[NEW] จัตุรัสกลางเมือง 10 แห่งที่เรียกว่า “งดงาม” ที่สุดในยุโรป | อิตาลี เมืองหลวง – NATAVIGUIDES

เวลาเดินทางไปเที่ยวเองในทวีปยุโรป สถานที่หนึ่งที่เรามักยึดเป็นจุดตรงกลางสำหรับการเริ่มต้นออกเที่ยวหรือเลือกทำเลที่พักคงต้องเป็น “จัตุรัสกลางเมือง” เพราะเป็นศูนย์กลางทุกด้านของเมืองซึ่งมักเป็นที่ตั้งของสถานที่ราชการต่างๆ และรายล้อมด้วยสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ

ไม่ว่ารูปทรงพื้นที่ตรงกลางเมืองนี้จะเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสสี่เหลี่ยมผืนผ้า สี่เหลี่ยมคางหมู สามเหลี่ยม หรือแม้แต่วงกลม เราก็มักเรียกมันว่า “จัตุรัส” ทั้งหมด ที่บริเวณดังกล่าวส่วนมากจะใช้เป็นสถานที่จัดงานกลางแจ้งต่างๆ เช่น ตลาดนัด งานเทศกาล รวมทั้งยังเป็นที่นัดหมายพบปะกันอีกด้วย

ลองมาดูกันว่ามีจัตุรัสกลางเมืองที่ใดบ้างที่เรียงรายด้วยอาคารสวยงามที่คละคลุ้งด้วยบรรยากาศแห่งความคลาสสิกไว้อย่างเต็มเปี่ยมกันบ้าง

Brussels, Belgium

แน่นอนว่าถ้าพูดถึงจัตุรัสกลางเมืองที่สวยงาม ภาพแรกที่ต้องเข้ามาในหัวก็คือ Grand Place หรือ Grote Markt จัตุรัสสำคัญสัญลักษณ์ของกรุง Brussels เมืองหลวงของประเทศ Belgium บริเวณรอบจัตุรัสทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าเป็นที่ตั้งของอาคารศิลปะโกธิคและบาโรคซึ่งเป็นสถานที่สำคัญทางราชการของประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ที่ว่าการเมือง ศาล และที่ทำงานของกษัตริย์ โดยทุกๆ 2 ปี ในเดือนสิงหาคมจะมีการจัดเทศกาลพรมดอกไม้ขนาดยักษ์ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้มาเยี่ยมชมอีกด้วย

Rome, Italy

ในกรุงโรม เมืองหลวงของประเทศอิตาลีนั้นเต็มไปด้วยจัตุรัสสำคัญหลายแห่ง แต่ที่สะดุดตาที่สุดคงต้องเป็น Piazza Navona จัตุรัสเก่าแก่ที่มีมาตั้งแต่ยุคโรมันโบราณเพื่อใช้เป็นสถานที่เล่นเกมต่อสู้แบบชาวโรมัน รอบจัตุรัสรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าแห่งนี้เต็มไปด้วยอาคารสถาปัตยกรรมบาโรคอันงดงามมากมาย โดยตรงกลางมีน้ำพุที่ล้อมรอบด้วยรูปแกะสลักอันวิจิตรบรรจง รวมทั้งเสา obelisk สไตล์อิยิปต์โบราณ ตั้งโดดเด่นเป็นสง่าและเป็นสัญลักษณ์สำคัญของจัตุรัสแห่งนี้

Telč, Czech Republic

เมืองเล็กๆ ทางตอนใต้ของสาธารณรัฐเช็กที่ในอดีตเคยเป็นจุดพักสำคัญของเส้นทางการค้าระหว่างอาณาจักรโบฮีเมียน (กรุงปราก) และอาณาจักรออสเตรีย (กรุงเวียนนา) ทำให้เมืองนี้ผสมผสานไปด้วยวัฒนธรรมของทั้งสองอาณาจักรที่ลงตัวอย่างยิ่ง จุดเด่นของเมืองเก่าที่สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 แห่งนี้คือจัตุรัสกลางเมืองที่มีลักษณะเป็นทางยาว เรียบเคียงด้วยบ้านเรือนและร้านค้าสถาปัตยกรรมแบบเรอเนสซองส์และบาโรคที่ตกแต่งด้วยสีสันตัดกันสวยงามและแปลกตาอย่างมาก จึงทำให้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี 1992 นอกจากนี้รอบๆ จัตุรัสดังกล่าวยังมีน้ำพุที่ประดับตกแต่งด้วยรูปปั้นที่แกะสลักไว้อย่างปราณีตมากมาย

London, England

ในเขตเมืองของมหานครลอนดอนมีหลายจัตุรัสสำคัญ แต่ที่โด่งดังและสวยงามที่สุดคือ Trafalgar Square โดยผู้คนส่วนมากนิยมเดินทางไปเพื่อถ่ายรูปคู่กับรูปปั้นสิงโตอันโด่งดัง แต่รอบจัตุรัสดังกล่าวยังมีอีกสถานที่หนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นั่นคือ St Martin-in-the-Fields โบสถ์คริสต์นิกายอังกลิแกนที่ตั้งอยู่ทางมุมทิศตะวันออกเฉียงเหนือของจัตุรัส โบสถ์ใหญ่ที่คาดว่าสร้างขึ้นเมื่อปี 1222 จากการออกแบบของ James Gibbs แห่งนี้มีลักษณะเป็นยอดแหลมคล้ายหอคอย โดยมีชื่อเสียงจากการเป็นหนึ่งในโบสถ์ไม่กี่แห่งในสหราชอาณาจักรที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่สถานที่ประกอบศาสนพิธีเพียงอย่างเดียว หากแต่ยังเป็นสถานที่จัดงานการกุศลมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็น การแสดงคอนเสิร์ตของวงออร์เคสตราต่างๆ หรือการเป็นสถานที่ช่วยเหลือผู้ไร้บ้านทั้งหลาย

Moscow, Russia

เชื่อได้ว่าหนึ่งในสุดยอดจัตุรัสสำคัญของโลกต้องมีชื่อของ Krásnaya Ploschad (Красная Площадь) หรือ Red Square จัตุรัสอันยิ่งใหญ่ใจกลางกรุง Moscow เมืองหลวงของประเทศ Russia อย่างแน่นอน จัตุรัสขนาดใหญ่ที่ชาวไทยรู้จักกันดีในนาม “จัตุรัสแดง” แห่งนี้ทำหน้าที่เป็นสถานที่จัดงานสำคัญต่างๆ ของรัสเซียมาหลายยุคหลายสมัย ไม่ว่าจะเป็นงานพิธีต่างๆ ของประเทศ อาทิ การสวนสนามแสดงแสนยานุภาพของกองทัพรัสเซีย รวมทั้งการชุมนุมเรียกร้องเดินขบวนต่างๆ บริเวณจัตุรัสแดงยังเป็นที่ตั้งของสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมาย เช่น พระราชวังเครมลิน พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์รัสเซีย มหาวิหารเซนต์บาซิล รวมไปถึงห้างสรรพสินค้า GUM อีกด้วย

Poznań, Poland

อาคารหลากสีสันสุดน่ารักนี้มีชื่อรวมว่า Domki Budnicze หรือ Merchant’s House ตั้งอยู่ที่ Stary Rynek หรือ Old market Square ของเมือง Poznań เมืองสำคัญริมแม่น้ำ Ostrów Tumski ทางตะวันตกของประเทศ Poland อาคารในสไตล์เรอเนสซองส์ที่สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 16 ตรงบริเวณทิศใต้ของ Ratusz หรือที่ว่าการเมืองเก่าแห่งนี้โดดเด่นจากสีสันและลวดลายเฉพาะตัวที่อยู่บนผนัง รวมทั้งขนาดความกว้างของแต่ละห้องที่ไม่เท่ากัน บางห้องแคบมากจนไม่น่าเชื่อว่าจะอยู่ได้ซึ่งเป็นที่สะดุดตาของผู้คนเป็นอย่างมาก อาคารแต่ละหลังเคยเป็นร้านขายสินค้าของบรรดาพ่อค้า ไม่ว่าจะเป็นขายปลา เทียนไข และเกลือ โดยในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อาคารเหล่านี้ได้รับความเสียหายพอสมควร แต่ก็มีการสร้างขึ้นมาใหม่อย่างพิถีพิถันให้อยู่ในรูปแบบเดิม กระทั่งปัจจุบันกลายเป็นร้านขายสินค้าที่ระลึกเล็กๆ น้อยๆ ที่นักท่องเที่ยวมักจะแวะมาเยี่ยมเยียนเสมอ

Tallinn, Estonia

Raekoja plats หรือ Town Hall Square จัตุรัสกลางเมืองของกรุง Tallinn เมืองหลวงของประเทศ Estonia ซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการค้าของเมืองมาตั้งแต่ยุคกลาง จัตุรัสเมืองเก่านี้ได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกจากองค์การ UNESCO เมื่อปี 1997 บริเวณจัตุรัสเต็มไปด้วยอาคารเก่าแก่สไตล์อาร์ตนูโวและโกธิคมากมาย โดยมีอาคารที่เห็นหอคอยสูงเด่นคือ Tallinna raekoda หรือ Tallinn Town Hall ที่ว่าการเมืองที่สร้างในสไตล์โกธิคมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 นอกจากนี้ในอดีตจัตุรัสแห่งนี้เคยใช้เป็นลานประหารชีวิตนักโทษด้วย

Antwerp, Belgium

ถึงแม้จะมีขนาดใหญ่ไม่เท่ากับ Grand Place แห่งกรุง Brussels แต่ Grand Place หรือ Grote Markt ที่เมือง Antwerp ก็งดงามไม่แพ้กัน จัตุรัสกลางเมืองท่าสำคัญแห่งหนึ่งของประเทศ Belgium และทวีปยุโรปแห่งนี้รายล้อมด้วยอาคารราชการศิลปะสไตล์ Flemish Renaissance มากมายเช่นเดียวกับจัตุรัสทั่วไปในเบลเยียม โดยส่วนมากแล้วสร้างขึ้นใหม่หลังปี 1576 ซึ่งเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่ โดย Hans Vredeman สถาปนิกท้องถิ่น และมีการบูรณะอีกครั้งในช่วงศตวรรษที่ 19 โดยศูนย์กลางเมืองดังกล่าวยังมีอนุสาวรีย์น้ำพุนามว่า Brabo ซึ่งแกะสลักโดย Jef Lambeaux เมื่อปี 1887 ที่ช่วยความสดชื่นให้พื้นที่บริเวณนี้ได้เป็นอย่างดี

Prague, Czech Republic

อีกหนึ่งจัตุรัสกลางเมืองที่ได้ชื่อว่าต้องไปให้ได้สักครั้งในชีวิตอย่าง Staroměstské náměstí หรือ Old Town Square จัตุรัสที่คึกคักด้วยผู้คนมากมายตลอดเวลาในเมืองเก่าแห่งกรุงปราก เมืองหลวงของสาธารณรัฐเช็ก โดดเด่นที่ Kostel Matky Boží před Týnem หรือ Church of Our Lady before Týn โบสถ์สไตล์โกธิคซึ่งเป็นโบสถ์หลักของเขตเมืองเก่ามาตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 แห่งนี้มีหอคอยสูง 80 เมตร และมียอดเล็กๆ 4 แห่งอยู่โดยรอบ ควบคุมการก่อสร้างโดย Matthias of Arras และ Peter Parler ภายในโบสถ์มี pipe organ ที่เก่าแก่ที่สุดในกรุงปรากสร้างขึ้นโดย Heinrich Mundt และเป็นหนึ่งในตัวอย่างออร์แกนที่ดีที่สุดของยุโรปในศตวรรษที่ 17 เลยทีเดียว

Sevilla, Spain

Plaza de España หรือ Spain Square คือจัตุรัสสำคัญของเมือง Sevilla เมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดของเขตปกครองตนเอง Andalucia ทางตอนใต้ของประเทศ Spain จัตุรัสขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่ทั้งหมด 45,932 ตารางเมตรแห่งนี้สร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อปี 1928 โดยตั้งอยู่ในเขต Parque de María Luisa หรือ Maria Luisa Park สวนสาธารณะริมฝั่งแม่น้ำ Guadalquivir จัตุรัสดังกล่าวมีชื่อเสียงจากบรรยากาศไม่เหมือนศูนย์กลางเมืองที่ใด โดยรอบบริเวณเป็นอาคารสถาปัตยกรรมสไตล์เรอเนสซองส์ประยุกต์ตามแบบฉบับของสเปนที่มีกลิ่นอายผสมผสานศิลปะของชาวมัวร์ (กลุ่มแขกขาวที่มีอิทธิพลในดินแดนสเปนตอนใต้มาช้านาน)

*ห้ามคัดลอกหรือดัดแปลงข้อมูลและรูปภาพเพื่อนำไปเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาต

10 เมืองของประเทศอิตาลี ที่ถือว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวสุดสวย น่าไปที่สุดของอิตาลี บางเมืองเคยถูกจัดให้เป็นเมืองสวยที่สุดของยุโรปมาแล้ว หากคุณเป็นคนที่รักความคลาสสิคสไตล์ยุโรป แน่นอนว่าคุณต้องรักอิตาลี และต้องชอบเมืองทั้ง 10 อันดับต่อไปนี้แน่นอน

10. จีนัว (Genoa)

บ่อยครั้งที่เมืองเจนัว (Genoa) ถูกบดบังรัศมีจากเมืองอื่นที่มีชื่อเสียงมากกว่าอย่างกรุงโรม หรือเวนิส แต่ยังไงก็ตาม เจนัว ก็เป็นที่เป็นดังไข่มุกของประเทศอิตาลี เมืองแห่งนี้เป็นเมืองสุดคลาสสิคของอิตาลี ที่ประดับประดาไปด้วยตึกราบ้านช่องตกแต่งด้วยสีสไตล์พาสเทล เต็มไปด้วยโบสถ์เก่าแก่ดูมีมนต์ขลัง สวนเล็กๆที่ถูกจัดอย่างสวยงาม และบางมุมยังซ่อนซากอารยธรรมเก่าแก่ยุคโรมันอีกด้วย เมืองแห่งนี้เป็นดั่งศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์ซึ่งแต่ละมุมถนนจะสะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมจากยุคอดีตมาสู่ปัจจุบัน

9. ปิซ่า (Pisa)

ตั้งอยู่ในแนวเดียวกับแม่น้ำอาร์โนในทางตะวันตกเฉียงเหนือของแคว้นทัสกานี (Tuscany) ซึ่งเมืองปิซ่ายังคงมนต์เสน่ห์ของความสวยงามของเมืองยุคกลางไว้ได้อย่างเหนียวแน่น เมืองปิซ่านอกจากจะมีชื่อเสียงมาจาก หอเอนเมืองปิซ่า อันโด่งดังไปทั่วโลกแล้ว สถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆยังสวยงามน่าสนใจ คุ้มค่าแก่การไปเยี่ยมเยือนเป็นอย่างยิ่ง

8. เนเปิลส์ (Naples)

หนึ่งในเมืองเศรษฐกิจที่วุ่นวายที่สุดเมืองหนึ่งของประเทศอิตาลี เนเปิลส์เป็นเมืองหลวงของแคว้น กัมปาเนีย ในทางตอนใต้ของประเทศอิตาลี

เมืองเนเปิลส์เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยสถานที่ทางศิลปะและประวัติศาสตร์ เช่นเดียวกับ บรรยากาศครึกครื่นแบบสังคมเมืองที่เต็มไปด้วย ร้านค้า ร้านอาหาร และสถานที่เที่ยวยามราตรี ที่สำคัญอาหารอิตาลีที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกอย่าง Pizza, Spaghetti และParmigiana . . . ที่เมืองนี้คุณภาพของอาหารเป็นที่ขึ้นชื่อมาก เพราะแต่ละร้านเอาใจใส่ในการทำเป็นอย่างดี และมักจะใช้ส่วนประกอบอาหารที่เป็นธรรมชาติ สดใหม่ และ made in italy เท่านั้น

7. เซียนา (Siena)

เซียนา สร้างขึ้นใต้ร่มเงาของภูเขาสามลูกใจกลางของแคว้นทัสกานี เมืองนี้ให้นักท่องเที่ยวเดินทางไปสู่ยุคกลาง ด้วยสิ่งปลูกสร้างต่างๆเป็นแบบดั้งเดิมแถมยังมีประเพณีการแข่งม้าโบราณที่เรียกกันว่า Il Palio (เอล พาลีโอ) ที่เซียนา สถานที่ท่องเที่ยวที่ห้ามพลาดก็คือ “ศูนย์ประวัติศาสตร์เซียนา” ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวอิตาลีที่น่าไปที่สุดของอิตาลีเลยก็ว่าได้ ซึ่งที่ศูนย์ประวัติศาสตร์เซียนา มีงานฝีมือ งานศิลปะ สิ่งปลูกสร้าง และอีกมากมาย ซึ่งแต่ละอย่างนั้นสวยงามและดูเก่าแก่มีมนต์ขลังสุดๆ

6. Cinque Terre

ความหมายของชื่อเมืองนั้นแปลว่า “Five Lands” แปลเป็นไทยกันเอาเองนะครับ ซึ่งเมือง Cinque Terre มี 5 หมู่บ้านด้วยกัน Riomaggiore, Manarola, Vernazza, Monterosso and Corniglia

เมืองนี้ตั้งอยู่ในแคว้นลีกูเรีย ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอิตาลี หมู่บ้านต่างๆของเมือง Cinque Terre นั้น มีภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นสวยงามที่สุดของอิตาลีเลยก็ว่าได้ เช่นเทือกเขาลาดชันเป็นแนวยาว หรือ ระเบียงลมสวยๆ ที่มีมาตั้งแต่หลายร้อยปีที่แล้ว

5. Amalfi Coast

ตั้งอยู่ในแคว้น กัมปาเนีย เมืองชายทะเล Amalfi Coast มีชื่อเสียงเรื่องลือมากในเรื่องความสวยงามของตัวเมืองและภูมิศาสตร์ โดดเด่นมากจนทำให้กลายเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวระดับท็อปของอิตาลีไปเลย ความยาวของเมืองยาวประมาณ 30 ไมล์ ตามแนวหาด Sorrento Peninsula ซึ่งทำให้เมืองแห่งนี้ติดอันดับเมืองน่าเที่ยวของอิตาลี จากความงดงามของภูมิศาสตร์แสนสวยอย่างที่เห็นในรูป บ้านหลากสี และ ต้นไม้ที่ขึ้นสลับไปกับถนน

4. มิลาน (Milan)

ถูกทิ้งระเบิดจนเสียหายไปมากในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่หลังจากนั้นเมืองมิลานได้ถูกบูรณะเรื่อยมา จนในปัจจุบันได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่ร่ำรวยที่สุดเมืองหนึ่งของทวีปยุโรป แถมที่มิลานผู้คนจากทั่วโลกยังยกให้เป็นเมืองยักษ์ใหญ่ในวงการแฟชั่นโลก เป็นศูนย์กลางของสินค้าแฟชั่นแบรนด์ดังหลากหลายยี่ห้อ นอกจากนั้นที่มิลานยังมีขุมทรัพย์ทางศิลปะอย่างภาพวาด The Last Supper ของ Leonardo Da Vinci, โรงละครโอเปร่า La Scala, the Castello Sforzesco และโบสถ์แบบ Gothic ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกก็อยู่ที่เมืองมิลานด้วย

3. ฟลอเรนซ์ (Florence)

เมืองหลวงแห่งแคว้น ทัสกานี “ฟลอเรนซ์” . . . เมืองนี้มักจะถูกขนานนามว่าเป็นพิพัธภัณฑ์ขนาดยักษ์ เพราะว่าความสวยงาม รูปทรง และส่วนประกอบอื่นๆของสิ่งปลูกสร้างของเมืองนี้ดูราวกับเทพนิยาย ซึ่งผลงานศิลปะล้ำค่า พิพิธภัณฑ์ และโบสถ์เก่าแก่ กระจัดกระจายอยู่ทั่วตัวเมือง ทำให้ยิ่งดูมีมนต์เสน่ห์ทางศิลปวัฒนธรรมแบบฉบับยุโรปมากขึ้นไปอีก

2. เวนิส (Venice)

เวนิสเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญเป็นอันดับต้นๆของประเทศอิตาลี ซึ่งเวนิสมีความโดดเด่นเฉพาะตัวตรงที่ถุกสร้างบนจุดที่ถูกล้อมรอบด้วยทะเล Adriatic

เวนิสนั้นอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอิตาลี เวนิสนั้นประกอบด้วยเกาะเล็กๆ (จะเรียกว่าเกาะดีไหมนะ) 118 เกาะ ซึ่งมีสะพานรูปทรงสวยงามเชื่อมระหว่างเกาะให้ผู้คนสามารถเดินข้ามฝากไปมาได้ การเดินทางภายในตัวเมืองนั้น ใช้เรือแจวไปตามคานาล (แม่น้ำที่ไหลผ่านตามเกาะต่างๆ) โดยมี Grand Canal ซึ่งเป็นคานาลใหญ่สุดผ่ากลางเมือง ทำให้แบ่งออกเป็นสองฝั่ง โดยเมืองนี้ส่วนตัวชอบเป็นพิเศษ ด้วยวิวสวยของคานาลและสถาปัตแบบดั้งเดิมของเวนิส จึงทำให้เมืองแห่งนี้เป็นหนึ่งในเมืองที่โรแมนติกที่สุดในโลก

1. กรุงโรม (Rome)

เมืองหลวงในอดีตของอาณาจักรโรมันที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งโรมในปัจจุบันเป็นเมืองหลวงของประเทศอิตาลี กรุงโรมตั้งอยู่ศูนย์กลางของแคว้นลาซีโอ

กรุงโรมนั้นเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ เป็นศูนย์รวมของศิลปวัฒนธรรมทั้งแบบคลาสสิคและโมเดิร์นได้อย่างลงตัว และเป็นที่รู้กันว่าที่กรุงโรมมีสถาปัตยกรรมโบราณของกรุงโรมอยู่มากมาย แถมกรุง Vatican ก็ยังอยู่ในโรมอีกด้วย กรุงโรมนั้นมีอายุยืนยาวมากกว่า 2,500 ปี ในฐานะของเมืองศูนย์กลางของวัฒนธรรม การเมือง และ ศาสนา มาหลายยุคหลายสมัย

แผนที่อิตาลี และสถานที่ท่องเที่ยวอิตาลีต่างๆตามเมืองข้างบน

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก amazingthaisea.com