณที่รับชมกระทู้ครับ รูป แบบ คือ อะไร

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *