Skip to content
Home » [NEW] ตะลอนเที่ยวอเมริกา สัมผัสธรรมชาติสุดอลังการ ใครเห็นก็อยากไป | เวลา ของ สหรัฐอเมริกา – NATAVIGUIDES

[NEW] ตะลอนเที่ยวอเมริกา สัมผัสธรรมชาติสุดอลังการ ใครเห็นก็อยากไป | เวลา ของ สหรัฐอเมริกา – NATAVIGUIDES

เวลา ของ สหรัฐอเมริกา: นี่คือโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้

          ยังมีที่เที่ยวธรรมชาติที่สวยงามแปลกตา
 
          “สหรัฐอเมริกา” เชื่อแน่ว่าหลายคนต้องวาดฝันว่าเป็นประเทศแห่งเสรีภาพ เต็มไปด้วยแสงสีและสีสันของสังคมเมืองสมัยใหม่ และเป็นอีกหนึ่งประเทศจุดหมายปลายทางในฝันของนักท่องเที่ยวทั่วโลก หลายคนอาจรู้สึกว่าอเมริกาเป็นเมืองใหญ่ที่ดูวุ่นวาย แต่อีกมุมหนึ่งนั้นสหรัฐอเมริกายังมีที่เที่ยวธรรมชาติที่สวยงามแปลกตาไม่แพ้กัน และเพราะเป็นประเทศขนาดใหญ่ จึงต้องตัดสินใจว่าจะไปเที่ยวแถบไหน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วฝั่งตะวันตกมักได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมากกว่า เหมือนกับเช่น คุณ p-orbital สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ไปเปิดประสบการณ์การท่องเที่ยวที่นั่นมาแล้ว อย่าง Los Angeles, San Francisco, Washington, California หรือ Colorado เหล่านี้ล้วนเป็นเป้าหมายของนักเดินทางจากทั่วทุกมุมโลก ที่อยากจะมาสัมผัสให้เห็นด้วยตาตัวเองสักครั้ง อย่ามัวเสียเวลาอยู่เลย ไปสำรวจพร้อมกันกับเราดีกว่า

หากพูดถึงเชื่อแน่ว่าหลายคนต้องวาดฝันว่าเป็นประเทศแห่งเสรีภาพ เต็มไปด้วยแสงสีและสีสันของสังคมเมืองสมัยใหม่ และเป็นอีกหนึ่งประเทศจุดหมายปลายทางในฝันของนักท่องเที่ยวทั่วโลก หลายคนอาจรู้สึกว่าอเมริกาเป็นเมืองใหญ่ที่ดูวุ่นวาย แต่อีกมุมหนึ่งนั้นสหรัฐอเมริกายังมีที่เที่ยวธรรมชาติที่สวยงามแปลกตาไม่แพ้กัน และเพราะเป็นประเทศขนาดใหญ่ จึงต้องตัดสินใจว่าจะไปเที่ยวแถบไหน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วฝั่งตะวันตกมักได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมากกว่า เหมือนกับเช่นไปเปิดประสบการณ์การท่องเที่ยวที่นั่นมาแล้ว อย่าง Los Angeles, San Francisco, Washington, California หรือ Colorado เหล่านี้ล้วนเป็นเป้าหมายของนักเดินทางจากทั่วทุกมุมโลก ที่อยากจะมาสัมผัสให้เห็นด้วยตาตัวเองสักครั้ง อย่ามัวเสียเวลาอยู่เลย ไปสำรวจพร้อมกันกับเราดีกว่า

สหรัฐอเมริกา

+++++++++++++++++++++

+++++++++++++++++++++

GREAT AMERICAN LANDSCAPE กลั่นจากประสบการณ์ 6 ปี

          สวัสดีครับ blog นี้ผมตั้งใจว่าจะรวมสถานที่ท่องเที่ยวที่ผมได้ไปมาทั้งหมด ตลอดระยะเวลา 6 ปีกว่า ๆ ที่เรียนอยู่ที่นี่  ผมกะว่าจะได้เป็น Encyclopedia อักสักอัน (ผมเคยเขียนเกี่ยวกับอะแลสกาไปแล้ว) สำหรับคนที่ตั้งใจว่าจะมาเที่ยวอเมริกา และต้องการหาข้อมูลท่องเที่ยวแบบที่มีทั้งสถานที่มุมมหาชน และก็มุมอันซีนที่มีแต่ช่างภาพไปกัน เป้าหมายของผมคืออยากจะให้ blog นี้เป็นที่รวมจุดที่ไม่ควรพลาด เวลาไปเที่ยวที่ต่าง ๆ จะได้พอมีไอเดียว่าควรไปไหนบ้าง และไม่พลาดว่าต้องไปเก็บจุดไหนบ้าง เพราะผมเองพลาดมาเยอะแล้ว เลยต้องไปซ้ำหลาย ๆ รอบ

          blog นี้จะเน้นฝั่ง west มากกว่า east นะครับ ต้องยอมรับว่าในสายตาช่างภาพแล้ว landscape ฝั่ง west มันสวยกว่าหลายเท่าเลย และก็คงเป็นงานเขียนที่ยาวที่สุดที่ผมเคยเขียนมาเลยทีเดียว ใช้เวลาเขียนสองเดือน ส่วนการรวบรวมข้อมูลก็ 6 ปี ตามช่วงเวลาที่ผมอยู่ในอเมริกานี่แหละครับ เรียนจบก็รวบรวมได้ครบพอดี ซึ่งกว่า blog นี้คลอดได้ก็ตอนที่ย้ายกลับมาอยู่ไทยแล้ว 55

          คำเตือน : บทความนี้ยาวมาก ให้ save favorite ไว้ก่อน จะได้กลับมาอ่านได้ภายหลัง เวลาอ่านก็หาเครื่องดื่มชิล ๆ เปิดเพลงเบา ๆ จะทำให้อรรถรสในการชมภาพมากขึ้น : )

          ภาพในกระทู้นี้ผมคัดเลือกมาบางส่วน ภาพเพิ่มเติมสามารถดูได้จากเวบไซต์ของผม 

          การเดินทาง

          การเดินทางมาที่อเมริกา ผมแนะนำให้บินมาลงที่ Los Angeles เพราะมีตัวเลือกสายการบินเยอะที่สุด และนั่นทำให้ราคาถูกที่สุดด้วย อีกทั้งตั๋วเครื่องบินในประเทศที่ออกจากแอลเอก็ยังราคาถูกกว่าที่อื่น ๆ ด้วย เพื่อนที่เมืองอื่น ๆ อิจฉาผมกันทุกคนครับ ผมบินไปอะแลสกา ราคาไป-กลับไม่ถึง $300 จะไปชิคาโกก็ราว ๆ $200 เท่านั้น แม้หลาย ๆ คนที่ผมรู้จักที่มาสนามบินแอลเอจะบ่นกับความห่วยแตกของสนามบินที่นี่ก็ตาม แต่ถ้าทนต่อเครื่องไม่กี่ชั่วโมง แล้วแลกกับราคาที่ถูกกว่า ผมก็ทนได้ครับ

          สำหรับการเดินทางในอเมริกา หนทางที่ดีที่สุดก็คือการขับรถเที่ยวเองครับ เพราะประเทศนี้โดยเฉพาะตอนกลางประเทศและทางตะวันตก ระบบขนส่งมวลชน ไม่ว่าจะเป็น รถไฟ รถประจำทางมันไม่ทั่วถึง และสหรัฐอเมริกาเองมันก็ใหญ่มาก ๆ ใช้เวลาเดินทางนานมาก ส่วนมากผมจะนั่งเครื่องบินเอา แล้วเช่ารถขับเองครับ บริษัทรถเช่าส่วนมากผมจะเลือกใช้ enterprise เพราะบริการดีมากและราคาไม่แพง ถ้าบริการดีสุดคงต้องเป็น hertz แต่ราคาก็จะแพงที่สุดด้วย บริษัทอื่น ๆ ที่ระดับล่างลงมา เช่น budget, avis, alamo, national ก็ราคาจะถูกกว่านี้อีกนิดหนึ่งครับ ขึ้นอยู่กับสถานที่รับรถเช่า และวันที่รับรถเช่าด้วยครับ ราคาจะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

          ข้อดีคือรถเช่าที่นี่สามารถจองได้โดยไม่ต้องเสียค่าจองครับ ผมก็มักจะจองล่วงหน้าไว้ก่อน แล้วเช็กราคาบ่อย ๆ หากราคาลงผมก็จองอันใหม่แล้วยกเลิกอันเก่าครับ เว็บไซต์ที่ผมใช้หาราคารถเช่าคือ priceline.com แล้วผมก็เข้าไปจองในเว็บของบริษัทรถเช่านั้น ๆ อีกทีครับ ในบางเส้นทาง ถ้าเช่ารถแบบทางเดียว ราคาอาจจะไม่แพงนัก อย่างเช่น ระหว่างแอลเอไปซานฟรานซิสโก หรือแอลเอไปลาสเวกัส บางทีเผลอ ๆ อาจจะถูกกว่าเช่าแล้วมาคืนที่เดิมครับ แต่บางบริษัทที่บางสนามบินก็อาจจะคิด drop off fee ซึ่งก็แพงเอาเรื่องอยู่ทีเดียว แต่เมื่อแลกกับค่าน้ำมันและค่าเสียเวลาแล้ว อาจจะคุ้มกว่าก็ได้

          ผมจะแบ่งเป็นรัฐ ๆ ไปนะครับ มีทั้งหมด 9 รัฐ คือ Washington, Oregon, California, Montana, Wyoming, Colorado, Nevada, Arizona, และ Utah

          สารบัญ

          Washington

          Oregon

          California part 1

          California part 2

          Wyoming

          Montana

          Colorado

          Nevada

          Arizona

          Utah part 1

          Utah part 2

          มาเริ่มจากรัฐทางบนซ้ายสุด นั่นคือ Washington นั่นเองครับ

          Washington

          เนื่องจากรัฐ Washington อยู่ติดทะเล และทั้งยังติดแคนาดา เลยมีความหลากหลายทั้งชายหาด ภูเขาสูง และป่าดิบชื้น ลักษณะจะมีความเขียวชอุ่มคล้ายคลึงกับป่าบ้านเรา (ที่ไม่ค่อยจะเหลือสักเท่าไร) ไล่ตั้งแต่ตะวันออกเป็นทุ่งหญ้าสลับภูเขา ไล่มาทางตะวันตกจะเป็นภูเขาสูงตามแนวเทือกเขา Cascade Range มีเมือง Seattle เป็นเมืองสำคัญ และไปทางตะวันตกสุดจะเป็นภูเขาสูงและป่าดิบชื้นอยู่บนเทือกเขา Pacific Coast Range

สหรัฐอเมริกา

Mount Rainier (อ่านว่า เร-เนียร์) ภูเขาเด่นประจำรัฐ

          รัฐ Washington มีเมือง Seattle เป็นเมืองหลัก จะว่าเป็นศูนย์กลางของรัฐก็ว่าได้ เป็นเมืองที่เที่ยวง่าย อาหารอร่อย โดยเฉพาะอาหารทะเลต่าง ๆ ผมชอบ Clam Chowder ของที่นี่มาก มาทีไรจะชอบแวะร้านชื่อ Pike Place Chowder ทุกที แต่อากาศของ Seattle จะมีฝนแทบตลอดทั้งปี ยกเว้นในช่วงหน้าร้อนที่ฟ้าจะใสราว ๆ 3-4 เดือน ตัวเมืองมี space needle เป็นเอกลักษณ์ มีจุดชมวิวสวย ๆ คือ Rizal Park และ Kerry Park โดย Rizal Park จะเห็น downtown และมี highway โค้งเป็นรูปตัว S สวยงามมาก ส่วน Kerry Park จะเป็นมุมยอดฮิตของที่นี่ เพราะจะเห็นทั้ง Space Needle, Downtown และถ้าอากาศเป็นใจก็จะเห็น Mount Rainier สุดคลาสสิกตั้งตระหง่านอยู่ด้านหลังสุด

สหรัฐอเมริกา

Rizal Park แถวนี้ค่อนข้างเปลี่ยว ไม่ควรไปคนเดียวนะครับ

สหรัฐอเมริกา

Kerry Park มุมนี้ผมยังไม่เคยดวงดีได้ Mount Rainier เป็นฉากหลังกับเค้าสักที

Rizal Park แถวนี้ค่อนข้างเปลี่ยว ไม่ควรไปคนเดียวนะครับKerry Park มุมนี้ผมยังไม่เคยดวงดีได้ Mount Rainier เป็นฉากหลังกับเค้าสักที

          ยอดเขา Mount Rainier ที่เห็นได้จาก Seattle นั้น ตั้งอยู่ใน Mount Rainier National Park อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของ Seattle ตัวยอดภูเขามีหิมะตลอดทั้งปี และในเขตอุทยานจะค่อนข้างเดินทางลำบากในช่วงหน้าหนาว เพราะมีหิมะเยอะ โดยเฉพาะ Paradise Visitor Center ซึ่งจะปิดในช่วงหน้าหนาวครับ ผมแนะนำให้มาช่วงต้นเดือนถึงกลางเดือนสิงหาคม เพราะเป็นช่วงที่ดอกไม้ป่าบานไปทั่วทั้ง Paradise visitor center และ Sunrise ด้วย รับรองว่าเดินเพลินแน่ ๆ ครับ อย่าลืมมาเก็บแสงเช้าที่ Reflection Lake ด้วย

สหรัฐอเมริกา

Reflection Lake

Reflection Lake

          ทางตะวันตกของ Seattle ขับรถราว ๆ สองชั่วโมง Olympic National Park ก็เป็นอีกที่หนึ่งที่สวยไม่แพ้กัน และเที่ยวได้ตลอดปี ที่นี่จะเป็นป่าดิบที่คล้ายกับดอยอินทนนท์ และก็มีชายทะเลสวยมาก ๆ ด้วย ที่ที่ไม่ควรพลาดคือ Sol Duc จะมีลำธารสายเล็กที่เต็มไปด้วยมอสส์ อยู่ก่อนถึง Sol Duc Falls และที่ Hoh Rainforest ไปแวะเดิน Hall of Moss trail ก็ฟินมิใช่น้อยเลยครับ

สหรัฐอเมริกา

น้ำตกมอสส์ อยู่ระหว่างทางไป Sol Duc Falls

น้ำตกมอสส์ อยู่ระหว่างทางไป Sol Duc Falls

สหรัฐอเมริกา

          Hall of Moss ได้เดินท่ามกลางต้นไม้ยักษ์เหล่านี้ ราวกับว่าเราได้หลุดไปอยู่ในยุคจูราสสิคยังไงยังงั้นเลย

สหรัฐอเมริกา

          Olympic มีหาดสวย ๆ หลายที่ เช่น Rialto Beach ก็มีกองหินสวย ๆ กลางทะเลด้วย

          ช่วงเดือนเมษายนจะมีเทศกาลดอกไม้ Skagit Tulip Festival แม้ว่าจะไม่อลังการเท่าฮอลแลนด์ แต่ที่นี่ก็ถือว่าเป็นที่ที่สวยอันดับต้น ๆ ของอเมริกาครับ ส่วนมากผมจะขับรถเล่นตอนเช้า ๆ สามารถจอดรถหลบข้างทาง และถ่ายรูปจากฟาร์ม local ได้เลย แต่ต้องถ่ายจากด้านนอก ไม่รุกล้ำเข้าไปในฟาร์มหากเจ้าของไม่อนุญาตนะครับ ที่นี่จะมีฟาร์มสองที่ที่จัดแสดงโชว์คือ Tulip Town และ Roozengaarde ช่วงเวลาที่แนะนำคือกลางเดือนเมษายนครับ ผมเคยมาตอนต้นเดือนแล้วดอกไม้มันยังไม่บานเลย 5555 แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นกับอากาศในแต่ละปีว่าจะหนาวนานหรือเปล่า

สหรัฐอเมริกา

          Skagit Tulip Farm ตอนเช้าครับ บรรยากาศและความอลังการอาจจะสู้ฮอลแลนด์ไม่ได้ แต่ที่นี่ก็สวยงามไม่ด้อยไปกว่ากัน

          อีกที่ที่ผมชอบมาก ๆ ในรัฐ Washington คือเนินเขาทางด้านตะวันออก เป็นที่รู้กันในชื่อ Palouse ครับ ลักษณะคล้าย ๆ กับ Tuscany ที่อิตาลี แต่จะเป็นเนินเขาอย่างเดียว สามารถขับรถมาจาก Seattle หรือจะบินไปลงที่ Spokane ก็ได้ แสงเช้าที่ Steptoe Butte State Park มันฟินมาก ๆ เลยทีเดียว และนอกจากนี้ Palouse Falls State Park ที่อยู่ใกล้ ๆ กันก็สวยไม่แพ้กันเลย หากใครมีเวลาก็ขับรถเล่นรอบ ๆ บริเวณนี้ได้ มีเนินเขาสวย ๆ ที่เต็มไปด้วยทุ่งข้าวสาลีมากมาย ช่วงเวลาที่ดีคือปลายเดือนพฤษภาคม เนินเขาจะเป็นสีเขียว เรื่อยไปจนถึงปลายเดือนกรกฎาคม เนินเขาจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง สีทอง และจะมีดอก canola บานเป็นทุ่งด้วย และในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมนี้จะเริ่มเป็นฤดูเก็บเกี่ยวแล้ว หลังจากเดือนสิงหาคมก็จะเหลือแต่ดินเปล่า ๆ ถ้าจะมาต้องมาช่วงพฤษภาคมถึงกรกฎาคมครับ

สหรัฐอเมริกา

บ้านเล็ก ๆ ซ่อนตัวอยู่กลางเนินทุ่งข้าวบาร์เลย์

สหรัฐอเมริกา

บรรยากาศยามเช้าของที่นี่มันเรียบง่าย แต่ประทับใจมาก ผมไปที่นี่แทบทุกปี ไปมา 4 ครั้งแล้วครับ

สหรัฐอเมริกา

บ้านแดง เวลาขึ้นมา Steptoe Butte ผมจะมองหาบ้านหลังนี้ก่อนทุกครั้งเลย

สหรัฐอเมริกา

และนี่คือทุ่งดอก Canola ที่ผมพูดถึงครับ

บ้านเล็ก ๆ ซ่อนตัวอยู่กลางเนินทุ่งข้าวบาร์เลย์บรรยากาศยามเช้าของที่นี่มันเรียบง่าย แต่ประทับใจมาก ผมไปที่นี่แทบทุกปี ไปมา 4 ครั้งแล้วครับบ้านแดง เวลาขึ้นมา Steptoe Butte ผมจะมองหาบ้านหลังนี้ก่อนทุกครั้งเลยและนี่คือทุ่งดอก Canola ที่ผมพูดถึงครับ

          ในรัฐ Washington ยังมีสถานที่ที่เจ๋ง ๆ อีกมากที่ผมยังไม่ได้ไป อย่างเช่น Mount Saint Helens ซึ่งจะมีดอกไม้ป่าบานช่วงเดือนมิถุนายน หรือแม้แต่ North Cascade National Park ซึ่งผมยังไม่มีโอกาสได้ไปสักที ที่นี่มีภูเขาสวย ๆ อยู่ในบริเวณที่เรียกว่า Enchantment Lakes ซึ่งต้องจอง permit ล่วงหน้ากันหลายเดือน

          สรุปแผนที่รัฐ Washington และจุดถ่ายรูปที่พูดถึงทั้งหมดครับ

สหรัฐอเมริกา

          Oregon

          รัฐ Oregon นับว่าเป็นอีกรัฐที่เที่ยวได้ทั้งรัฐเลยทีเดียว มีความหลากหลายเยอะมากตั้งแต่ชายฝั่งทะเล ถ้าใครคิดว่า California Highway 1 สวยแล้ว ผมว่า Oregon Coast สวยกว่ามากครับ 555 ต้องมาลองแล้วจะติดใจ ถัดเข้ามาหน่อยจะเป็นบริเวณภูเขา ซึ่งจะมีน้ำตกสวย ๆ เยอะมากเป็นร้อย ๆ พัน ๆ น้ำตกเลย พอถัดทางตะวันออกก็จะเริ่มเป็นที่แห้งแล้งหน่อย บริเวณกว้างใหญ่ไพศาลมาก โดยเฉพาะ Alvord Desert ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ นับว่าเป็นสวรรค์ของช่างภาพ landscape เลย แต่ด้วยความที่มันไกลเอามาก ๆ ผมเลยยังไม่มีโอกาสไปสักที

สหรัฐอเมริกา

น้ำตก Fairy Falls ใน Columbia River Gorge

          Portland เป็นเมืองหลักของที่นี่ เรียกได้ว่าเกือบทั้งหมดของนักท่องเที่ยวที่มา Oregon ทางเครื่องบิน ต้องมาตั้งต้นที่นี่ เมือง Portland ผมว่าเป็นเมืองที่ฮิปมาก ๆ มีร้านน่ารักเต็มไปหมด ร้านอาหารอร่อย ๆ เน้นเพื่อสุขภาพก็มีเยอะมาก ถ้ามาที่ Portland ผมแนะนำว่าต้องมาที่ Portland Japanese Garden เพราะว่าจัดสวนได้สวยไม่แพ้ที่ญี่ปุ่นเลย ถ้าเทียบกับสวนญี่ปุ่นในหลาย ๆ แห่งของอเมริกาแล้ว ผมว่าที่นี่จัดได้ดีที่สุด และยังมีต้น maple ชื่อดัง ช่างภาพแทบทุกที่จะมาแวะเวียนถ่ายภาพที่นี่ โดยเฉพาะช่วงใบไม้เปลี่ยนสีตอนปลายเดือนตุลาคมนับว่าเป็นช่วงเวลาทองเลยทีเดียวครับ

สหรัฐอเมริกา

          Columbia River Gorge คือบริเวณทางตะวันออกของเมือง Portland อยู่ใกล้กับ Mount Hood และอยู่ติดกับรัฐ Washington ซึ่งแม่น้ำ Columbia River ก็เป็นที่แบ่งเขตระหว่างสองรัฐนี้ รอบ ๆ Columbia River Gorge บริเวณนี้จะเต็มไปด้วยน้ำตกนับร้อย มีน้ำตกชื่อดังที่สุดคือ Multnomah Falls แต่ว่าน้ำตกที่สวยก็ไม่ได้มีแค่นั้นครับ ยังมีที่เด็ด ๆ อีกหลายที่มาก ที่ที่ผมชอบก็มี Punchbowl Falls, Fairy Falls, Ponytail Falls, Panther Creek Falls (อันนี้อยู่ฝั่ง Washington) และ Elowah Falls ครับ ส่วนมากเดินไม่ไกล ระยะทางไม่เกิน 5 กม. อย่าง Ponytail Falls นี่เดินแค่ 1.5 กม. เท่านั้นเอง

          ช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับ Columbia River Gorge ในความคิดผมคือสัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคม เพราะเป็นช่วงเวลาที่เฟิร์นจะแตกหน่อใหม่ และมอสส์จะเขียวที่สุด แต่ถ้าอยากถ่ายดอกไม้ ให้มากลางเดือนเมษายนครับ น้ำตกหลาย ๆ ที่จะมีดอกเทียนขึ้นเยอะเลย และถ้าไปที่ Hood River ก็มีมุมคลาสสิกของ Barn สีแดงกับดอกของต้น peach หรือจะไปถ่ายดอก Balsomroot (หน้าตาคล้ายบัวตอง) ที่ Rowena Crest viewpoint ก็ได้ครับ

สหรัฐอเมริกา

สหรัฐอเมริกา

สหรัฐอเมริกา

สหรัฐอเมริกา

          อีกที่ที่หนึ่งที่ผมคิดว่ามันเจ๋งมาก นั่นคือ Oneonta Gorge ครับ มันจะเป็นโตรกผาชันสองด้านที่คลุมไปด้วยมอสส์เขียว และเราจะต้องเดินสวนทางน้ำเข้าไป ตรงปลายสุดทางจะมีน้ำตกสูงที่ชื่อ Oneonta Falls อยู่ ถ้ามาช่วง Spring มันจะเขียวมากจริง ๆ แต่น้ำจะเย็นนิดหนึ่ง จุดที่สวย ๆ เดินไม่ถึง 1 กิโลเมตร จากปากทางก็จะเห็นกำแพงมอสส์แล้วล่ะครับ น้ำลึกไม่ถึงเข่า แต่ถ้าน้ำแรงอาจจะถึงเอว ต้องปีนข้ามท่อนซุงนิดหนึ่ง ถ้าเข้าไปถึงน้ำตกจะต้องลุยน้ำลึกเกือบถึงคอ ต้องเตรียมเปียกได้เต็มที่หน่อย

สหรัฐอเมริกา

สหรัฐอเมริกา

          และถ้าเดินมาสุดทาง ลุยน้ำลึกถึงคอ (ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ น่าจะมิดหัว) ก็จะพบกับน้ำตก Oneonta Falls

          ที่รัฐ Washington มี Skagit Tulip Festival แล้ว ที่ Oregon ก็มี Tulip Festival เหมือนกันในชื่อ Woodshoe Tulip Festival ครับ สไตล์ของที่นี่จะปลูกทิวลิปคละสี ทำให้ได้บรรยากาศไปอีกแบบหนึ่ง ข้อดีที่ผมชอบอีกอย่างคือสวนที่นี่จะเปิดตั้งแต่เช้าเลย ทำให้ช่างภาพอย่างผมเข้าไปเก็บบรรยากาศแสงเช้าได้ พอสาย ๆ ก็สามารถไป shopping ที่ Woodburn Outlet ได้อีกด้วย โดนใจสาว ๆ แน่นอนครับ 555 อีกอย่างที่รัฐ Oregon นั้นจะไม่มี sale tax เลย ทำให้การ shopping มันส์มือมาก ๆๆ อย่างรัฐ California แถวบ้านผมนี่โดนไป 9.25% แล้ว พอมาช้อปที่ Oregon ก็เหมือนประหยัดไปเกือบ ๆ 10%

สหรัฐอเมริกา

สหรัฐอเมริกา

ทุ่งดอกทิวลิปที่ Woodshoe Tulip Festival

          น้ำตกที่ผมว่าสวยที่สุดใน Oregon คือน้ำตก Proxy Falls ครับ แต่จะแยกลงมาจาก Portland มาทาง Eugene แล้วขับไปทาง Bend ผ่านทางเส้น McKinzey Highway ถ้ามาช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ถนนน่าจะเปิดแล้วครับ แต่น้ำจะแรงมาก และละอองน้ำจะเยอะมาก ถ่ายรูปแทบไม่ได้เลย ต้องมาช่วงเดือนมิถุนายนหรือกรกฎาคม แต่ข้อเสียคือช่วงหน้าร้อนนี้ฟ้าจะใสแทบทุกวัน ซึ่งไม่ค่อยเหมาะสำหรับการถ่ายน้ำตกเท่าไรนัก และถ้าได้แวะมา Proxy Falls และได้นอนที่ Bend แล้ว แถวนี้มีที่เที่ยวอีกเยอะมาก ๆ ครับ อย่างเช่น Smith Rock, Sparks Lake หรือถ้าใครฟิตก็สามารถเดินขึ้นไปถ่ายทุ่งดอกไม้กับภูเขา Broken Top ได้ด้วย

สหรัฐอเมริกา

Proxy Falls นี้คงคุ้นตากันดี เพราะเป็น Wallpaper ของ Windows อยู่ช่วงหนึ่ง

          ผมเองได้มา Oregon แค่ไม่กี่ครั้ง และส่วนมากก็มาแค่ช่วงสุดสัปดาห์ วน ๆ อยู่แถว Portland และ Columbia River นี่เองครับ ถ้ามีเวลาเยอะ ๆ ผมแนะนำ Boardman Tree Farm (ไปช่วงใบไม้เปลี่ยนสีจะสวยมาก), Painted Hills Overlook, Alvord Desert หรือจะขับรถลงไปถึง Southern Oregon Coast แล้วแวะ Crater Lake ก็สวยไปอีกแบบ

สหรัฐอเมริกา

Southern Oregon Coast highway แถว ๆ เมือง Pistol River

          ทิ้งท้ายด้วยแผนที่ของรัฐ Oregon จะเห็นได้ว่ามีที่เที่ยวทั่วรัฐเลยทีเดียว ผมเองก็ยังไปไม่ทั่ว โดยเฉพาะแถว ๆ ทะเลทางตะวันตก มีทั้งหาด Bandon Beach, Cape Kiwanda และ Thor’s Well ที่น่าสนใจ

สหรัฐอเมริกา

California

          California เป็นรัฐที่ใหญ่มาก แค่ขนาดของรัฐนี้รัฐเดียวก็ใหญ่กว่าประเทศไทยแล้ว เลยมีที่เที่ยวเยอะมาก ๆๆ แค่ได้มา Yosemite ที่เดียวก็คุ้มค่าแล้วครับ สถานที่เที่ยวทางธรรมชาติที่ดัง ๆ ส่วนมากจะแบ่งเป็น 3 โซน เริ่มด้วยภูเขาตามแนวเทือกเขา Sierra Nevada อย่าง Kings Canyon, Yosemite, Mammoth Lakes ถัดออกไปทางตะวันออกก็จะเป็นทะเลทราย เช่น Death Valley, Joshua Tree และสุดท้ายคือทางติดทะเล คนนิยมขับรถเที่ยวตามแนวเส้นทาง Highway 1 ซึ่งจะเลาะริมทะเลยาวตั้งแต่ San Diego ยาวขึ้นไปสุดถึง Redwood National Park และเลยเข้า Oregon ต่อไปครับ

          เมืองใหญ่ ๆ ของ California จะมีหลัก ๆ สองเมืองคือ Los Angeles กับ San Francisco ซึ่งตัวผมเองอยู่ Los Angeles หรือแอลเอมาสี่ปีกว่า ๆ ผมแทบไม่ได้เที่ยวรอบ ๆ เมืองแอลเอเลย เพราะว่าการเที่ยวในตัวเมืองไม่มีอะไรที่ตรงแนวผมสักเท่าไร ถ้าคนชอบถ่าย cityscape ผมว่าซานฟรานสวยกว่ามาก มีมุมให้ถ่ายเยอะมาก คนส่วนมากที่มาแอลเอก็จะแวะ Santa Monica Pier, Universal Studio, Hollywood หรือ Disneyland จะขับรถลงเลยไปทางใต้หน่อยก็มี San Diego หรือไปทางตะวันตกก็มี Santa Barbara แต่ผมเองเลือกที่จะขับรถออกไปหาธรรมชาติรอบ ๆ มากกว่า เช่น ขับไป Death Valley national park ใช้ระยะเวลาสี่ชั่วโมง หรือไป Yosemite ก็หกชั่วโมง แต่ถ้ามาจากซานฟราน ขับเข้า Yosemite จะใช้เวลาสามชั่วโมงเศษ ๆ ครับ รอบ ๆ แอลเอจะมีชายหาดน่าสนใจอยู่หลายที่เลย ที่ที่ผมไปบ่อยมากคือ El Matador State Beach อยู่ใน Malibu และแถว ๆ Newport Beach เรื่อยไปถึง Laguna Beach ก็มีหินสวย ๆ ให้ถ่ายเหมือนกัน

สหรัฐอเมริกา

สหรัฐอเมริกา

Corona del Mar Beach ไม่ไกลจาก Laguna Beach

El Matador State BeachCorona del Mar Beach ไม่ไกลจาก Laguna Beach

          ว่ากันด้วยอุทยานแห่งชาติ Yosemite ก่อนเลย อุทยานนี้เป็นอุทยานที่ผมมาบ่อยที่สุด น่าจะเกิน 15 รอบ เกินจนเลิกนับไปแล้วครับ 5555 จุดขายหลักของที่นี่คือ Yosemite Valley ซึ่งจะรายล้อมไปด้วยหน้าผาสูงรอบด้าน 360 องศา ใครชอบ hiking ก็มีเทรลเพียบ ตั้งแต่แบบสั้น ๆ ไปจนถึงแบบสุดมันส์อย่างการขึ้น half dome (ปัจจุบันต้องขอ permit แล้ว) แต่ถ้าใครอยากเน้นขับรถจอด ๆ ถ่าย ๆ ก็มีจุดชมวิวให้ถ่ายได้ 2-3 วันไม่มีเบื่อครับ และที่นี่ก็เที่ยวได้ทุกฤดูอีกด้วย แต่ละฤดูกาลก็จะมีความน่าสนใจต่าง ๆ กันไป ฤดูที่ผมว่าไม่น่าเที่ยวที่สุดก็คือฤดูร้อนครับ ช่วงเดือนกรกฎาคมจนถึงกันยายน เพราะเป็นช่วงที่แห้ง แดดแรง น้ำตกก็ไม่มีน้ำ แต่ช่วงนี้จะเหมาะสำหรับการเดิน backpacking ระยะทางไกล ๆ ตามแนวเทือกเขา Sierra Nevada อย่างเช่นแถว ๆ Mammoth Lakes หรือ Kings Canyon National Park ครับ ส่วนฤดูที่ผมชอบที่สุดก็คือฤดูหนาวครับ ผมชอบสีขาวที่แต้มบนหน้าผาและต้นไม้มาก ๆ มันดูคลาสสิกสุด ๆ แต่ถ้าจะเอา perfect shot จะต้องมาวันที่พายุหิมะเข้าพอดี เรียกได้ว่าขับรถฝ่าพายุหิมะกันเข้ามาเลย 55 ถึงจะได้หิมะเกาะต้นไม้เป็นปุยสวยงามครับ เพราะถ้าผ่านไปแค่ราว ๆ ครึ่งวัน แสงแดดอาจจะทำให้หิมะที่เกาะอยู่บนต้นไม้ละลายและร่วงหล่นไปได้มากทีเดียว

สหรัฐอเมริกา

          Valley View หลังพายุหิมะ หินทุกก้อนตามริมแม่น้ำมีหิมะปกคลุม ดูเหมือน Marshmellow น่ากินมาก 55

          จุดชมวิวใน Yosemite Valley หลัก ๆ เรียงตามความชอบส่วนตัวคือ Tunnel View, Valley View, Cathedral Beach, Swinging Bridge, River Bend, Cook’s Meadow, Sentinel Bridge และขอแถม Glacier Point อีกอันหนึ่งถึงแม้จะอยู่นอก Yosemite Valley แต่ Glacier Point ก็เป็นมุมสูงที่มองลงมาเห็น Yosemite Valley เหมือนกัน
 
สหรัฐอเมริกา

          Tunnel View จุดที่มาถ่ายรูปกันเยอะที่สุด ในช่วงหน้าหนาวแสงเช้าจะฉาบหน้าผา El Capitan ทางด้านซ้ายของภาพ

สหรัฐอเมริกา

สหรัฐอเมริกา

Glacier Point เห็น Half Dome มุมด้านข้าง ยิ่งใหญ่มาก ๆ

Valley View กับเงาสะท้อนของ El Capitan และ Cathedral Rock บนแม่น้ำ MercedGlacier Point เห็น Half Dome มุมด้านข้าง ยิ่งใหญ่มาก ๆ

สหรัฐอเมริกา

          นอกจากนี้ Yosemite ก็ยังมีปรากฏการณ์ที่จะเห็นได้เฉพาะบางช่วงเวลาของปีอีกด้วย อย่างเช่น Horsetail Firefall ซึ่งจะเห็นได้แค่ช่วงเวลาสองอาทิตย์ของเดือนกุมภาพันธ์ เพราะเป็นช่วงเวลาที่พระอาทิตย์จะทำมุมอย่างพอดิบพอดีตอนช่วงพระอาทิตย์ตก ทำให้แสงสีส้มแดงสาดบนน้ำตกดูเหมือนเป็นน้ำตกเพลิง เป็นลาวา ไหลลงมาจากหน้าผาครับ ซึ่งช่วงเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี ช่างภาพจากทั่วทุกสารทิศก็จะเดินทางมาที่นี่เพื่อชมปรากฏการณ์นี้โดยเฉพาะเลยครับ ส่วนอีกปรากฏการณ์หนึ่งที่ผมอยากแนะนำคือ Moonbow ซึ่งคือการเกิดรุ้งจากแสงจันทร์บนน้ำตก Yosemite Falls นั่นเอง ซึ่งต้องอาศัยวันพระจันทร์เต็มดวง และจะเกิดได้ดีมาก ๆ ในฤดูใบไม้ผลิ เพราะเป็นช่วงที่หิมะละลาย และสายน้ำตกจะแรงเป็นพิเศษ ฉะนั้นวันที่เหมาะสมคือวันพระจันทร์เต็มดวงตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนถึงต้นเดือนมิถุนายนครับ ซึ่งทั้ง Horsetail Firefalls และ Yosemite Moonbow ก็เป็นปรากฏการณ์ที่อาศัยดวงอย่างมาก ต้องลุ้นอากาศให้แจ่มใส เพื่อที่จะเห็นปรากฏการณ์เหล่านี้ครับ

สหรัฐอเมริกา

          Yosemite Firefall ปี 2016 น้ำเยอะกว่าปีอื่น ๆ เพราะปรากฏการณ์ El Nino

สหรัฐอเมริกา

          Yosemite Moonbow ผมไม่ได้ถ่ายภาพปีนี้เพราะกลับไทยมาเสียก่อน แต่ปีนี้ก็น้ำเยอะมาก ๆ ถ้าใครอยากถ่าย ยังมีเวลาอีกสองเดือนในการไปเก็บ Moonbow ครับ ต้องไปวันพระจันทร์เต็มดวงเท่านั้น

          หากใครได้มีโอกาสขับรถผ่านถนน 120 ซึ่งตัดข้าม Yosemite ก็จะผ่าน Olmsted Point ซึ่งที่จุดนี้เราจะเห็น Half Dome ในอีกมุมหนึ่ง เป็นจุดที่ถ่ายพระอาทิตย์ตกที่สวยทีเดียว และถ้าขับต่อไปเรื่อย ๆ ก็จะลัดเลาะหน้าผา ลงเขาสู่ที่ราบสูง Eastern Sierra และที่นี่ก็มีจุดถ่ายภาพเยอะมาก ๆ ที่หลาย ๆ คนอาจจะมองข้ามไป คนส่วนมากจะแวะมาแค่ Yosemite Valley เท่านั้น แต่ถ้าได้ข้ามมาฝั่งตะวันออกก็จะมีอะไรให้ถ่ายอีกมากเลยครับ

สหรัฐอเมริกา

ที่ Olmsted Point เราสามารถเห็น Half Dome จากด้านหลังได้

          และถ้าใครชอบ backcountry hiking หรือเดินป่าแบบไกล ๆ แนะนำให้มาตั้งต้นที่ Mammoth Lakes หรือ Bishop ได้เลยครับ เพราะภูเขาสวย ๆ อยู่ที่นี่มากมาย แต่ภูเขาเหล่านี้จะมองไม่เห็นจากถนนใหญ่ ต้องเดินเท้าเข้าไปเท่านั้น ผมมีโอกาสเคยได้ไปเดินทริปสั้น ๆ ที่ Thousand Island Lake ซึ่งสวยมาก ๆ แต่เดินไกลสุด ๆ ไป-กลับ 24 กิโลเมตรครับ เดินกันขาลากเลยทีเดียว แต่วิวตรงนั้นมันฟินจริง ๆ ถ้าใครสนใจเส้นทางอื่น ๆ ผมแนะนำ Minaret Lake, Rae Lake, และ Granite Park ครับ

สหรัฐอเมริกา

          Eastern Sierra สามารถไล่เที่ยวได้ตลอดเส้นทาง โดยมีถนนหลักคือถนนสาย 395 ซึ่งจะวิ่งจากแถว ๆ ทางเหนือของแอลเอ เรื่อยไปถึง Lake Tahoe จุดท่องเที่ยวที่ผมแนะนำ (แบบไม่ต้องเดินไกลมาก) ได้แก่ Convict Lake, Bodie State Historic Park, Mono Lake, Bristlecone Forest, Mobius Arch, Big Pine River Bend โดยเฉพาะ Mono Lake กับ Bristlecone เป็นสองที่ที่ผมชอบมาก Mono Lake จะเป็นทะเลสาบที่มีฤทธิ์เป็นด่างสูง เพราะไม่มีทางออกของน้ำ ทำให้น้ำไม่ไหลเวียน ถ้าใครเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับสารหนู (arsenic) ใน DNA ของสิ่งมีชีวิต ก็มาจากทะเลสาบแห่งนี้นี่เองครับ และตะกอนของหินปูนในทะเลสาบนี้ก็ก่อตัวเป็นแท่งรูปร่างหน้าตาประหลาดที่เรียกว่า Tufa ครับ Tufa นี้มีหลายแบบเลย ตั้งแต่ Tufa ธรรมดาจนไปถึง Sand Tufa ซึ่งเกิดจากตะกอนหินปูนที่ฝังอยู่ในน้ำใต้ดินใต้ผืนทราย พอลมพัดทรายออกไป ก็จะเผย Sand Tufa ให้เราเห็นกัน ถ้าอยากเห็น Tufa ให้มาทางด้านใต้ของทะเลสาบนะครับ

          ส่วน Sand Tufa จะอยู่ที่ Navy Beach ซึ่งก็อยู่ทางตอนใต้เช่นกัน ขับรถออกไปไม่ไกลครับ ส่วนอีกสถานที่หนึ่งที่ผมชอบและจะแนะนำคือ Bristlecone Forest ซึ่งที่นี่อยู่ในเขตภูเขาชื่อ White Mountain ใกล้ ๆ กับเมือง Big Pine และ Bishop และป่าแห่งนี้คือป่าของต้น Bristlecone ต้นไม้ที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในโลกครับ และรูปร่างของมันก็แปลกตาเอามาก ๆ หลาย ๆ ต้นมีลวดลายของกิ่งไม้และลำต้นที่สวยงาม การเดินทางก็ไม่ยาก ทางลาดยางถึง visitor center เลยครับ แต่อาจจะชันหน่อย

สหรัฐอเมริกา

สหรัฐอเมริกา

Limestone Tufa เป็นแท่งหินปูน พบได้ที่ Mono Lake ทางด้านใต้

สหรัฐอเมริกา

Bristlecone ต้นไม้เก่าแก่หลายพันปี

Convict Lake อยู่ใกล้กับเมือง Mammoth Lakes ไปง่าย รถถึงเลยLimestone Tufa เป็นแท่งหินปูน พบได้ที่ Mono Lake ทางด้านใต้Bristlecone ต้นไม้เก่าแก่หลายพันปี

          หากเลยไปทางตะวันออกของเทือกเขา Sierra Nevada ก็จะเริ่มเข้าสู่ทะเลทราย ซึ่งเป็นที่ตั้งของอุทยานที่มีขนาดใหญ่ที่สุดใน 48 รัฐ นั่นคือ Death Valley National Park (แต่ถ้านับทุกรัฐ อุทยานที่ใหญ่ที่สุดคือ Wrangell-St.Elias ที่อะแลสกาครับ) ใครที่คิดว่า Yellowstone ใหญ่ที่สุดคิดผิดนะครับ 555 และที่ Death Valley นี้ก็เป็นที่ตั้งของจุดต่ำสุดในอเมริกาที่ชื่อ Badwater basin อีกด้วย ชื่อฟังดูไม่ค่อยโสภาเท่าไร 555 ซึ่ง Badwater นี้อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 86 เมตร และที่น่าสนใจกว่านั้นคือ Badwater อยู่ห่างจาก Mount Whitney ที่เป็นภูเขาที่สูงที่สุดใน 48 รัฐ เพียงแค่ 136 กิโลเมตรเท่านั้นเอง โดย Mount Whitney นั้นสูง 4,421 เมตร เรียกได้ว่าไต่ระดับความสูงจากสี่พันกว่า ลงมาถึงต่ำกว่าระดับน้ำทะเลในระยะทางสั้นมาก ๆ เป็น extreme point ที่น่าสนใจทีเดียว

สหรัฐอเมริกา

Salt Creek พบได้ตามริมถนน ระหว่าง Furnace Creek กับ Stovepipe Wells

          เนื่องด้วยพื้นที่ในอุทยาน Death Valley นั้นกว้างมาก ๆๆๆๆๆๆ พื้นที่ส่วนใหญ่จึงไม่มีถนนเข้าถึง ถนนหลายเส้นเป็นถนนลูกรังบ้าง ถนนแบบ 4WD บ้าง แต่เส้นลาดยางจะมีเส้นหลัก ๆ คือเส้น Hwy 190 ที่ตัดผ่านกลางอุทยาน และผ่าน Furnance Creek ซึ่งเป็นที่ทำการอุทยาน จุดชมวิวในตลอดเส้นทางลาดยางที่ผมแนะนำก็จะมี Mesquite Flat Sand Dunes, Zabriskie Point และทะเลเกลือ Badwater Basin ถ้าใครชอบเดินหน่อยผมแนะนำ Cottonball Basin ซึ่งอยู่ทางเหนือของ Furnance Creek ไปนิดหน่อย ที่นี่มีพื้นลวดลายสวย ๆ และมีลำธารให้ถ่ายด้วย (ในภาพด้านบน) แต่เป็นลำธารที่น้ำเค็มนะครับ เพราะที่นี่เกลือเยอะมาก ๆ อย่าง Badwater basin นี่ก็คือทะเลเกลือ 100% นี่เอง

          สำหรับ Badwater basin ถ้าใครอยากได้รูปสวย ๆ ผมแนะนำว่าไม่ควรไปจอดรถตรงจุดถ่ายรูปที่เค้าจอดไว้ครับ เพราะคนจะไปเยอะจนลวดลายเกลือถูกเหยียบเละหมดแล้ว ให้ขับเลยไปสัก 3-4 กม. จอดรถข้างทาง ในอุทยาน Death Valley นี้เราสามารถจอดรถตรงไหนก็ได้ ตราบใดที่เราไม่จอดเข้ามากินในเลนถนนครับ จากนั้นให้เดินเข้าไปในทะเลเกลือ จะมีโอกาสเจอลวดลายที่ดีกว่าครับ แต่บางทีลวดลายก็จะเปลี่ยนไปในแต่ละปี เพราะปีที่ฝนตก ทำให้ทะเลเกลือมีน้ำขัง เกลือละลาย และพออากาศแห้งอีกครั้ง ผลึกเกลือก็จะสร้างตัวใหม่ พื้นที่เดิมที่เคยสวย ตำแหน่งที่สวยอาจจะเปลี่ยนไป

          ส่วน Mesquite Flat sand dunes ก็คล้าย ๆ กันครับ ถ้าไปตั้งต้นเดินจากลานจอดรถ จะเจอแต่รอยเท้าคนมากมายมหาศาล มากเสียจนถ่ายยังไงก็ติดรอยเท้าคน 555 ให้จอดรถข้างทางก่อนถึงทางแยกเข้าไป sand dunes สัก 3 กิโลเมตร แล้วก็เดินตัดเข้าไป dunes เลยครับ จะหามุมสวย ๆ ไม่มีรอยเท้าคนได้ง่ายกว่า แต่ถ้าใครชอบแบบ private แนะนำให้เช่ารถ SUV ดี ๆ ขับขึ้นไปทางเหนือไปที่ Eureka Dunes จะฟินกว่ามาก

สหรัฐอเมริกา

Mesquite Sand Dunes

สหรัฐอเมริกา

Cottonball Basin

สหรัฐอเมริกา

Badwater Basin

Mesquite Sand DunesCottonball BasinBadwater Basin

          ที่ Death Valley นี้ยังมีสถานที่อีกที่หนึ่งที่น่าสนใจมาก ๆ นั่นคือ Racetrack Playa ซึ่งที่ racetrack นี้ก็ตั้งชื่อตามสิ่งพิเศษของที่นี่ นั่นคือหินที่ดูเหมือนจะเคลื่อนที่ได้ พื้นของ playa นี้เป็นพื้นดินแห้ง ๆ แต่กลับมีรอยหินเดินได้ (ฝรั่งเรียก Moving rock หรือ Sailing rock) เหมือนก้อนหินนี้ถูกทำให้เคลื่อน ทั้ง ๆ ที่หินพวกนี้ก็หนักหลายสิบกิโลกรัม ปริศนาของ moving rock ถูกไขได้เมื่อไม่นานมานี้ครับ นักวิจัยได้ติด GPS ลงบนหินหลายก้อน และพบว่าหินพวกนี้จะเคลื่อนในสภาวะที่พิเศษมาก ๆ ก็ต่อเมื่อพื้นของ playa เปียก และอุณหภูมิลดต่ำลงมากจนเป็นน้ำแข็ง เมื่อเป็นน้ำแข็งแล้วก็เหมือนลานสเกตครับ และก็ต้องมีลมพัดแรงมากพอที่หินจะเคลื่อนที่ได้ด้วย

          ซึ่งผมมาที่นี่ทั้งหมด 4 ครั้ง ก็พบว่าร่องรองของหินมันเปลี่ยนไปจริง ๆ ครับ การเดินทางจะค่อนข้างลำบากสักนิดหนึ่ง เพราะต้องขับรถไปบนถนนลูกรังเกือบ ๆ 2 ชั่วโมง ข้างในไม่มีร้านค้าสวัสดิการ หรือที่พักใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้าใครอยากได้แสงเช้าหรือแสงเย็นก็ต้องเตรียมตัวมากางเต็นท์นอนครับ ผมแนะนำว่าต้องมาเห็นสักครั้งในชีวิต แล้วจะติดใจครับ ตัว moving rock จะพบได้ตามบริเวณด้านใต้ของ playa นะครับ ถ้าขับมาจากทางเหนือจะเห็น Grandstand หรือหินก้อนใหญ่ ๆ ให้ขับต่อไปเรื่อย ๆ จะเจอป้ายเองครับ

สหรัฐอเมริกา

สหรัฐอเมริกา

          ผมได้ลองถ่ายดาวหมุนกับก้อนหินดู เป็นภาพที่น่าสนใจดี แต่ผมไปช่วงหน้าหนาว อากาศหนาว -10 องศาเซลเซียส กล้องติด ๆ ดับ ๆ

          ขับลงใต้ไปอีกหน่อย ราว ๆ ช่วงด้านตะวันออกของ Los Angeles จะมีอุทยานแห่งชาติอีกแห่งหนึ่งชื่อ Joshua Tree National Park จุดขายของที่นี่คือต้น Joshua Tree ซึ่งจริง ๆ แล้วก็เห็นได้ทั่วไปใน Southern Sierra หรือด้านตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐอยู่แล้ว ไม่เฉพาะแค่ในอุทยานเท่านั้น ใครมา Los Angeles หรือกำลังขับรถจาก Los Angeles ไป Grand Canyon ก็อาจจะเพิ่มตัวเลือกแวะ Joshua Tree สักที่หนึ่ง เพราะไม่ไกลจากแอลเอมาก ประมาณ 3 ชั่วโมง (ไม่รวมรถติด 555) ถ้ามีโอกาสก็ต้องมาเก็บ Arch Rock อยู่ตรง White Tank campground และมาเก็บแสงเช้าที่ Cholla Garden หรือสวนตะบองเพชร แต่ต้องเดินระวัง ๆ นะครับ เพราะตะบองเพชรพวกนี้มันแสบมาก ถ้าเกาะแล้วจะเกาะแน่น แถมแงะออกยาก มันจะแตกออกเวลาเราพยายามดึงมัน แตกเป็นหนามเล็ก ๆ เหมือนกระสุนลูกปรายเลยครับ แสบจริง ๆ อย่าได้คิดเวลามันทิ่มลงไปในเนื้อเชียว

สหรัฐอเมริกา

Arch Rock กับทางช้างเผือก

สหรัฐอเมริกา

          ตัดข้ามมาโซนชายฝั่งทะเลกันบ้าง California ขึ้นชื่อเรื่องถนนเลียบทะเลที่โดนใจหลาย ๆ คน ถนนสายนี้คือ Highway หมายเลข 1 นั่นเอง ลัดเลาะริมทะเลตั้งแต่แถว ๆ Laguna Beach (ทางใต้ของ LA) เลาะไปทาง Santa Barbara, Big Sur, Monterey เรื่อยไปจนถึงด้านเหนือรัฐ แต่ทางต้นบนสุด อย่างเช่น Redwood national park จะเป็นถนนสาย 101 ที่เลาะริมทะเลแทน ช่วงที่ดังที่สุดของ Highway 1 คงหนีไม่พ้น Big Sur-Monterey ซึ่งผมเองก็ชอบมาถ่ายรูปที่นี่ประจำ เพราะมีโขดหินที่สวยงาม ไฮไลท์สุด ๆ คือ McWay Falls น้ำตกที่ไหลลงทะเล, Pfeiffer Rock หินที่จะมีแสงลอดรูตอนพระอาทิตย์ตกช่วงปลายปี และ Canyon เล็ก ๆ ใน Garrapata State Park ที่ไม่มีชื่อ แต่เต็มไปด้วยดอกลิลลี่สวยมาก ๆ ถ้าเลข Monterey ขึ้นไปอีกหน่อยก็มี Natural Bridge ที่ Santa Cruz, Davenport ที่มีรอยหินแตกสวย ๆ และ Pigeon Point Lighthouse ประภาคารสุดคลาสสิกริมทะเล เรื่อยไปถึง Bowling Ball beach ที่มีหินกลม ๆ สุดแปลก

สหรัฐอเมริกา

      
สหรัฐอเมริกา
  
Pfeiffer Rock กับแสงอาทิตย์ลอดรู

สหรัฐอเมริกา

Pigeon Point Lighthouse

McWay FallsPfeiffer Rock กับแสงอาทิตย์ลอดรูPigeon Point Lighthouse

สหรัฐอเมริกา

          Bowling Ball Beach หาดนี้กะระดับน้ำยากหน่อยครับ ตอนที่ผมไปน้ำขึ้นสูงไปนิดหนึ่ง ถ้าน้ำลงกว่านี้จะดีมากเลย

          ทางด้านเหนือของ California ผมยังเที่ยวไม่หมดครับ เพราะมันขับรถไกลมาก ๆ ผมมีโอกาสได้ไปแค่ Mount Shasta และ Burney Falls แต่ของเด็ด ๆ อย่าง Lassen Volcanic National Park, Redwood National Park, Mossbrae Falls คงต้องเก็บไว้โอกาสหน้า ๆ จะว่าไป Lake Tahoe ผมก็ยังไม่เคยไปถ่ายรูปจริงจังนะครับเนี่ย 555

สหรัฐอเมริกา

Mount Shasta

          รัฐ California เป็นรัฐที่ใหญ่มาก ใหญ่กว่าประเทศไทย ถ้าจะขับรถจากเหนือจรดใต้น่าจะใช้เวลาราว ๆ 20 ชั่วโมง อีกทั้งยังมีความหลากหลายมาก ๆ ตั้งแต่ภูเขา ป่าไม้ น้ำตก ทะเลทราย และทะเลสวย ๆ เที่ยวได้ทั้งปีจริง ๆ ครับ

สหรัฐอเมริกา

          Wyoming

          Wyoming เป็นรัฐที่ค่อนข้างใหญ่ แต่ทางตะวันออกไม่ค่อยมีอะไรสวยเท่ากับทางตะวันตก ซึ่งจุดขายของที่นี่นอกจากเรื่องคาวบอย ก็คือ Yellowstone และ Grand Teton National Park นี่แหละครับ สองอุทยานนี้อยู่ติดกัน ถ้าใครมีโอกาสมาผมแนะนำให้ควบสองอุทยานนี้ในทีเดียวเลย

          สำหรับการเดินทางมา Yellowstone และ Grand Teton อาจจะลำบากสักหน่อย เพราะไม่มีสนามบินหลักเลย สนามบินที่สะดวกคือ Jackson, West Yellowstone, Cody และ Bozeman แม้ว่าจะไม่ต้องขับรถไกล แต่เป็นสนามบินเล็ก ไฟล์ทน้อย และตั๋วแพงกว่า ผมแนะนำว่าบินลง Salt Lake City แล้วขับรถขึ้นมาดีกว่าครับ จะบินลง Denver ก็ได้เช่นกัน แต่จะขับรถไกลกว่ามาก

สหรัฐอเมริกา

Snake River Overlook จุดชมวิวสุดคลาสสิก

          Grand Teton นั้นขึ้นชื่อเรื่องภูเขาสวยมาก ๆ ครับ ยอดที่ดังที่สุดมีชื่อตามอุทยานเลย และวิวคลาสสิกของที่นี่คือ Snake River Overlook ผมว่าถ้าใครหลายคนเห็นก็ต้องร้องอ๋อแน่นอน เพราะเคยเป็น forward mail สมัยก่อน และ Ansel Adams ช่างภาพชื่อดังในอดีตก็เคยมาถ่ายภาพที่นี่ ส่วนอีกสองที่คือ Schwabacher landing (ชื่ออ่านยากมาก) จะได้มุมของ Grand Teton สะท้อนน้ำ และ Mormon Row ซึ่งจะเป็นมุมคลาสสิกของบ้านเก่า ๆ กับภูเขาเป็นฉากหลัง

สหรัฐอเมริกา

สหรัฐอเมริกา

Schwabacher landing กับยอด Grand Teton สะท้อนน้ำ

Mormon Row กับยอดเขา Grand TetonSchwabacher landing กับยอด Grand Teton สะท้อนน้ำ

          Grand Teton นี้ยังขึ้นชื่อเรื่องใบไม้เปลี่ยนสีด้วยนะครับ ที่นี่จะเปลี่ยนสีสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกันยายน และมุมที่ดังมาก ๆ คือ Oxbow Bend เป็นคุ้งแม่น้ำ Snake River ที่เห็น Mount Moran เป็นฉากหลัง และมีแนวต้น Aspen สีเหลืองเรียงเป็นแถวงดงามมาก ๆ ช่วงใบไม้พีคมาก ๆ เราจะเห็นช่างภาพหลายสิบคน (ช่วงสุดสัปดาห์อาจจะเป็นหลักร้อย) มาปักหลักรอถ่ายแสงเช้ากันตั้งแต่ตีห้าเลย

สหรัฐอเมริกา

Oxbow Bend

          สำหรับ Yellowstone ผมคงไม่ต้องต่อความยาวสาวความยืดมากมาย เพราะเป็นอุทยานที่ดังมาก น่าจะดังที่สุดของอเมริกา ผมไม่แน่ใจว่าระหว่าง Yosemite กับ Yellowstone อะไรจะดังกว่ากัน ที่ Yellowstone ถ้าใครดูหนังเรื่อง 2012 ที่เกี่ยวกับเรื่องวันสุดท้ายของโลก น่าจะจำชื่ออุทยานนี้ได้ เพราะภูเขาไฟระเบิดตูม ๆ กันที่นี่เอง นักท่องเที่ยวที่มาที่ Yellowstone ก็จะมาดูหลัก ๆ กันสองสามอย่าง นั่นคือบ่อน้ำร้อน น้ำพุร้อน แล้วก็สัตว์ป่าครับ ที่นี่มีบ่อน้ำร้อนหลากสีมากมาย เยอะมากจริง ๆ

          ถ้าให้ผมกล่าวทั้งหมดคงอาจจะไม่จบกระทู้ก็เป็นได้ เอา Highlight ที่ผมชอบที่สุดก็หนีไม่พ้น Grand Prismatic Springs แน่นอนครับ เพราะมันทั้งใหญ่อลังการ และสีสันจัดจ้านสุด ๆ การมาชม Hot Springs ต้องมาวันที่แดดดี ๆ สีสันในบ่อน้ำร้อนจะสวยมาก ๆ นอกจากการเดินชมบนทางเดินรอบ ๆ Grand Prismatic Spring ที่เค้าจัดเป็นอย่างดีแล้ว ถ้าใครขาลุย ผมแนะนำให้เดินขึ้นชมวิวจากมุมสูง ตั้งต้นจาก Fairy Falls trailhead ครับ รับรองว่าฟิน

สหรัฐอเมริกา

Grand Prismatic Spring เป็น the must ที่ผมเชียร์ให้ทุกคนไป

          อีกจุดที่ผมชอบคือ Mammoth Hot Springs ถึงแม้ว่าช่วงหลังจะไม่มีน้ำตกหินปูนให้เห็นเหมือนในโปสการ์ด แต่ลวดลายหินปูนก็ยังสวยแปลกตา และก็มีบ่อน้ำร้อนแห้ง ๆ หลากสี ไปเดินที่ Upper Terrace จะเห็นต้นไม้ยืนต้นตาย ดูคลาสสิกไปอีกแบบครับ

          สำหรับน้ำพุร้อน แน่นอนว่าน้ำพุที่ดังที่สุดคือ Old Faithful ขึ้นตรงตามเวลาที่พยากรณ์ทุก ๆ 35 นาที แบบเป๊ะ ๆ อาจจะคลาดเคลื่อนได้นิดหน่อยเป็นนาที (อย่างน้อยก็ตรงเวลากว่ารถไฟไทย) และนักท่องเที่ยวจะเยอะมาก ๆ อีกด้วย แต่ผมเองไม่ค่อยชอบ Old Faithful สักเท่าไร แต่กลับชอบ Great Fountain Geyser มากกว่า แม้ว่า Great Fountain Geyser จะพยากรณ์ได้ยากกว่า แต่ผมไปมาสองครั้ง ระเบิดตอนพระอาทิตย์ตกทั้งสองครั้ง และผมก็ตื่นเต้นกับมันทุกครั้ง

สหรัฐอเมริกา

Upper Terrace ที่ Mammoth Hot Springs

สหรัฐอเมริกา

          โดยรวมแล้วรัฐ Wyoming มีที่เที่ยวหลัก ๆ ไม่มากนัก แต่ที่มีคือเด็ด ๆ ทั้งนั้น ทั้ง Yellowstone และ Grand Teton แผนที่ของ Wyoming ก็ไม่สลับซับซ้อนอะไร มีแค่ด้านตะวันตกเฉียงเหนือ ผมแถม Devils Tower ซึ่งเป็นจุดท่องเที่ยวอีกอันหนึ่ง แต่ผมเองยังไม่เคยไป เพราะมันไกลมาก ๆๆ ไกลปืนเที่ยงสุด ๆ

สหรัฐอเมริกา

          Montana

          รัฐนี้ผมเคยไปแค่ที่เดียวคือ Glacier National Park ซึ่งถ้าใครชอบ hiking แค่อุทยานนี้ก็เที่ยวได้ 3-4 วันแบบสบาย ๆ ครับ ภูเขาของที่นี่เป็นปลายติ่งของเทือกเขาแนวเดียวกับ Canadian Rockies อย่างที่เห็นใน Banff และ Jasper national park ฉะนั้นภูเขาจะลักษณะคล้ายคลึงกัน อารมณ์ว่าเราสามารถไปเห็นน้ำจิ้มของความอลังการจาก Banff/Jasper โดยที่ไม่ต้องเดินทางข้ามไปแคนาดา แต่ถ้าใครมีโอกาสข้ามไปแคนาดาผมก็แนะนำอย่างยิ่งครับ เพราะน้ำจิ้มกับอาหารจานหลักมันต่างกันจริง ๆ

          การเดินทางไป Glacier National Park ค่อนข้างลำบากนิดหนึ่ง เพราะไม่มีสนามบินใหญ่เลย สนามบินใหญ่ที่ใกล้ที่สุดคือ Seattle หรือ Salt Lake City (สนามบินใหญ่ในที่นี้คือ Hub ของสายการบินหลัก ๆ ทั้งหลายครับ) แต่สนามบินเล็กก็มีหลายตัวเลือก เช่น Kalispell (ใกล้ที่สุด), Great Falls, Missoula หรือจะลง Spokane แล้วเที่ยว Palouse แล้วขับมา Glacier ก็ได้เช่นกัน (ขับรถ 6 ชั่วโมง) ซึ่งผมเองก็เคยจัด route ที่แวะ Palouse ควบ Glacier มาแล้ว ได้บรรยากาศหลายแบบดีครับ

สหรัฐอเมริกา

มุมจากริมถนน Going-to-the-sun Road

          Glacier National Park จะมีถนนตัดผ่านอุทยานหนึ่งเส้นก็คือ Going-to-the-sun Road (แค่ชื่อก็ฟังดูน่าไปแล้ว) ซึ่งจะเป็นถนนสองเลน ตั้งต้นจาก West Glacier/Apgar ทางด้านตะวันตก ลัดเลาะตามภูเขาผ่านใจกลางอุทยานคือ Logan Pass แล้วไปออกที่ St. Mary ช่วงที่วิ่งบนภูเขา ถนนค่อนข้างแคบทีเดียว แต่จะไม่คดเคี้ยวมาก เพราะถนนจะลัดเลาะไปตามหน้าผา ผมแนะนำว่าใครที่มาแล้วจะประทับใจในวิวสองข้างทางอย่างแน่นอน (จริง ๆ มีด้านเดียว เพราะอีกด้านจะติดภูเขาเกือบตลอด ผมแนะนำว่าให้ขับไป-กลับ จะได้แฟร์กับคนนั่งทั้งสองฝั่งนะครับ 555) ส่วนถนนอีกเส้นหนึ่งคือ US route 2 จะวิ่งรอบอุทยาน ตั้งต้นจาก West Glacier/Apgar ไปยัง East Glacier Park ซึ่งถนนเส้นนี้จะวิ่งคู่ขนานไปกับทางรถไฟ สามารถนั่งรถไฟมาจากชิคาโกได้เลยนะครับ

สหรัฐอเมริกา

สหรัฐอเมริกา

มุมคลาสสิกของ Logan Pass คือน้ำตกเล็ก ๆ กับภูเขา

นี่ก็ถ่ายจากหน้าต่างรถเช่นกัน ตอนกำลังขับเลาะ Saint Mary Lakeมุมคลาสสิกของ Logan Pass คือน้ำตกเล็ก ๆ กับภูเขา

          จุดถ่ายภาพหลักที่ดัง ๆ ของ Glacier National Park จะอยู่ทางด้านตะวันออกของอุทยานเสียมาก ฉะนั้นถ้ามีโอกาสได้มา ผมแนะนำให้พักด้านตะวันออกครับ เช่น Many Glacier, St. Mary, Rising Sun หรือ East Glacier Park เป็นต้น ผมแนะนำ Wildgoose Island Viewpoint เป็นจุดที่ดังที่สุด รองลงมาคือ Swiftcurrent Lake และ Two Medicine Lake ก็สวยไม่แพ้กัน

สหรัฐอเมริกา

          Wild Goose Island Viewpoint ผมชอบจุดนี้มาก เพราะมีเกาะเล็ก ๆ น่ารักตั้งอยู่กลางทะเลสาบด้วย

สหรัฐอเมริกา

สหรัฐอเมริกา

สหรัฐอเมริกา

ต้นไม้สีขาว เดินขึ้นเนินจาก Swiftcurrent Lake ไปไม่ไกลครับ

Swiftcurrent Lake เดินทางง่าย ก้าวออกจากรถแล้วถึงเลยต้นไม้สีขาว เดินขึ้นเนินจาก Swiftcurrent Lake ไปไม่ไกลครับ

          นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นสวรรค์ของคนชอบ Hiking ด้วยนะครับ ถ้าใครมาแล้วไม่ได้ Hike ถือว่ามาไม่ถึงเลยทีเดียว Trail หลักที่ผมอยากแนะนำ เดินไม่ยาก นั่นคือ Iceberg Lake, Crater Lake และ Grinnell Glacier ครับ ทั้งหมดตั้งต้นจาก Many Glacier (หรือ Swiftcurrent Lake) ซึ่งอยู่ทางด้านตะวันออกของอุทยาน ถ้าพักแถว ๆ St. Mary หรือ Swiftcurrent Lake จะสะดวกมาก ๆ แสงเช้าจะสวยกว่าแสงบ่ายนะครับ (ยกเว้น Grinnell Lake Viewpoint ซึ่งจะสวยตอนเย็น)

สหรัฐอเมริกา

          Iceberg Lake ตอนเช้า ระยะทางไป-กลับ 9.6 mi (15.4 กม.) แน่นอนว่าผมต้องออกเดินตั้งแต่ตีสอง เพื่อให้ทันแสงเช้าครับ ครั้งเดียวก็เกินพอ 555

สหรัฐอเมริกา

Cracker Lake ระยะทางไป-กลับ 12.2 mi (19.6 กิโลเมตร)

          ผมเกือบลืมพูดถึง Logan Pass ซึ่งเป็นจุดที่ผมชอบมาก ๆ มีอะไรให้ถ่ายเยอะมาก เอาแค่เบสิก ๆ เดิน 2 ไมล์ ไปยัง Hidden Lake Overlook ก็สร้างความประทับใจได้ไม่ยากแล้ว แต่ถ้าใครชอบดอกไม้ แนะนำให้มาประมาณกลางเดือนกรกฎาคมถึงกลางเดือนสิงหาคม ที่ Logan Pass จะเต็มไปด้วยทุ่งดอกไม้หลากสี แต่ช่วงเวลาบานเต็มที่จะขึ้นอยู่กับปริมาณหิมะในแต่ละปี อุณหภูมิในหน้าร้อน และอัตราการละลายของหิมะครับ หิมะละลายเร็ว ดอกไม้ก็บานเร็ว รอบ ๆ เส้นทางเดินชมธรรมชาติก็จะมีน้ำตกเล็กใหญ่ให้เห็นตลอดทาง ควบคู่ไปกับภูเขายอดแหลมสองยอดคือ Mount Reynold กับ Clement Mountain นั่นเอง

สหรัฐอเมริกา

น้ำตกเล็ก ๆ ริมทางที่ Logan Pass คู่กับ Clement Mountain

          หากมีเวลาเหลือ ผมแนะนำให้ลองไปเดินเล่นตามภูเขาแถว ๆ East Glacier Park จะเจอต้น Whitebark Pine รูปทรงสวยงามหลาย ๆ ต้น ถ่ายรูปสนุกทีเดียวครับ

สหรัฐอเมริกา

Whitebark Pine อยู่นอกเขตอุทยาน

          Montana เป็นรัฐที่ใหญ่ แต่บริเวณที่สวยสุด ๆ มีแค่โซนภูเขาทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือ ที่ติดกับแคนาดาที่เดียว เมืองสำคัญ ๆ ที่ใช้ในการเดินทางคือ Kalispell, Missoula และ Great Falls

สหรัฐอเมริกา

          Colorado

          โคโลราโดก็เป็นอีกรัฐที่เที่ยวได้ทั้งปี สำหรับขานักสกีจะเป็นที่ทราบกันดีกว่ารัฐนี้เป็นสวรรค์สำหรับนักสกีเลยทีเดียว ที่พักต่าง ๆ ราคาจะสูงในช่วงหน้าหนาว แม้ว่าในหน้าหนาวจะถ่ายรูปยากสักหน่อย เพราะถนนหนทางและการเดินป่าไปตามจุดต่าง ๆ ไม่ค่อยสะดวก (จะสะดวกแค่การเดินทางไปเล่นสกี 55) แต่ช่วงเวลาอื่น ๆ ของปีก็มีโอกาสให้ถ่ายรูปเยอะมาก ๆ ครับ ผม proudly present ให้มาช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ซึ่งจะอยู่ราว ๆ สัปดาห์สุดท้ายของเดือนกันยายนถึงสัปดาห์แรกของเดือนตุลาคม เพราะคุณจะได้เห็นภูเขาทั้งลูกเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองของใบไม้ต้น aspen

          การเดินทางที่สะดวกที่สุดคือบินมาลง Denver แล้วขับรถเที่ยวเอาครับ Denver อยู่ตรงกลางรัฐพอดี และเป็นสนามบินที่ใหญ่มาก ๆ เดินทางสะดวกครับ

สหรัฐอเมริกา

Maroon Bells กับแสงจันทร์

          ทางตะวันตกเฉียงใต้ของรัฐ Colorado จะเป็นบริเวณที่ผมว่าเหมาะสมที่สุดสำหรับใบไม้เปลี่ยนสี เพราะเต็มไปด้วยภูเขาสวย ๆ และต้น aspen เต็มไปหมด ถ้าให้เมือง Denver เป็นจุดตรงกลางรัฐ ทางด้านตะวันตกจะเป็นเทือกเขา Rocky และทางด้านตะวันออกจะเป็นที่ราบ ส่วนตะวันตกเฉียงเหนือ และตะวันตกเฉียงใต้ ผมแบ่งจาก Interstate สาย 70 ซึ่งจะพาดผ่านตอนกลางพอดีครับ ที่อุทยาน Rocky Mountain National Park ไม่ค่อยมีใบไม้เปลี่ยนสีสวย ๆ นะครับ ผมเองไม่ค่อยชอบอุทยานนี้เท่าไร เพราะวิวสวยสู้ทางตะวันตกเฉียงใต้ของรัฐไม่ได้เลย

สหรัฐอเมริกา

ต้น Aspen เปลี่ยนสีเป็นสีเหลืองทอง พระเอกของใบไม้เปลี่ยนสีที่ Colorado

          ไม่ว่าใครที่มาดูใบไม้เปลี่ยนสีที่ Colorado ผมคิดว่าร้อยละร้อยก็ต้องไม่พลาดที่จะมาที่ Maroon Lake แน่นอนครับ การเดินทางไม่ยาก เป็นลาดยางตลอดเส้น ขับจาก Denver สี่ชั่วโมงถึงเมือง Aspen (ชื่อเดียวกับต้นไม้ และมีลานสกีดัง ๆ หลายที่) จากนั้นก็ขับต่อไปบนถนน Maroon Lake Road อีก 30 นาที เนื่องจากที่ Maroon Lake มีที่จอดรถจำกัดมาก ในช่วงกลางวันจะไม่เพียงพอที่จะรับนักท่องเที่ยวจำนวนมหาศาลได้ ทางอุทยานก็จะปิดไม่ให้รถส่วนตัวเข้าหลัง 8 โมงเช้าครับ และให้นั่งรถบัสเข้าไปแทน ซึ่งก็ไม่สะดวกนัก แต่ถ้ามาก่อนหน้านั้นสามารถนำรถส่วนตัวเข้าไปได้ ที่ Maroon Lake เป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ดังและผมยกให้เป็นจุดที่สวยที่สุดของ Colorado แล้วครับ

          ถ้ามีโอกาสได้มาผมแนะนำว่าควรมาค้างคืนที่เมือง Aspen หรือ Snowmass Village ก็ได้ เพื่อที่จะเข้ามาที่ Maroon Lake ตั้งแต่ก่อนสว่าง มาจับจองที่ถ่ายภาพ ได้เห็นแสงแรกแตะยอด Maroon Bells สะท้อนกับน้ำในทะเลสาบราวกับเป็นกระจกบานใหญ่ (ถ้าลมแรงก็ตัวใครตัวมันนะครับ 5555) และอยู่ถึงช่วงสาย ๆ เพราะบรรยากาศเมื่อแดดออกแล้วก็จะสวยไปอีกแบบ สีเหลืองของต้น aspen จะสดและสวยขึ้นมาก ๆ เมื่อโดนแดดครับ

สหรัฐอเมริกา

สหรัฐอเมริกา

ยอดเขา Maroon Bells เมื่อมองจากไกล ๆ มุมนี้อยู่ระหว่างทางก่อนถึง Maroon Lake

Maroon Lake ยามเช้ายอดเขา Maroon Bells เมื่อมองจากไกล ๆ มุมนี้อยู่ระหว่างทางก่อนถึง Maroon Lake

          แถว ๆ Snowmass Village มีถนนลูกรังเส้นหนึ่งชื่อ Capitol Creek Road ซึ่งจะขึ้นไปที่จุดชมวิวเพื่อชมภูเขา Capitol Peak แต่ถนนเส้นนี้ต้องใช้ 4WD เพราะช่วงท้าย ๆ ของเส้นทางมันชันมาก ๆๆ และถ้าฝนตกถนนจะลื่นมาก แต่ผมยอมรับเลยครับว่าต้น Aspen บริเวณนั้นมันสวยสมบูรณ์มากจริง ๆ

สหรัฐอเมริกา

สหรัฐอเมริกา

ป่า Aspen มีแค่สองสีครับ สีเหลืองทองและสีขาว

Capitol Peak กับต้น Aspen เหลือง ๆ ไปทั้งเขาป่า Aspen มีแค่สองสีครับ สีเหลืองทองและสีขาว

          จาก Maroon Lake หากมีเวลาเพิ่มสัก 1-2 วัน สามารถขับวนเป็น loop เล็ก ๆ ได้ครับ วนจาก Aspen มา Carbondale แล้วตัดลงไปทางใต้ไปทางเมือง Marble จากนั้นวนขึ้นถนนสาย 12 ซึ่งเป็นถนนลูกรัง ผ่าน Kebler pass ไปที่เมือง Crested Butte จากนั้นก็ตัดเข้า Ohio pass (ทางลูกรังเช่นกัน) ลงไปเมือง Gunnison แล้ววนกลับเข้า Denver ได้ ที่ Kebler pass กับ Ohio pass นี้มีใบไม้สวย ๆ ตลอดเส้นทางเลยครับ  สามารถขับรถถ่ายรูปเพลิน ๆ ได้ทั้งวันเลย ส่วนเมือง Marble ถ้ามีเวลาสัก 3-4 ชั่วโมง สามารถเช่า Jeep tour ไปยัง Crystal mill ซึ่งเป็นมุมที่ว่ากันว่าเป็น the most photographed place in Colorado หรือสถานที่ถูกถ่ายภาพมากที่สุดครับ

สหรัฐอเมริกา

สหรัฐอเมริกา

Abstract ของป่า Aspen ที่ McClure Pass

สหรัฐอเมริกา

หินพีระมิดที่ Ohio Pass

Kebler Pass ยามพระอาทิตย์ใกล้ตกAbstract ของป่า Aspen ที่ McClure Passหินพีระมิดที่ Ohio Pass

          ถ้าหากมีเวลามากกว่านั้นสัก 3-4 วัน ผมแนะนำให้ขับลงไปทาง San Juan Mountains จาก Carbondale ขับลงไปถึงเมือง Ridgway ซึ่ง Ridgway เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นเส้นทางรอบ San Juan mountains และเส้นทางนี้จะสามารถทำเป็น loop ได้เช่นกัน เรียกว่า San Juan Skyway เป็นเส้นทางที่วิวสวยมาก ๆ ตั้งต้นจาก Ridgway วนลงทาง highway 550 ผ่าน Ouray, Silverton ไปถึง Durango และวนกลับมาทางเส้นด้านตะวันตก ผ่านทาง highway 167 แวะเมือง Telluride และวก Last Dollar Road กลับมา Ridgway ได้

สหรัฐอเมริกา

ต้น Aspen โค้งงอ ใกล้ ๆ กับเมือง Ophir

สหรัฐอเมริกา

          รอบ ๆ เมือง Ridgway มีจุดถ่ายรูปหลัก ๆ อยู่สี่แห่งคือ Country Road หมายเลข 5, Country Road หมายเลข 7 (แปลคล้าย ๆ กับทางหลวงชนบทหมายเลข 5 และ 7), Dallas Divide และ Chimney Rock โดยสองที่แรกจะเป็นสองมุมที่เห็น Mount Sneffels ซึ่งจะถ่ายได้ทั้งพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก อีกช่วงเวลาที่ผมแนะนำคือช่วงหน้าร้อน ราว ๆ ปลายเดือนกรกฎาคมจนถึงกลางเดือนสิงหาคม ทุ่งหญ้าตามแนวภูเขาสูงจะถูกเปลี่ยนเป็นทุ่งดอกไม้ป่าหลากสี จริง ๆ แล้วช่วงหน้าร้อนทั่วไป คือหน้าใบไม้ผลิของบนภูเขาสูงครับ แนวภูเขาสูงนี้ผมอ้างอิงถึงบริเวณที่สูงกว่าหนึ่งหมื่นฟุตหรือประมาณสามพันเมตรครับ เพราะหิมะเพิ่งจะละลายหมด ดอกไม้ถึงเพิ่งจะเริ่มออกดอก เมื่อผ่านไปอีกสักเดือนก็จะเข้าหน้าใบไม้เปลี่ยนสีแล้ว ดังนั้นหน้าร้อนบนภูเขาสูงใน Colorado นี้จะสั้นมาก ๆ จนแทบเรียกว่าไม่มีก็ว่าได้ครับ

สหรัฐอเมริกา

วิวจาก County Road หมายเลข 5

          บริเวณที่มีทุ่งดอกไม้เยอะ ๆ รายล้อมไปด้วยภูเขารูปร่างสวย ๆ จะอยู่แถว San Juan mountains เช่นเดียวกับบริเวณที่ไปถ่ายใบไม้เปลี่ยนสีครับ ผมมีโอกาสไปมาแค่ครั้งเดียว ทริปสั้น ๆ สี่วันสามคืน ได้ไป American Basin และ Ice Lake Basin โดยที่ American basin นี้เดินทางไม่ยาก รถถึง ตั้งต้นจากเมือง Lake City จะวิ่งทางลูกรังเกือบตลอด ใช้เวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมง แต่เส้นทางช่วง 2 กิโลเมตรสุดท้ายจะค่อนข้างโหดหน่อย เต็มไปด้วยหินใหญ่ขวางถนนหลายก้อน ผมแนะนำให้เช่า 4WD ท้องรถสูงหน่อย ขับมาค้างคืน กางเต็นท์นอน พอตื่นมาเหมือนได้รายล้อมอยู่ท่ามกลางดอกไม้ แล้วคุณจะรู้ว่าสวรรค์มีจริงครับ ใครจะมาเป็น One day trip ก็ได้ไม่ว่ากัน

          ส่วน Ice Lake Basin ให้ตั้งต้นจากเมือง Silverton และจะต้องเดินเท้าเข้าไป 7 กิโลเมตรครับ สามารถเดินไปเช้า-เย็นกลับได้ (ระยะทางรวม 14 กม.) แต่ช่างภาพอย่างผม อยากได้แสงเช้า ก็ต้องแบกเต็นท์ อาหาร ถุงนอน เข้าไปกางเต็นท์นอนข้างในกัน ซึ่งก็จะแบกของเยอะกว่า เดินได้ช้ากว่า และเหนื่อยกว่า 555 การเดินบนที่สูงกว่า 3,000 เมตร จะค่อนข้างเหนื่อยง่ายมากเพราะออกซิเจนน้อย ใครไปหิมาลัยมาคงเข้าใจความรู้สึกนี้ดี แต่รับรองว่าถ้าได้ขึ้นไปที่ Upper Ice Lake basin แล้วมันคุ้มมากจริง ๆ จาก Ice Lake จะมีถนนลูกรังตัดขึ้นไปที่ Clear Lake ซึ่งก็สวยไม่แพ้กันเลย

สหรัฐอเมริกา

สหรัฐอเมริกา

Ice Lake basin จริง ๆ ต้องมีดอกไม้เยอะเหมือนกัน แต่ตอนที่ผมไปนั้นยังไม่ค่อยมีบานครับ

สหรัฐอเมริกา

ดอกไม้ริมทะเลสาบ เคียงคู่กับยอดเขาชื่อ Golden Horn

American Basin หุบเขาที่มีดอกไม้ป่าเยอะที่สุดใน ColoradoIce Lake basin จริง ๆ ต้องมีดอกไม้เยอะเหมือนกัน แต่ตอนที่ผมไปนั้นยังไม่ค่อยมีบานครับดอกไม้ริมทะเลสาบ เคียงคู่กับยอดเขาชื่อ Golden Horn

          นอกจากนี้แล้วรอบ ๆ San Juan mountains ยังมีบริเวณที่มีดอกไม้เยอะ ๆ ยังมีอีกเยอะมาก ๆ อย่างเช่น Yankee Boy Basin, Wetterhorn Basin เป็นต้น และพื้นที่ส่วนมากต้องใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อครับ สามารถเช่ารถ Jeep จากเมือง Ouray ได้ มีให้เช่าหลายเจ้า

          ดูในแผนที่จุดเที่ยวส่วนใหญ่ที่ผมเน้นจะอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้หมดเลยครับ (ไม่นับหมายเลข 1 และ 2)

สหรัฐอเมริกา

          Nevada

          สามรัฐสุดท้ายที่ผมจะกล่าวถึงจะเป็นดินแดนทะเลทรายที่กว้างใหญ่มาก ๆ นั่นคือ Nevada, Arizona และ Utah

          เราเริ่มกันที่รัฐ Nevada กันก่อนเลย เอาจริง ๆ รัฐนี้เป็นรัฐที่ไม่มีอะไรให้เที่ยวเลยครับ ไม่มีอุทยานแห่งชาติที่สวย ๆ เมื่อเทียบกับที่อื่น นี่อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่รัฐเปิดให้มีบ่อนการพนันได้อย่างถูกกฎหมาย และ Las Vegas ก็เป็นศูนย์รวมยักษ์ใหญ่ของแสงสีที่ดึงดูดนักเสี่ยงโชค รวมไปถึงคนที่อยากมาสนุกสุดเหวี่ยงเหล่านี้ด้วย ผมยังจำได้ดีเวลาที่ขับรถจากแอลเอไปที่ Las Vegas เวลาขับข้ามพรมแดนไปยังรัฐ Nevada จะสังเกตได้ไม่ยากเลย เพราะตอนที่ข้ามพรมแดนจะมีกาสิโนใหญ่ตั้งอยู่กลางทะเลทราย ตั้งอยู่ตรงพรมแดนระหว่างสองรัฐแบบเป๊ะ ๆ เรียกได้ว่าต้อนรับนักเสี่ยงโชคกันเลยทีเดียว 555

          ผมมาที่ Las Vegas เกินสิบครั้งได้ แต่ไม่เคยได้เที่ยวเมืองแบบจริง ๆ จัง ๆ เสียเลย อาจจะเป็นเพราะผมไม่ได้ติดใจกับแสงสีของที่นี่สักเท่าไร สำหรับ Las Vegas ของผมแล้ว เป็นเมืองที่ไว้เป็นจุดเริ่มต้นของการเที่ยวธรรมชาติที่อยู่รอบ ๆ เพราะจากที่นี่จะขับไป Utah ไป Arizona ก็สะดวก Grand Canyon South Rim ก็ห่างไปราว ๆ 4 ชั่วโมงเท่านั้นเอง และที่พักที่นี่ก็ถูกด้วย 5555 โรงแรมคืนละ $30 (ราคาถูกเพื่อดึงดูดให้คนมาเล่นการพนัน) แต่คุณภาพดีใช้ได้มีให้เลือกเยอะเลยครับ ผมเลยนั่งเครื่องบินมาลง Las Vegas ค่อนข้างบ่อย และก็ขับรถออกไปที่อื่นโดยที่ไม่ได้สนใจตัวเมืองเลย

สหรัฐอเมริกา

          ใครอยากหามุมถ่ายทางช้างเผือกไปแถว ๆ Valley of Fire ได้เลยครับ แต่ช่วงหลังได้ยินข่าวมาว่าทางเจ้าหน้าที่ห้ามนักท่องเที่ยวเข้าหลังพระอาทิตย์ตกแล้ว

          ถ้าใครมาที่ Las Vegas แต่มีเวลาน้อย ผมแนะนำ Valley of Fire State Park ครับ ที่นี่เป็น Park เล็ก ๆ หลายคนมักมองข้าม ห่างจาก Las Vegas แค่ชั่วโมงเดียว แต่ Valley of Fire อัดแน่นไปด้วยหินหลากสี รูปร่างประหลาด น่าสนใจมากมาย ถ้าให้เที่ยวทุกจุดอาจจะใช้เวลาเต็มวันได้สบาย ๆ หรือถ้าช่างภาพอยากจะรอแสงสวย ๆ ก็มีมุมให้ถ่ายรูปได้ 2-3 วันเลยครับ ผมเคยรีวิวจุดถ่ายรูปไปบางส่วนในกระทู้ก่อนหน้า จุดที่ไม่ควรพลาดของที่ Valley of Fire State Park ก็ Fire Wave, Windstone Cave, Elephant Rock, และ Pink Canyon และนอกจากนี้ก็ยังมี Crazy Hills, Double Arch, White Tank, หินรูปโลโก้ Nike และจุดอื่น ๆ อีกเยอะมาก

สหรัฐอเมริกา

สหรัฐอเมริกา

Fire Wave

สหรัฐอเมริกา

ภาพ Abstract จาก Pink Canyon

Windstone Cave เป็น Arch เล็ก ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในถ้ำเล็ก ๆ อีกทีFire Waveภาพ Abstract จาก Pink Canyon

          สำหรับขาผจญภัยผมแนะนำทริปพายเรือคายักในแม่น้ำ Colorado ครับ ขับรถจากเวกัสราว ๆ หนึ่งชั่วโมงพอดี เราตั้งต้นพายเรือจาก Willow Beach (จริง ๆ อยู่ในรัฐ Arizona) สามารถจัดทริปแบบวันเดียว หรือแคมปิ้งหลายวันก็ได้ แต่ถ้ามีเวลาไม่มาก พายระยะสั้น ๆ ขึ้นไปถึง Emerald Cave ก็ใช้เวลาแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้นเอง ซึ่งถ้ามาในช่วงบ่าย จะได้มุมแสงตกกระทบที่เหมาะสม ทำให้น้ำกลายเป็นสีเขียวมรกต สวยมาก ๆ ครับ แต่ถ้ำจะเล็กนิดหนึ่ง เข้าได้แค่ 1-2 ลำ ถ้าใช้เลนส์มุมกว้างก็จะทำให้ภาพออกมาสวยได้ดังใจครับ ผมใช้บริการของทัวร์นี้ครับ kayaklakemead.com

สหรัฐอเมริกา

          พายคายักใน Emrald Cave สีเขียว ๆ ที่เห็นนี้เป็นสีของแม่น้ำ Colorado ครับ ผมยังไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมมันเป็นสีเขียว น่าจะเกิดจากสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในน้ำ

          ทิ้งท้ายรัฐ Nevada ด้วยแผนที่ง่าย ๆ ครับ เพราะทั้งรัฐไม่มีอะไรเลย 555 จุดท่องเที่ยวมีแค่ติ่งเล็ก ๆ ด้านใต้เท่านั้น

สหรัฐอเมริกา

          Arizona

          การเดินทางมา Arizona สามารถบินมาลงที่ Las Vegas ได้ เพราะใกล้ Grand Canyon และรัฐ Utah ด้วย หรือจะบินลง Phoenix ก็ได้เช่นกัน หรือถ้าใครอยากขับรถมาจากแอลเอก็ใช้เวลาราว ๆ 7-8 ชั่วโมงครับ ขับรถทั้งวันพอดี

          สิ่งที่ดังที่สุดของรัฐ Arizona คงหนีไม่พ้น Grand Canyon อุทยานที่อลังการมาก ๆ แกรนด์แคนยอนเกิดจากการกัดเซาะของแม่น้ำโคโลราโด ถ้านับจากหน้าผาลงไป มีความกว้างเกือบ ๆ 30 กิโลเมตร ลึกลงไปมากกว่า 6,000 ฟุต เลยทีเดียว นับว่าเป็นความยิ่งใหญ่ของกระแสน้ำที่สุด ๆ เลยจริง ๆ ถ้านับตัวอุทยานแห่งชาติ Grand Canyon จะมีโซนที่เที่ยวชมหลัก ๆ อยู่สองด้านคือ North Rim หรือแนวหน้าผาทางด้านเหนือของแม่น้ำ และ South Rim ซึ่ง South Rim จะดังกว่า และนักท่องเที่ยวเยอะกว่า ส่วน North Rim นั้นปิดในช่วงหน้าหนาว แต่ถ้าขับรถจาก Las Vegas มายัง North หรือ South Rim จะกินเวลานานประมาณ 5-6 ชั่วโมง ทัวร์ส่วนมากจะชอบพามา West Rim ซึ่งจะอยู่ในเขตของอินเดียนแดงแทน ที่เห็นว่ามีทางเดินกระจกยื่นออกไปนอกหน้าผานี่แหละครับ จริง ๆ West Rim ก็เป็นส่วนหนึ่งของ Grand Canyon เพียงแต่ไม่ได้อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเท่านั้นเอง ผมเองยังไม่เคยไป West Rim เพราะค่าเข้าแพงและวิวสวยสู้ South Rim กับ North Rim ไม่ได้

สหรัฐอเมริกา

          Grand Canyon South Rim จาก Mother Point ซึ่งผมรู้สึกเฉย ๆ กับมุมนี้มาก เอามาโพสต์ให้ดูเทียบกับรูปด้านล่างครับ 55

          ถ้านับจุดชมวิวทั่วทั้งอุทยาน ในเรื่องความสวยงามผมยกให้ Toroweap Overlook มาเป็นอันดับหนึ่งครับ รองลงมาเป็น Cape Royale ที่ North Rim และยกให้จุดชมวิวที่เหลือใน South Rim เช่น Yavapai point หรือ Mother point เป็นอันดับท้าย ๆ แล้วกัน 55

          การเดินทางไป Toroweap Overlook นั้นจะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยากครับ ข้อจำกัดแรกคือต้องขับรถบนทางลูกรังเป็นระยะทางไกลร่วม ๆ 3 ชั่วโมง และช่วงกิโลเมตรสุดท้ายต้องใช้รถท้องสูงมาก เพราะมีแต่หินก้อนใหญ่ ๆ แต่สามารถจอดรถแล้วเดินไปแทนได้ ข้อจำกัดที่สองถ้าอยากจะมาค้างคืนที่นี่ต้องจอง permit ล่วงหน้าครับ สามารถ fax จองได้ โดย campground ชื่อ tuweep ผมไปมาช่วงปลายเดือนสิงหาคมก็ไม่เต็มนะครับ แต่อย่างไรก็ตามก็แนะนำให้จองล่วงหน้าไปก่อนดีกว่า

สหรัฐอเมริกา

Toroweap Overlook จุดชมวิวที่อลังการที่สุดของ Grand Canyon

          ที่ Toroweap Overlook นี้เราจะได้เห็นความอลังการของ Grand Canyon แบบเต็มตามาก ๆ เพราะจะเห็นหน้าผาใหญ่มาก ๆ ตั้งชันดิ่งลงไปถึงแม่น้ำเลยทีเดียว เป็นจุดชมวิวที่ใครกลัวความสูงอาจจะต้องคิดแล้วคิดอีกหน่อย 555 แต่วิวที่นี่สวยทั้งแสงเช้าและแสงเย็นเลย

          หากกล่าวถึง Grand Canyon ผมคงจะพลาดไม่ได้ที่จะพูดถึงน้ำตกสีฟ้าที่ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาแห่งนี้ เหมือนเป็นเพชรเม็ดงามของ Grand Canyon เลยทีเดียว น้ำตกนี้ชื่อ Havasu Falls ครับ ตั้งอยู่ในเขตของอินเดียนแดง ชื่อ Havasupai อยู่นอกเขตอุทยานแห่งชาติ การเดินทางมี 3 วิธี คือเดินเท้าเข้าไป 16 กิโลเมตร นั่งลา หรือนั่งเฮลิคอปเตอร์ ราคาก็ไล่ตามกันไปครับ เฮลิคอปเตอร์นั้นจะมีบินแค่ 2-3 วันต่อสัปดาห์ อย่างฤดูหนาวก็จะมีแค่วันศุกร์และวันอาทิตย์ ค่าโดยสารตกคนละ $85 ก็ถือว่าไม่แพงมากนัก และการจะเข้าไปใน Havasu Falls นั้นต้องจอง permit ล่วงหน้าเช่นกัน ถ้าไม่ได้จองไป จะโดนปรับอาน และเผลอ ๆ จะให้เดินกลับด้วยครับ กลายเป็นว่าเดิน 30 กิโลเมตร เหนื่อยเปล่า 5555

สหรัฐอเมริกา

Havasu Falls อัญมณีกลางหุบเขา Grand Canyon

          น้ำตกที่นี่เป็นสีฟ้าสวยมาก ๆ ช่วงเวลาที่เหมาะคือได้ทั้งปี ยกเว้นหน้าร้อน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคมครับ เพราะเป็นช่วงที่อากาศร้อนจัดมาก ๆ และยังเป็นช่วงที่มีโอกาสเกิดฝนฟ้าคะนองและน้ำป่าด้วย ที่ Havasu Falls เคยมีน้ำป่าใหญ่มากเมื่อประมาณ 5 ปีก่อน ทำให้ทางน้ำเปลี่ยน และหน้าตาน้ำตกเปลี่ยนไปพอสมควรเลย

สหรัฐอเมริกา

น้ำตก Havasu เมื่อมองจากด้านล่าง

          ถ้ามา Havasu Falls แล้วอย่าลืมแวะไป Mooney Falls ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล แต่ทางเดินลงไปด้านล่างน้ำตกจะชันมาก และทั้งสองน้ำตกสามารถเล่นน้ำได้ ใครชอบเล่นน้ำตกขอบอกว่าต้องห้ามพลาดครับ

สหรัฐอเมริกา

Mooney Falls กับแท่งดินที่เกิดจากน้ำป่า สวยไปอีกแบบ

          อีก zone หนึ่งของรัฐ Arizona ที่น่าสนใจมาก ๆ คือทางด้านเหนือครับ บริเวณนี้คือรอบ ๆ Lake Powell ซึ่งจะเต็มไปด้วยหินสวย ๆ และ Slot canyon มากมาย มีเมืองหลักคือเมือง Page และ Kanab ผมแนะนำให้หาที่พักที่สองเมืองนี้ครับ ถ้าใครชอบ Slot Canyon ให้มาที่ Page เพราะสามารถขับรถแค่ 10-15 นาที ก็ถึงที่เที่ยวอย่าง Antelope Canyon และ Horseshoe Bend แล้ว

สหรัฐอเมริกา

          Upper Antelope Canyon ตอนที่ผมไปไม่ได้ซื้อ photographer tour เลยคนเยอะมาก ผมได้แต่ถ่ายเพดาน เพราะถ่ายมุมระดับสายตา มีแต่นักท่องเที่ยว 55

          สำหรับ Antelope Canyon จะอยู่ในเขตของอินเดียนแดง ต้องเสียค่าเข้าแพงนิดหนึ่ง แต่ความประทับใจที่ได้คุ้มมาก ๆ แน่นอนครับ หลัก ๆ แล้ว Antelope Canyon จะมีสองด้านคือ Upper Antelope กับ Lower Antelope ซึ่ง Upper Antelope ค่าเข้าจะแพงกว่า เดินง่ายกว่า ในช่วงหน้าร้อน ตั้งแต่เดือนเมษายนถึงตุลาคม จะมีลำแสงลอดลงมาจากรูด้านบนในช่วงเที่ยง ส่วน Lower Antelope นั้นต้องปีนป่ายบันไดนิดหนึ่ง แต่ผมชอบรูปทรงของหินที่ Lower Antelope มากกว่า และที่นี่แสงจะสวยที่สุดในตอนเช้าครับ ให้มาตั้งแต่เวลาเปิดเลย และมาวันธรรมดาคนจะได้ไม่เยอะมากนัก Lower Antelope เองก็มีลำแสงเหมือนกัน แต่จะไม่อลังการเท่ากับ Upper Antelope ผมเองยังไม่เคยได้ภาพลำแสงจาก Upper Antelope เลย เพราะ Photographer Tour ชอบเต็มตลอด

สหรัฐอเมริกา

สหรัฐอเมริกา

แสงสะท้อนผนังหินทรายใน Lower Antelope Canyon

สหรัฐอเมริกา

ที่ Lower Antelope จะเห็นหินรูปร่างแปลกตา เค้าว่ากันว่าเหมือนผู้หญิงที่ผมปลิวไปตามลม

          รอบ ๆ เมือง Page ยังมี Slot Canyon อีกมากมายเลยครับ เช่น Arch เรืองแสงอันนี้

Lower Antelope Canyon กับแสงตอนช่วงสายแสงสะท้อนผนังหินทรายใน Lower Antelope Canyonที่ Lower Antelope จะเห็นหินรูปร่างแปลกตา เค้าว่ากันว่าเหมือนผู้หญิงที่ผมปลิวไปตามลม

สหรัฐอเมริกา

          Horseshoe Bend ก็เป็นอีกที่หนึ่งที่มาง่ายและวิวอลังการมาก สวยทั้งเช้าและเย็นครับ เป็นอีกจุดหนึ่งที่ท้าความเสียวได้ไม่น้อยเลย เพราะตรงสุดทางเดินไม่มีรั้วกั้น มีเพียงหน้าผาที่ดิ่งลงไป จากที่ผมกะ ๆ เอาน่าจะเกือบสองร้อยเมตรได้ และที่ตรงนี้เราจะเห็นแม่น้ำโคโลราโดโค้งเป็นรูปเกือกม้า ซึ่งลักษณะคุ้งน้ำแบบนี้มีให้เห็นหลายที่ในแถบนี้ครับ มาที่ Horseshoe Bend จะง่ายที่สุด จุดอื่น ๆ ก็อย่างเช่น Tatahatso Point หรือ Gooseneck State Park นั่นเอง

สหรัฐอเมริกา

Horseshoe Bend ตอนเช้า

          อีกบริเวณหนึ่งที่มีหินสวย ๆ คือพื้นที่ระหว่างเมือง Page และ Kanab ผมจะเรียกรวม ๆ ว่าเป็น Vermillion Cliff ครับ ที่นี่จะมีสถานที่ที่โด่งดังระดับโลกอย่าง the wave ซึ่งการจะเข้าไป the wave นั้นต้องใช้ดวงล้วน ๆ ที่ต้องบอกว่าดวงล้วน ๆ นั่นเป็นเพราะว่าต้องใช้ permit เข้าในบริเวณที่ชื่อว่า North Coyote Butte ซึ่ง the wave อยู่ในบริเวณนี้ และการจะได้ permit มานั้นก็อาศัยการจับฉลากเอาครับ ในหนึ่งวันจะมีเพียง 20 คน ผู้โชคดีที่ได้ permit เข้าไป the wave เท่านั้น และ 20 คน ก็จะแบ่ง 10 ให้มาลุ้นโชคในหน้าเว็บ ต้องส่งใบสมัครล่วงหน้าสามเดือน และผู้ท้าชิงมีประมาณ 500-600 คน เอาแค่ 10 โอกาสจึงเหลือเพียง 2% เท่านั้น ส่วนอีก 10 ที่จะเป็น walk-in permit ก็จะให้จับเอาหน้างาน จับฉลากล่วงหน้าหนึ่งวัน

          ซึ่งปริมาณของผู้ท้าชิงก็จะมากน้อยขึ้นอยู่กับฤดูกาลและวันหยุด ถ้าเป็นช่วงหน้าร้อนก็อาจจะมีคนมาสมัครมากถึง 200 คน ซึ่งโอกาสได้ก็จะประมาณ 5% ผมเคยไปหน้าหนาว ในช่วงวันธรรมดา มีคนมาเสี่ยงดวง 40 คน โอกาสได้จึงเพิ่มขึ้นเป็น 25% โดยมาก walk-in permit จะมีคนมาสมัครน้อยกว่าแบบในเว็บ เพราะแบบในเว็บสามารถเสี่ยงดวงได้จากที่บ้านไม่ได้ก็ส่งใหม่ (ผมเคยส่งมา 15 เดือนติดแล้ว ยังไม่เคยได้เลย ดวงกุดขนาดไหน 555)

สหรัฐอเมริกา

          The Wave ผมมาตอนปลายปี อากาศหนาวมาก และนักท่องเที่ยวน้อย แต่ข้อเสียคือพระอาทิตย์จะไม่ขึ้นกลางหัว ทำให้ถ่ายติดเงาตัวเองตลอด และเงาจะพาดที่มุมนี้ตลอด ไม่มีช่วงเวลาที่ไม่มีเงา

สหรัฐอเมริกา

อีกมุมที่ The Wave

          นอกจาก The Wave แล้วก็ยังมี White Pocket ที่แม้จะดังน้อยกว่า แต่ลวดลายของหินก็สวยงามแปลกตาไม่แพ้กันเลย การเดินทางไป White Pocket จะยากกว่ามาก ต้องใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อ และสภาพถนนค่อนข้างแย่มาก เป็นถนนทราย หากมาในช่วงที่มีฝนจะขับรถเข้าไม่ได้เลย โดยมากแล้วช่างภาพจะมากางเต็นท์ค้างคืนที่ white pocket เพื่อรอถ่ายแสงเช้าหรือแสงเย็นกัน ในขณะที่ The Wave จะถ่ายแสงเที่ยงเสียมากกว่า

สหรัฐอเมริกา

สหรัฐอเมริกา

หินสวย ๆ อีกมุมที่ White Pocket ผมตั้งชื่อให้หินเส้นนี้ว่า “สันหลังมังกร”

          และเช่นเดิม…เราทิ้งท้ายด้วยบทสรุปแผนที่ของ Arizona ครับ

สหรัฐอเมริกา

ลวดลายของหินที่ White Pocketหินสวย ๆ อีกมุมที่ White Pocket ผมตั้งชื่อให้หินเส้นนี้ว่า “สันหลังมังกร”

          Utah

          เป็นรัฐสุดท้ายที่จะนำมาฝากกันครับ รัฐ Utah เป็นรัฐที่อัดแน่นไปด้วยอุทยานแห่งชาติเยอะมาก ทั้ง Zion, Bryce Canyon, Capitol Reef, Arches, Canyonlands เป็นต้น ผมเองเคยไป Zion บ่อยที่สุด เพราะใกล้ Las Vegas มากที่สุด ส่วน Capitol Reef เป็นอุทยานแห่งเดียวที่ผมเองไม่มีข้อมูลเลย เคยไปอยู่หนเดียว ตอนนั้นยังไม่ได้จริงจังกับการถ่ายภาพเท่าไรนัก เลยไม่มีจุดถ่ายรูปมาฝากกัน แต่รับรองว่าอุทยานอีกสี่แห่งที่เหลือจัดเต็มแน่นอน 55

          การเดินทางมารัฐ Utah สามารถบินมาลงที่ Salt Lake City ได้ แต่รอบ ๆ Salt Lake นั้นไม่ค่อยมีที่เที่ยวเยอะมากเท่ากับทางด้านใต้ ซึ่งทางใต้ของรัฐ Utah จะเป็น Canyon หลากหลาย ซึ่งจาก Las Vegas จะขับรถใกล้กว่า ถ้าจะเที่ยวทางด้านใต้ ผมแนะนำให้บินลง Las Vegas ดีกว่าครับ

สหรัฐอเมริกา

The Narrows

          ดังที่กล่าวไปว่า Zion National Park เป็นอุทยานที่ผมไปบ่อยที่สุดของรัฐนี้ ลักษณะพิเศษที่ทำให้ Zion แตกต่างจากอุทยานอื่น ๆ ใน Utah และในอเมริกาคือมีลักษณะเป็นหน้าผาสูงชัน คล้ายกับ Yosemite แต่หน้าผาเหล่านั้นเป็นสีแดง เปรียบประมาณว่าเหมือนเอาหน้าผาของ Yosemite มารวมกับสีของหินจาก Grand Canyon ยังไงยังงั้นเลย โดยใจกลางของอุทยานจะมีแม่น้ำชื่อ Virgin River ไหลผ่าน และ Zion ก็มี trail เด็ด ๆ เยอะมาก ไม่ว่าจะเป็น Angel’s Landing, Overlook trail แต่ที่ผมจะพูดถึงจะเป็นสองเทรลที่ฮิตสุด ๆ ในหมู่ช่างภาพ Landscape นั่นคือ the Narrows และ the Subway

สหรัฐอเมริกา

ใบไม้เปลี่ยนสีใน The Narrows มีช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน

          การเดินเท้าใน The Narrows จะเรียกว่าเดินบนเทรลก็เรียกได้ไม่เต็มปาก เพราะมันคือการเดินในแม่น้ำซะมากกว่าครับ 55 เพราะ The Narrows นั้นเริ่มต้นที่จุดสิ้นสุดของ Riverwalk trail และจากจุดนั้นคือการเดินสวนทางน้ำล้วน ๆ ไม่มีเส้นทางเดินแน่นอน อยู่ที่เราจะเลือกร่องน้ำและเนินหินเอาเอง จะเดินเลาะริมฝั่ง หรือจะข้ามน้ำตรงจุดไหนก็ได้ และจุด highlight ของ The Narrows คือโซนที่เรียกว่า Wallstreet ชื่อฟังดูเหมือนย่านตึกสูงในนิวยอร์ก แต่เราเปลี่ยนตึกเป็นผนังหินสูงราว ๆ ร้อยเมตร

          ตลอดช่วง Wallstreet นี้จะมีแต่หน้าผาสูงชัน และแม่น้ำที่เรากำลังเดินอยู่เท่านั้น ซึ่งถ้าเรามาถูกช่วงเวลา ก็จะเห็นแสงแดดสะท้อนผนังไปมา ทำให้ผนังเรืองแสงเป็นสีส้มทอง แสงเหล่านี้จะเรียกกันง่าย ๆ ว่า reflected light ซึ่งช่วงเวลาที่ดีที่สุดคือสิบโมงเช้าหรือบ่ายสอง เพราะเป็นช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ทำมุมเฉียงเล็กน้อย ทำให้แสงชิ่งไปชิ่งมา ถ้าเป็นเที่ยงตรงแสงก็ส่องลงมาค่อนข้างตรง ทำให้ไม่มีผนังเรืองแสง แต่แสงที่สวยจะเป็นตอนเช้าหรือตอนบ่ายก็ขึ้นอยู่กับแต่ละจุดและแต่ละฤดูกาลด้วย ฤดูกาลที่แตกต่างกัน แสงก็ทำมุมต่างกันไป

สหรัฐอเมริกา

Reflected Light ใน Wallstreet

          แต่ผมรับรองว่า reflected light มันสวยงามแน่นอนครับ ฉะนั้นต้องเลือกวันแดดดี ๆ แสงจะได้เข้ม ถ้าชอบใบไม้เปลี่ยนสีด้วย ต้องมาต้นเดือนพฤศจิกายน และช่วงนี้นักท่องเที่ยวจะน้อยลงไปมากแล้ว

สหรัฐอเมริกา

หินก้อนยักษ์ใน Wallstreet

          กฎเหล็กของ the narrows คือห้ามเดินในวันที่มีพยากรณ์ว่าฝนตก เพราะจะมีโอกาสเกิดน้ำป่าสูงมาก และวันที่ฝนตกน้ำในแม่น้ำก็จะแรงมาก แค่คิดว่าต้องเดินสวนทางน้ำในวันที่น้ำแรงมันก็เหนื่อยใจแล้วครับ และลักษณะของ the narrows คือเป็นผนังสูงชันทั้งสองด้าน ถ้าน้ำป่ามาแบบกะทันหัน เราจะไม่มีที่ให้หนีเลย ทางที่ดีที่สุดคือต้องเช็กพยากรณ์อากาศล่าสุด ฝนต้องไม่ตกวันนั้น หรือแม้แต่สองสามวันก่อนหน้า ให้แน่ใจว่าทุกอย่างต้องปลอดภัยครับ

สหรัฐอเมริกา

The Subway ภาพนี้ผมถ่ายผิดเวลาไปหน่อยครับ จริง ๆ ต้องมาช่วงเที่ยง

          Subway เป็นอีกเทรลหนึ่งที่เดินยาวกว่าและเหนื่อยกว่า the narrows แต่ความแปลกตาไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เริ่มเดินจาก Left Fork North Creek trailhead และก็ลัดเลาะลำธารไปเรื่อย ๆ ใช้เวลาเดิน 3-4 ชั่วโมง ลักษณะของ the Subway ก็จะตามชื่อเลย คือลักษณะเป็นเหมือนอุโมงค์รถไฟนั่นเอง (แต่ด้านบนเปิดโล่งนะ) เดือนที่ดีที่สุดผมยกให้เป็นหน้าใบไม้เปลี่ยนสีเดือนพฤศจิกายนครับ เพราะก่อนถึง Subway จะมีน้ำตกเล็ก ๆ ที่สวยมากถ้าฉากหลังเป็นต้นไม้เหลือง ๆ สำหรับช่วงเวลาถ่ายที่ดีที่สุดคือช่วงก่อนเที่ยงเล็กน้อย นั่นแปลว่าเราต้องเริ่มเดินตั้งแต่ใกล้สว่าง เพื่อให้ทันแสงที่สวยที่สุดของวัน

สหรัฐอเมริกา

          ก่อนทางเข้า Subway จะมีรอยแตกบนหิน ถ่าย Abstract ได้สนุกดีครับ

สหรัฐอเมริกา

Crack

Archangle Falls น้ำตกเล็ก ๆ เป็นชั้น ๆ อยู่ตรงทางเข้า SubwayCrack

          ปิดท้าย Zion ด้วยมุมคลาสสิกที่ชื่อ The Watchman ซึ่งก็เป็นชื่อของหน้าผาหินที่เห็นในภาพครับ มุมนี้อยู่ที่สะพานข้ามแม่น้ำ Virgin River ซึ่งในเขตอุทยานมีอยู่สะพานเดียวที่ให้รถข้าม อยู่ตรงสามแยกเข้า Zion Valley พอดี หาไม่ยากครับ ช่วงแสงเย็นมีตากล้องเพียบ

สหรัฐอเมริกา

The Watchman มุมคลาสสิกที่ช่างภาพชอบมาถ่ายแสงเย็นกัน

          พอเราขับรถจาก Zion เพียงแค่สองชั่วโมงเศษ ๆ ก็จะถึง Bryce Canyon National Park ลักษณะภูมิประเทศที่นี่แปลกตา มีแท่งหินที่เรียกว่า Hoodoos อยู่นับร้อยนับพัน หากเราไปยืนตรงริมหน้าผาก็จะเห็นมุมที่อลังการมาก ๆ จุดชมวิวหลัก ๆ จะมีสี่แห่ง คือ Sunset Point, Sunrise Point, Inspiration Point และ Bryce Point ทั้งหมดอยู่ตามแนวหน้าผา เรียงจากเหนือไปใต้ จริง ๆ Sunset กับ Sunrise Point ผมว่าถ่ายช่วงพระอาทิตย์ขึ้นจะดีกว่า โดยส่วนตัวผมชอบ Sunset point มากที่สุด แต่ต้องมาถ่ายตอนเช้านะครับ อย่าหลงกลไปกับชื่อจุดชมวิวแล้วไปถ่ายตอนเย็นเชียว 555

          ที่ Sunset Point จะมีเทรลลงไปด้านล่าง และเห็นหินรูปค้อน หรือที่เรียกว่า Thor’s Hammer อีกด้วย ผมชอบมา Bryce Canyon ในช่วงหน้าหนาว เพราะว่าแท่งหินสีส้มจะสวยขึ้นอีกมากเลย เมื่อมีหิมะสีขาว ๆ มาแต่งแต้ม แต่ก็ต้องแลกกับการที่ trail ปิด เดินได้แต่บริเวณริมหน้าผาเท่านั้น และอากาศหน้าหนาวของ Bryce Canyon ยังโหดสุด ๆ อีกด้วย ตอนเช้า ๆ นี่ -20 องศาเซลเซียส เป็นเรื่องปกติไปเลยครับ ใครจะมาหน้าหนาวต้องเตรียมตัวดี ๆ

สหรัฐอเมริกา

          Bryce Canyon จาก Sunset point สวยที่สุดก็หน้าหนาวนี่แหละครับ ช่วงเดือนธันวาคมจะมีหิมะจุใจแน่นอน

สหรัฐอเมริกา

          Bryce Point ก็เป็นอีกจุดที่สวยไม่แพ้กัน เพราะจะเห็นวิวได้เกือบ 270 องศา แนะนำครับ

สหรัฐอเมริกา

Bryce Point ในเดือนพฤศจิกายน หิมะเลยน้อยหน่อย

แสงเช้ากับหิมะและ Hoodoos สีส้ม ใบนี้จาก Sunrise PointBryce Point ในเดือนพฤศจิกายน หิมะเลยน้อยหน่อย

          สถานที่ต่อมาที่ผมอยากแนะนำคือ Monument Valley หรือจะเรียกว่าเป็นวิวยอดฮิตของอเมริกาที่ดังที่สุดก็ว่าได้ เพราะปรากฏอยู่ในหนังหลายเรื่องมาก ๆ โดยเฉพาะแนว ๆ คาวบอย ซึ่งตัว Monument Valley นี้อยู่ในรัฐ Arizona แต่ทางเข้าอยู่ตรง Utah ฟังดูงง ๆ ไหมครับ 555 เอาเป็นว่ามันอยู่ตรงรอยต่อระหว่างสองรัฐนี้นั่นเอง แต่อาณาเขตของ Monument Valley นั้นอยู่ในเขตของอินเดียนแดง นั่นแปลว่าเสียค่าเข้าชมครับ ความเห็นส่วนตัวผมแล้วผมว่าที่นี่สวยทั้งเช้าและเย็น และใกล้ ๆ กันก็มีที่พักที่ค่อนข้างสะดวกครับ หรือจะขับไปนอนที่ Page ก็ยังได้ ขับรถราว ๆ สองชั่วโมง ใกล้ ๆ กันก็มี Teardrop Arch ซึ่งก็เป็นมุมที่ดังมากเช่นกัน

สหรัฐอเมริกา

Monument Valley

          ไม่ไกลจาก Monument Valley มีโบราณสถานเก่าอันหนึ่งที่ช่างภาพชอบเรียกติดปากว่า House on Fire เพราะลวดลายบนเพดานมันเหมือนเป็นเปลวเพลิงที่ลุกท่วมเหนือตัวบ้านนั่นเอง House on Fire อยู่ใน Mule Canyon เดินไม่ไกลมาก จอดรถแล้วเดินราว ๆ 30 นาทีครับ แนะนำว่าควรมาช่วงเวลาเกือบ ๆ เที่ยงวัน เพราะพระอาทิตย์จะทำมุมตั้งฉากมาก ๆ และเกิดแสงสะท้อนชิ่งไปส่องให้เพดานเรืองแสงส้มเหมือนเป็นเปลวเพลิง

สหรัฐอเมริกา

House on Fire

          หากมีอุทยานใดที่ลักษณะภูมิประเทศคล้ายกับ Grand Canyon ผมคงยกให้ Canyonlands National Park เลยครับ ส่วนตัวผมว่าแม้ Canyonlands จะไม่ใหญ่เท่ากับ Grand Canyon แต่มีมุมที่สวยกว่า เพราะไม่ดูกว้างเกินไป และมีภูเขาหิมะเป็นฉากหลังไกล ๆ อีกด้วย Canyonlands National Park เมื่อเทียบกับอุทยานอื่น ๆ จะไม่โด่งดังเท่า แถมอยู่ติดกับ Arches National Park ซึ่งแค่ชื่อเสียงก็สู้กันไม่ได้แล้ว 555 แต่สองอุทยานนี้ไม่ได้ไกลกันเลยครับ ตั้งต้นจากเมือง Moab ขับรถแค่ 40 นาที ก็ถึง visitor center ที่ชื่อสุดเก๋ว่า Islands in the Sky หรือเกาะแห่งท้องฟ้า

          สำหรับที่นี่จุดที่ไม่ควรพลาดคือ Mesa Arch และ overlook ต่าง ๆ อย่าง Mesa Arch นี้เป็นจุดท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของที่นี่เลยทีเดียว มีความสวยงามมาก ด้วยตำแหน่งที่ตั้งที่เป็นเอกลักษณ์ ตัว Arch ตั้งอยู่เหนือหน้าผา พอในตอนเช้าแสงจะกระทบกับหน้าผา และสะท้อนขึ้นมาบนตัว Arch ซึ่งจะทำให้เหมือนเป็น Arch เรืองแสง ซึ่งสวยมาก ๆ ตอนเช้านี่จะมีช่างภาพมาเข้าคิวรอถ่ายกันเยอะมากแน่นอน

สหรัฐอเมริกา

Mesa Arch เรืองแสงในตอนเช้า ผมชอบที่นี่มาก ๆ

          สำหรับ overlook อื่น ๆ ในอุทยานก็จะมี Grand View Point กับ Green River Overlook ที่เป็นที่นิยม แต่ผมขอเสนออีกจุดหนึ่งที่ชื่อว่า False Kiva ที่ต้องเดินไกลสักหน่อย ต้องเดินจาก Upheaval Dome Road มาประมาณ 1 ชั่วโมง แต่เพราะที่นี่มีร่องรอยของมนุษย์ยุคก่อน ๆ ทำให้มีฉากหน้าที่เป็นเอกลักษณ์ ลักษณะเป็นวงกลม เรียกว่า Kiva ปีที่แล้วผมแวะมาที่นี่เพื่อมาตามล่าทางช้างเผือกครับ ตอนที่เอาไฟฉายมาทำ lighting ให้บรรยากาศรอบ ๆ แล้วเอาไฟฉายจาก iPhone ไปเพิ่มแสงที่ตรงกลาง kiva ทำให้สถานที่แห่งนี้ดูขลังขึ้นมามากเลย

สหรัฐอเมริกา

สหรัฐอเมริกา

False Kiva กับทางช้างเผือก

Green River OverlookFalse Kiva กับทางช้างเผือก

          หากได้มา Canyonlands แล้ว ผมก็อยากให้แวะ Dead Horse Point State Park ด้วยครับ เป็น state park เล็ก ๆ อยู่ก่อนถึง Canyonlands ต้องมาถ่ายช่วงเช้าถึงจะสวย เพราะที่จุดชมวิว จะเห็นแสงสาดเข้าทางด้านข้างพอดี ลักษณะภูมิประเทศเป็นเหมือน Canyon ใหญ่ ๆ และมีคุ้งน้ำรูปเกือกม้าเหมือนกับ Horseshoe Bend แต่ที่นี่เราจะเห็นมุมเฉียงข้างนิดหน่อย ทำให้ดูแปลกตากว่าที่อื่น ๆ โดยรวมแล้วแม้ว่าจะมีจุดชมวิวอยู่ที่เดียว แต่วิวก็สวยคุ้มค่าน่าแวะเป็นอย่างมากครับ

สหรัฐอเมริกา

Dead Horse Point State Park

          ผมปิดท้ายรัฐ Utah และปิดท้ายบทความนี้ด้วย Arches National Park ครับ ตัวอุทยานอยู่ใกล้เมือง Moab มาก ๆ ถ้ามาแถวนี้ผมแนะนำให้นอนที่เมืองนี้สักหนึ่งหรือสองคืน จะได้เที่ยวทั้ง Arches National Park และ Canyonlands National Park + Death Horse Point ได้ครบ ที่ Arches National Park แห่งนี้มี Arch อยู่นับราว ๆ สองพันแห่งอยู่ในพื้นที่แค่สามร้อยตารางกิโลเมตรเท่านั้น ถือว่าเยอะมาก ๆๆๆ เป็นภูมิประเทศที่น่าสนใจมาก เราคงไม่สามารถไปได้ทุก ๆ ที่ครับ แค่จะไปชม Arch หลัก ๆ ให้ครบก็หมดเวลาเป็นวันแล้ว สำหรับ Arch ที่ดังที่สุดของที่นี่คือ Delicate Arch ใช้เวลาเดินประมาณชั่วโมงเศษ ๆ ที่มองดูไกล ๆ เหมือนจะไม่ใหญ่ แต่จริง ๆ สูงเกือบ 20 เมตร หรือ 12 ช่วงตัวคนเลยครับ

สหรัฐอเมริกา

Delicate Arch ลองเทียบ size กับนักท่องเที่ยวดูครับ ใหญ่จริง ๆ

          นอกจาก Delicate Arch แล้ว ผมขอแนะนำ Landscape Arch ซึ่งเป็น Arch ที่ยาวที่สุดในอุทยาน และ Turret Arch ที่มีมุมคลาสสิกต้องมองจาก North Window จะเห็น Turret Arch อยู่ในหน้าต่าง แค่ตัววิวก็อลังการแล้วครับ บวกกับลักษณะของหินสวย ๆ ยิ่งทำให้ Arch เหล่านี้ดูน่าสนใจขึ้นอีกมากมาย

สหรัฐอเมริกา

สหรัฐอเมริกา

          Turret Arch คู่กับ North Window ตอนไปมุมนี้เสี่ยงตายมาก เพราะต้องปีนหน้าผาถ่าย แถมมีหิมะลื่น ๆ อีก

          แผนที่ของรัฐ Utah ครับ สังเกตว่าโซนที่เป็นทะเลทรายและ Canyon ต่าง ๆ จะอยู่ด้านใต้ของรัฐทั้งหมด ฉะนั้นถ้าบินมาลง Las Vegas จะสะดวกกว่าครับ แต่ถ้าไป Arch หรือ Canyonlands มาจาก Salt Lake City จะใกล้กว่า ขับรถ 4 ชั่วโมง เทียบกับ Las Vegas 7 ชั่วโมง

สหรัฐอเมริกา

          โดยรวมแล้วสามรัฐในโซน Southwest ทั้ง Nevada, Arizona และ Utah จะเป็นโซนทะเลทราย และมีหินสวย ๆ ทั้งหมด เรียกได้ว่าถ้าใครชอบอะไรเกี่ยวกับหินและธรณี รับรองว่าต้องติดใจในความหลากหลายของหิน รวมไปถึงสีสันและลวดลายอย่างแน่นอน สำหรับสามรัฐนี้ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่มาเที่ยว ผมตอบได้อย่างรวดเร็วเลยครับว่าให้เลี่ยงหน้าร้อน เพราะมันร้อนจัดมาก ๆ ผมเคยมา Nevada ช่วงปลายเดือนมิถุนายน อากาศร้อนกว่า 43 องศา ยิ่งบวกกับแดดแรง ๆ และอากาศแห้งด้วยแล้ว มันเหมือนกับเราอยู่ในเตาอบดี ๆ นี่เองครับ แม้ว่าที่นี่จะไม่ร้อนเท่ากับ Death Valley แต่ก็อย่าประมาทครับ อากาศแบบนี้จะทำให้เราเสียเหงื่อเสียน้ำเร็วมาก และจะทำให้รู้สึกเพลียได้เร็วกว่าปกติ

          อากาศในช่วงหน้าร้อนโดยเฉพาะรัฐ Arizona จะค่อนข้างแปรปรวน ฝนฟ้าคะนองเยอะ มีโอกาสเกิดน้ำป่าได้สูง ถ้าเป็นไปได้ ผมแนะนำให้มาช่วงก่อนเข้าหน้าหนาว ราว ๆ เดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน หรือไม่ก็เป็นเดือนมีนาคม เมษายนไปเลย เพราะหน้าหนาวที่นี่ก็โหดไม่ใช่เล่นครับ เช่น ถ้าใครอยากมาเห็นลำแสงสาดที่ Antelope Canyon แม้ว่าหน้าร้อนจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด แต่เดือนเมษายนก็พอเห็นได้ และอากาศยังไม่ร้อนจนเกินไปครับ

          สุดท้ายนี้หวังว่าทุกคนที่อ่านจบ ขอบคุณจริง ๆ หวังว่าคงจะได้แรงบันดาลใจดี ๆ ในการจัด road trip ขับรถท่องเที่ยวอเมริกา และผมเข้าใจดีว่าทวีปอเมริกามันไกล แค่คิดนั่งเครื่องก็เหนื่อยแล้ว ผมก็หวังว่าภาพที่ผมเก็บมาตลอด 6 ปีเศษ ๆ นี้จะกระตุ้นให้หลาย ๆ คนยอมนั่งเครื่องบินกว่า 20 ชั่วโมง เพื่อมาเปิดโลกของ landscape แบบอลังการ ๆ ที่อเมริกานะครับ บทความนี้คงเป็นบทความที่ผมเขียนยาวที่สุด นานที่สุด และรูปเยอะที่สุดเท่าที่เคยเขียนมาแล้วครับ

          ถ้าผมตกหล่นสถานที่ใดไป ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ครับ หรืออยากให้เพิ่มตรงไหน ก็แจ้งมาได้เลยนะครับติดตามผลงานภาพถ่ายและการเดินทางของผมได้ที่

          ขอบคุณจากใจจริงครับ

          พี

          แปะเซลฟี่เหนือหน้าผา Grand Canyon ที่ Toroweap ส่งท้ายฮะ มุมนี้เสียวมากกกกกกกก

สหรัฐอเมริกา

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก

สวัสดีครับ blog นี้ผมตั้งใจว่าจะรวมสถานที่ท่องเที่ยวที่ผมได้ไปมาทั้งหมด ตลอดระยะเวลา 6 ปีกว่า ๆ ที่เรียนอยู่ที่นี่ ผมกะว่าจะได้เป็น Encyclopedia อักสักอัน (ผมเคยเขียนเกี่ยวกับอะแลสกาไปแล้ว) สำหรับคนที่ตั้งใจว่าจะมาเที่ยวอเมริกา และต้องการหาข้อมูลท่องเที่ยวแบบที่มีทั้งสถานที่มุมมหาชน และก็มุมอันซีนที่มีแต่ช่างภาพไปกัน เป้าหมายของผมคืออยากจะให้ blog นี้เป็นที่รวมจุดที่ไม่ควรพลาด เวลาไปเที่ยวที่ต่าง ๆ จะได้พอมีไอเดียว่าควรไปไหนบ้าง และไม่พลาดว่าต้องไปเก็บจุดไหนบ้าง เพราะผมเองพลาดมาเยอะแล้ว เลยต้องไปซ้ำหลาย ๆ รอบblog นี้จะเน้นฝั่ง west มากกว่า east นะครับ ต้องยอมรับว่าในสายตาช่างภาพแล้ว landscape ฝั่ง west มันสวยกว่าหลายเท่าเลย และก็คงเป็นงานเขียนที่ยาวที่สุดที่ผมเคยเขียนมาเลยทีเดียว ใช้เวลาเขียนสองเดือน ส่วนการรวบรวมข้อมูลก็ 6 ปี ตามช่วงเวลาที่ผมอยู่ในอเมริกานี่แหละครับ เรียนจบก็รวบรวมได้ครบพอดี ซึ่งกว่า blog นี้คลอดได้ก็ตอนที่ย้ายกลับมาอยู่ไทยแล้ว 55คำเตือน : บทความนี้ยาวมาก ให้ save favorite ไว้ก่อน จะได้กลับมาอ่านได้ภายหลัง เวลาอ่านก็หาเครื่องดื่มชิล ๆ เปิดเพลงเบา ๆ จะทำให้อรรถรสในการชมภาพมากขึ้น : )ภาพในกระทู้นี้ผมคัดเลือกมาบางส่วน ภาพเพิ่มเติมสามารถดูได้จากเวบไซต์ของผม www.piriyaphoto.com (ตอนนี้ล่มอยู่) หรือ Facebook Page : Nature Photographomics การเดินทางมาที่อเมริกา ผมแนะนำให้บินมาลงที่ Los Angeles เพราะมีตัวเลือกสายการบินเยอะที่สุด และนั่นทำให้ราคาถูกที่สุดด้วย อีกทั้งตั๋วเครื่องบินในประเทศที่ออกจากแอลเอก็ยังราคาถูกกว่าที่อื่น ๆ ด้วย เพื่อนที่เมืองอื่น ๆ อิจฉาผมกันทุกคนครับ ผมบินไปอะแลสกา ราคาไป-กลับไม่ถึง $300 จะไปชิคาโกก็ราว ๆ $200 เท่านั้น แม้หลาย ๆ คนที่ผมรู้จักที่มาสนามบินแอลเอจะบ่นกับความห่วยแตกของสนามบินที่นี่ก็ตาม แต่ถ้าทนต่อเครื่องไม่กี่ชั่วโมง แล้วแลกกับราคาที่ถูกกว่า ผมก็ทนได้ครับสำหรับการเดินทางในอเมริกา หนทางที่ดีที่สุดก็คือการขับรถเที่ยวเองครับ เพราะประเทศนี้โดยเฉพาะตอนกลางประเทศและทางตะวันตก ระบบขนส่งมวลชน ไม่ว่าจะเป็น รถไฟ รถประจำทางมันไม่ทั่วถึง และสหรัฐอเมริกาเองมันก็ใหญ่มาก ๆ ใช้เวลาเดินทางนานมาก ส่วนมากผมจะนั่งเครื่องบินเอา แล้วเช่ารถขับเองครับ บริษัทรถเช่าส่วนมากผมจะเลือกใช้ enterprise เพราะบริการดีมากและราคาไม่แพง ถ้าบริการดีสุดคงต้องเป็น hertz แต่ราคาก็จะแพงที่สุดด้วย บริษัทอื่น ๆ ที่ระดับล่างลงมา เช่น budget, avis, alamo, national ก็ราคาจะถูกกว่านี้อีกนิดหนึ่งครับ ขึ้นอยู่กับสถานที่รับรถเช่า และวันที่รับรถเช่าด้วยครับ ราคาจะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาข้อดีคือรถเช่าที่นี่สามารถจองได้โดยไม่ต้องเสียค่าจองครับ ผมก็มักจะจองล่วงหน้าไว้ก่อน แล้วเช็กราคาบ่อย ๆ หากราคาลงผมก็จองอันใหม่แล้วยกเลิกอันเก่าครับ เว็บไซต์ที่ผมใช้หาราคารถเช่าคือ priceline.com แล้วผมก็เข้าไปจองในเว็บของบริษัทรถเช่านั้น ๆ อีกทีครับ ในบางเส้นทาง ถ้าเช่ารถแบบทางเดียว ราคาอาจจะไม่แพงนัก อย่างเช่น ระหว่างแอลเอไปซานฟรานซิสโก หรือแอลเอไปลาสเวกัส บางทีเผลอ ๆ อาจจะถูกกว่าเช่าแล้วมาคืนที่เดิมครับ แต่บางบริษัทที่บางสนามบินก็อาจจะคิด drop off fee ซึ่งก็แพงเอาเรื่องอยู่ทีเดียว แต่เมื่อแลกกับค่าน้ำมันและค่าเสียเวลาแล้ว อาจจะคุ้มกว่าก็ได้ผมจะแบ่งเป็นรัฐ ๆ ไปนะครับ มีทั้งหมด 9 รัฐ คือ Washington, Oregon, California, Montana, Wyoming, Colorado, Nevada, Arizona, และ UtahWashington http://pantip.com/topic/35113943/comment1 Oregon http://pantip.com/topic/35113943/comment3 California part 1 http://pantip.com/topic/35113943/comment4 California part 2 http://pantip.com/topic/35113943/comment6 Wyoming http://pantip.com/topic/35113943/comment7 Montana http://pantip.com/topic/35113943/comment9 Colorado http://pantip.com/topic/35113943/comment11 Nevada http://pantip.com/topic/35113943/comment12 Arizona http://pantip.com/topic/35113943/comment13 Utah part 1 http://pantip.com/topic/35113943/comment14 Utah part 2 http://pantip.com/topic/35113943/comment15 มาเริ่มจากรัฐทางบนซ้ายสุด นั่นคือ Washington นั่นเองครับเนื่องจากรัฐ Washington อยู่ติดทะเล และทั้งยังติดแคนาดา เลยมีความหลากหลายทั้งชายหาด ภูเขาสูง และป่าดิบชื้น ลักษณะจะมีความเขียวชอุ่มคล้ายคลึงกับป่าบ้านเรา (ที่ไม่ค่อยจะเหลือสักเท่าไร) ไล่ตั้งแต่ตะวันออกเป็นทุ่งหญ้าสลับภูเขา ไล่มาทางตะวันตกจะเป็นภูเขาสูงตามแนวเทือกเขา Cascade Range มีเมือง Seattle เป็นเมืองสำคัญ และไปทางตะวันตกสุดจะเป็นภูเขาสูงและป่าดิบชื้นอยู่บนเทือกเขา Pacific Coast Rangeรัฐ Washington มีเมือง Seattle เป็นเมืองหลัก จะว่าเป็นศูนย์กลางของรัฐก็ว่าได้ เป็นเมืองที่เที่ยวง่าย อาหารอร่อย โดยเฉพาะอาหารทะเลต่าง ๆ ผมชอบ Clam Chowder ของที่นี่มาก มาทีไรจะชอบแวะร้านชื่อ Pike Place Chowder ทุกที แต่อากาศของ Seattle จะมีฝนแทบตลอดทั้งปี ยกเว้นในช่วงหน้าร้อนที่ฟ้าจะใสราว ๆ 3-4 เดือน ตัวเมืองมี space needle เป็นเอกลักษณ์ มีจุดชมวิวสวย ๆ คือ Rizal Park และ Kerry Park โดย Rizal Park จะเห็น downtown และมี highway โค้งเป็นรูปตัว S สวยงามมาก ส่วน Kerry Park จะเป็นมุมยอดฮิตของที่นี่ เพราะจะเห็นทั้ง Space Needle, Downtown และถ้าอากาศเป็นใจก็จะเห็น Mount Rainier สุดคลาสสิกตั้งตระหง่านอยู่ด้านหลังสุดยอดเขา Mount Rainier ที่เห็นได้จาก Seattle นั้น ตั้งอยู่ใน Mount Rainier National Park อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของ Seattle ตัวยอดภูเขามีหิมะตลอดทั้งปี และในเขตอุทยานจะค่อนข้างเดินทางลำบากในช่วงหน้าหนาว เพราะมีหิมะเยอะ โดยเฉพาะ Paradise Visitor Center ซึ่งจะปิดในช่วงหน้าหนาวครับ ผมแนะนำให้มาช่วงต้นเดือนถึงกลางเดือนสิงหาคม เพราะเป็นช่วงที่ดอกไม้ป่าบานไปทั่วทั้ง Paradise visitor center และ Sunrise ด้วย รับรองว่าเดินเพลินแน่ ๆ ครับ อย่าลืมมาเก็บแสงเช้าที่ Reflection Lake ด้วยทางตะวันตกของ Seattle ขับรถราว ๆ สองชั่วโมง Olympic National Park ก็เป็นอีกที่หนึ่งที่สวยไม่แพ้กัน และเที่ยวได้ตลอดปี ที่นี่จะเป็นป่าดิบที่คล้ายกับดอยอินทนนท์ และก็มีชายทะเลสวยมาก ๆ ด้วย ที่ที่ไม่ควรพลาดคือ Sol Duc จะมีลำธารสายเล็กที่เต็มไปด้วยมอสส์ อยู่ก่อนถึง Sol Duc Falls และที่ Hoh Rainforest ไปแวะเดิน Hall of Moss trail ก็ฟินมิใช่น้อยเลยครับOlympic มีหาดสวย ๆ หลายที่ เช่น Rialto Beach ก็มีกองหินสวย ๆ กลางทะเลด้วยช่วงเดือนเมษายนจะมีเทศกาลดอกไม้ Skagit Tulip Festival แม้ว่าจะไม่อลังการเท่าฮอลแลนด์ แต่ที่นี่ก็ถือว่าเป็นที่ที่สวยอันดับต้น ๆ ของอเมริกาครับ ส่วนมากผมจะขับรถเล่นตอนเช้า ๆ สามารถจอดรถหลบข้างทาง และถ่ายรูปจากฟาร์ม local ได้เลย แต่ต้องถ่ายจากด้านนอก ไม่รุกล้ำเข้าไปในฟาร์มหากเจ้าของไม่อนุญาตนะครับ ที่นี่จะมีฟาร์มสองที่ที่จัดแสดงโชว์คือ Tulip Town และ Roozengaarde ช่วงเวลาที่แนะนำคือกลางเดือนเมษายนครับ ผมเคยมาตอนต้นเดือนแล้วดอกไม้มันยังไม่บานเลย 5555 แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นกับอากาศในแต่ละปีว่าจะหนาวนานหรือเปล่าอีกที่ที่ผมชอบมาก ๆ ในรัฐ Washington คือเนินเขาทางด้านตะวันออก เป็นที่รู้กันในชื่อ Palouse ครับ ลักษณะคล้าย ๆ กับ Tuscany ที่อิตาลี แต่จะเป็นเนินเขาอย่างเดียว สามารถขับรถมาจาก Seattle หรือจะบินไปลงที่ Spokane ก็ได้ แสงเช้าที่ Steptoe Butte State Park มันฟินมาก ๆ เลยทีเดียว และนอกจากนี้ Palouse Falls State Park ที่อยู่ใกล้ ๆ กันก็สวยไม่แพ้กันเลย หากใครมีเวลาก็ขับรถเล่นรอบ ๆ บริเวณนี้ได้ มีเนินเขาสวย ๆ ที่เต็มไปด้วยทุ่งข้าวสาลีมากมาย ช่วงเวลาที่ดีคือปลายเดือนพฤษภาคม เนินเขาจะเป็นสีเขียว เรื่อยไปจนถึงปลายเดือนกรกฎาคม เนินเขาจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง สีทอง และจะมีดอก canola บานเป็นทุ่งด้วย และในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมนี้จะเริ่มเป็นฤดูเก็บเกี่ยวแล้ว หลังจากเดือนสิงหาคมก็จะเหลือแต่ดินเปล่า ๆ ถ้าจะมาต้องมาช่วงพฤษภาคมถึงกรกฎาคมครับในรัฐ Washington ยังมีสถานที่ที่เจ๋ง ๆ อีกมากที่ผมยังไม่ได้ไป อย่างเช่น Mount Saint Helens ซึ่งจะมีดอกไม้ป่าบานช่วงเดือนมิถุนายน หรือแม้แต่ North Cascade National Park ซึ่งผมยังไม่มีโอกาสได้ไปสักที ที่นี่มีภูเขาสวย ๆ อยู่ในบริเวณที่เรียกว่า Enchantment Lakes ซึ่งต้องจอง permit ล่วงหน้ากันหลายเดือนสรุปแผนที่รัฐ Washington และจุดถ่ายรูปที่พูดถึงทั้งหมดครับรัฐ Oregon นับว่าเป็นอีกรัฐที่เที่ยวได้ทั้งรัฐเลยทีเดียว มีความหลากหลายเยอะมากตั้งแต่ชายฝั่งทะเล ถ้าใครคิดว่า California Highway 1 สวยแล้ว ผมว่า Oregon Coast สวยกว่ามากครับ 555 ต้องมาลองแล้วจะติดใจ ถัดเข้ามาหน่อยจะเป็นบริเวณภูเขา ซึ่งจะมีน้ำตกสวย ๆ เยอะมากเป็นร้อย ๆ พัน ๆ น้ำตกเลย พอถัดทางตะวันออกก็จะเริ่มเป็นที่แห้งแล้งหน่อย บริเวณกว้างใหญ่ไพศาลมาก โดยเฉพาะ Alvord Desert ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ นับว่าเป็นสวรรค์ของช่างภาพ landscape เลย แต่ด้วยความที่มันไกลเอามาก ๆ ผมเลยยังไม่มีโอกาสไปสักทีPortland เป็นเมืองหลักของที่นี่ เรียกได้ว่าเกือบทั้งหมดของนักท่องเที่ยวที่มา Oregon ทางเครื่องบิน ต้องมาตั้งต้นที่นี่ เมือง Portland ผมว่าเป็นเมืองที่ฮิปมาก ๆ มีร้านน่ารักเต็มไปหมด ร้านอาหารอร่อย ๆ เน้นเพื่อสุขภาพก็มีเยอะมาก ถ้ามาที่ Portland ผมแนะนำว่าต้องมาที่ Portland Japanese Garden เพราะว่าจัดสวนได้สวยไม่แพ้ที่ญี่ปุ่นเลย ถ้าเทียบกับสวนญี่ปุ่นในหลาย ๆ แห่งของอเมริกาแล้ว ผมว่าที่นี่จัดได้ดีที่สุด และยังมีต้น maple ชื่อดัง ช่างภาพแทบทุกที่จะมาแวะเวียนถ่ายภาพที่นี่ โดยเฉพาะช่วงใบไม้เปลี่ยนสีตอนปลายเดือนตุลาคมนับว่าเป็นช่วงเวลาทองเลยทีเดียวครับต้นเมเปิลต้นนี้น่าจะเป็นต้นไม้ที่ถูกถ่ายมากที่สุดใน Oregon แล้วล่ะครับ เห็นดูใหญ่ ๆ อย่างนี้ต้นสูงไม่ถึงเมตรครึ่งนะครับ ต้องมุด ๆ ถ่ายเอา 555 ถ้าเดินเข้าประตูสวนมาแล้วเลี้ยวขวาจะเจอเลยครับ (คนส่วนมากจะเดินชมสวนแบบวนไปทางซ้ายก่อน)Columbia River Gorge คือบริเวณทางตะวันออกของเมือง Portland อยู่ใกล้กับ Mount Hood และอยู่ติดกับรัฐ Washington ซึ่งแม่น้ำ Columbia River ก็เป็นที่แบ่งเขตระหว่างสองรัฐนี้ รอบ ๆ Columbia River Gorge บริเวณนี้จะเต็มไปด้วยน้ำตกนับร้อย มีน้ำตกชื่อดังที่สุดคือ Multnomah Falls แต่ว่าน้ำตกที่สวยก็ไม่ได้มีแค่นั้นครับ ยังมีที่เด็ด ๆ อีกหลายที่มาก ที่ที่ผมชอบก็มี Punchbowl Falls, Fairy Falls, Ponytail Falls, Panther Creek Falls (อันนี้อยู่ฝั่ง Washington) และ Elowah Falls ครับ ส่วนมากเดินไม่ไกล ระยะทางไม่เกิน 5 กม. อย่าง Ponytail Falls นี่เดินแค่ 1.5 กม. เท่านั้นเองช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับ Columbia River Gorge ในความคิดผมคือสัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคม เพราะเป็นช่วงเวลาที่เฟิร์นจะแตกหน่อใหม่ และมอสส์จะเขียวที่สุด แต่ถ้าอยากถ่ายดอกไม้ ให้มากลางเดือนเมษายนครับ น้ำตกหลาย ๆ ที่จะมีดอกเทียนขึ้นเยอะเลย และถ้าไปที่ Hood River ก็มีมุมคลาสสิกของ Barn สีแดงกับดอกของต้น peach หรือจะไปถ่ายดอก Balsomroot (หน้าตาคล้ายบัวตอง) ที่ Rowena Crest viewpoint ก็ได้ครับน้ำตก Multnomah Falls น้ำตกที่ดังที่สุดใน Columbia River Gorge scenic highwayPunchbowl Falls มองมุมนี้ไม่ค่อยเหมือน bowl สักเท่าไร ต้องปีนขึ้นมุมสูงแล้วมองลงมาครับPanther Creek Falls ทางลงจะทุลักทุเลสักหน่อยครับ ต้องโหนเชือกลงไป ทางลื่นมากดอก Balsomroot ที่ Rowena Crest Viewpoint ต้องมาช่วงกลางเดือนเมษายนนะครับอีกที่ที่หนึ่งที่ผมคิดว่ามันเจ๋งมาก นั่นคือ Oneonta Gorge ครับ มันจะเป็นโตรกผาชันสองด้านที่คลุมไปด้วยมอสส์เขียว และเราจะต้องเดินสวนทางน้ำเข้าไป ตรงปลายสุดทางจะมีน้ำตกสูงที่ชื่อ Oneonta Falls อยู่ ถ้ามาช่วง Spring มันจะเขียวมากจริง ๆ แต่น้ำจะเย็นนิดหนึ่ง จุดที่สวย ๆ เดินไม่ถึง 1 กิโลเมตร จากปากทางก็จะเห็นกำแพงมอสส์แล้วล่ะครับ น้ำลึกไม่ถึงเข่า แต่ถ้าน้ำแรงอาจจะถึงเอว ต้องปีนข้ามท่อนซุงนิดหนึ่ง ถ้าเข้าไปถึงน้ำตกจะต้องลุยน้ำลึกเกือบถึงคอ ต้องเตรียมเปียกได้เต็มที่หน่อยOneonta Gorge เป็น Canyon สีเขียวที่เดียวในอเมริกา สวยงามมาก ๆและถ้าเดินมาสุดทาง ลุยน้ำลึกถึงคอ (ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ น่าจะมิดหัว) ก็จะพบกับน้ำตก Oneonta Fallsที่รัฐ Washington มี Skagit Tulip Festival แล้ว ที่ Oregon ก็มี Tulip Festival เหมือนกันในชื่อ Woodshoe Tulip Festival ครับ สไตล์ของที่นี่จะปลูกทิวลิปคละสี ทำให้ได้บรรยากาศไปอีกแบบหนึ่ง ข้อดีที่ผมชอบอีกอย่างคือสวนที่นี่จะเปิดตั้งแต่เช้าเลย ทำให้ช่างภาพอย่างผมเข้าไปเก็บบรรยากาศแสงเช้าได้ พอสาย ๆ ก็สามารถไป shopping ที่ Woodburn Outlet ได้อีกด้วย โดนใจสาว ๆ แน่นอนครับ 555 อีกอย่างที่รัฐ Oregon นั้นจะไม่มี sale tax เลย ทำให้การ shopping มันส์มือมาก ๆๆ อย่างรัฐ California แถวบ้านผมนี่โดนไป 9.25% แล้ว พอมาช้อปที่ Oregon ก็เหมือนประหยัดไปเกือบ ๆ 10%น้ำตกที่ผมว่าสวยที่สุดใน Oregon คือน้ำตก Proxy Falls ครับ แต่จะแยกลงมาจาก Portland มาทาง Eugene แล้วขับไปทาง Bend ผ่านทางเส้น McKinzey Highway ถ้ามาช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ถนนน่าจะเปิดแล้วครับ แต่น้ำจะแรงมาก และละอองน้ำจะเยอะมาก ถ่ายรูปแทบไม่ได้เลย ต้องมาช่วงเดือนมิถุนายนหรือกรกฎาคม แต่ข้อเสียคือช่วงหน้าร้อนนี้ฟ้าจะใสแทบทุกวัน ซึ่งไม่ค่อยเหมาะสำหรับการถ่ายน้ำตกเท่าไรนัก และถ้าได้แวะมา Proxy Falls และได้นอนที่ Bend แล้ว แถวนี้มีที่เที่ยวอีกเยอะมาก ๆ ครับ อย่างเช่น Smith Rock, Sparks Lake หรือถ้าใครฟิตก็สามารถเดินขึ้นไปถ่ายทุ่งดอกไม้กับภูเขา Broken Top ได้ด้วยผมเองได้มา Oregon แค่ไม่กี่ครั้ง และส่วนมากก็มาแค่ช่วงสุดสัปดาห์ วน ๆ อยู่แถว Portland และ Columbia River นี่เองครับ ถ้ามีเวลาเยอะ ๆ ผมแนะนำ Boardman Tree Farm (ไปช่วงใบไม้เปลี่ยนสีจะสวยมาก), Painted Hills Overlook, Alvord Desert หรือจะขับรถลงไปถึง Southern Oregon Coast แล้วแวะ Crater Lake ก็สวยไปอีกแบบทิ้งท้ายด้วยแผนที่ของรัฐ Oregon จะเห็นได้ว่ามีที่เที่ยวทั่วรัฐเลยทีเดียว ผมเองก็ยังไปไม่ทั่ว โดยเฉพาะแถว ๆ ทะเลทางตะวันตก มีทั้งหาด Bandon Beach, Cape Kiwanda และ Thor’s Well ที่น่าสนใจCalifornia เป็นรัฐที่ใหญ่มาก แค่ขนาดของรัฐนี้รัฐเดียวก็ใหญ่กว่าประเทศไทยแล้ว เลยมีที่เที่ยวเยอะมาก ๆๆ แค่ได้มา Yosemite ที่เดียวก็คุ้มค่าแล้วครับ สถานที่เที่ยวทางธรรมชาติที่ดัง ๆ ส่วนมากจะแบ่งเป็น 3 โซน เริ่มด้วยภูเขาตามแนวเทือกเขา Sierra Nevada อย่าง Kings Canyon, Yosemite, Mammoth Lakes ถัดออกไปทางตะวันออกก็จะเป็นทะเลทราย เช่น Death Valley, Joshua Tree และสุดท้ายคือทางติดทะเล คนนิยมขับรถเที่ยวตามแนวเส้นทาง Highway 1 ซึ่งจะเลาะริมทะเลยาวตั้งแต่ San Diego ยาวขึ้นไปสุดถึง Redwood National Park และเลยเข้า Oregon ต่อไปครับเมืองใหญ่ ๆ ของ California จะมีหลัก ๆ สองเมืองคือ Los Angeles กับ San Francisco ซึ่งตัวผมเองอยู่ Los Angeles หรือแอลเอมาสี่ปีกว่า ๆ ผมแทบไม่ได้เที่ยวรอบ ๆ เมืองแอลเอเลย เพราะว่าการเที่ยวในตัวเมืองไม่มีอะไรที่ตรงแนวผมสักเท่าไร ถ้าคนชอบถ่าย cityscape ผมว่าซานฟรานสวยกว่ามาก มีมุมให้ถ่ายเยอะมาก คนส่วนมากที่มาแอลเอก็จะแวะ Santa Monica Pier, Universal Studio, Hollywood หรือ Disneyland จะขับรถลงเลยไปทางใต้หน่อยก็มี San Diego หรือไปทางตะวันตกก็มี Santa Barbara แต่ผมเองเลือกที่จะขับรถออกไปหาธรรมชาติรอบ ๆ มากกว่า เช่น ขับไป Death Valley national park ใช้ระยะเวลาสี่ชั่วโมง หรือไป Yosemite ก็หกชั่วโมง แต่ถ้ามาจากซานฟราน ขับเข้า Yosemite จะใช้เวลาสามชั่วโมงเศษ ๆ ครับ รอบ ๆ แอลเอจะมีชายหาดน่าสนใจอยู่หลายที่เลย ที่ที่ผมไปบ่อยมากคือ El Matador State Beach อยู่ใน Malibu และแถว ๆ Newport Beach เรื่อยไปถึง Laguna Beach ก็มีหินสวย ๆ ให้ถ่ายเหมือนกันว่ากันด้วยอุทยานแห่งชาติ Yosemite ก่อนเลย อุทยานนี้เป็นอุทยานที่ผมมาบ่อยที่สุด น่าจะเกิน 15 รอบ เกินจนเลิกนับไปแล้วครับ 5555 จุดขายหลักของที่นี่คือ Yosemite Valley ซึ่งจะรายล้อมไปด้วยหน้าผาสูงรอบด้าน 360 องศา ใครชอบ hiking ก็มีเทรลเพียบ ตั้งแต่แบบสั้น ๆ ไปจนถึงแบบสุดมันส์อย่างการขึ้น half dome (ปัจจุบันต้องขอ permit แล้ว) แต่ถ้าใครอยากเน้นขับรถจอด ๆ ถ่าย ๆ ก็มีจุดชมวิวให้ถ่ายได้ 2-3 วันไม่มีเบื่อครับ และที่นี่ก็เที่ยวได้ทุกฤดูอีกด้วย แต่ละฤดูกาลก็จะมีความน่าสนใจต่าง ๆ กันไป ฤดูที่ผมว่าไม่น่าเที่ยวที่สุดก็คือฤดูร้อนครับ ช่วงเดือนกรกฎาคมจนถึงกันยายน เพราะเป็นช่วงที่แห้ง แดดแรง น้ำตกก็ไม่มีน้ำ แต่ช่วงนี้จะเหมาะสำหรับการเดิน backpacking ระยะทางไกล ๆ ตามแนวเทือกเขา Sierra Nevada อย่างเช่นแถว ๆ Mammoth Lakes หรือ Kings Canyon National Park ครับ ส่วนฤดูที่ผมชอบที่สุดก็คือฤดูหนาวครับ ผมชอบสีขาวที่แต้มบนหน้าผาและต้นไม้มาก ๆ มันดูคลาสสิกสุด ๆ แต่ถ้าจะเอา perfect shot จะต้องมาวันที่พายุหิมะเข้าพอดี เรียกได้ว่าขับรถฝ่าพายุหิมะกันเข้ามาเลย 55 ถึงจะได้หิมะเกาะต้นไม้เป็นปุยสวยงามครับ เพราะถ้าผ่านไปแค่ราว ๆ ครึ่งวัน แสงแดดอาจจะทำให้หิมะที่เกาะอยู่บนต้นไม้ละลายและร่วงหล่นไปได้มากทีเดียวValley View หลังพายุหิมะ หินทุกก้อนตามริมแม่น้ำมีหิมะปกคลุม ดูเหมือน Marshmellow น่ากินมาก 55จุดชมวิวใน Yosemite Valley หลัก ๆ เรียงตามความชอบส่วนตัวคือ Tunnel View, Valley View, Cathedral Beach, Swinging Bridge, River Bend, Cook’s Meadow, Sentinel Bridge และขอแถม Glacier Point อีกอันหนึ่งถึงแม้จะอยู่นอก Yosemite Valley แต่ Glacier Point ก็เป็นมุมสูงที่มองลงมาเห็น Yosemite Valley เหมือนกันTunnel View จุดที่มาถ่ายรูปกันเยอะที่สุด ในช่วงหน้าหนาวแสงเช้าจะฉาบหน้าผา El Capitan ทางด้านซ้ายของภาพถ้ามาช่วงเดือนพฤษภาคม มิถุนายน จะได้ทางช้างเผือกโค้งเหนือ Half Dome ครับ เป็นอีก bucket list หนึ่งสำหรับผมเลยนอกจากนี้ Yosemite ก็ยังมีปรากฏการณ์ที่จะเห็นได้เฉพาะบางช่วงเวลาของปีอีกด้วย อย่างเช่น Horsetail Firefall ซึ่งจะเห็นได้แค่ช่วงเวลาสองอาทิตย์ของเดือนกุมภาพันธ์ เพราะเป็นช่วงเวลาที่พระอาทิตย์จะทำมุมอย่างพอดิบพอดีตอนช่วงพระอาทิตย์ตก ทำให้แสงสีส้มแดงสาดบนน้ำตกดูเหมือนเป็นน้ำตกเพลิง เป็นลาวา ไหลลงมาจากหน้าผาครับ ซึ่งช่วงเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี ช่างภาพจากทั่วทุกสารทิศก็จะเดินทางมาที่นี่เพื่อชมปรากฏการณ์นี้โดยเฉพาะเลยครับ ส่วนอีกปรากฏการณ์หนึ่งที่ผมอยากแนะนำคือ Moonbow ซึ่งคือการเกิดรุ้งจากแสงจันทร์บนน้ำตก Yosemite Falls นั่นเอง ซึ่งต้องอาศัยวันพระจันทร์เต็มดวง และจะเกิดได้ดีมาก ๆ ในฤดูใบไม้ผลิ เพราะเป็นช่วงที่หิมะละลาย และสายน้ำตกจะแรงเป็นพิเศษ ฉะนั้นวันที่เหมาะสมคือวันพระจันทร์เต็มดวงตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนถึงต้นเดือนมิถุนายนครับ ซึ่งทั้ง Horsetail Firefalls และ Yosemite Moonbow ก็เป็นปรากฏการณ์ที่อาศัยดวงอย่างมาก ต้องลุ้นอากาศให้แจ่มใส เพื่อที่จะเห็นปรากฏการณ์เหล่านี้ครับYosemite Firefall ปี 2016 น้ำเยอะกว่าปีอื่น ๆ เพราะปรากฏการณ์ El NinoYosemite Moonbow ผมไม่ได้ถ่ายภาพปีนี้เพราะกลับไทยมาเสียก่อน แต่ปีนี้ก็น้ำเยอะมาก ๆ ถ้าใครอยากถ่าย ยังมีเวลาอีกสองเดือนในการไปเก็บ Moonbow ครับ ต้องไปวันพระจันทร์เต็มดวงเท่านั้นหากใครได้มีโอกาสขับรถผ่านถนน 120 ซึ่งตัดข้าม Yosemite ก็จะผ่าน Olmsted Point ซึ่งที่จุดนี้เราจะเห็น Half Dome ในอีกมุมหนึ่ง เป็นจุดที่ถ่ายพระอาทิตย์ตกที่สวยทีเดียว และถ้าขับต่อไปเรื่อย ๆ ก็จะลัดเลาะหน้าผา ลงเขาสู่ที่ราบสูง Eastern Sierra และที่นี่ก็มีจุดถ่ายภาพเยอะมาก ๆ ที่หลาย ๆ คนอาจจะมองข้ามไป คนส่วนมากจะแวะมาแค่ Yosemite Valley เท่านั้น แต่ถ้าได้ข้ามมาฝั่งตะวันออกก็จะมีอะไรให้ถ่ายอีกมากเลยครับและถ้าใครชอบ backcountry hiking หรือเดินป่าแบบไกล ๆ แนะนำให้มาตั้งต้นที่ Mammoth Lakes หรือ Bishop ได้เลยครับ เพราะภูเขาสวย ๆ อยู่ที่นี่มากมาย แต่ภูเขาเหล่านี้จะมองไม่เห็นจากถนนใหญ่ ต้องเดินเท้าเข้าไปเท่านั้น ผมมีโอกาสเคยได้ไปเดินทริปสั้น ๆ ที่ Thousand Island Lake ซึ่งสวยมาก ๆ แต่เดินไกลสุด ๆ ไป-กลับ 24 กิโลเมตรครับ เดินกันขาลากเลยทีเดียว แต่วิวตรงนั้นมันฟินจริง ๆ ถ้าใครสนใจเส้นทางอื่น ๆ ผมแนะนำ Minaret Lake, Rae Lake, และ Granite Park ครับThousand Island Lake เห็นยอด Banners Peak สวยมาก มุมนี้ไปกลับเดิน 24 กิโลเมตรครับEastern Sierra สามารถไล่เที่ยวได้ตลอดเส้นทาง โดยมีถนนหลักคือถนนสาย 395 ซึ่งจะวิ่งจากแถว ๆ ทางเหนือของแอลเอ เรื่อยไปถึง Lake Tahoe จุดท่องเที่ยวที่ผมแนะนำ (แบบไม่ต้องเดินไกลมาก) ได้แก่ Convict Lake, Bodie State Historic Park, Mono Lake, Bristlecone Forest, Mobius Arch, Big Pine River Bend โดยเฉพาะ Mono Lake กับ Bristlecone เป็นสองที่ที่ผมชอบมาก Mono Lake จะเป็นทะเลสาบที่มีฤทธิ์เป็นด่างสูง เพราะไม่มีทางออกของน้ำ ทำให้น้ำไม่ไหลเวียน ถ้าใครเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับสารหนู (arsenic) ใน DNA ของสิ่งมีชีวิต ก็มาจากทะเลสาบแห่งนี้นี่เองครับ และตะกอนของหินปูนในทะเลสาบนี้ก็ก่อตัวเป็นแท่งรูปร่างหน้าตาประหลาดที่เรียกว่า Tufa ครับ Tufa นี้มีหลายแบบเลย ตั้งแต่ Tufa ธรรมดาจนไปถึง Sand Tufa ซึ่งเกิดจากตะกอนหินปูนที่ฝังอยู่ในน้ำใต้ดินใต้ผืนทราย พอลมพัดทรายออกไป ก็จะเผย Sand Tufa ให้เราเห็นกัน ถ้าอยากเห็น Tufa ให้มาทางด้านใต้ของทะเลสาบนะครับส่วน Sand Tufa จะอยู่ที่ Navy Beach ซึ่งก็อยู่ทางตอนใต้เช่นกัน ขับรถออกไปไม่ไกลครับ ส่วนอีกสถานที่หนึ่งที่ผมชอบและจะแนะนำคือ Bristlecone Forest ซึ่งที่นี่อยู่ในเขตภูเขาชื่อ White Mountain ใกล้ ๆ กับเมือง Big Pine และ Bishop และป่าแห่งนี้คือป่าของต้น Bristlecone ต้นไม้ที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในโลกครับ และรูปร่างของมันก็แปลกตาเอามาก ๆ หลาย ๆ ต้นมีลวดลายของกิ่งไม้และลำต้นที่สวยงาม การเดินทางก็ไม่ยาก ทางลาดยางถึง visitor center เลยครับ แต่อาจจะชันหน่อยหากเลยไปทางตะวันออกของเทือกเขา Sierra Nevada ก็จะเริ่มเข้าสู่ทะเลทราย ซึ่งเป็นที่ตั้งของอุทยานที่มีขนาดใหญ่ที่สุดใน 48 รัฐ นั่นคือ Death Valley National Park (แต่ถ้านับทุกรัฐ อุทยานที่ใหญ่ที่สุดคือ Wrangell-St.Elias ที่อะแลสกาครับ) ใครที่คิดว่า Yellowstone ใหญ่ที่สุดคิดผิดนะครับ 555 และที่ Death Valley นี้ก็เป็นที่ตั้งของจุดต่ำสุดในอเมริกาที่ชื่อ Badwater basin อีกด้วย ชื่อฟังดูไม่ค่อยโสภาเท่าไร 555 ซึ่ง Badwater นี้อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 86 เมตร และที่น่าสนใจกว่านั้นคือ Badwater อยู่ห่างจาก Mount Whitney ที่เป็นภูเขาที่สูงที่สุดใน 48 รัฐ เพียงแค่ 136 กิโลเมตรเท่านั้นเอง โดย Mount Whitney นั้นสูง 4,421 เมตร เรียกได้ว่าไต่ระดับความสูงจากสี่พันกว่า ลงมาถึงต่ำกว่าระดับน้ำทะเลในระยะทางสั้นมาก ๆ เป็น extreme point ที่น่าสนใจทีเดียวเนื่องด้วยพื้นที่ในอุทยาน Death Valley นั้นกว้างมาก ๆๆๆๆๆๆ พื้นที่ส่วนใหญ่จึงไม่มีถนนเข้าถึง ถนนหลายเส้นเป็นถนนลูกรังบ้าง ถนนแบบ 4WD บ้าง แต่เส้นลาดยางจะมีเส้นหลัก ๆ คือเส้น Hwy 190 ที่ตัดผ่านกลางอุทยาน และผ่าน Furnance Creek ซึ่งเป็นที่ทำการอุทยาน จุดชมวิวในตลอดเส้นทางลาดยางที่ผมแนะนำก็จะมี Mesquite Flat Sand Dunes, Zabriskie Point และทะเลเกลือ Badwater Basin ถ้าใครชอบเดินหน่อยผมแนะนำ Cottonball Basin ซึ่งอยู่ทางเหนือของ Furnance Creek ไปนิดหน่อย ที่นี่มีพื้นลวดลายสวย ๆ และมีลำธารให้ถ่ายด้วย (ในภาพด้านบน) แต่เป็นลำธารที่น้ำเค็มนะครับ เพราะที่นี่เกลือเยอะมาก ๆ อย่าง Badwater basin นี่ก็คือทะเลเกลือ 100% นี่เองสำหรับ Badwater basin ถ้าใครอยากได้รูปสวย ๆ ผมแนะนำว่าไม่ควรไปจอดรถตรงจุดถ่ายรูปที่เค้าจอดไว้ครับ เพราะคนจะไปเยอะจนลวดลายเกลือถูกเหยียบเละหมดแล้ว ให้ขับเลยไปสัก 3-4 กม. จอดรถข้างทาง ในอุทยาน Death Valley นี้เราสามารถจอดรถตรงไหนก็ได้ ตราบใดที่เราไม่จอดเข้ามากินในเลนถนนครับ จากนั้นให้เดินเข้าไปในทะเลเกลือ จะมีโอกาสเจอลวดลายที่ดีกว่าครับ แต่บางทีลวดลายก็จะเปลี่ยนไปในแต่ละปี เพราะปีที่ฝนตก ทำให้ทะเลเกลือมีน้ำขัง เกลือละลาย และพออากาศแห้งอีกครั้ง ผลึกเกลือก็จะสร้างตัวใหม่ พื้นที่เดิมที่เคยสวย ตำแหน่งที่สวยอาจจะเปลี่ยนไปส่วน Mesquite Flat sand dunes ก็คล้าย ๆ กันครับ ถ้าไปตั้งต้นเดินจากลานจอดรถ จะเจอแต่รอยเท้าคนมากมายมหาศาล มากเสียจนถ่ายยังไงก็ติดรอยเท้าคน 555 ให้จอดรถข้างทางก่อนถึงทางแยกเข้าไป sand dunes สัก 3 กิโลเมตร แล้วก็เดินตัดเข้าไป dunes เลยครับ จะหามุมสวย ๆ ไม่มีรอยเท้าคนได้ง่ายกว่า แต่ถ้าใครชอบแบบ private แนะนำให้เช่ารถ SUV ดี ๆ ขับขึ้นไปทางเหนือไปที่ Eureka Dunes จะฟินกว่ามากที่ Death Valley นี้ยังมีสถานที่อีกที่หนึ่งที่น่าสนใจมาก ๆ นั่นคือ Racetrack Playa ซึ่งที่ racetrack นี้ก็ตั้งชื่อตามสิ่งพิเศษของที่นี่ นั่นคือหินที่ดูเหมือนจะเคลื่อนที่ได้ พื้นของ playa นี้เป็นพื้นดินแห้ง ๆ แต่กลับมีรอยหินเดินได้ (ฝรั่งเรียก Moving rock หรือ Sailing rock) เหมือนก้อนหินนี้ถูกทำให้เคลื่อน ทั้ง ๆ ที่หินพวกนี้ก็หนักหลายสิบกิโลกรัม ปริศนาของ moving rock ถูกไขได้เมื่อไม่นานมานี้ครับ นักวิจัยได้ติด GPS ลงบนหินหลายก้อน และพบว่าหินพวกนี้จะเคลื่อนในสภาวะที่พิเศษมาก ๆ ก็ต่อเมื่อพื้นของ playa เปียก และอุณหภูมิลดต่ำลงมากจนเป็นน้ำแข็ง เมื่อเป็นน้ำแข็งแล้วก็เหมือนลานสเกตครับ และก็ต้องมีลมพัดแรงมากพอที่หินจะเคลื่อนที่ได้ด้วยซึ่งผมมาที่นี่ทั้งหมด 4 ครั้ง ก็พบว่าร่องรองของหินมันเปลี่ยนไปจริง ๆ ครับ การเดินทางจะค่อนข้างลำบากสักนิดหนึ่ง เพราะต้องขับรถไปบนถนนลูกรังเกือบ ๆ 2 ชั่วโมง ข้างในไม่มีร้านค้าสวัสดิการ หรือที่พักใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้าใครอยากได้แสงเช้าหรือแสงเย็นก็ต้องเตรียมตัวมากางเต็นท์นอนครับ ผมแนะนำว่าต้องมาเห็นสักครั้งในชีวิต แล้วจะติดใจครับ ตัว moving rock จะพบได้ตามบริเวณด้านใต้ของ playa นะครับ ถ้าขับมาจากทางเหนือจะเห็น Grandstand หรือหินก้อนใหญ่ ๆ ให้ขับต่อไปเรื่อย ๆ จะเจอป้ายเองครับMoving Rock หรือหินเลื่อนได้ เป็นปริศนามาหลายสิบปี ตอนนี้มีนักวิทยาศาสตร์ไขปริศนานั้นได้แล้วผมได้ลองถ่ายดาวหมุนกับก้อนหินดู เป็นภาพที่น่าสนใจดี แต่ผมไปช่วงหน้าหนาว อากาศหนาว -10 องศาเซลเซียส กล้องติด ๆ ดับ ๆขับลงใต้ไปอีกหน่อย ราว ๆ ช่วงด้านตะวันออกของ Los Angeles จะมีอุทยานแห่งชาติอีกแห่งหนึ่งชื่อ Joshua Tree National Park จุดขายของที่นี่คือต้น Joshua Tree ซึ่งจริง ๆ แล้วก็เห็นได้ทั่วไปใน Southern Sierra หรือด้านตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐอยู่แล้ว ไม่เฉพาะแค่ในอุทยานเท่านั้น ใครมา Los Angeles หรือกำลังขับรถจาก Los Angeles ไป Grand Canyon ก็อาจจะเพิ่มตัวเลือกแวะ Joshua Tree สักที่หนึ่ง เพราะไม่ไกลจากแอลเอมาก ประมาณ 3 ชั่วโมง (ไม่รวมรถติด 555) ถ้ามีโอกาสก็ต้องมาเก็บ Arch Rock อยู่ตรง White Tank campground และมาเก็บแสงเช้าที่ Cholla Garden หรือสวนตะบองเพชร แต่ต้องเดินระวัง ๆ นะครับ เพราะตะบองเพชรพวกนี้มันแสบมาก ถ้าเกาะแล้วจะเกาะแน่น แถมแงะออกยาก มันจะแตกออกเวลาเราพยายามดึงมัน แตกเป็นหนามเล็ก ๆ เหมือนกระสุนลูกปรายเลยครับ แสบจริง ๆ อย่าได้คิดเวลามันทิ่มลงไปในเนื้อเชียวแสงเช้าที่ Cholla Garden ตะบองเพชรหนามเยอะ ๆ แบบนี้ เวลาถ่ายย้อนแสงแล้วมันจะดูเรืองแสงฟู ๆ น่ารักดีครับ (แต่โดนหนามทิ่มนี่ไม่น่ารักเลย)ตัดข้ามมาโซนชายฝั่งทะเลกันบ้าง California ขึ้นชื่อเรื่องถนนเลียบทะเลที่โดนใจหลาย ๆ คน ถนนสายนี้คือ Highway หมายเลข 1 นั่นเอง ลัดเลาะริมทะเลตั้งแต่แถว ๆ Laguna Beach (ทางใต้ของ LA) เลาะไปทาง Santa Barbara, Big Sur, Monterey เรื่อยไปจนถึงด้านเหนือรัฐ แต่ทางต้นบนสุด อย่างเช่น Redwood national park จะเป็นถนนสาย 101 ที่เลาะริมทะเลแทน ช่วงที่ดังที่สุดของ Highway 1 คงหนีไม่พ้น Big Sur-Monterey ซึ่งผมเองก็ชอบมาถ่ายรูปที่นี่ประจำ เพราะมีโขดหินที่สวยงาม ไฮไลท์สุด ๆ คือ McWay Falls น้ำตกที่ไหลลงทะเล, Pfeiffer Rock หินที่จะมีแสงลอดรูตอนพระอาทิตย์ตกช่วงปลายปี และ Canyon เล็ก ๆ ใน Garrapata State Park ที่ไม่มีชื่อ แต่เต็มไปด้วยดอกลิลลี่สวยมาก ๆ ถ้าเลข Monterey ขึ้นไปอีกหน่อยก็มี Natural Bridge ที่ Santa Cruz, Davenport ที่มีรอยหินแตกสวย ๆ และ Pigeon Point Lighthouse ประภาคารสุดคลาสสิกริมทะเล เรื่อยไปถึง Bowling Ball beach ที่มีหินกลม ๆ สุดแปลกBowling Ball Beach หาดนี้กะระดับน้ำยากหน่อยครับ ตอนที่ผมไปน้ำขึ้นสูงไปนิดหนึ่ง ถ้าน้ำลงกว่านี้จะดีมากเลยทางด้านเหนือของ California ผมยังเที่ยวไม่หมดครับ เพราะมันขับรถไกลมาก ๆ ผมมีโอกาสได้ไปแค่ Mount Shasta และ Burney Falls แต่ของเด็ด ๆ อย่าง Lassen Volcanic National Park, Redwood National Park, Mossbrae Falls คงต้องเก็บไว้โอกาสหน้า ๆ จะว่าไป Lake Tahoe ผมก็ยังไม่เคยไปถ่ายรูปจริงจังนะครับเนี่ย 555รัฐ California เป็นรัฐที่ใหญ่มาก ใหญ่กว่าประเทศไทย ถ้าจะขับรถจากเหนือจรดใต้น่าจะใช้เวลาราว ๆ 20 ชั่วโมง อีกทั้งยังมีความหลากหลายมาก ๆ ตั้งแต่ภูเขา ป่าไม้ น้ำตก ทะเลทราย และทะเลสวย ๆ เที่ยวได้ทั้งปีจริง ๆ ครับWyoming เป็นรัฐที่ค่อนข้างใหญ่ แต่ทางตะวันออกไม่ค่อยมีอะไรสวยเท่ากับทางตะวันตก ซึ่งจุดขายของที่นี่นอกจากเรื่องคาวบอย ก็คือ Yellowstone และ Grand Teton National Park นี่แหละครับ สองอุทยานนี้อยู่ติดกัน ถ้าใครมีโอกาสมาผมแนะนำให้ควบสองอุทยานนี้ในทีเดียวเลยสำหรับการเดินทางมา Yellowstone และ Grand Teton อาจจะลำบากสักหน่อย เพราะไม่มีสนามบินหลักเลย สนามบินที่สะดวกคือ Jackson, West Yellowstone, Cody และ Bozeman แม้ว่าจะไม่ต้องขับรถไกล แต่เป็นสนามบินเล็ก ไฟล์ทน้อย และตั๋วแพงกว่า ผมแนะนำว่าบินลง Salt Lake City แล้วขับรถขึ้นมาดีกว่าครับ จะบินลง Denver ก็ได้เช่นกัน แต่จะขับรถไกลกว่ามากGrand Teton นั้นขึ้นชื่อเรื่องภูเขาสวยมาก ๆ ครับ ยอดที่ดังที่สุดมีชื่อตามอุทยานเลย และวิวคลาสสิกของที่นี่คือ Snake River Overlook ผมว่าถ้าใครหลายคนเห็นก็ต้องร้องอ๋อแน่นอน เพราะเคยเป็น forward mail สมัยก่อน และ Ansel Adams ช่างภาพชื่อดังในอดีตก็เคยมาถ่ายภาพที่นี่ ส่วนอีกสองที่คือ Schwabacher landing (ชื่ออ่านยากมาก) จะได้มุมของ Grand Teton สะท้อนน้ำ และ Mormon Row ซึ่งจะเป็นมุมคลาสสิกของบ้านเก่า ๆ กับภูเขาเป็นฉากหลังGrand Teton นี้ยังขึ้นชื่อเรื่องใบไม้เปลี่ยนสีด้วยนะครับ ที่นี่จะเปลี่ยนสีสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกันยายน และมุมที่ดังมาก ๆ คือ Oxbow Bend เป็นคุ้งแม่น้ำ Snake River ที่เห็น Mount Moran เป็นฉากหลัง และมีแนวต้น Aspen สีเหลืองเรียงเป็นแถวงดงามมาก ๆ ช่วงใบไม้พีคมาก ๆ เราจะเห็นช่างภาพหลายสิบคน (ช่วงสุดสัปดาห์อาจจะเป็นหลักร้อย) มาปักหลักรอถ่ายแสงเช้ากันตั้งแต่ตีห้าเลยสำหรับ Yellowstone ผมคงไม่ต้องต่อความยาวสาวความยืดมากมาย เพราะเป็นอุทยานที่ดังมาก น่าจะดังที่สุดของอเมริกา ผมไม่แน่ใจว่าระหว่าง Yosemite กับ Yellowstone อะไรจะดังกว่ากัน ที่ Yellowstone ถ้าใครดูหนังเรื่อง 2012 ที่เกี่ยวกับเรื่องวันสุดท้ายของโลก น่าจะจำชื่ออุทยานนี้ได้ เพราะภูเขาไฟระเบิดตูม ๆ กันที่นี่เอง นักท่องเที่ยวที่มาที่ Yellowstone ก็จะมาดูหลัก ๆ กันสองสามอย่าง นั่นคือบ่อน้ำร้อน น้ำพุร้อน แล้วก็สัตว์ป่าครับ ที่นี่มีบ่อน้ำร้อนหลากสีมากมาย เยอะมากจริง ๆถ้าให้ผมกล่าวทั้งหมดคงอาจจะไม่จบกระทู้ก็เป็นได้ เอา Highlight ที่ผมชอบที่สุดก็หนีไม่พ้น Grand Prismatic Springs แน่นอนครับ เพราะมันทั้งใหญ่อลังการ และสีสันจัดจ้านสุด ๆ การมาชม Hot Springs ต้องมาวันที่แดดดี ๆ สีสันในบ่อน้ำร้อนจะสวยมาก ๆ นอกจากการเดินชมบนทางเดินรอบ ๆ Grand Prismatic Spring ที่เค้าจัดเป็นอย่างดีแล้ว ถ้าใครขาลุย ผมแนะนำให้เดินขึ้นชมวิวจากมุมสูง ตั้งต้นจาก Fairy Falls trailhead ครับ รับรองว่าฟินอีกจุดที่ผมชอบคือ Mammoth Hot Springs ถึงแม้ว่าช่วงหลังจะไม่มีน้ำตกหินปูนให้เห็นเหมือนในโปสการ์ด แต่ลวดลายหินปูนก็ยังสวยแปลกตา และก็มีบ่อน้ำร้อนแห้ง ๆ หลากสี ไปเดินที่ Upper Terrace จะเห็นต้นไม้ยืนต้นตาย ดูคลาสสิกไปอีกแบบครับสำหรับน้ำพุร้อน แน่นอนว่าน้ำพุที่ดังที่สุดคือ Old Faithful ขึ้นตรงตามเวลาที่พยากรณ์ทุก ๆ 35 นาที แบบเป๊ะ ๆ อาจจะคลาดเคลื่อนได้นิดหน่อยเป็นนาที (อย่างน้อยก็ตรงเวลากว่ารถไฟไทย) และนักท่องเที่ยวจะเยอะมาก ๆ อีกด้วย แต่ผมเองไม่ค่อยชอบ Old Faithful สักเท่าไร แต่กลับชอบ Great Fountain Geyser มากกว่า แม้ว่า Great Fountain Geyser จะพยากรณ์ได้ยากกว่า แต่ผมไปมาสองครั้ง ระเบิดตอนพระอาทิตย์ตกทั้งสองครั้ง และผมก็ตื่นเต้นกับมันทุกครั้งGreat Fountain Geyser พ่นควันออกมาพอประมาณ เตรียมตัวที่จะปะทุ หลังจากถ่ายภาพนี้อีกไม่ถึง 15 นาที ก็ระเบิดเลยครับโดยรวมแล้วรัฐ Wyoming มีที่เที่ยวหลัก ๆ ไม่มากนัก แต่ที่มีคือเด็ด ๆ ทั้งนั้น ทั้ง Yellowstone และ Grand Teton แผนที่ของ Wyoming ก็ไม่สลับซับซ้อนอะไร มีแค่ด้านตะวันตกเฉียงเหนือ ผมแถม Devils Tower ซึ่งเป็นจุดท่องเที่ยวอีกอันหนึ่ง แต่ผมเองยังไม่เคยไป เพราะมันไกลมาก ๆๆ ไกลปืนเที่ยงสุด ๆรัฐนี้ผมเคยไปแค่ที่เดียวคือ Glacier National Park ซึ่งถ้าใครชอบ hiking แค่อุทยานนี้ก็เที่ยวได้ 3-4 วันแบบสบาย ๆ ครับ ภูเขาของที่นี่เป็นปลายติ่งของเทือกเขาแนวเดียวกับ Canadian Rockies อย่างที่เห็นใน Banff และ Jasper national park ฉะนั้นภูเขาจะลักษณะคล้ายคลึงกัน อารมณ์ว่าเราสามารถไปเห็นน้ำจิ้มของความอลังการจาก Banff/Jasper โดยที่ไม่ต้องเดินทางข้ามไปแคนาดา แต่ถ้าใครมีโอกาสข้ามไปแคนาดาผมก็แนะนำอย่างยิ่งครับ เพราะน้ำจิ้มกับอาหารจานหลักมันต่างกันจริง ๆการเดินทางไป Glacier National Park ค่อนข้างลำบากนิดหนึ่ง เพราะไม่มีสนามบินใหญ่เลย สนามบินใหญ่ที่ใกล้ที่สุดคือ Seattle หรือ Salt Lake City (สนามบินใหญ่ในที่นี้คือ Hub ของสายการบินหลัก ๆ ทั้งหลายครับ) แต่สนามบินเล็กก็มีหลายตัวเลือก เช่น Kalispell (ใกล้ที่สุด), Great Falls, Missoula หรือจะลง Spokane แล้วเที่ยว Palouse แล้วขับมา Glacier ก็ได้เช่นกัน (ขับรถ 6 ชั่วโมง) ซึ่งผมเองก็เคยจัด route ที่แวะ Palouse ควบ Glacier มาแล้ว ได้บรรยากาศหลายแบบดีครับGlacier National Park จะมีถนนตัดผ่านอุทยานหนึ่งเส้นก็คือ Going-to-the-sun Road (แค่ชื่อก็ฟังดูน่าไปแล้ว) ซึ่งจะเป็นถนนสองเลน ตั้งต้นจาก West Glacier/Apgar ทางด้านตะวันตก ลัดเลาะตามภูเขาผ่านใจกลางอุทยานคือ Logan Pass แล้วไปออกที่ St. Mary ช่วงที่วิ่งบนภูเขา ถนนค่อนข้างแคบทีเดียว แต่จะไม่คดเคี้ยวมาก เพราะถนนจะลัดเลาะไปตามหน้าผา ผมแนะนำว่าใครที่มาแล้วจะประทับใจในวิวสองข้างทางอย่างแน่นอน (จริง ๆ มีด้านเดียว เพราะอีกด้านจะติดภูเขาเกือบตลอด ผมแนะนำว่าให้ขับไป-กลับ จะได้แฟร์กับคนนั่งทั้งสองฝั่งนะครับ 555) ส่วนถนนอีกเส้นหนึ่งคือ US route 2 จะวิ่งรอบอุทยาน ตั้งต้นจาก West Glacier/Apgar ไปยัง East Glacier Park ซึ่งถนนเส้นนี้จะวิ่งคู่ขนานไปกับทางรถไฟ สามารถนั่งรถไฟมาจากชิคาโกได้เลยนะครับจุดถ่ายภาพหลักที่ดัง ๆ ของ Glacier National Park จะอยู่ทางด้านตะวันออกของอุทยานเสียมาก ฉะนั้นถ้ามีโอกาสได้มา ผมแนะนำให้พักด้านตะวันออกครับ เช่น Many Glacier, St. Mary, Rising Sun หรือ East Glacier Park เป็นต้น ผมแนะนำ Wildgoose Island Viewpoint เป็นจุดที่ดังที่สุด รองลงมาคือ Swiftcurrent Lake และ Two Medicine Lake ก็สวยไม่แพ้กันWild Goose Island Viewpoint ผมชอบจุดนี้มาก เพราะมีเกาะเล็ก ๆ น่ารักตั้งอยู่กลางทะเลสาบด้วยหากมีเวลาสามารถเดินจาก Wild Goods island viewpoint ลงไปถึงทะเลสาบได้เลย จะได้อีกมุมมองหนึ่งนอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นสวรรค์ของคนชอบ Hiking ด้วยนะครับ ถ้าใครมาแล้วไม่ได้ Hike ถือว่ามาไม่ถึงเลยทีเดียว Trail หลักที่ผมอยากแนะนำ เดินไม่ยาก นั่นคือ Iceberg Lake, Crater Lake และ Grinnell Glacier ครับ ทั้งหมดตั้งต้นจาก Many Glacier (หรือ Swiftcurrent Lake) ซึ่งอยู่ทางด้านตะวันออกของอุทยาน ถ้าพักแถว ๆ St. Mary หรือ Swiftcurrent Lake จะสะดวกมาก ๆ แสงเช้าจะสวยกว่าแสงบ่ายนะครับ (ยกเว้น Grinnell Lake Viewpoint ซึ่งจะสวยตอนเย็น)Iceberg Lake ตอนเช้า ระยะทางไป-กลับ 9.6 mi (15.4 กม.) แน่นอนว่าผมต้องออกเดินตั้งแต่ตีสอง เพื่อให้ทันแสงเช้าครับ ครั้งเดียวก็เกินพอ 555ผมเกือบลืมพูดถึง Logan Pass ซึ่งเป็นจุดที่ผมชอบมาก ๆ มีอะไรให้ถ่ายเยอะมาก เอาแค่เบสิก ๆ เดิน 2 ไมล์ ไปยัง Hidden Lake Overlook ก็สร้างความประทับใจได้ไม่ยากแล้ว แต่ถ้าใครชอบดอกไม้ แนะนำให้มาประมาณกลางเดือนกรกฎาคมถึงกลางเดือนสิงหาคม ที่ Logan Pass จะเต็มไปด้วยทุ่งดอกไม้หลากสี แต่ช่วงเวลาบานเต็มที่จะขึ้นอยู่กับปริมาณหิมะในแต่ละปี อุณหภูมิในหน้าร้อน และอัตราการละลายของหิมะครับ หิมะละลายเร็ว ดอกไม้ก็บานเร็ว รอบ ๆ เส้นทางเดินชมธรรมชาติก็จะมีน้ำตกเล็กใหญ่ให้เห็นตลอดทาง ควบคู่ไปกับภูเขายอดแหลมสองยอดคือ Mount Reynold กับ Clement Mountain นั่นเองหากมีเวลาเหลือ ผมแนะนำให้ลองไปเดินเล่นตามภูเขาแถว ๆ East Glacier Park จะเจอต้น Whitebark Pine รูปทรงสวยงามหลาย ๆ ต้น ถ่ายรูปสนุกทีเดียวครับMontana เป็นรัฐที่ใหญ่ แต่บริเวณที่สวยสุด ๆ มีแค่โซนภูเขาทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือ ที่ติดกับแคนาดาที่เดียว เมืองสำคัญ ๆ ที่ใช้ในการเดินทางคือ Kalispell, Missoula และ Great Fallsโคโลราโดก็เป็นอีกรัฐที่เที่ยวได้ทั้งปี สำหรับขานักสกีจะเป็นที่ทราบกันดีกว่ารัฐนี้เป็นสวรรค์สำหรับนักสกีเลยทีเดียว ที่พักต่าง ๆ ราคาจะสูงในช่วงหน้าหนาว แม้ว่าในหน้าหนาวจะถ่ายรูปยากสักหน่อย เพราะถนนหนทางและการเดินป่าไปตามจุดต่าง ๆ ไม่ค่อยสะดวก (จะสะดวกแค่การเดินทางไปเล่นสกี 55) แต่ช่วงเวลาอื่น ๆ ของปีก็มีโอกาสให้ถ่ายรูปเยอะมาก ๆ ครับ ผม proudly present ให้มาช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ซึ่งจะอยู่ราว ๆ สัปดาห์สุดท้ายของเดือนกันยายนถึงสัปดาห์แรกของเดือนตุลาคม เพราะคุณจะได้เห็นภูเขาทั้งลูกเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองของใบไม้ต้น aspenการเดินทางที่สะดวกที่สุดคือบินมาลง Denver แล้วขับรถเที่ยวเอาครับ Denver อยู่ตรงกลางรัฐพอดี และเป็นสนามบินที่ใหญ่มาก ๆ เดินทางสะดวกครับทางตะวันตกเฉียงใต้ของรัฐ Colorado จะเป็นบริเวณที่ผมว่าเหมาะสมที่สุดสำหรับใบไม้เปลี่ยนสี เพราะเต็มไปด้วยภูเขาสวย ๆ และต้น aspen เต็มไปหมด ถ้าให้เมือง Denver เป็นจุดตรงกลางรัฐ ทางด้านตะวันตกจะเป็นเทือกเขา Rocky และทางด้านตะวันออกจะเป็นที่ราบ ส่วนตะวันตกเฉียงเหนือ และตะวันตกเฉียงใต้ ผมแบ่งจาก Interstate สาย 70 ซึ่งจะพาดผ่านตอนกลางพอดีครับ ที่อุทยาน Rocky Mountain National Park ไม่ค่อยมีใบไม้เปลี่ยนสีสวย ๆ นะครับ ผมเองไม่ค่อยชอบอุทยานนี้เท่าไร เพราะวิวสวยสู้ทางตะวันตกเฉียงใต้ของรัฐไม่ได้เลยไม่ว่าใครที่มาดูใบไม้เปลี่ยนสีที่ Colorado ผมคิดว่าร้อยละร้อยก็ต้องไม่พลาดที่จะมาที่ Maroon Lake แน่นอนครับ การเดินทางไม่ยาก เป็นลาดยางตลอดเส้น ขับจาก Denver สี่ชั่วโมงถึงเมือง Aspen (ชื่อเดียวกับต้นไม้ และมีลานสกีดัง ๆ หลายที่) จากนั้นก็ขับต่อไปบนถนน Maroon Lake Road อีก 30 นาที เนื่องจากที่ Maroon Lake มีที่จอดรถจำกัดมาก ในช่วงกลางวันจะไม่เพียงพอที่จะรับนักท่องเที่ยวจำนวนมหาศาลได้ ทางอุทยานก็จะปิดไม่ให้รถส่วนตัวเข้าหลัง 8 โมงเช้าครับ และให้นั่งรถบัสเข้าไปแทน ซึ่งก็ไม่สะดวกนัก แต่ถ้ามาก่อนหน้านั้นสามารถนำรถส่วนตัวเข้าไปได้ ที่ Maroon Lake เป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ดังและผมยกให้เป็นจุดที่สวยที่สุดของ Colorado แล้วครับถ้ามีโอกาสได้มาผมแนะนำว่าควรมาค้างคืนที่เมือง Aspen หรือ Snowmass Village ก็ได้ เพื่อที่จะเข้ามาที่ Maroon Lake ตั้งแต่ก่อนสว่าง มาจับจองที่ถ่ายภาพ ได้เห็นแสงแรกแตะยอด Maroon Bells สะท้อนกับน้ำในทะเลสาบราวกับเป็นกระจกบานใหญ่ (ถ้าลมแรงก็ตัวใครตัวมันนะครับ 5555) และอยู่ถึงช่วงสาย ๆ เพราะบรรยากาศเมื่อแดดออกแล้วก็จะสวยไปอีกแบบ สีเหลืองของต้น aspen จะสดและสวยขึ้นมาก ๆ เมื่อโดนแดดครับแถว ๆ Snowmass Village มีถนนลูกรังเส้นหนึ่งชื่อ Capitol Creek Road ซึ่งจะขึ้นไปที่จุดชมวิวเพื่อชมภูเขา Capitol Peak แต่ถนนเส้นนี้ต้องใช้ 4WD เพราะช่วงท้าย ๆ ของเส้นทางมันชันมาก ๆๆ และถ้าฝนตกถนนจะลื่นมาก แต่ผมยอมรับเลยครับว่าต้น Aspen บริเวณนั้นมันสวยสมบูรณ์มากจริง ๆจาก Maroon Lake หากมีเวลาเพิ่มสัก 1-2 วัน สามารถขับวนเป็น loop เล็ก ๆ ได้ครับ วนจาก Aspen มา Carbondale แล้วตัดลงไปทางใต้ไปทางเมือง Marble จากนั้นวนขึ้นถนนสาย 12 ซึ่งเป็นถนนลูกรัง ผ่าน Kebler pass ไปที่เมือง Crested Butte จากนั้นก็ตัดเข้า Ohio pass (ทางลูกรังเช่นกัน) ลงไปเมือง Gunnison แล้ววนกลับเข้า Denver ได้ ที่ Kebler pass กับ Ohio pass นี้มีใบไม้สวย ๆ ตลอดเส้นทางเลยครับ สามารถขับรถถ่ายรูปเพลิน ๆ ได้ทั้งวันเลย ส่วนเมือง Marble ถ้ามีเวลาสัก 3-4 ชั่วโมง สามารถเช่า Jeep tour ไปยัง Crystal mill ซึ่งเป็นมุมที่ว่ากันว่าเป็น the most photographed place in Colorado หรือสถานที่ถูกถ่ายภาพมากที่สุดครับถ้าหากมีเวลามากกว่านั้นสัก 3-4 วัน ผมแนะนำให้ขับลงไปทาง San Juan Mountains จาก Carbondale ขับลงไปถึงเมือง Ridgway ซึ่ง Ridgway เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นเส้นทางรอบ San Juan mountains และเส้นทางนี้จะสามารถทำเป็น loop ได้เช่นกัน เรียกว่า San Juan Skyway เป็นเส้นทางที่วิวสวยมาก ๆ ตั้งต้นจาก Ridgway วนลงทาง highway 550 ผ่าน Ouray, Silverton ไปถึง Durango และวนกลับมาทางเส้นด้านตะวันตก ผ่านทาง highway 167 แวะเมือง Telluride และวก Last Dollar Road กลับมา Ridgway ได้ถนน Million Dollar Highway เชื่อมระหว่าง Ridgway กับ Durango มีต้น Aspen สวย ๆ เยอะมากรอบ ๆ เมือง Ridgway มีจุดถ่ายรูปหลัก ๆ อยู่สี่แห่งคือ Country Road หมายเลข 5, Country Road หมายเลข 7 (แปลคล้าย ๆ กับทางหลวงชนบทหมายเลข 5 และ 7), Dallas Divide และ Chimney Rock โดยสองที่แรกจะเป็นสองมุมที่เห็น Mount Sneffels ซึ่งจะถ่ายได้ทั้งพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก อีกช่วงเวลาที่ผมแนะนำคือช่วงหน้าร้อน ราว ๆ ปลายเดือนกรกฎาคมจนถึงกลางเดือนสิงหาคม ทุ่งหญ้าตามแนวภูเขาสูงจะถูกเปลี่ยนเป็นทุ่งดอกไม้ป่าหลากสี จริง ๆ แล้วช่วงหน้าร้อนทั่วไป คือหน้าใบไม้ผลิของบนภูเขาสูงครับ แนวภูเขาสูงนี้ผมอ้างอิงถึงบริเวณที่สูงกว่าหนึ่งหมื่นฟุตหรือประมาณสามพันเมตรครับ เพราะหิมะเพิ่งจะละลายหมด ดอกไม้ถึงเพิ่งจะเริ่มออกดอก เมื่อผ่านไปอีกสักเดือนก็จะเข้าหน้าใบไม้เปลี่ยนสีแล้ว ดังนั้นหน้าร้อนบนภูเขาสูงใน Colorado นี้จะสั้นมาก ๆ จนแทบเรียกว่าไม่มีก็ว่าได้ครับบริเวณที่มีทุ่งดอกไม้เยอะ ๆ รายล้อมไปด้วยภูเขารูปร่างสวย ๆ จะอยู่แถว San Juan mountains เช่นเดียวกับบริเวณที่ไปถ่ายใบไม้เปลี่ยนสีครับ ผมมีโอกาสไปมาแค่ครั้งเดียว ทริปสั้น ๆ สี่วันสามคืน ได้ไป American Basin และ Ice Lake Basin โดยที่ American basin นี้เดินทางไม่ยาก รถถึง ตั้งต้นจากเมือง Lake City จะวิ่งทางลูกรังเกือบตลอด ใช้เวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมง แต่เส้นทางช่วง 2 กิโลเมตรสุดท้ายจะค่อนข้างโหดหน่อย เต็มไปด้วยหินใหญ่ขวางถนนหลายก้อน ผมแนะนำให้เช่า 4WD ท้องรถสูงหน่อย ขับมาค้างคืน กางเต็นท์นอน พอตื่นมาเหมือนได้รายล้อมอยู่ท่ามกลางดอกไม้ แล้วคุณจะรู้ว่าสวรรค์มีจริงครับ ใครจะมาเป็น One day trip ก็ได้ไม่ว่ากันส่วน Ice Lake Basin ให้ตั้งต้นจากเมือง Silverton และจะต้องเดินเท้าเข้าไป 7 กิโลเมตรครับ สามารถเดินไปเช้า-เย็นกลับได้ (ระยะทางรวม 14 กม.) แต่ช่างภาพอย่างผม อยากได้แสงเช้า ก็ต้องแบกเต็นท์ อาหาร ถุงนอน เข้าไปกางเต็นท์นอนข้างในกัน ซึ่งก็จะแบกของเยอะกว่า เดินได้ช้ากว่า และเหนื่อยกว่า 555 การเดินบนที่สูงกว่า 3,000 เมตร จะค่อนข้างเหนื่อยง่ายมากเพราะออกซิเจนน้อย ใครไปหิมาลัยมาคงเข้าใจความรู้สึกนี้ดี แต่รับรองว่าถ้าได้ขึ้นไปที่ Upper Ice Lake basin แล้วมันคุ้มมากจริง ๆ จาก Ice Lake จะมีถนนลูกรังตัดขึ้นไปที่ Clear Lake ซึ่งก็สวยไม่แพ้กันเลยนอกจากนี้แล้วรอบ ๆ San Juan mountains ยังมีบริเวณที่มีดอกไม้เยอะ ๆ ยังมีอีกเยอะมาก ๆ อย่างเช่น Yankee Boy Basin, Wetterhorn Basin เป็นต้น และพื้นที่ส่วนมากต้องใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อครับ สามารถเช่ารถ Jeep จากเมือง Ouray ได้ มีให้เช่าหลายเจ้าดูในแผนที่จุดเที่ยวส่วนใหญ่ที่ผมเน้นจะอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้หมดเลยครับ (ไม่นับหมายเลข 1 และ 2)สามรัฐสุดท้ายที่ผมจะกล่าวถึงจะเป็นดินแดนทะเลทรายที่กว้างใหญ่มาก ๆ นั่นคือ Nevada, Arizona และ Utahเราเริ่มกันที่รัฐ Nevada กันก่อนเลย เอาจริง ๆ รัฐนี้เป็นรัฐที่ไม่มีอะไรให้เที่ยวเลยครับ ไม่มีอุทยานแห่งชาติที่สวย ๆ เมื่อเทียบกับที่อื่น นี่อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่รัฐเปิดให้มีบ่อนการพนันได้อย่างถูกกฎหมาย และ Las Vegas ก็เป็นศูนย์รวมยักษ์ใหญ่ของแสงสีที่ดึงดูดนักเสี่ยงโชค รวมไปถึงคนที่อยากมาสนุกสุดเหวี่ยงเหล่านี้ด้วย ผมยังจำได้ดีเวลาที่ขับรถจากแอลเอไปที่ Las Vegas เวลาขับข้ามพรมแดนไปยังรัฐ Nevada จะสังเกตได้ไม่ยากเลย เพราะตอนที่ข้ามพรมแดนจะมีกาสิโนใหญ่ตั้งอยู่กลางทะเลทราย ตั้งอยู่ตรงพรมแดนระหว่างสองรัฐแบบเป๊ะ ๆ เรียกได้ว่าต้อนรับนักเสี่ยงโชคกันเลยทีเดียว 555ผมมาที่ Las Vegas เกินสิบครั้งได้ แต่ไม่เคยได้เที่ยวเมืองแบบจริง ๆ จัง ๆ เสียเลย อาจจะเป็นเพราะผมไม่ได้ติดใจกับแสงสีของที่นี่สักเท่าไร สำหรับ Las Vegas ของผมแล้ว เป็นเมืองที่ไว้เป็นจุดเริ่มต้นของการเที่ยวธรรมชาติที่อยู่รอบ ๆ เพราะจากที่นี่จะขับไป Utah ไป Arizona ก็สะดวก Grand Canyon South Rim ก็ห่างไปราว ๆ 4 ชั่วโมงเท่านั้นเอง และที่พักที่นี่ก็ถูกด้วย 5555 โรงแรมคืนละ $30 (ราคาถูกเพื่อดึงดูดให้คนมาเล่นการพนัน) แต่คุณภาพดีใช้ได้มีให้เลือกเยอะเลยครับ ผมเลยนั่งเครื่องบินมาลง Las Vegas ค่อนข้างบ่อย และก็ขับรถออกไปที่อื่นโดยที่ไม่ได้สนใจตัวเมืองเลยใครอยากหามุมถ่ายทางช้างเผือกไปแถว ๆ Valley of Fire ได้เลยครับ แต่ช่วงหลังได้ยินข่าวมาว่าทางเจ้าหน้าที่ห้ามนักท่องเที่ยวเข้าหลังพระอาทิตย์ตกแล้วถ้าใครมาที่ Las Vegas แต่มีเวลาน้อย ผมแนะนำ Valley of Fire State Park ครับ ที่นี่เป็น Park เล็ก ๆ หลายคนมักมองข้าม ห่างจาก Las Vegas แค่ชั่วโมงเดียว แต่ Valley of Fire อัดแน่นไปด้วยหินหลากสี รูปร่างประหลาด น่าสนใจมากมาย ถ้าให้เที่ยวทุกจุดอาจจะใช้เวลาเต็มวันได้สบาย ๆ หรือถ้าช่างภาพอยากจะรอแสงสวย ๆ ก็มีมุมให้ถ่ายรูปได้ 2-3 วันเลยครับ ผมเคยรีวิวจุดถ่ายรูปไปบางส่วนในกระทู้ก่อนหน้า จุดที่ไม่ควรพลาดของที่ Valley of Fire State Park ก็ Fire Wave, Windstone Cave, Elephant Rock, และ Pink Canyon และนอกจากนี้ก็ยังมี Crazy Hills, Double Arch, White Tank, หินรูปโลโก้ Nike และจุดอื่น ๆ อีกเยอะมากสำหรับขาผจญภัยผมแนะนำทริปพายเรือคายักในแม่น้ำ Colorado ครับ ขับรถจากเวกัสราว ๆ หนึ่งชั่วโมงพอดี เราตั้งต้นพายเรือจาก Willow Beach (จริง ๆ อยู่ในรัฐ Arizona) สามารถจัดทริปแบบวันเดียว หรือแคมปิ้งหลายวันก็ได้ แต่ถ้ามีเวลาไม่มาก พายระยะสั้น ๆ ขึ้นไปถึง Emerald Cave ก็ใช้เวลาแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้นเอง ซึ่งถ้ามาในช่วงบ่าย จะได้มุมแสงตกกระทบที่เหมาะสม ทำให้น้ำกลายเป็นสีเขียวมรกต สวยมาก ๆ ครับ แต่ถ้ำจะเล็กนิดหนึ่ง เข้าได้แค่ 1-2 ลำ ถ้าใช้เลนส์มุมกว้างก็จะทำให้ภาพออกมาสวยได้ดังใจครับ ผมใช้บริการของทัวร์นี้ครับ kayaklakemead.comพายคายักใน Emrald Cave สีเขียว ๆ ที่เห็นนี้เป็นสีของแม่น้ำ Colorado ครับ ผมยังไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมมันเป็นสีเขียว น่าจะเกิดจากสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในน้ำทิ้งท้ายรัฐ Nevada ด้วยแผนที่ง่าย ๆ ครับ เพราะทั้งรัฐไม่มีอะไรเลย 555 จุดท่องเที่ยวมีแค่ติ่งเล็ก ๆ ด้านใต้เท่านั้นการเดินทางมา Arizona สามารถบินมาลงที่ Las Vegas ได้ เพราะใกล้ Grand Canyon และรัฐ Utah ด้วย หรือจะบินลง Phoenix ก็ได้เช่นกัน หรือถ้าใครอยากขับรถมาจากแอลเอก็ใช้เวลาราว ๆ 7-8 ชั่วโมงครับ ขับรถทั้งวันพอดีสิ่งที่ดังที่สุดของรัฐ Arizona คงหนีไม่พ้น Grand Canyon อุทยานที่อลังการมาก ๆ แกรนด์แคนยอนเกิดจากการกัดเซาะของแม่น้ำโคโลราโด ถ้านับจากหน้าผาลงไป มีความกว้างเกือบ ๆ 30 กิโลเมตร ลึกลงไปมากกว่า 6,000 ฟุต เลยทีเดียว นับว่าเป็นความยิ่งใหญ่ของกระแสน้ำที่สุด ๆ เลยจริง ๆ ถ้านับตัวอุทยานแห่งชาติ Grand Canyon จะมีโซนที่เที่ยวชมหลัก ๆ อยู่สองด้านคือ North Rim หรือแนวหน้าผาทางด้านเหนือของแม่น้ำ และ South Rim ซึ่ง South Rim จะดังกว่า และนักท่องเที่ยวเยอะกว่า ส่วน North Rim นั้นปิดในช่วงหน้าหนาว แต่ถ้าขับรถจาก Las Vegas มายัง North หรือ South Rim จะกินเวลานานประมาณ 5-6 ชั่วโมง ทัวร์ส่วนมากจะชอบพามา West Rim ซึ่งจะอยู่ในเขตของอินเดียนแดงแทน ที่เห็นว่ามีทางเดินกระจกยื่นออกไปนอกหน้าผานี่แหละครับ จริง ๆ West Rim ก็เป็นส่วนหนึ่งของ Grand Canyon เพียงแต่ไม่ได้อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเท่านั้นเอง ผมเองยังไม่เคยไป West Rim เพราะค่าเข้าแพงและวิวสวยสู้ South Rim กับ North Rim ไม่ได้Grand Canyon South Rim จาก Mother Point ซึ่งผมรู้สึกเฉย ๆ กับมุมนี้มาก เอามาโพสต์ให้ดูเทียบกับรูปด้านล่างครับ 55ถ้านับจุดชมวิวทั่วทั้งอุทยาน ในเรื่องความสวยงามผมยกให้ Toroweap Overlook มาเป็นอันดับหนึ่งครับ รองลงมาเป็น Cape Royale ที่ North Rim และยกให้จุดชมวิวที่เหลือใน South Rim เช่น Yavapai point หรือ Mother point เป็นอันดับท้าย ๆ แล้วกัน 55การเดินทางไป Toroweap Overlook นั้นจะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยากครับ ข้อจำกัดแรกคือต้องขับรถบนทางลูกรังเป็นระยะทางไกลร่วม ๆ 3 ชั่วโมง และช่วงกิโลเมตรสุดท้ายต้องใช้รถท้องสูงมาก เพราะมีแต่หินก้อนใหญ่ ๆ แต่สามารถจอดรถแล้วเดินไปแทนได้ ข้อจำกัดที่สองถ้าอยากจะมาค้างคืนที่นี่ต้องจอง permit ล่วงหน้าครับ สามารถ fax จองได้ โดย campground ชื่อ tuweep ผมไปมาช่วงปลายเดือนสิงหาคมก็ไม่เต็มนะครับ แต่อย่างไรก็ตามก็แนะนำให้จองล่วงหน้าไปก่อนดีกว่าที่ Toroweap Overlook นี้เราจะได้เห็นความอลังการของ Grand Canyon แบบเต็มตามาก ๆ เพราะจะเห็นหน้าผาใหญ่มาก ๆ ตั้งชันดิ่งลงไปถึงแม่น้ำเลยทีเดียว เป็นจุดชมวิวที่ใครกลัวความสูงอาจจะต้องคิดแล้วคิดอีกหน่อย 555 แต่วิวที่นี่สวยทั้งแสงเช้าและแสงเย็นเลยหากกล่าวถึง Grand Canyon ผมคงจะพลาดไม่ได้ที่จะพูดถึงน้ำตกสีฟ้าที่ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาแห่งนี้ เหมือนเป็นเพชรเม็ดงามของ Grand Canyon เลยทีเดียว น้ำตกนี้ชื่อ Havasu Falls ครับ ตั้งอยู่ในเขตของอินเดียนแดง ชื่อ Havasupai อยู่นอกเขตอุทยานแห่งชาติ การเดินทางมี 3 วิธี คือเดินเท้าเข้าไป 16 กิโลเมตร นั่งลา หรือนั่งเฮลิคอปเตอร์ ราคาก็ไล่ตามกันไปครับ เฮลิคอปเตอร์นั้นจะมีบินแค่ 2-3 วันต่อสัปดาห์ อย่างฤดูหนาวก็จะมีแค่วันศุกร์และวันอาทิตย์ ค่าโดยสารตกคนละ $85 ก็ถือว่าไม่แพงมากนัก และการจะเข้าไปใน Havasu Falls นั้นต้องจอง permit ล่วงหน้าเช่นกัน ถ้าไม่ได้จองไป จะโดนปรับอาน และเผลอ ๆ จะให้เดินกลับด้วยครับ กลายเป็นว่าเดิน 30 กิโลเมตร เหนื่อยเปล่า 5555น้ำตกที่นี่เป็นสีฟ้าสวยมาก ๆ ช่วงเวลาที่เหมาะคือได้ทั้งปี ยกเว้นหน้าร้อน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงเดือนสิงหาคมครับ เพราะเป็นช่วงที่อากาศร้อนจัดมาก ๆ และยังเป็นช่วงที่มีโอกาสเกิดฝนฟ้าคะนองและน้ำป่าด้วย ที่ Havasu Falls เคยมีน้ำป่าใหญ่มากเมื่อประมาณ 5 ปีก่อน ทำให้ทางน้ำเปลี่ยน และหน้าตาน้ำตกเปลี่ยนไปพอสมควรเลยถ้ามา Havasu Falls แล้วอย่าลืมแวะไป Mooney Falls ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล แต่ทางเดินลงไปด้านล่างน้ำตกจะชันมาก และทั้งสองน้ำตกสามารถเล่นน้ำได้ ใครชอบเล่นน้ำตกขอบอกว่าต้องห้ามพลาดครับอีก zone หนึ่งของรัฐ Arizona ที่น่าสนใจมาก ๆ คือทางด้านเหนือครับ บริเวณนี้คือรอบ ๆ Lake Powell ซึ่งจะเต็มไปด้วยหินสวย ๆ และ Slot canyon มากมาย มีเมืองหลักคือเมือง Page และ Kanab ผมแนะนำให้หาที่พักที่สองเมืองนี้ครับ ถ้าใครชอบ Slot Canyon ให้มาที่ Page เพราะสามารถขับรถแค่ 10-15 นาที ก็ถึงที่เที่ยวอย่าง Antelope Canyon และ Horseshoe Bend แล้วUpper Antelope Canyon ตอนที่ผมไปไม่ได้ซื้อ photographer tour เลยคนเยอะมาก ผมได้แต่ถ่ายเพดาน เพราะถ่ายมุมระดับสายตา มีแต่นักท่องเที่ยว 55สำหรับ Antelope Canyon จะอยู่ในเขตของอินเดียนแดง ต้องเสียค่าเข้าแพงนิดหนึ่ง แต่ความประทับใจที่ได้คุ้มมาก ๆ แน่นอนครับ หลัก ๆ แล้ว Antelope Canyon จะมีสองด้านคือ Upper Antelope กับ Lower Antelope ซึ่ง Upper Antelope ค่าเข้าจะแพงกว่า เดินง่ายกว่า ในช่วงหน้าร้อน ตั้งแต่เดือนเมษายนถึงตุลาคม จะมีลำแสงลอดลงมาจากรูด้านบนในช่วงเที่ยง ส่วน Lower Antelope นั้นต้องปีนป่ายบันไดนิดหนึ่ง แต่ผมชอบรูปทรงของหินที่ Lower Antelope มากกว่า และที่นี่แสงจะสวยที่สุดในตอนเช้าครับ ให้มาตั้งแต่เวลาเปิดเลย และมาวันธรรมดาคนจะได้ไม่เยอะมากนัก Lower Antelope เองก็มีลำแสงเหมือนกัน แต่จะไม่อลังการเท่ากับ Upper Antelope ผมเองยังไม่เคยได้ภาพลำแสงจาก Upper Antelope เลย เพราะ Photographer Tour ชอบเต็มตลอดHorseshoe Bend ก็เป็นอีกที่หนึ่งที่มาง่ายและวิวอลังการมาก สวยทั้งเช้าและเย็นครับ เป็นอีกจุดหนึ่งที่ท้าความเสียวได้ไม่น้อยเลย เพราะตรงสุดทางเดินไม่มีรั้วกั้น มีเพียงหน้าผาที่ดิ่งลงไป จากที่ผมกะ ๆ เอาน่าจะเกือบสองร้อยเมตรได้ และที่ตรงนี้เราจะเห็นแม่น้ำโคโลราโดโค้งเป็นรูปเกือกม้า ซึ่งลักษณะคุ้งน้ำแบบนี้มีให้เห็นหลายที่ในแถบนี้ครับ มาที่ Horseshoe Bend จะง่ายที่สุด จุดอื่น ๆ ก็อย่างเช่น Tatahatso Point หรือ Gooseneck State Park นั่นเองอีกบริเวณหนึ่งที่มีหินสวย ๆ คือพื้นที่ระหว่างเมือง Page และ Kanab ผมจะเรียกรวม ๆ ว่าเป็น Vermillion Cliff ครับ ที่นี่จะมีสถานที่ที่โด่งดังระดับโลกอย่าง the wave ซึ่งการจะเข้าไป the wave นั้นต้องใช้ดวงล้วน ๆ ที่ต้องบอกว่าดวงล้วน ๆ นั่นเป็นเพราะว่าต้องใช้ permit เข้าในบริเวณที่ชื่อว่า North Coyote Butte ซึ่ง the wave อยู่ในบริเวณนี้ และการจะได้ permit มานั้นก็อาศัยการจับฉลากเอาครับ ในหนึ่งวันจะมีเพียง 20 คน ผู้โชคดีที่ได้ permit เข้าไป the wave เท่านั้น และ 20 คน ก็จะแบ่ง 10 ให้มาลุ้นโชคในหน้าเว็บ ต้องส่งใบสมัครล่วงหน้าสามเดือน และผู้ท้าชิงมีประมาณ 500-600 คน เอาแค่ 10 โอกาสจึงเหลือเพียง 2% เท่านั้น ส่วนอีก 10 ที่จะเป็น walk-in permit ก็จะให้จับเอาหน้างาน จับฉลากล่วงหน้าหนึ่งวันซึ่งปริมาณของผู้ท้าชิงก็จะมากน้อยขึ้นอยู่กับฤดูกาลและวันหยุด ถ้าเป็นช่วงหน้าร้อนก็อาจจะมีคนมาสมัครมากถึง 200 คน ซึ่งโอกาสได้ก็จะประมาณ 5% ผมเคยไปหน้าหนาว ในช่วงวันธรรมดา มีคนมาเสี่ยงดวง 40 คน โอกาสได้จึงเพิ่มขึ้นเป็น 25% โดยมาก walk-in permit จะมีคนมาสมัครน้อยกว่าแบบในเว็บ เพราะแบบในเว็บสามารถเสี่ยงดวงได้จากที่บ้านไม่ได้ก็ส่งใหม่ (ผมเคยส่งมา 15 เดือนติดแล้ว ยังไม่เคยได้เลย ดวงกุดขนาดไหน 555)The Wave ผมมาตอนปลายปี อากาศหนาวมาก และนักท่องเที่ยวน้อย แต่ข้อเสียคือพระอาทิตย์จะไม่ขึ้นกลางหัว ทำให้ถ่ายติดเงาตัวเองตลอด และเงาจะพาดที่มุมนี้ตลอด ไม่มีช่วงเวลาที่ไม่มีเงานอกจาก The Wave แล้วก็ยังมี White Pocket ที่แม้จะดังน้อยกว่า แต่ลวดลายของหินก็สวยงามแปลกตาไม่แพ้กันเลย การเดินทางไป White Pocket จะยากกว่ามาก ต้องใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อ และสภาพถนนค่อนข้างแย่มาก เป็นถนนทราย หากมาในช่วงที่มีฝนจะขับรถเข้าไม่ได้เลย โดยมากแล้วช่างภาพจะมากางเต็นท์ค้างคืนที่ white pocket เพื่อรอถ่ายแสงเช้าหรือแสงเย็นกัน ในขณะที่ The Wave จะถ่ายแสงเที่ยงเสียมากกว่าเป็นรัฐสุดท้ายที่จะนำมาฝากกันครับ รัฐ Utah เป็นรัฐที่อัดแน่นไปด้วยอุทยานแห่งชาติเยอะมาก ทั้ง Zion, Bryce Canyon, Capitol Reef, Arches, Canyonlands เป็นต้น ผมเองเคยไป Zion บ่อยที่สุด เพราะใกล้ Las Vegas มากที่สุด ส่วน Capitol Reef เป็นอุทยานแห่งเดียวที่ผมเองไม่มีข้อมูลเลย เคยไปอยู่หนเดียว ตอนนั้นยังไม่ได้จริงจังกับการถ่ายภาพเท่าไรนัก เลยไม่มีจุดถ่ายรูปมาฝากกัน แต่รับรองว่าอุทยานอีกสี่แห่งที่เหลือจัดเต็มแน่นอน 55การเดินทางมารัฐ Utah สามารถบินมาลงที่ Salt Lake City ได้ แต่รอบ ๆ Salt Lake นั้นไม่ค่อยมีที่เที่ยวเยอะมากเท่ากับทางด้านใต้ ซึ่งทางใต้ของรัฐ Utah จะเป็น Canyon หลากหลาย ซึ่งจาก Las Vegas จะขับรถใกล้กว่า ถ้าจะเที่ยวทางด้านใต้ ผมแนะนำให้บินลง Las Vegas ดีกว่าครับดังที่กล่าวไปว่า Zion National Park เป็นอุทยานที่ผมไปบ่อยที่สุดของรัฐนี้ ลักษณะพิเศษที่ทำให้ Zion แตกต่างจากอุทยานอื่น ๆ ใน Utah และในอเมริกาคือมีลักษณะเป็นหน้าผาสูงชัน คล้ายกับ Yosemite แต่หน้าผาเหล่านั้นเป็นสีแดง เปรียบประมาณว่าเหมือนเอาหน้าผาของ Yosemite มารวมกับสีของหินจาก Grand Canyon ยังไงยังงั้นเลย โดยใจกลางของอุทยานจะมีแม่น้ำชื่อ Virgin River ไหลผ่าน และ Zion ก็มี trail เด็ด ๆ เยอะมาก ไม่ว่าจะเป็น Angel’s Landing, Overlook trail แต่ที่ผมจะพูดถึงจะเป็นสองเทรลที่ฮิตสุด ๆ ในหมู่ช่างภาพ Landscape นั่นคือ the Narrows และ the Subwayการเดินเท้าใน The Narrows จะเรียกว่าเดินบนเทรลก็เรียกได้ไม่เต็มปาก เพราะมันคือการเดินในแม่น้ำซะมากกว่าครับ 55 เพราะ The Narrows นั้นเริ่มต้นที่จุดสิ้นสุดของ Riverwalk trail และจากจุดนั้นคือการเดินสวนทางน้ำล้วน ๆ ไม่มีเส้นทางเดินแน่นอน อยู่ที่เราจะเลือกร่องน้ำและเนินหินเอาเอง จะเดินเลาะริมฝั่ง หรือจะข้ามน้ำตรงจุดไหนก็ได้ และจุด highlight ของ The Narrows คือโซนที่เรียกว่า Wallstreet ชื่อฟังดูเหมือนย่านตึกสูงในนิวยอร์ก แต่เราเปลี่ยนตึกเป็นผนังหินสูงราว ๆ ร้อยเมตรตลอดช่วง Wallstreet นี้จะมีแต่หน้าผาสูงชัน และแม่น้ำที่เรากำลังเดินอยู่เท่านั้น ซึ่งถ้าเรามาถูกช่วงเวลา ก็จะเห็นแสงแดดสะท้อนผนังไปมา ทำให้ผนังเรืองแสงเป็นสีส้มทอง แสงเหล่านี้จะเรียกกันง่าย ๆ ว่า reflected light ซึ่งช่วงเวลาที่ดีที่สุดคือสิบโมงเช้าหรือบ่ายสอง เพราะเป็นช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ทำมุมเฉียงเล็กน้อย ทำให้แสงชิ่งไปชิ่งมา ถ้าเป็นเที่ยงตรงแสงก็ส่องลงมาค่อนข้างตรง ทำให้ไม่มีผนังเรืองแสง แต่แสงที่สวยจะเป็นตอนเช้าหรือตอนบ่ายก็ขึ้นอยู่กับแต่ละจุดและแต่ละฤดูกาลด้วย ฤดูกาลที่แตกต่างกัน แสงก็ทำมุมต่างกันไปแต่ผมรับรองว่า reflected light มันสวยงามแน่นอนครับ ฉะนั้นต้องเลือกวันแดดดี ๆ แสงจะได้เข้ม ถ้าชอบใบไม้เปลี่ยนสีด้วย ต้องมาต้นเดือนพฤศจิกายน และช่วงนี้นักท่องเที่ยวจะน้อยลงไปมากแล้วกฎเหล็กของ the narrows คือห้ามเดินในวันที่มีพยากรณ์ว่าฝนตก เพราะจะมีโอกาสเกิดน้ำป่าสูงมาก และวันที่ฝนตกน้ำในแม่น้ำก็จะแรงมาก แค่คิดว่าต้องเดินสวนทางน้ำในวันที่น้ำแรงมันก็เหนื่อยใจแล้วครับ และลักษณะของ the narrows คือเป็นผนังสูงชันทั้งสองด้าน ถ้าน้ำป่ามาแบบกะทันหัน เราจะไม่มีที่ให้หนีเลย ทางที่ดีที่สุดคือต้องเช็กพยากรณ์อากาศล่าสุด ฝนต้องไม่ตกวันนั้น หรือแม้แต่สองสามวันก่อนหน้า ให้แน่ใจว่าทุกอย่างต้องปลอดภัยครับSubway เป็นอีกเทรลหนึ่งที่เดินยาวกว่าและเหนื่อยกว่า the narrows แต่ความแปลกตาไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เริ่มเดินจาก Left Fork North Creek trailhead และก็ลัดเลาะลำธารไปเรื่อย ๆ ใช้เวลาเดิน 3-4 ชั่วโมง ลักษณะของ the Subway ก็จะตามชื่อเลย คือลักษณะเป็นเหมือนอุโมงค์รถไฟนั่นเอง (แต่ด้านบนเปิดโล่งนะ) เดือนที่ดีที่สุดผมยกให้เป็นหน้าใบไม้เปลี่ยนสีเดือนพฤศจิกายนครับ เพราะก่อนถึง Subway จะมีน้ำตกเล็ก ๆ ที่สวยมากถ้าฉากหลังเป็นต้นไม้เหลือง ๆ สำหรับช่วงเวลาถ่ายที่ดีที่สุดคือช่วงก่อนเที่ยงเล็กน้อย นั่นแปลว่าเราต้องเริ่มเดินตั้งแต่ใกล้สว่าง เพื่อให้ทันแสงที่สวยที่สุดของวันปิดท้าย Zion ด้วยมุมคลาสสิกที่ชื่อ The Watchman ซึ่งก็เป็นชื่อของหน้าผาหินที่เห็นในภาพครับ มุมนี้อยู่ที่สะพานข้ามแม่น้ำ Virgin River ซึ่งในเขตอุทยานมีอยู่สะพานเดียวที่ให้รถข้าม อยู่ตรงสามแยกเข้า Zion Valley พอดี หาไม่ยากครับ ช่วงแสงเย็นมีตากล้องเพียบพอเราขับรถจาก Zion เพียงแค่สองชั่วโมงเศษ ๆ ก็จะถึง Bryce Canyon National Park ลักษณะภูมิประเทศที่นี่แปลกตา มีแท่งหินที่เรียกว่า Hoodoos อยู่นับร้อยนับพัน หากเราไปยืนตรงริมหน้าผาก็จะเห็นมุมที่อลังการมาก ๆ จุดชมวิวหลัก ๆ จะมีสี่แห่ง คือ Sunset Point, Sunrise Point, Inspiration Point และ Bryce Point ทั้งหมดอยู่ตามแนวหน้าผา เรียงจากเหนือไปใต้ จริง ๆ Sunset กับ Sunrise Point ผมว่าถ่ายช่วงพระอาทิตย์ขึ้นจะดีกว่า โดยส่วนตัวผมชอบ Sunset point มากที่สุด แต่ต้องมาถ่ายตอนเช้านะครับ อย่าหลงกลไปกับชื่อจุดชมวิวแล้วไปถ่ายตอนเย็นเชียว 555ที่ Sunset Point จะมีเทรลลงไปด้านล่าง และเห็นหินรูปค้อน หรือที่เรียกว่า Thor’s Hammer อีกด้วย ผมชอบมา Bryce Canyon ในช่วงหน้าหนาว เพราะว่าแท่งหินสีส้มจะสวยขึ้นอีกมากเลย เมื่อมีหิมะสีขาว ๆ มาแต่งแต้ม แต่ก็ต้องแลกกับการที่ trail ปิด เดินได้แต่บริเวณริมหน้าผาเท่านั้น และอากาศหน้าหนาวของ Bryce Canyon ยังโหดสุด ๆ อีกด้วย ตอนเช้า ๆ นี่ -20 องศาเซลเซียส เป็นเรื่องปกติไปเลยครับ ใครจะมาหน้าหนาวต้องเตรียมตัวดี ๆBryce Canyon จาก Sunset point สวยที่สุดก็หน้าหนาวนี่แหละครับ ช่วงเดือนธันวาคมจะมีหิมะจุใจแน่นอนสถานที่ต่อมาที่ผมอยากแนะนำคือ Monument Valley หรือจะเรียกว่าเป็นวิวยอดฮิตของอเมริกาที่ดังที่สุดก็ว่าได้ เพราะปรากฏอยู่ในหนังหลายเรื่องมาก ๆ โดยเฉพาะแนว ๆ คาวบอย ซึ่งตัว Monument Valley นี้อยู่ในรัฐ Arizona แต่ทางเข้าอยู่ตรง Utah ฟังดูงง ๆ ไหมครับ 555 เอาเป็นว่ามันอยู่ตรงรอยต่อระหว่างสองรัฐนี้นั่นเอง แต่อาณาเขตของ Monument Valley นั้นอยู่ในเขตของอินเดียนแดง นั่นแปลว่าเสียค่าเข้าชมครับ ความเห็นส่วนตัวผมแล้วผมว่าที่นี่สวยทั้งเช้าและเย็น และใกล้ ๆ กันก็มีที่พักที่ค่อนข้างสะดวกครับ หรือจะขับไปนอนที่ Page ก็ยังได้ ขับรถราว ๆ สองชั่วโมง ใกล้ ๆ กันก็มี Teardrop Arch ซึ่งก็เป็นมุมที่ดังมากเช่นกันไม่ไกลจาก Monument Valley มีโบราณสถานเก่าอันหนึ่งที่ช่างภาพชอบเรียกติดปากว่า House on Fire เพราะลวดลายบนเพดานมันเหมือนเป็นเปลวเพลิงที่ลุกท่วมเหนือตัวบ้านนั่นเอง House on Fire อยู่ใน Mule Canyon เดินไม่ไกลมาก จอดรถแล้วเดินราว ๆ 30 นาทีครับ แนะนำว่าควรมาช่วงเวลาเกือบ ๆ เที่ยงวัน เพราะพระอาทิตย์จะทำมุมตั้งฉากมาก ๆ และเกิดแสงสะท้อนชิ่งไปส่องให้เพดานเรืองแสงส้มเหมือนเป็นเปลวเพลิงหากมีอุทยานใดที่ลักษณะภูมิประเทศคล้ายกับ Grand Canyon ผมคงยกให้ Canyonlands National Park เลยครับ ส่วนตัวผมว่าแม้ Canyonlands จะไม่ใหญ่เท่ากับ Grand Canyon แต่มีมุมที่สวยกว่า เพราะไม่ดูกว้างเกินไป และมีภูเขาหิมะเป็นฉากหลังไกล ๆ อีกด้วย Canyonlands National Park เมื่อเทียบกับอุทยานอื่น ๆ จะไม่โด่งดังเท่า แถมอยู่ติดกับ Arches National Park ซึ่งแค่ชื่อเสียงก็สู้กันไม่ได้แล้ว 555 แต่สองอุทยานนี้ไม่ได้ไกลกันเลยครับ ตั้งต้นจากเมือง Moab ขับรถแค่ 40 นาที ก็ถึง visitor center ที่ชื่อสุดเก๋ว่า Islands in the Sky หรือเกาะแห่งท้องฟ้าสำหรับที่นี่จุดที่ไม่ควรพลาดคือ Mesa Arch และ overlook ต่าง ๆ อย่าง Mesa Arch นี้เป็นจุดท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของที่นี่เลยทีเดียว มีความสวยงามมาก ด้วยตำแหน่งที่ตั้งที่เป็นเอกลักษณ์ ตัว Arch ตั้งอยู่เหนือหน้าผา พอในตอนเช้าแสงจะกระทบกับหน้าผา และสะท้อนขึ้นมาบนตัว Arch ซึ่งจะทำให้เหมือนเป็น Arch เรืองแสง ซึ่งสวยมาก ๆ ตอนเช้านี่จะมีช่างภาพมาเข้าคิวรอถ่ายกันเยอะมากแน่นอนสำหรับ overlook อื่น ๆ ในอุทยานก็จะมี Grand View Point กับ Green River Overlook ที่เป็นที่นิยม แต่ผมขอเสนออีกจุดหนึ่งที่ชื่อว่า False Kiva ที่ต้องเดินไกลสักหน่อย ต้องเดินจาก Upheaval Dome Road มาประมาณ 1 ชั่วโมง แต่เพราะที่นี่มีร่องรอยของมนุษย์ยุคก่อน ๆ ทำให้มีฉากหน้าที่เป็นเอกลักษณ์ ลักษณะเป็นวงกลม เรียกว่า Kiva ปีที่แล้วผมแวะมาที่นี่เพื่อมาตามล่าทางช้างเผือกครับ ตอนที่เอาไฟฉายมาทำ lighting ให้บรรยากาศรอบ ๆ แล้วเอาไฟฉายจาก iPhone ไปเพิ่มแสงที่ตรงกลาง kiva ทำให้สถานที่แห่งนี้ดูขลังขึ้นมามากเลยหากได้มา Canyonlands แล้ว ผมก็อยากให้แวะ Dead Horse Point State Park ด้วยครับ เป็น state park เล็ก ๆ อยู่ก่อนถึง Canyonlands ต้องมาถ่ายช่วงเช้าถึงจะสวย เพราะที่จุดชมวิว จะเห็นแสงสาดเข้าทางด้านข้างพอดี ลักษณะภูมิประเทศเป็นเหมือน Canyon ใหญ่ ๆ และมีคุ้งน้ำรูปเกือกม้าเหมือนกับ Horseshoe Bend แต่ที่นี่เราจะเห็นมุมเฉียงข้างนิดหน่อย ทำให้ดูแปลกตากว่าที่อื่น ๆ โดยรวมแล้วแม้ว่าจะมีจุดชมวิวอยู่ที่เดียว แต่วิวก็สวยคุ้มค่าน่าแวะเป็นอย่างมากครับผมปิดท้ายรัฐ Utah และปิดท้ายบทความนี้ด้วย Arches National Park ครับ ตัวอุทยานอยู่ใกล้เมือง Moab มาก ๆ ถ้ามาแถวนี้ผมแนะนำให้นอนที่เมืองนี้สักหนึ่งหรือสองคืน จะได้เที่ยวทั้ง Arches National Park และ Canyonlands National Park + Death Horse Point ได้ครบ ที่ Arches National Park แห่งนี้มี Arch อยู่นับราว ๆ สองพันแห่งอยู่ในพื้นที่แค่สามร้อยตารางกิโลเมตรเท่านั้น ถือว่าเยอะมาก ๆๆๆ เป็นภูมิประเทศที่น่าสนใจมาก เราคงไม่สามารถไปได้ทุก ๆ ที่ครับ แค่จะไปชม Arch หลัก ๆ ให้ครบก็หมดเวลาเป็นวันแล้ว สำหรับ Arch ที่ดังที่สุดของที่นี่คือ Delicate Arch ใช้เวลาเดินประมาณชั่วโมงเศษ ๆ ที่มองดูไกล ๆ เหมือนจะไม่ใหญ่ แต่จริง ๆ สูงเกือบ 20 เมตร หรือ 12 ช่วงตัวคนเลยครับนอกจาก Delicate Arch แล้ว ผมขอแนะนำ Landscape Arch ซึ่งเป็น Arch ที่ยาวที่สุดในอุทยาน และ Turret Arch ที่มีมุมคลาสสิกต้องมองจาก North Window จะเห็น Turret Arch อยู่ในหน้าต่าง แค่ตัววิวก็อลังการแล้วครับ บวกกับลักษณะของหินสวย ๆ ยิ่งทำให้ Arch เหล่านี้ดูน่าสนใจขึ้นอีกมากมายLandscape Arch ซึ่งเป็น Arch ที่ยาวที่สุด เคยถล่มไปอยู่ช่วงหนึ่ง ทำให้ทางอุทยานปิดไม่ให้เข้าไปเดินชมด้านล่างTurret Arch คู่กับ North Window ตอนไปมุมนี้เสี่ยงตายมาก เพราะต้องปีนหน้าผาถ่าย แถมมีหิมะลื่น ๆ อีกแผนที่ของรัฐ Utah ครับ สังเกตว่าโซนที่เป็นทะเลทรายและ Canyon ต่าง ๆ จะอยู่ด้านใต้ของรัฐทั้งหมด ฉะนั้นถ้าบินมาลง Las Vegas จะสะดวกกว่าครับ แต่ถ้าไป Arch หรือ Canyonlands มาจาก Salt Lake City จะใกล้กว่า ขับรถ 4 ชั่วโมง เทียบกับ Las Vegas 7 ชั่วโมงโดยรวมแล้วสามรัฐในโซน Southwest ทั้ง Nevada, Arizona และ Utah จะเป็นโซนทะเลทราย และมีหินสวย ๆ ทั้งหมด เรียกได้ว่าถ้าใครชอบอะไรเกี่ยวกับหินและธรณี รับรองว่าต้องติดใจในความหลากหลายของหิน รวมไปถึงสีสันและลวดลายอย่างแน่นอน สำหรับสามรัฐนี้ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่มาเที่ยว ผมตอบได้อย่างรวดเร็วเลยครับว่าให้เลี่ยงหน้าร้อน เพราะมันร้อนจัดมาก ๆ ผมเคยมา Nevada ช่วงปลายเดือนมิถุนายน อากาศร้อนกว่า 43 องศา ยิ่งบวกกับแดดแรง ๆ และอากาศแห้งด้วยแล้ว มันเหมือนกับเราอยู่ในเตาอบดี ๆ นี่เองครับ แม้ว่าที่นี่จะไม่ร้อนเท่ากับ Death Valley แต่ก็อย่าประมาทครับ อากาศแบบนี้จะทำให้เราเสียเหงื่อเสียน้ำเร็วมาก และจะทำให้รู้สึกเพลียได้เร็วกว่าปกติอากาศในช่วงหน้าร้อนโดยเฉพาะรัฐ Arizona จะค่อนข้างแปรปรวน ฝนฟ้าคะนองเยอะ มีโอกาสเกิดน้ำป่าได้สูง ถ้าเป็นไปได้ ผมแนะนำให้มาช่วงก่อนเข้าหน้าหนาว ราว ๆ เดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน หรือไม่ก็เป็นเดือนมีนาคม เมษายนไปเลย เพราะหน้าหนาวที่นี่ก็โหดไม่ใช่เล่นครับ เช่น ถ้าใครอยากมาเห็นลำแสงสาดที่ Antelope Canyon แม้ว่าหน้าร้อนจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด แต่เดือนเมษายนก็พอเห็นได้ และอากาศยังไม่ร้อนจนเกินไปครับสุดท้ายนี้หวังว่าทุกคนที่อ่านจบ ขอบคุณจริง ๆ หวังว่าคงจะได้แรงบันดาลใจดี ๆ ในการจัด road trip ขับรถท่องเที่ยวอเมริกา และผมเข้าใจดีว่าทวีปอเมริกามันไกล แค่คิดนั่งเครื่องก็เหนื่อยแล้ว ผมก็หวังว่าภาพที่ผมเก็บมาตลอด 6 ปีเศษ ๆ นี้จะกระตุ้นให้หลาย ๆ คนยอมนั่งเครื่องบินกว่า 20 ชั่วโมง เพื่อมาเปิดโลกของ landscape แบบอลังการ ๆ ที่อเมริกานะครับ บทความนี้คงเป็นบทความที่ผมเขียนยาวที่สุด นานที่สุด และรูปเยอะที่สุดเท่าที่เคยเขียนมาแล้วครับถ้าผมตกหล่นสถานที่ใดไป ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ครับ หรืออยากให้เพิ่มตรงไหน ก็แจ้งมาได้เลยนะครับติดตามผลงานภาพถ่ายและการเดินทางของผมได้ที่ https://www.facebook.com/piriyaphoto ขอบคุณจากใจจริงครับพีแปะเซลฟี่เหนือหน้าผา Grand Canyon ที่ Toroweap ส่งท้ายฮะ มุมนี้เสียวมากกกกกกกกขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ p-orbital สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม www.piriyaphoto.com และ เฟซบุ๊ก Nature Photographomics

[NEW] | เวลา ของ สหรัฐอเมริกา – NATAVIGUIDES

ข้อมูลทั่วไป United states of amarica (สหรัฐอเมริกา) เป็นแหล่งศูนย์รวมของวัฒนธรรม ที่มีความหลากหลาย จากประชากรประเทศต่างๆทั่วโลก ที่ย้ายถิ่นฐานเข้ามาพำนัก ทำให้สหรัฐอเมริกา เป็นประเทศหนึ่งที่ใครหลายคนอยากมาสัมผัส ซึ่งลักษณะทั่วไปของประเทศมี ดังนี้ ประเทศสหรัฐอเมริกามีพื้นที่โดยรวมประมาณ 3,787,319 ตารางไมล์ หรือประมาณ 18 เท่า ของขนาดพื้นที่ประเทศไทย ประกอบด้วยพื้นที่ต่างๆ 50 รัฐ และ 1 เขตการปกครอง คือ Washington D.C . และมีประชากรโดยรวมประมาณ 292 ล้านคน

ภูมิประเทศ ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีความหลากหลายในเรื่องของภูมิประเทศ คือ มีทั้งป่าไม้ ทะเลทราย ภูเขา ที่ราบสูงและที่ลุ่ม มีผืนแผ่นดินใหญ่ซึ่งเป็นพื้นที่ของรัฐที่ติดต่อกันรวม 48 รัฐ และ Washington D.C . โดยมีรัฐ Alaska ซึ่งอยู่ตอนเหนือของประเทศแคนาดา และรัฐ Hawaii ซึ่งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิค

ประเทศสหรัฐอเมริกามีการแบ่งภูมิภาคต่างๆตามลักษณะภูมิประเทศ ดังนี้

ภูมิอากาศ ในสหรัฐอเมริกาสามารถพบอากาศได้ทุกรูปแบบ ตั้งแต่บรรยากาศแบบแถบขั้วโลกซึ่งหนาวติดลบ 40 องศา จนถึงบรรยากาศที่ร้อนเหมือนทะเลทราย 45 องศา ช่วงอากาศหนาวที่สุด คือเดือนมกราคม และร้อนที่สุดช่วงเดือนกรกฎาคม

ฤดูร้อน อยู่ในช่วงเดือนมิถุนายน สิงหาคม

ฤดูใบไม้ร่วง อยู่ในช่วงเดือนกันยายน – พฤศจิกายน

ฤดูหนาว อยู่ในช่วงเดือนธันวาคม กุมภาพันธ์

ฤดูใบไม้ผลิ อยู่ในช่วงเดือนมีนาคม พฤษภาคม

เวลา เนื่องจากประเทศมีขนาดใหญ่มาก จึงมีการจัดแบ่งการใช้เวลาที่แตกต่างกัน ดังนี้

ส่วนภาคตะวันออก หรือ Eastern Time Zone (EST) : จะมีเวลาช้ากว่าเวลาในประเทศไทยเท่ากับ 12 ชั่วโมง แต่ในช่วงเดือนมีนาคม เมษายน จะมีการปรับเลื่อนเวลาในช่วงฤดูร้อนอีก 1 ชั่วโมง หรือ Daylight Saving Time ทำให้เวลาช้ากว่าประเทศไทยเป็น 13 ชั่วโมง เมืองสำคัญที่อยู่ในเขต EST คือ Boston, New York, Washington D.C., Miami และ Cleveland

ส่วนตอนกลางของประเทศ หรือ Central Time Zone จะมีเวลาช้ากว่าในประเทศไทยเท่ากับ 13 ชั่วโมง แต่ในช่วงเดือนมีนาคม เมษายน มีการปรับ Daylight Saving Time ซึ่งจะมีผลทำให้เวลาของอเมริกาช้ากว่าเวลาในประเทศไทยเป็น 14 ชั่วโมง เมืองสำคัญที่อยู่ในเขตนี้คือ Chicago และ New Orleans

ส่วนพื้นที่ในย่านมหาสมุทรแปซิฟิค หรือ Pacific Time Zone จะมีเวลาช้ากว่าเวลาในประเทศไทย เท่ากับ 15 ชั่วโมง แต่ในช่วงเดือนมีนาคม เมษายน มีการปรับ Daylight Saving Time ซึ่งจะมีผลทำให้เวลาช้ากว่าในประเทศไทยเป็น 16 ชั่วโมง เมืองสำคัญที่อยู่ในเขตนี้คือ San Francisco , Seattle และ Hawaii

Daylight Saving คือ การปรับเวลาในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งจะมีการหมุนเข็มนาฬิกาให้เวลาเดินหน้าเร็วขึ้น 1 ชั่วโมง โดยจะปรับเวลาในวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนตุลาคม และเมื่อถึงช่วงฤดูใบไม้ผลิ ก็จะหมุนเข็มนาฬิกาให้ถอยหลัง 1 ชั่วโมง โดยจะเริ่มปรับเวลาในวันอาทิตย์แรกของเดือนเมษายน ประชากร สหรัฐอเมริกามีประชากรเป็นชาวผิวขาวประมาณ 75.1 % ส่วนพวกคนผิวดำประมาณ 12.3% พวกเชื้อสายสเปน ประมาณ 13% ของจำนวนประชากรทั้งหมด นอกจากนี้เป็นชาวเอเชียประมาณ 3.7%

การเมืองการปกครอง มีระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยในรูปแบบของสหพันธรัฐ ประกอบไปด้วย 50 รัฐ และ 1 เขตการปกครอง คือ Washington D.C. ซึ่งเป็นเมืองและศูนย์กลางการปกครอง โครงสร้างของรัฐบาลแห่งชาติและกิจกรรมของรัฐบาลจะถูกกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ในส่วนของกิจกรรมที่นอกเหนือไปจากที่กำหนดอาทิเช่น อำนาจการจัดการด้านการศึกษาหรือนโยบายการบำรุงรักษาถนน รวมถึงการดำเนินงานด้านตำรวจ จะเป็นความรับผิดชอบของแต่ละรัฐ ซึ่งมีรัฐธรรมนูญและกฎหมายของตนเอง

ระบบเศรษฐกิจ เศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นระบบเศรษฐกิจเสรี ชาวอเมริกันส่วนมากเป็นประชาชนที่จัดว่าอยู่ในระดับปานกลาง จำนวนประชากรที่รวยมากหรือจนมากจะมีน้อย ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีความเจริญ และเป็นผู้นำในธุรกิจต่างๆมากมาย สังคมและวัฒนธรรม เนื่องจากความหลากหลายของประชากร จึงทำให้เป็นประเทศที่มีความหลากหลายด้านวัฒนธรรม คนกลุ่มต่างๆ ยังคงรักษาขนบธรรมเนียมของตนเอาไว้ เช่น China Town หรือ Little Italy ชาวอเมริกันเป็นคนที่ไวต่อการเรียนรู้ และเปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ จึงมีอิสระด้านความคิดมากๆ นอกจากนี้คนอเมริกันรุ่นใหม่จะมีความสนใจสิ่งรอบข้างมากกว่าแค่การเรียน การศึกษาหรือการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับวัยรุ่น ซึ่งจะมีความสนใจในการร่วมกิจกรรมต่างๆ พร้อมกับมีส่วนร่วมในองค์กรต่างๆสำหรับเยาวชน และมักหางานนอกเวลาทำกันเป็นส่วนใหญ่ เพื่อหารายได้มาทำกิจกรรมต่างๆที่ตนเองต้องการ

ศาสนา มีเสรีภาพในการเลือกนับถือศาสนาหรือไม่นับถือศาสนาใดเลยก็ได้ ศาสนาที่มีคนนับถือมากที่สุด คือ ศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนท์

ประเภทของสถาบันการศึกษา ประเทศสหรัฐอเมริกา ไม่มีระบบการศึกษาหรือหลักสูตรการศึกษาในระดับประเทศ ในแต่ละรัฐ จะมีหน่วยงานที่ทำหน้าที่คล้ายกับกระทรวงศึกษาธิการของตนเอง การศึกษาภาคบังคับ ของประเทศสหรัฐอเมริกาคือระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (Grade 12)

โรงเรียนประถมศึกษา / มัธยมศึกษา ( Elementary Schools) เป็นการศึกษาภาคบังคับ คือ ชั้น Grade 1 Grade 6 หรืออายุ 1 6 ขวบ

โรงเรียนมัธยมศึกษา (Secondary school) เป็นการศึกษาภาคบังคับสำหรับเด็กอายุ 12 18 ปี หรือ มัธยมศึกษาปีที่ 1 6 โดยแบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ Grade 7 และ Grade 8 เท่ากับช่วงมัธยมศึกษาตอนต้น (Junior High Schools) และ Grade 9 ถึง Grade 12 เท่ากับมัธยมศึกษาตอนปลาย (Senior High Schools) นักศึกษาต่างชาติส่วนใหญ่จะเข้าเรียนกับโรงเรียนประจำของเอกชน (Broading school) เพราะโรงเรียนรัฐบาลไม่สามารถจัดหาที่พักให้ได้

วิทยาลัยอาชีวศึกษา (Technical and Vocational Schools) สถาบันที่เปิดสอนหลักสูตรเกี่ยวกับวิชาชีพสาขาต่างๆ โดยผู้ที่จะศึกษาต่อด้านนี้จะต้องจบมัธยมศึกษาตอนปลายแล้ว หน่วยกิตที่เรียนจากสถาบันประเภทนี้จะโอนเข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัยได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับสถาบัน

วิทยาลัยและมหาวิทยาลัย (College and University) เปิดสอนในระดับปริญญา แบ่งออกเป็น 4 ระดับ คือ Associates Degree หรือ อนุปริญญา Bachelors Degree หรือ ปริญญาตรี ใช้เวลาในการศึกษารวม 4 ปี Masters Degree หรือ ปริญญาโท ใช้เวลาในการศึกษา 1.5 2 ปี (หลักสูตรด้านกฎหมาย 1 ปี) Doctorate Degree หรือ ปริญญาเอก ใช้เวลาในการเรียน 3 4 ปี ซึ่งนอกจากนี้ยังมีระดับ Postdoctoralซึ่งเน้นด้านการวิจัยหลังสำเร็จการศึกษาขั้นปริญญาเอกแล้วด้วย

สถาบันเทคโนโลยี (Institute of Technology) เปิดสอนในระดับปริญญาตรีขึ้นไปเหมือนมหาวิทยาลัย แต่จะเน้นด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากกว่า

สถาบันการศึกษาด้านวิชาชีพชั้นสูง (Professional School)เป็นการศึกษาในลักษณะพิเศษ ในบางสาขาอาชีพเท่านั้น ซึ่งระบบค่อนข้างซับซ้อนสามารถสรุปได้ ดังนี้

1. การศึกษาระดับ First Professional Degree ด้านแพทย์ศาสตร์ ทันตกรรม และสัตวบาล การสมัครเข้าศึกษาต่อ ด้านแพทย์ศาสตร์ ทันตกรรม และสัตวบาล มีการแข่งขันที่สูงมาก และโอกาสที่จะรับการตอบรับก็ยากสำหรับนักศึกษาต่างชาติเพราะ การศึกษาในด้านนี้จะได้รับการสนับสนุนด้านการเงินจากภาครัฐ ซึ่งทางสถาบันจะเปิดรับนักศึกษาในรัฐเท่านั้น ไม่สำรองไว้ให้นักศึกษาต่างชาติถึงแม้ว่าจะมีคุณสมบัติครบก็ตาม

พยาบาล นักศึกษาที่เรียนด้านพยาบาล จะต้องได้รับการอนุญาตให้สามารถทำงานนั้นๆ โดยที่แต่ละรัฐจะมีคณะกรรมการด้านพยาบาลเป็นผู้ออกใบอนุญาตของแต่ละรัฐ จึงจะสามารถจดทะเบียนประกอบวิชาชีพพยาบาล (Registered Nurses RN)

กฎหมาย หลักสูตรด้านกฎหมายที่เหมาะสมและเป็นที่นิยมสำหรับนักศึกษาต่างชาติ คือ หลักสูตร Master of Laws (LL.M.), Master of Comparative Laws (M.C.L.) และ Master of Comparatives Jurisprudence (M.C.J.) ซึ่งเป็นหลักสูตรเกี่ยวกับสถาบันด้านกฎหมายของสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ยังมีหลักสูตรเกี่ยวกับกฎหมายระหว่างประเทศด้วย

2. สถาบันสอนภาษา (Language Schools) ประเทศสหรัฐอเมริกามีสถาบันสอนภาษามากมายหลายร้อยแห่ง ทั้งของรัฐบาลและเอกชน ซึ่งหลักสูตรที่เปิดสอนส่วนใหญ่จะเป็นหลักสูตร Intensive ซึ่งเปิดสอนสำหรับนักศึกษาที่ต้องการพัฒนาความสามารถด้านภาษาก่อนเข้าเรียนหลักสูตรวิชาการ นอกจากนี้ยังมีหลักสูตรอื่นๆ เช่น TOEFL Business English เป็นต้น รวมถึงการจัดทัศนศึกษา ซึ่งในการเลือกสถาบันควรพิจารณาปัจจัยหลายประการประกอบกัน

เงื่อนไขการรับเข้าเรียน มัธยมศึกษา นักเรียนจากประเทศไทยสามารถศึกษาต่อในระดับมัธยม ในโรงเรียนของเอกชนเท่านั้น ไม่สามารถเข้าเรียนในสถาบันของรัฐบาลได้ เงื่อนไขอื่นๆ เช่นเกรดเฉลี่ยและคะแนน TOEFL แตกต่างออกไปตามสถาบัน

วิทยาลัย วิทยาลัยส่วนใหญ่ต้องการนักศึกษาที่มีเกรดเฉลี่ย 2.0 ขึ้นไป และคะแนน TOEFL 450-500 ขึ้นไป

มหาวิทยาลัย สำหรับปริญญาตรี สถาบันส่วนใหญ่ต้องการนักศึกษาที่มีเกรดเฉลี่ย 2.5 ขึ้นไป และ TOEFL 500 ขึ้นไป ปริญญาโท และเอก เกรดเฉลี่ย 3.0 ขึ้นไป และคะแนน TOEFL ไม่ต่ำกว่า 500 นักศึกษาที่จะสมัครในโปรแกรม MBA ส่วนใหญ่จะต้องใช้คะแนน GMAT ซึ่งจะนำมาคำนวณกับเกรดเฉลี่ยปริญญาตรี ส่วนนักศึกษาที่สมัครปริญญาโทและเอกในสาขาอื่นๆ ส่วนใหญ่จะต้องสอบ GRE (Graduate Record Examination)

ปีการศึกษา ปีการศึกษาในสหรัฐอเมริกา (Academic Year) จะเริ่ม ประมาณเดือนกันยายนถึงพฤษภาคม ซึ่งมีกำหนดภาคเรียนแตกต่างกันออกไปดังนี้

ระบบ Semester เป็นระบบที่นิยมใช้มากที่สุด ในระยะเวลาหนึ่งปีจะประกอบด้วย 2 Semesters และ 1-2 Summer Sessions แต่ละ Semester ยาวประมาณ 16 สัปดาห์ ดังนี้ Fall Semester เปิดประมาณปลายสิงหาคม กลางธันวาคม

Spring Semester เปิดประมาณต้นมกราคม – เมษายน ( บางครั้ง Summer Session จะแบ่งครึ่งเป็น 2 ช่วงสั้น )

Summer Session เปิดประมาณกลางพฤษภาคม สิงหาคม

ระบบ Quarterในหนึ่งปีแบ่งออกเป็น 4 Quarter แต่ละ Quarter ใช้เวลาเรียนประมาณ 10 สัปดาห์ ดังนี้

Fall Quarter เปิดประมาณกลางกันยายน ธันวาคม

Winter Quarter เปิดประมาณมกราคม กลางมีนาคม

Spring Quarter เปิดประมาณต้นเมษายน กลางมิถุนายน

Summer Quarter เปิดประมาณกลางมิถุนายน- สิงหาคม

ระบบ Trimesterใน 1 ปี แบ่งภาคการศึกษาดังนี้

First Trimester เปิดประมาณกันยายน ธันวาคม

Second Trimester เปิดประมาณมกราคม เมษายน

Third Trimester เปิดประมาณพฤษภาคม สิงหาคม

ระบบ 4-1-4เป็นระบบใหม่ที่ใช้ในสถานศึกษาราว 8% ในสหรัฐอเมริกาแบ่งปีการศึกษาออกเป็น 2 ภาคใหญ่ คั่นด้วยภาคเรียนสั้นๆ ที่เรียกว่า Interim เพื่อให้นักศึกษาไปทำการค้นคว้าด้วยตนเอง หรือออก Field Trip แบ่งภาคเรียน ดังนี้

Fall Semester เปิดประมาณปลายสิงหาคม ธันวาคม

Interim เปิดประมาณเดือนมกราคม (1 เดือน)

Spring Semester เปิดประมาณเดือนกุมภาพันธ์ พฤษภาคม

ค่าเล่าเรียน 200,000 – 500,000 บาท/ปี (ขึ้นอยู่กับสถาบัน)
ค่าครองชีพ 500,000 บาท/ปี (เป็นอย่างต่ำ)

ค่าใช้จ่ายสำหรับการศึกษาในสหรัฐอเมริกา อัตราค่าใช้จ่ายสำหรับการไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา อาจจัดอยู่ในระดับ ที่ค่อนข้างสูงหรือปานกลาง ขึ้นอยู่กับสถาบันการศึกษา เมืองและรัฐ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถาบันการศึกษา รูปแบบการใช้ชีวิตของแต่ละบุคคล ซึ่งส่วนใหญ่จะมีความแตกต่างกัน แต่โดยทั่วไปแล้ว สถาบันการศึกษา ที่มีชื่อเสียงมากกว่า มักมีอัตราค่าเล่าเรียนที่สูงกว่า และเมืองที่มีขนาดใหญ่กว่า มักมีอัตราค่าครองชีพที่สูงกว่าเช่นกัน

เงินตรา หน่วยเงินตราของประเทศสหรัฐอเมริกาคือ ดอลล่าร์ (US$) ซึ่งมีค่าเท่ากับ 100 เซ็นต์ ธนบัตรของประเทศอเมริกาทุกมูลค่า จะมีสีเขียวเหมือนกันหมดและมีขนาดเท่ากันหมด หน่วยเงินที่ใช้โดยทั่วไปคือ $ 1, $ 5, $ 10, $ 20, $ 50 และ $ 100 สำหรับเงินเหรียญ จะมีขนาดและลักษณะที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่เหรียญ 1 เซ็นต์ (penny), เหรียญ 5 เซ็นต์ (nickel), เหรียญ 10 เซ็นต์ (dime), และเหรียญ 25 เซ็นต์ (quarter)

ไฟฟ้า ระบบไฟฟ้าของสหรัฐอเมริกาเป็นระบบ 115 V, 600 Cycles ซึ่งแตกต่างจากประเทศไทย ไม่แนะนำให้นักศึกษานำเครื่องไฟฟ้าจากประเทศไทยติดตัวไป

ที่พัก ก่อนที่จะเริ่มต้นชีวิตการศึกษาในประเทศสหรัฐอเมริกา การหาที่พักเป็นการตัดสินใจที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นค่าใช้จ่ายที่มากที่สุดอย่างหนึ่ง และมีผลต่อการปรับตัวของนักศึกษาทั้งในเรื่องส่วนตัว และทางวิชาการ ที่พักเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยในการเอื้ออำนวยต่อพัฒนาการด้านการเรียนรู้ ถ้านักศึกษามีที่พักที่ดีและมีบรรยากาศที่ส่งเสริมการเรียนรู้ พัฒนาการต่างๆ จะเป็นไปได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ในทางตรงกันข้าม ถ้านักศึกษามีความไม่สบายใจเกี่ยวกับที่พัก โอกาสในการเรียนรู้รวมถึงกำลังใจในการต่อสู้ก็จะลดน้อยลงตามลำดับ คนทุกคนย่อมมีความสุขและมีความสามารถมากที่สุด ภายใต้สิ่งแวดล้อมที่ทำให้รู้สึกสะดวกสบาย สำหรับนักศึกษาที่มีญาติหรือคนรู้จักอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา อาจเลือกเข้าศึกษาต่อในบริเวณใกล้เคียงกับที่พักของญาติ เพื่อถือโอกาสพักร่วมกับเขา แต่สำหรับนักศึกษาที่ไม่รู้จักใครเลย ส่วนใหญ่จะใช้บริการของสถาบันการศึกษาในการจัดหาที่พักให้ โดยทั่วไป สถาบันการศึกษาสามารถให้ความช่วยเหลือได้ในการหาที่พัก บางแห่งยังมีบริการไปรัที่สนามบินเพื่อพานักศึกษาไปส่งยังที่พักด้วย

ที่พักชั่วคราว หากนักศึกษาเดินทางมาถึงวิทยาเขตก่อนวันที่จะสามารถย้ายเข้าไปยังที่พักถาวรได้ หรือต้องใช้เวลาในการหาที่พักถาวร นักศึกษามีทางเลือกมากมายเกี่ยวกับที่พักชั่วคราว ที่ราคาสูงที่สุดคือโรงแรม แต่ก็มีโรงแรมในราคาประหยัดให้เลือกด้วย รวมถึง YMCA หรือ YWCA ในเขตท้องถิ่นนั้นๆ นักศึกษาควรสอบถามข้อมูลล่วงหน้าจากเจ้าหน้าที่ของสถาบันเกี่ยวกับทางเลือกของที่พักชั่วคราว

หอพักของสถาบัน เป็นรูปแบบของที่พัก ที่นักศึกษาต่างชาตินิยมมากที่สุด สำหรับนักศึกษาที่เพิ่งไปถึง อย่างไรก็ดี ไม่ใช้ว่าทุกสถาบันจะมีหอพักไว้เพื่อให้บริการนักศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับ Community College มักจะไม่มีหอพักให้กับนักศึกษา รวมถึงสถาบันการศึกษาที่อยู่ในเขตใจกลางเมืองหลายแห่ง ก็ไม่มีหอพักสำหรับนักศึกษา แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว วิทยาลัยและมหาวิทยาลัยในประเทศสหรัฐอเมริกา จะมีบริการด้านที่พักสำหรับนักศึกษา หรือหอพักนั่นเอง โดยทั่วไปจะเป็นห้องพักสำหรับนักศึกษาโสด และอยู่ภายในหรือใกล้เคียงกับวิทยาเขต หอพักเป็นสถานที่ที่นักศึกษาต่างชาติ จะได้มีโอกาสในการพบปะและสังสรรค์กับนักศึกษาชางอเมริกันเป็นอย่างดี หอพักส่วนใหญ่จะมีอุปกรณ์เครื่องใช้ขั้นพื้นฐานทั่วไปครบ รวมถึงโต๊ะ ตู้เสื้อผ้า และเตียง หอพักส่วนใหญ่จะมีโรงอาหาร และบางแห่งอาจมีห้องครัวเล็กสำหรับนักศึกษาด้วย พร้อมมีห้องนั่งเล่นรวม โทรทัศน์ ห้องเล่นเกมส์ ห้องซัก/รีดผ้า หอพักส่วนใหญ่ในประเทศสหรัฐอเมริกาจะไม่มีห้องน้ำส่วนตัว แต่จะเป็นห้องน้ำรวมซึ่งแยกหญิง-ชายมากกว่า นอกจากนี้ มักมีผู้คุมหอพักซึ่งพักอาศัยอยู่ในหอพักด้วย เพื่อดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยทั่วไป ห้องพักในหอพักของสถาบันอาจมีไม่มากนัก ดังนั้นนักศึกษาควรทำเรื่องขอจองที่พักเสียแต่เนิ่นๆ ซึ่งอาจต้องเสียค่ามัดจำที่พักในบางส่วนด้วย นอกจากนี้ หอพักบางแห่งอาจปิดให้บริการในช่วงปิดภาคการศึกษา หรือวันหยุดระหว่างภาค แต่บางแห่งก็เปิดให้บริการตลอดปี ดังนั้นนักศึกษาควรตรวจสอบเจ้าหน้าที่ด้านที่พักของสถาบันเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย การพักอาศัยอยู่ในหอพัก มักมีกฎเกณฑ์ข้อบังคับส่วนกลางซึ่งนักศึกษาต้องปฏิบัติตาม เพื่อการใช้ชีวิตร่วมกันอย่างสงบสุขและราบรื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องเกี่ยวกับระดับเสียง ความสะอาด ผู้เยี่ยม ฯลฯ หอพักแต่ละแห่งย่อมมีข้อกำหนดที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นนักศึกษาจึงควรศึกษาข้อมูลทางด้านนี้ให้ละเอียดถี่ถ้วนเสียก่อน เพื่อลดปัญหาความไม่สะดวกสบาย หรือความเข้าใจผิดที่อาจเกิดขึ้นได้ภายหลัง ข้อคิดของนักศึกษาที่ต้องการพักหอพักคือ นักศึกษาต้องเตรียมปรับตัวให้เข้ากับผู้อื่นด้วย เพราะเป็นการอยู่ร่วมกับคนจำนวนมาก เรื่องของเพื่อนร่วมห้องก็เป็นองค์ประกอบที่มีความสำคัญ ห้องพักส่วนใหญ่ในหอพักของสถาบันการศึกษาจะเป็นห้องพักรวม 2-3 คน ซึ่งนักศึกษาอาจจะไม่รู้จักกันมาก่อน โดยทั่วไป สถาบันมักจัดให้นักศึกษาต่างชาติพักร่วมกับนักศึกษาชาวอเมริกัน ซึ่งต้องยอมรับว่าต่างคนต่างมีความคิดเห็นและวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ดังนั้น นักศึกษาต้องเคารพในสิทธิของผู้อื่น และเพื่อนร่วมห้องของเราก็ต้องเคารพในสิทธิอันชอบควรของเราด้วย ในกรณีที่มีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านใดก็ตาม นักศึกษาต้องบอกเจ้าหน้าที่สำนักงานนักศึกษาต่างชาติหรือผู้ดูแลหอพักทันที หอพักจะมีหลายประเภท รวมถึง หอพักรวมชาย-หญิง ซึ่งโดยทั่วไปจะอยู่ร่วมอาคารเดียวกันแต่แยกชั้น หอพักชายล้วน หอพักหญิงล้วน อพาร์ทเมนท์ บ้านเช่าของสถาบัน และอพาร์ทเมนท์สำหรับนักศึกษาที่มีครอบครัว เป็นต้น

ที่พักนอกวิทยาเขต เป็นที่พักที่อยู่นอกบริเวณวิทยาเขตของสถาบัน มีทั้งในรูปแบบของบ้านและอพาร์ทเมนท์ ที่ตกแต่งแล้ว ตกแต่งบางส่วน หรือยังไม่ได้ตกแต่ง สำหรับการหาที่พักนอกวิทยาเขต นักศึกษาอาจติดต่อเจ้าหน้าที่ด้านที่พักของสถาบัน หาจากหนังสือพิมพ์ หรือติดตามดูประกาศตามบอร์ดกับการหาที่พักร่วมของสถาบัน หากนักศึกษาไม่มีรถยนต์ สถานที่ตั้งของที่พักจะมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งเพราะถ้าไม่อยู่ในระยะทางที่สามารถเดินไปสถาบันได้ หรือไม่ได้อยู่ในเส้นทางของการคมนาคมสาธารณะ ที่พักนั้นๆ อาจจะไม่เหมาะสม นอกจากนี้ ค่าเช่าโดยทั่วไปจะไม่ได้รวมถึงค่าไฟฟ้า ค่าแก๊ส ค่าโทรศัพท์ (รวมโดยเฉลี่ยอยู่ในช่วง US $75 US $200 หรือมากกว่า ต่อเดือน) ส่วนค่าน้ำและค่าบริการจัดเก็บขยะ มักรวมอยู่ในค่าเช่าแล้ว สำหรับการเช่าที่พักในรูปแบบนี้ ส่วนใหญ่แล้วนักศึกษาจะต้องเซ็นสัญญาเช่า ซึ่งเป็นเอกสารที่มีผลทางกฎหมายเกี่ยวกับการเช่าที่พัก ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด ดังนั้นนักศึกษาควรถามตัวเองก่อนว่าจะสามารถเช่าที่พักนั้นๆ ตามระยะเวลาที่กำหนดในสัญญาเช่าหรือไม่ โดยทั่วไปนักศึกษาอาจต้องจ่ายค่าเช่าเดือนแรก และเดือนสุดท้ายล่วงหน้า ซึ่งเป็นการรับประกันว่าผู้เช่าจะแจ้งการย้ายออกอย่างน้อย 30 วันล่วงหน้า นอกจากนี้ อาจต้องจ่ายค่ามัดจำความเสียหายอีก 1 เดือน ซึ่งผู้เช่าจะได้รับคืนเมื่อย้ายออก และไม่ได้ทำความเสียหายอะไรให้กับสถานที่ที่เช่า นักศึกษาควรตกลงทำสัญญาเกี่ยวกับการเช่าที่พักด้วยเอกสาร ซึ่งกำหนดเงื่อนไขและข้อตกลงเอาไว้อย่างละเอียดถี่ถ้วนเท่านั้น นักศึกษาต้องมั่นใจว่าได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับสัญญานั้นๆ แล้วอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนการเซ็นสัญญา

หอพักนอกวิทยาเขต หมายถึง หอพักของเอกชนที่ตั้งอยู่ใกล้กับวิทยาเขตของสถาบัน รายละเอียดทุกอย่างจะใกล้เคียงกับหอพักของสถาบันการศึกษา เพียงแต่มีเอกชนเป็นเจ้าของ โดยทั่วไปอัตราค่าเช่าจะใกล้เคียงกับหอพักของสถาบันภายในวิทยาเขต

ที่พักแบบ Co-Ops หรือ Cooperative Residence Halls โดยทั่วไปจะหมายถึงบ้านขนาดใหญ่ ที่นักศึกษากลุ่มหนึ่งพักอาศัยร่วมกัน และร่วมกันรับผิดชอบค่าใช้จ่ายและงานในบ้าน รวมถึงการทำอาหาร งานทำความสะอาดบ้าน และงานอื่นๆ นอกบ้าน และเนื่องจากราคาของที่พักประเภทนี้จะค่อยข้างถูก ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายในการที่จะหาที่พักแบบนี้ได้

บ้านให้เช่าห้องพัก หมายถึงที่พักอาศัยที่ปล่อยห้องให้บุคคลอื่นเช่า และส่วนใหญ่ จะเป็นการแบ่งให้ผู้เช่า 2 คน มักมีสิ่งอำนวยความสะดวกในการทำอาหารพร้อม ที่พักประเภทนี้ น่าจะเป็นที่พักที่มีค่าเช่าถูกที่สุด แต่บางครั้ง อาจเกิดปัญหาเกี่ยวการอยู่ร่วมกับผู้อื่น อาทิ เรื่องของการใช้ห้องน้ำหรือห้องครัวร่วมกัน หากต้องการที่พักประเภทนี้ ควรเลือกผู้ร่วมเช่าให้ดี และซักถามคำถามให้มากที่สุด

การพักร่วมกับครอบครัวชาวอเมริกัน เจ้าหน้าที่นักศึกษาต่างชาติ มักมีรายชื่อของครอบครัวในชุมชนแถบนั้น ที่ต้องการให้มีนักศึกษาต่างชาติมาพักอาศัยในครอบครัวด้วย โดยทั่วไปมักเป็นห้องเดี่ยวส่วนตัวพร้อมอาหารเช้าและอาหารเย็นสำหรับวันจันทร์ถึงวันศุกร์ และอาหาร 3 มื้อ สำหรับวันเสาร์และวันอาทิตย์ บางครั้งครอบครัวนั้นๆ อาจคาดหวังให้นักศึกษาทำงานบางอย่าง อาทิ การดูแลเด็กเล็ก หรือการช่วยทำงานบ้าน เพื่อแลกเปลี่ยนกับการลดราคาค่าเช่าบ้าน การพักร่วมกับครอบครัวชาวอเมริกัน อาจเป็นประสบการณ์ที่อบอุ่นและน่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง แต่ควรพิจารณาครอบครัวนั้นๆ และเงื่อนไขต่างๆ อย่างละเอียด เพื่อให้มั่นใจว่านักศึกษาเข้าใจดี รวมถึงรับรู้ในสิ่งที่เขาคาดหวังจากตัวนักศึกษาด้วย

ข้อดี นักศึกษาส่วนใหญ่ จะพัฒนาความสามารถด้านภาษาอังกฤษได้อย่างรวดเร็วค่าใช้จ่ายส่วนมากจะถูกกว่า ครอบครัวที่สถาบันจัดหาให้หลายแห่ง สามารถไปรับ – ส่งที่สถาบันได้ สามารถใช้บริการได้ตลอดปีและนักศึกษาจะได้เรียนรู้วิถีชีวิตของครอบครัวชาวอเมริกันอย่างแท้จริง

ข้อเสีย อาจต้องใช้เวลาในการเดินทางไป – กลับ นักศึกษามีอิสรภาพน้อยกว่าการพักหอพักเนื่องจากต้องปฏิบัติตามกฎของแต่ละครอบครัว และมีทางเลือกด้านอาหารน้อยกว่า นอกจากนี้ การใช้สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการของทางวิทยาเขตอาจจะจำกัด เนื่องจากนักศึกษาอาจต้องรีบเดินทางกลับบ้านเมื่อเลิกเรียน ข้อคิดเราต้องเตรียมตัวและเตรียมใจในการเข้าพักร่วมในบ้านของผู้อื่น ซึ่งมีพื้นฐานด้านการศึกษา วัฒนธรรม และแนวคิดที่แตกต่างจากบ้านเรา การปรับตัวทั้งในเรื่องของอาหารกินและวิถีการดำรงชีวิต เป็นเรื่องที่มีความสำคัญที่สุด สำหรับนักศึกษาที่ต้องการที่พักประเภทนี้

สำนักงานผู้ดูแลนักเรียนในประเทศสหรัฐอเมริกา (USA) Educational Affairs, Royal Thai Embassy Address: 1906-23rd Street, N.W., Washington D.C. 20008 USA Tel: (1-202) 667 8010, 667 6084, 667 6063 Fax: (1-202) 265 7239 E-mail: [email protected] Website: www.oeadc.org

สามารถหาข้อมูลของรัฐต่าง ๆ เพิ่มเติมจากเวบไซค์ต่าง ๆ New York – Website หน่วยงานการท่องเที่ยวของรัฐ www.iloveny.com – Website ข้อมูลเกี่ยวกับรัฐ www.state.ny.us California – Website หน่วยงานการท่องเที่ยวของรัฐ www.gocalif.ca.gov – Website ข้อมูลเกี่ยวกับรัฐ www.state.ca.us

Colorado – Website หน่วยงานการท่องเที่ยวของรัฐ www.colorado.com – Website ข้อมูลเกี่ยวกับรัฐ www.colordo.gov

Florida – Website หน่วยงานการท่องเที่ยวของรัฐ www.flausa.com – Website ข้อมูลเกี่ยวกับรัฐ www.myflorida.com

Lllinois – Website หน่วยงานการท่องเที่ยวของรัฐ www.enjoyillinois.com – Website ข้อมูลเกี่ยวกับรัฐ www.illinois.gov

Indiana – Website หน่วยงานการท่องเที่ยวของรัฐ www.in.gov/enjoyindiana – Website ข้อมูลเกี่ยวกับรัฐ www.ai.org

Massachusetts – Website หน่วยงานการท่องเที่ยวของรัฐ www.massvacation.com – Website ข้อมูลเกี่ยวกับรัฐ www.mass.gov

Washington – Website หน่วยงานการท่องเที่ยวของรัฐ www.tourism.wa.gov – Website ข้อมูลเกี่ยวกับรัฐ www.access.wa.gov

ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการขอวีซ่า การเดินทางเข้าประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างถูกกฎหมายผู้เดินทางจะต้องมีวิซ่าเข้าประเทศ ตามวัตถุประสงค์ของการเดินทางเข้าประเทศในครั้งนั้น ๆ นอกจากนี้ การมีวีซ่าไม่ใช่การรับประกันว่าผู้เดินทางจะเข้าประเทศได้ จุดที่ตัดสินว่าผู้เดินทางสามารถเข้าประเทศได้หรือไม่ คือเจ้าหน้าทีกองตรวจคนเข้าเมือง ที่ทำหน้าที่ตรวจประทับตราเข้าเมืองที่สนามบินแรกที่เราเดินทางเข้าไปถึงประเทศสหรัฐอเมริกา

สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการขอวีซ่าเพื่อไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกาสามารถสรุปพอเป็นสังเขปได้ดังนี้

1. SEVIS (ซี-วิส) I-20 แบบฟอร์ม I-20 เป็นเอกสารการตอบรับเข้าศึกษาที่สถาบันการศึกษาเป็นผู้ออกให้ เพื่อแสดงถึงการตอบรับนักศึกษาที่มีชื่อตามใน I-20 เข้าศึกษาที่สถาบัน โดยจะมีรายละเอียดทั้งหมดของนักศึกษา I-20 เป็นเอกสารสำคัญที่ยืนยันการตอบรับเข้าศึกษาที่สถาบันนั้น ๆ จึงเป็นเอกสารที่นักศึกษาจำเป็นต้องใช้ สำหรับการยื่นขอวีซ่านักเรียนแบบ F-1

2. ค่าธรรมเนียม SEVIS FEE คืออะไร? ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2004 เป็นต้นมา US Department of Homeland Security (DHS) ได้ออกกฎหมายข้อบังคับใหม่ขึ้นซึ่งเป็นข้อกำหนดให้ผู้สมัครวีซ่าประเภท F-1 และ J-1 ชำระค่าธรรมเนียม SEVIS Fee จำนวน US $ 100 ซึงเป็นการชำระเพียงครั้งเดียว เพื่อให้ครอบคลุมถึงบริการในส่วนนี้จะแตกต่างหากจากค่าธรรมเนียม ในการยื่นของวีซ่า อย่างไรก็ดี ข้อบังคับใหม่นี้จะไม่รวมถึงผู้ที่อยุ่ในสหรัฐอเมริกาแล้วด้วยวีซ่า F-1 หรือ J-1

++ จ่ายค่าธรรมเนียม SEVIS FEE ผ่านเว็บไซต์ ( จ่ายก่อนไปสัมภาษณ์ และพิมพ์หลักฐานการจ่ายไปแสดงด้วย)

++ ขั้นตอนวิธีการค่าธรรมเนียมจ่าย

ค่าธรรมเนียมในส่วนนี้ สามารถชำระได้ทางไปรษณีย์หรือผ่านทาง Internet เท่านั้น ผู้ที่สามารถชำระค่าธรรมเนียมในส่วนนี้ได้คือนักศึกษา หรือผู้ที่เกี่ยวข้อง อาทิเช่นเพื่อน ญาติ บริษัทตัวแทน หรือสถาบันการศึกษา แผนกวีซ่าจะไม่ดำเนินการนัดสัมภาษณ์ให้กับผู้ที่ยื่นขอวีซ่า จนกว่าจะได้ชำระค่าธรรมเนียมในส่วนนี้ และ DHS ได้รับค่าธรรมเนียมในส่วนนี้แล้ว

3. แบบฟอร์ม DS-2019 เป็นเอกสารการตอบรับเข้าศึกษาที่สถาบันการศึกษาเป็นผู้ออกเหมือนกับ I-20 แต่ DS-2019 เป็นเอกสารตอบรับนักศึกษาที่ได้รับเลือกเข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยน ซึ่งรวมนักเรียนทุน และผู้ที่ไปศึกษาดูงานหรือฝึกอบรม ตามคำเชิญของหน่วยงาน ในประเทศอเมริกา และถือว่าเป็นเอกสารสำคัญที่ใช้ในการยื่นขอวีซ่า นักเรียน ประเภท J-1

4. แบบฟอร์ม DS-156 / DS-157 / DS-158 ในปัจจุบัน ผู้ที่ต้องการยื่นขอวีซ่านักเรียนไปสหรัฐอเมริกา ต้องกรอกใบคำร้องหรือ

แบบฟอร์ม DS-156 https://evisaforms.state.gov/ds156.asp ( กรอกแบบฟอร์ม DS-156 ผ่านหน้าเว็บไซต์เท่านั้น ให้พิมพ์เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด จะใช้ตัวอักษรตัวพิมพ์ใหญ่ก็ใหญ่ทั้งหมด หรือพิมพ์ตัวอักษรตัวพิมพ์เล็ก ถ้าพิมพ์ใหญ่-เล็ก ปนกันจะพิมพ์เอกสารออกมาไม่ได้ * ห้ามเขียนเองเด็ดขาด ยกเว้นช่องที่ให้เซ็นต์ชื่อ เซ็นต์ให้เหมือนกับพาสปอร์ตนะคะ * กรอกแบบฟอร์มโดยใช้โปรแกรม Adobe Acrobat Reader เมื่อกรอกเสร็จแล้ว คลิก Continue แล้วจึงพิมพ์ออกมา) * ช่องไหนไม่มีข้อมูลให้กรอก ให้พิมพ์ NONE ห้ามพิมพ์อักษร , / ให้เว้นไว้ เพื่อพิมพ์ออกมา ให้ใช้ปากกาดำเติมได้

ดูวิธีการกรอกคำอธิบายเป็นษาไทยได้ที่นี่

แบบฟอร์ม DS-157 http://www.state.gov/documents/organization/79964.pdf จะกรอกแบบฟอร์มออนไลน์ หรือพิมพ์แบบฟอร์มออกมาเขียนเองก็ได้ค่ะ แนะนำว่าให้ใช้ปากกาสีดำจะดีกว่าค่ะ ดูวิธีการกรอกคำอธิบายเป็นภาษาไทยได้ที่นี่

แบบฟอร์ม DS-158 http://www.state.gov/documents/organization/79965.pdf จะกรอกแบบฟอร์มออนไลน์ หรือพิมพ์แบบฟอร์มออกมาเขียนเองก็ได้ค่ะ แนะนำว่าให้ใช้ปากกาสีดำจะดีกว่าค่ะ ดูวิธีการกรอกคำอธิบายเป็นภาษาไทยได้ที่นี่

5. แบบฟอร์ม I-94 หรือเอกสารบันทึก

การเข้า-ออกประเทศ เป็นเอกสารที่ได้รับบนเครื่องบินเพื่อให้ทุกคนกรอกและยื่นให้กับเจ้าหน้าที่ กองตรวจคนเข้าเมือง เมื่อเข้าประเทศสหรัฐอเมริกาเจ้าหน้าที่กองตรวจ คนเข้าเมืองจะพิจารณาเอกสาร ทุกอย่างและกรอกข้อมูลระยะเวลาที่อนุญาตให้ อยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ครั้งนั้น ๆ จากนั้นจะแนบเอกสาร I-94 ไว้กับหนังสือเดินทาง จะมีตัวเลข 11 หลัก ซึ่งเป็นตัวเลขที่กองตรวจคนเข้าเมืองใช้ตรวจสอบการเข้า-ออกประเทศแต่ละครั้งของผู้เดินทาง สำหรับผู้ที่ถือวีซ่า F-1 สามารถพำนักอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้ ตามระยะเวลาที่จำเป็นต่อการศึกษาในหลักสูตร ตราบใดที่หนังสือเดินทาง ยังมีอายูอย่างน้อย 6 เดือน นอกจากนี้บันทึก D/S ยังเป็นสิ่งที่แสดงถึงการอนุญาตในการทำงานหลังจากสำเร็จการศึกษา ถ้านักเรียนต้องการ อยู่ในประเทศต่อเพื่อเข้าศึกษาในหลักสูตรอื่น ๆ เช่น การศึกษาปริญญาโท หลังจากสำเร็จการศึกษาหลักสูตรระดับปริญญาตรี นักศึกษาต้องยื่นเอกสาร เพื่อขอต่ออายุอย่างน้อย 60 วัน ก่อนสำเร็จการศึกษาในหลักสูตรแรก

สำหรับผู้ที่ถือว่าวีซ่า J


10 อันดับ เมืองอันตรายที่สุดในสหรัฐอเมริกา (ต้องดู…!!!)


นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูความรู้เพิ่มเติมที่นี่

10 อันดับ เมืองอันตรายที่สุดในสหรัฐอเมริกา (ต้องดู...!!!)

รักเธอสุดหัวใจ – ก้อง สหรัถ【OFFICIAL MV】


Digital Download : 123 1011635 3
iTunes Download : http://goo.gl/fp8NZ4
KKBOX : http://kkbox.fm/6c1AR4
เพลง : รักเธอสุดหัวใจ
ศิลปิน : สหรัถ สังคปรีชา(ก้อง)
คำร้อง : ปิติ ลิ้มเจริญ
ทำนอง : ปิติ ลิ้มเจริญ
เรียบเรียง : นิติธร ยุวจิตติ
อัพเดทผลงานศิลปินที่คุณชื่นชอบได้ที่
http://www.facebook.com/gmmgrammyoffi…
http://www.youtube.com/user/gmmgrammy…
https://plus.google.com/+Gmmgrammyoff…
http://www.gmmgrammyofficial.blogspot…

รักเธอสุดหัวใจ - ก้อง สหรัถ【OFFICIAL MV】

ยอดลาออกในสหรัฐฯ พุ่ง ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ I TNN ชั่วโมงทำเงิน I 15-11-64


ยอดลาออกในสหรัฐฯ พุ่ง ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์
หนึ่งในมาตรวัดอุปสงค์ในตลาดแรงงานที่สำคัญของสหรัฐ ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสนใจ คือ ผลสำรวจการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) โดยเฟดจะใช้ผลสำรวจนี้ เป็นมาตรวัดภาวะตึงตัวในตลาดแรงงาน ซึ่งเป็นปัจจัยในการพิจารณานโยบายการเงิน และอัตราดอกเบี้ยของเฟด
เฟด JOLTS ธนาคารกลางสหรัฐ
คาดสายการบินทั่วโลกยังขาดทุนปีหน้า เหตุดีมานด์เดินทางยังต่ำ
แม้หลายประเทศทั่วโลก จะพยายามเปิดประเทศเพื่อให้ผู้คนสามารถเดินทางท่องเที่ยวข้ามประเทศได้อีกครั้ง แต่ดูเหมือนจะยังไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนให้อุตสาหกรรมการบินกลับมาฟื้นตัวได้
สายการบิน สมาคมการขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ IATA
\”อีลอน มัสก์\” ขายหุ้นเทสลา เพิ่มเติมอีก 687 ล้านดอลลาร์
เพิ่งจะมีข่าวขายหุ้นไปไม่กี่วันที่ผ่านมา ล่าสุด มีรายงานว่า \”อีลอน มัสก์\” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทเทสลา อิงค์ ได้ทำการขายหุ้นเทสลาอีก 687 ล้านดอลลาร์ หลังจากที่ได้เทขายกว่า 5 พันล้านดอลลาร์ในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา
อีลอนมัสก์ เทสลา SEC
ช่องทางติดตามสถานีข่าว TNN ช่อง16
https://www.tnnthailand.com
https://tv.trueid.net/live/tnn16
https://www.youtube.com/c/tnn16
https://www.facebook.com/TNNthailand/
https://www.facebook.com/TNN16LIVE/
https://twitter.com/tnnthailand
https://www.instagram.com/tnn_online/
https://www.tiktok.com/@tnnonline
Line @TNNONLINE หรือคลิก https://lin.ee/4fP2tltIo
ทันโลก ทันเศรษฐกิจ ทันทุกความจริง กับ TNNช่อง16 สถานีข่าวที่ถือหลักการของการนำเสนอข่าวตรงประเด็น รวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยำ และเป็นกลาง โดยทีมข่าวมืออาชีพ

ยอดลาออกในสหรัฐฯ พุ่ง ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์  I TNN ชั่วโมงทำเงิน I 15-11-64

คิดถึง : หรั่ง ร็อกเคสตร้า [Official MV]


\”Download on iTunes : http://bit.ly/1vAMAem
ฟังที่ Deezer : http://bit.ly/1nwSknQ
ติดตามข่าว ภาพประทับใจ จากศิลปิน RS ที่คุณชื่นชอบ
RS RETRO 3399 Fanpage : https://www.facebook.com/RSretro3399

คิดถึง
คนเดียวที่คิดถึงที่ รักเธอเป็นดั่งดวงใจ เธอไม่มาด้วยเหตุใด จะไปไหนก็ไม่บอก ทิ้งฉันไว้คนเดียว
คนเดียวที่คิดถึง ป่านนี้ใจเธอคิดอะไร คิดถึงฉันหรือเปล่า ว่านอนหนาวหัวใจ เหงาเกินคำบรรยาย
เลยเวลาเธอไม่มาหา รู้บ้างไหมว่าฉันคอย กำลังใจเริ่มจะทดถอย น้ำน้อยๆล้นออกตา
คิดถึงเธอแทบใจจะขาด อยากให้เธอกลับมาซะที คิดถึงเธอทุกวินาที อยากจะพบเธอคนเดียว
คนเดียวที่คิดถึง ป่านนี้ใจเธอคิดอะไร คิดถึงฉันหรือเปล่า ว่านอนหนาวหัวใจ เหงาเกินคำบรรยาย
กำลังใจเริ่มจะทดถอย น้ำน้อยๆล้นออกตา
คิดถึงเธอแทบใจจะขาด อยากให้เธอกลับมาซะที คิดถึงเธอทุกวินาที อยากจะพบเธอคนเดียว
คิดถึงเธอแทบใจจะขาด อยากให้เธอกลับมาซะที คิดถึงเธอทุกวินาที อยากจะพบเธอคนเดียว
คนเดียวที่คิดถึงที่รักใจเธอคิดอะไร คิดถึงฉันรึเปล่าว่านอนหนาวหัวใจ อย่าทิ้งฉันไว้คนเดียว
\”
โตมากับอาร์เอส หรั่งร็อกเคสตร้า คิดถึง

คิดถึง : หรั่ง ร็อกเคสตร้า [Official MV]

อ้ายมีเหตุผล : เบิ้ล ปทุมราช อาร์ สยาม [Official MV]


\”อ้ายมีเหตุผล\” หนึ่งซิงเกิ้ลที่มาจากฝีมือการแต่งของตัวเอง เพลงที่ \”เบิ้ล ปทุมราช อาร์ สยาม\” อยากถ่ายทอดให้ได้ซึ้งกัน เหตุผลของคนรัก ที่อยากให้อีกคนได้เจอคนที่ดีกว่า แม้ว่าจะรักเธอมากขนาดไหน แต่อ้ายก็อยากให้เจ้าได้เจอคนที่ดีพร้อมกว่า อ้ายเสียใจ แต่ที่ทำไป \”อ้ายมีเหตุผล\”
ติดตาม FB แฟนเพจ เบิ้ล อาร์สยาม ได้ที่
https://www.facebook.com/BlePatumrachRsiamOfficial
โหลดเสียงรอสาย : 223774
โหลด MP3 : http://goo.gl/O6uz3X
iTunes : https://goo.gl/OyjrBc
facebook : http://fb.com/RsiamMusicPage
MV ใหม่ จาก อาร์สยาม : https://www.youtube.com/playlist?list=PLYuR9gPDgFJ7KcelJurRvU6cLgK_JKkQ
เนื้อร้อง/ทำนอง : เบิ้ล ปทุมราช
เรียบเรียง : เติ้ล เส้นเล็ก
ฮักที่เจ้าให้มา มันมีค่าสำหรับโตอ้าย อ้ายบ่เคย สิทำร้ายมัน
อ้ายนี้แค่เพียงเจียมตัว ก่อนทูนหัวสิมาพัวพัน โปรดอย่ามาถิ่มความฝัน ที่อ้ายเลยหนา
บ่เคยให้ใจกับไผ ทั้งหัวใจกะมีแต่เจ้า ผู้แส่ ผู้สาว บ่เคยสิหัวซา
แต่ต้องยอมรับความเป็นจริง เพื่อผู้หญิงที่อ้ายเห็นค่า ให้คนใหม่ที่เขาเข้ามา ดูแลให้ดี
สำหรับอ้ายแล้วเจ้านั้นมีค่า ที่ผ่านมาอ้ายฮักเจ้าจริง ให้เกียรติน้องเป็นผู้หญิง ที่อ้ายนั้นมี
อยากเอ่ยปากเรียกเธอว่าแฟน เดินควงแขนสักครั้งก็ยังดี อยากให้ฮู้ว่าที่เฮ็ดแบบนี้ อ้ายมีเหตุผล
(ซ้ำ , )
แค่อยากบอกให้น้องเข้าใจ อ้ายบ่เคยคบใครหลายคน มีแต่เจ้าผู้เดียวหน้ามล เชื่อใจอ้ายเด้อ
อ้ายฮักเจ้าบ่ได้อีหลี ทั้งที่ใจนั้นมีแต่เธอ ยังหวังดีกับน้องเสมอ บ่เคยเปลี่ยนใจ ยังหวังดีกับน้องเสมอ บ่เคยรักใคร
อ้ายมีเหตุผล
เบิ้ลปทุมราชRsiam
Rsiammusic
อาร์สยาม
ถูกใจให้เบิ้ล

อ้ายมีเหตุผล : เบิ้ล ปทุมราช อาร์ สยาม [Official MV]

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูวิธีอื่นๆLEARN FOREIGN LANGUAGE

ขอบคุณมากสำหรับการดูหัวข้อโพสต์ เวลา ของ สหรัฐอเมริกา

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *