Skip to content
Home » [NEW] การใช้งาน IF – Clauses ในแบบต่างๆ | การใช้ another – NATAVIGUIDES

[NEW] การใช้งาน IF – Clauses ในแบบต่างๆ | การใช้ another – NATAVIGUIDES

การใช้ another: นี่คือโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้

Conditional sentences หรือที่หลายคนรู้จักในนาม if-clause คือ ประโยคเงื่อนไข ประกอบด้วยประโยคย่อย สองประโยค ประโยคหนึ่งขึ้นต้นด้วยคำว่า If กับอีกประโยคหนึ่งมีหน้าตาเหมือนประโยคสมบูรณ์ทั่วไป สังเกตว่า ประโยคสองประโยคนี้สลับที่กันได้ จะยกประโยคไหนขึ้นต้นก็ได้ แล้วแต่การเน้นและความหมาย

conditional-clauses

1. ZERO Conditional Sentences

วิธีใช้: ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นความจริง

Zero conditional sentences ใช้สำหรับพูดถึงความจริงทั่วไป โดยใช้ present simple ในประโยคทั้งสองประโยค (ประโยคหนึ่งจะอยู่ในรูปของ if-clause ส่วนอีกประโยคจะอยู่ในรูปของ main-clause ค่ะ)

  • If + present simple, …. present simple. (คนไทยมักจะเขียนว่า If + subject + V1, subject + V1)

ประโยคแบบ zero conditional sentences ใช้พูดถึงกรณีที่ถ้าเกิดสิ่งหนึ่ง ต้องเกิดอีกสิ่งหนึ่งเสมอ เช่น If water reaches 100 degrees, it boils. เมื่ออุณหภูมิน้ำสูงเท่ากับ 100 องศาเซลเซียส น้ำจะเดือดเสมอ หรือ If I eat peanuts, I am sick. ถ้าฉันกินถั่วลิสงฉันจะแพ้ ซึ่งประโยคลักษณะนี้ เราจะใช้คำว่า when (เมื่อ) แทน if ก็ได้

ตัวอย่างเพิ่มเติม

  • If people eat too much, they get fat. ถ้ากินมากจะอ้วน
  • If you touch a fire, you get burned. ถ้าแตะไฟก็จะโดนลวก
  • People die if they don’t eat. คนเราจะตายถ้าไม่กินอาหาร
  • You get water if you mix hydrogen and oxygen. ถ้ารวมไฮโดรเจนกับอ๊อกซิเจนจะได้น้ำ
  • Snakes bite if they are scared. งูจะกัดเวลารู้สึกกลัว
  • If babies are hungry, they cry. ทารกจะร้องไห้ถ้ารู้สึกหิว

Zero conditional sentences จะใช้พูดถึงเรื่องจริงทั่วๆไป แต่ conditional sentences แบบต่อไปจะพูดถึงเหตุการณ์เฉพาะค่ะ

 

2. FIRST Conditional Sentences

วิธีใช้ ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน

First conditional sentences ใช้สำหรับพูดว่าถ้าสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น อีกสิ่งหนึ่งจะเกิดขึ้นหรืออาจจะเกิดขึ้น โดยใช้ If + present simple แล้วตามด้วย future simple

  • if + present simple, … will + infinitive (คนไทยมักจะเขียนว่า If + subject + V1, subject + will/be going to + V1)

ใช้พูดถึงเหตุการณ์เฉพาะซึ่งอาจเป็นไปได้ หรือผู้พูดคิดว่าจะเกิดขึ้น เช่น

  • If it rains, I won’t go to the park. ถ้าฝนตก ฉันจะไม่ไปสวนสาธารณะ
  • If I study today, I‘ll go to the party tonight. ถ้าวันนี้ฉันอ่านหนังสือ คืนนี้จะไปปาร์ตี้
  • If I have enough money, I‘ll buy some new shoes. ถ้ามีเงินพอ ฉันจะซื้อรองเท้าใหม่
  • She‘ll be late if the train is delayed. เธอจะไปสายถ้ารถไฟมาช้า
  • She‘ll miss the bus if she doesn’t leave soon. เธอจะไม่ทันรถเมล์ถ้าไม่ออกจากบ้านตอนนี้
  • If I see her, I‘ll tell her. ถ้าพบเขาฉันจะบอกเขา

Zero conditional กับ first conditional ต่างกันตรงที่ใช้กับสถานการณ์คนละประเภทดังได้กล่าวไปแล้ว ดูตัวอย่างชัดๆอีกทีนะคะ

 

Zero conditional: If you sit in the sun, you get burned. (ใครก็ตามที่) นั่งตากแดดจะผิวไหม้

First conditional: If you sit in the sun, you’ll get burned. ถ้าเธอนั่งตากแดดผิวเธอจะไหม้นะ

 

3. SECOND Conditional Sentences

วิธีใช้ ใช้กับเหตุการณ์ที่ตรงข้ามความจริงในปัจจุบัน หรือ อนาคต

First conditional ใช้พูดถึงสิ่งที่ผู้พูดคาดคะเนว่าจะเกิดขึ้น แต่ Second conditional จะใช้พูดถึงสิ่งที่ผู้พูดคิดว่าไม่น่าจะเกิดขึ้น เช่น

First conditional: If she studies harder, she’ll pass the exam. ถ้าเธอตั้งใจเรียนมากขึ้นเธอจะสอบผ่าน (คิดว่าเป็นไปได้)

Second conditional: If she studied harder, she would pass the exam. ถ้าเธอตั้งใจเรียนมากขึ้นเธอคงสอบผ่าน (แต่ผู้พูดไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ คือ คิดว่าเธอคงไม่ตั้งใจมากขึ้น และเธอคงสอบไม่ผ่าน)

ประโยคแบบ second conditional นี้ใช้ If + past simple คู่กับ would + infinitive ค่ะ

  • if + past simple, …would + infinitive

(สังเกต ว่าอนุประโยคที่ต่อหลัง if ถ้าคำกิริยาเป็น verb to be จะใช้ were ได้กับประธานทุกตัว เช่น If I were you… ถ้าฉันเป็นเธอ… แต่จะใช้ was ตรงตามประธานก็ได้ค่ะ)

วิธีใช้

– ใช้พูดถึงความใฝ่ฝันว่าอยากให้เกิดขึ้นในอนาคตแต่อาจไม่เกิดขึ้นก็ได้ เช่น

  • If I won the lottery, I would buy a big house. ถ้าถูกล็อตเตอรี่จะซื้อบ้านหลังใหญ่ (ซึ่งคิดว่าคงไม่ถูกล็อตเตอรี่หรอก)
  • If I met the Queen of England, I would say hello. ถ้าได้พบราชีนีอังกฤษฉันจะกล่าวสวัสดี
  • She would travel all over the world if she were rich. เขาจะเที่ยวรอบโลกถ้ามีเงินมากๆ
  • She would pass the exam if she ever studied. เธอคงจะสอบผ่านหรอกถ้าเธอได้เคยอ่านหนังสือบ้าง (ซึ่งจริงๆไม้อ่านเลย)

 

– ใช้พูดถึงเหตการณ์ในปัจจุบันที่เป็นไปไม่ได้เลย ไม่จริงเลย เช่น

 

  • If I had his number, I would call him. ถ้ามีเบอร์เขาฉันจะโทรหาเขา (แต่จริงๆฉันไม่มีเบอร์เขา)
  • If I were you, I wouldn’t go out with that man. ถ้าฉันเป็นเธอฉันจะไม่ไปเที่ยวกับเขา

 

ประโยค second conditional ต่างกับ first conditional ตรงที่แบบนี้มีความเป็นไปได้น้อยมาก เช่น

 

Second conditional: If I had enough money I would buy a house with twenty bedrooms and a swimming pool. ถ้ามีเงินพอฉันจะซื้อบ้านที่มีห้องยี่สิบห้องกับสระว่ายน้ำ (ซึ่งคงเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เป็นแค่ฝัน)

 

First conditional: If I have enough money, I’ll buy some new shoes. ถ้ามีเงินพอฉันจะซื้อรองเท้าใหม่ (มีความเป็นไปได้มากกว่ามาก)

 

4. THIRD Conditional Sentences

วิธีใช้ ใช้กับเหตุการณ์ที่ตรงข้ามความจริงในอดีต

ประโยค conditional แบบสุดท้ายใช้ If + past perfect (subject + had + V3) คู่กับ would have + V3 ค่ะ

  • if + past perfect, …would + have + past participle

ประโยคแบบนี้ใช้พูดเกี่ยวกับอดีตที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง ว่าถ้าเกิดขึ้นแล้วจะเป็นอย่างไร

  • If she had studied, she would have passed the exam. ถ้าเขาอ่านหนังสือ เขาคงสอบผ่านไปแล้ว (ซึ่งจริงๆผู้พูดรู้ว่าไม่ได้อ่านและสอบตก)
  • If I hadn’t eaten so much, I wouldn’t have felt sick. ถ้ากินไม่มากฉันคงไม่ป่วย (แต่จริงๆฉันกินเยอะ จึงป่วย)
  • If we had taken a taxi, we wouldn’t have missed the plane. ถ้าเราขึ้นแท็กซี่มาเราคงไม่ตกเครื่องบิน
  • She wouldn’t have been tired if she had gone to bed earlier. เธอจะไม่เพลียถ้าเข้านอนเร็วกว่านี้
  • She would have become a teacher if she had gone to university. เธอคงจะเป็นครูถ้าเธอเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย
  • He would have been on time for the interview if he had left the house at nine. เขาคงมาสัมภาษณ์ทันเวลาถ้าออกจากบ้านตอนเก้าโมง

 

5. MIXED Conditional Sentences

นอก จากนั้นยังมีการนำ conditional sentences สองแบบมาผสมกันอีกด้วยค่ะ โดยมากใช้เวลาพูดถึงสิ่งที่ไม่เป็นความจริงในอดีตที่มีความสัมพันธ์กับ ปัจจุบัน เช่น

  • She would be a rich widow now if she’d married him. เธอคงจะได้เป็นแม่หม้ายเศรษฐีไปแล้วถ้าเธอแต่งงานกับเขา (ตอนนั้นไม่แต่งกับเขา ตอนนี้เลยไม่ได้เป็นแม่หม้ายเศรษฐี)
  • If I’d studied law, I’d be an attorney now. ถ้าตอนนั้นเรียนนิติตอนนี้ฉันก็คงจะเป็นทนายความแล้ว

หากน้องคนไหนอ่านแล้วสงสัยอะไร เมลมาถามหรือทิ้งคำถามไว้ที่ Webboard สถาบันได้เลยนะคะ ^^

IELTS Institute Team

[Update] การใช้ Signal words : First, Second, Firstly, Secondly, Finally, Then, Next etc. | การใช้ another – NATAVIGUIDES

มารู้จักกับ Signal Words

หรือ อีกชื่อที่รู้จักกันคือ Connective Words: คำเชื่อมประโยค/วลี ในภาษาอังกฤษ

สวัสดีค่ะนักเรียน ม.3 ทุกคน วันนี้ครูมีเทคนิคที่จะทำให้ทุกคนนำไปปรับใช้กับงานเขียนด้วย  การใช้ตัวเชื่อม (connective words) ในภาษาอังกฤษกันค่ะ โดยปรกติแล้วงานเขียนแบ่งออกออกเป็นสองรูปแบบหลักๆคือ เรียงความ (Essay Writing) กับ พารากราฟ (Paragraph Writing) ขอสรุปสั้นๆง่ายๆ ให้ทุกคนเข้าใจว่า Essay คือเรียงความเพราะฉะนั้นจะยาวกว่า Paragraph ที่เป็นเพียงย่อหน้าหนึ่งเท่านั้นนั่นเองค่ะ  และที่สำคัญถ้าเกิดว่างานเขียนภาษอังกฤษเราดี เราสามารถใช้ยื่นขอทุนไปเรียนต่างประเทศได้ด้วยนะคะ

โครงสร้างของการเขียนในภาษาอังกฤษ

 

โครงสร้างของการเขียนในภาษาอังกฤษประกอบด้วย 3 ส่วนใหญ่ๆ คือ

1. Introduction หรือบทนำ หรือส่วนแรกเพื่อเกริ่นให้ผู้อ่านรู้ว่าเรากำลังจะเล่าถึงสิ่งใดบ้าง
2. Body หรือเนื้อความ เป็นส่วนที่รวมเนื้อหา ทั้งนี้ Body อาจจะแยกย่อยเป็นหลายย่อหน้าก็ได้ค่ะ หน้าที่ของ Body คือการให้ข้อมูลเพิ่มเติม โดยจะประกอบด้วย 3 ส่วนย่อยคือ

  •  Topic Sentence ซึ่งจะอยู่ส่วนแรกของของแต่ละ Body ซึ่งจะทำให้ผู้อ่านทราบว่าเนื้อความย่อหน้านี้จะกล่าวถึงเรื่องอะไร
  •  Supporting sentences ทำหน้าที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมหรือขยายความจาก Topic sentence รวมถึงการยกตัวอย่าง เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจมากขึ้น
  • Concluding sentences เป็น การสรุปย้ำใจความสำคัญ ของย่อหน้าให้ผู้อ่านทราบอีกครั้งนั่นค่ะ

3.Conclusion หรือบทสรุป เป็นการทบทวนและย้ำให้ผู้อ่านทราบว่าผู้เขียนต้องการสื่อสารอะไรให้ผู้อ่านรู้ โดยเนื้อหาเน้นรวบรวมใจความสำคัญจาก Introduction และ Body นั่นเองค่ะ

 

 ประเภทของการจัดระบบย่อหน้างานเขียน

 

 

มารู้จักกับประเภทและโครงสร้างงานเขียนในภาษาอังกฤษกันก่อนนะคะว่าเราควรจัดระบบย่อหน้ายังไงดี

  1. จัดตามลำดับเวลาที่เกิดขึ้น Chronological order
  2. เรียงลำดับตามความสำคัญ Spatial order เช่น การบรรยายลักษณะทางกายภาพ ความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ การเดินทาง เป็นต้น
  3. เรียงลำดับตามความสำคัญของบริบทในเนื้อเรื่อง Climactic order
  4. เรียงลำดับตามหัวข้อสำคัญ Topical order

การใช้ตัวเชื่อม (Connective words)

 

ในภาษาอังกฤษนั้น signal แปลว่า สัญญาณ words แปลว่าคำ เมื่อนำมารวมกันแล้วจะแปลได้ว่า “คำลำดับความสำคัญ” เราจะเจอคำเหล่านี้บ่อยมากเมื่ออ่านงานเขียนในภาษาอังกฤษที่มีการลำดับความสำคัญในเนื้อเรื่อง ทำให้ผู้อ่านสามารถตามเนื้อความที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อได้มากขึ้น
ปรกติจะเจอ Signal words ในสถานการณ์ดังต่อไปนี้

 

ตัวอย่างของการแต่งประโยคด้วย การใช้ตัวเชื่อม (Signal words)

 

 

  1. เมื่อเราต้องการที่จะเล่าเรื่องราวที่ มีลำดับขั้นตอน Chronological order สำหรับวิธีนั้นก็นับเป็นวิธีพื้นฐานที่ทุกๆ คนควรจะต้องรู้ทุกงานเขียนนั้นจะอ่านง่ายได้ก็ต่อเมื่อเรามีการเรียงลำดับเรื่องราวได้ชัดเจน เห็นภาพ และเรียงลำดับความสำคัญว่าอะไรมาก่อนมาหลังเพื่อที่จะทำให้ผู้อ่านสามารถจินตนาการถึงเรื่องราวที่เรากำลังถ่ายทอดได้อย่างเป็นลำดับขั้น ซึ่งเราสามารถใช้คำได้ดังนี้ค่ะ

 

Firstly  อย่างแรกเลย
The first one อันดับแรก
First and foremost สิ่งแรกและสำคัญที่สุด
To start with มาเริ่มกับ
Secondly อย่างที่สอง
The second one ประการที่สอง
Thirdly  อย่างที่สาม
The third one ประการที่สาม

 

 

ดังตัวอย่างต่อไปนี้ค่า

In this world, there are three things that  I love the most.
Firstly, I love my cat because he is my beloved friend.
Secondly, I love my parents because they have unconditional love for me since I was born.
Thirdly, I love studying as I can become smarter every day.

  1. เมื่อเราต้องการบรรยาย Spatial order วิธีนี้นั้นคล้ายๆ กับวิธีแรกนะคะ แต่เราจะไม่ใช้ตัวเลขเข้ามาเกี่ยวข้อง เปลี่ยนเป็นการบรรยายแทน และผู้อ่านจะเข้าใจทุกอย่างเอง เพราะบางครั้งนั้นการเล่าเรื่องโดยใช้ตัวเลขอาจจะทำให้ดูเป็นทางการเกินไปและไม่ลื่นไหลไปกับเนื้อเรื่อง เช่นถ้าเราอยากจะถ่ายทอดประสบการณ์ต่างๆ ที่เราเคยทำมา เราก็ควรจะเลือกใช้คำจำพวกนี้ค่ะ

Begin with (เริ่มต้นที่)

After (หลังจาก)

Before (ก่อนที่จะ)

By the time (ในขณะเดียวกัน)

Then (หลังจากนั้น)

Next (ต่อไป)

มาลองอ่านดูเรื่องเล่าตัวอย่างกันเลยค่ะ

Today, I am going to begin with telling you my personal experience travelling to Bangkok the first time. I took a taxi to the bus station. Then I called my friends to meet me. After that I took Grab from BTS to my apartment.
By the time I was in the car, I felt so tired. What a long day! Next, it would be a nice and comfortable bed to hit the hay. Let’s called it a day!

 

  1. การใช้คำเชื่อมประโยคขัดแย้ง 

    Contrast Words ซึ่งใน

    ประโยคความรวมที่มีลักษณะใจความประโยคที่นำมารวมกันมีลักษณะขัดแย้งกัน เนื้อความไม่คล้อยตามกันไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกันมักเจอคำเชื่อมเหล่านี้

However (อย่างไรก็ตาม) + Sentence
Even though (แม้ว่า) + Sentence
Although (ถึงแม้ว่า)+ Sentence
Despite (ถึงอย่างไรก็ตาม) +Noun
Inspite of+Noun

ตัวอย่างประโยคการใช้งานเวลาเขียน ด้านล่างนะคะ

I enjoyed studying English the last semester; however, in this semester I love Math.
Despite Math, I do enjoy learning Arts.
Although she is lazy, she is the smartest girl in the class.
Even though May loves Tim, he already has a girlfriend.

  1. การใช้ประโยคกล่าวถึงอย่างเป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน

    “Cause (เหตุ) and Effect Connections (ผลที่ตามมา)”

    Because of (เพราะว่า + คำนาม)

    Because, Since (เพราะว่า)
    Accordingly (ดังนั้น)
    Consequently (ดังนั้น)
    According to (เนื่องจาก)
    for (เพราะว่า)
    As (เนื่องด้วย)
    Seeing that (เพราะว่า)
    Now that (เนื่องด้วยว่า)

 

เช่นตัวอย่างในประโยคด้านล่าง

Because of the climate change, we face the first snow in the North of Laos.
The higher temperature also has caused global warming.
Moreover, the increasing of water also affected the great flood last year.

 

  1. เมื่อต้องการที่จะ “สรุปใจความสำคัญของเรื่อง Conclusion” เพื่อที่จะหาที่ลงให้ได้ ในส่วนของการเขียนเรียงความ บทความ และพารากราฟนั้นจำเป็นที่จะต้องสรุปเนื้อหาทั้งหมดให้ผู้อ่านได้เข้าใจให้ได้ว่าที่อ่านมาทั้งหมดนั้น ท้ายสุดแล้ว เขาอ่านเรื่องอะไรอยู่ หรือ Main idea ของเนื้อเรื่องนั้น แท้จริงแล้วคืออะไรกันแน่ เรามักจะต้องเจอคำแหล่านี้

To sum up (โดยสรุป)
Finally (สุดท้ายนี้)
Last (สุดท้าย)
Lastly (อย่างสุดท้าย)
In conclusion (ในส่วนสรุป)
Last but not leat (สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด)

ลองดูตัวอย่างประโยคการใช้ด้านล่างได้เลยค่ะทุกคน

In conclusion, I am so thankful for my friends, parents, and teachers who always love and support me to accomplish great things in my life.

To sum up, there are three main ideas following which are having time to read, creating a good habit, eating on time.

Lastly, there are both pros and cons of working in the city. However,  people who want to diversify more income can do online work in order to avoid working in the city.

 

เป็นยังไงกันบ้างคะนักเรียนที่น่ารักทุกคน ครูหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราจะนำเทคนิคในการเขียนนี้ไปลองปรับใช้ดูนะคะ เจอกันใหม่กับบทเรียนต่อไป อย่าลืมทบทวนบทเรียนในวีดีโอด้านล่างเด้อ ” วิชาภาษาอังกฤษ ชั้น ม.3 เรื่อง การใช้ Signal words : First, Second, Finally, Then, Next etc. ด้วยนะคะ เลิฟๆ

 

 

 

+1


Wanna, Gonna, กับ Gotta หมายถึงอะไรและใช้ยังไง


สอบถามเรื่องคอร์ส Line: Aj.Adam, Info.Hollywood, KhunBaiTuey
โทร 02 612 9300, 081 353 7810, 089 422 4546
สนใน sponsor คลิปอาจารย์อดัมติดต่ออีเมล [email protected] หรือโทร 02 612 9300
เรียนกับอดัม: http://www.facebook.com/hollywoodlearning
เรียนออนไลน์กับอดัม: http://www.ajarnadam.tv
FBของอดัม: http://www.facebook.com/AjarnAdamBradshaw
Twitter: http://twitter.com/AjarnAdam
FBของซู่ชิง: http://www.facebook.com/jitsupachin
YouTube ของซู่ชิง: http://www.youtube.com/user/jitsupachin
Twitter ซูชิง: http://twitter.com/Sue_Ching

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูความรู้เพิ่มเติมที่นี่

Wanna, Gonna, กับ Gotta หมายถึงอะไรและใช้ยังไง

other , others , the other , the others , another | ติว Tuesday


other , others , the other , the others , another | ติว Tuesday by เรียนเหอะ อยากสอน
ติว Tuesday วันนี้ครูอายจะมาสอนความแตกต่าง ระหว่างคำว่า other , others , the other , the others , กับ another ว่าใช้ต่างกันยังไง แปลว่าอะไร
other แปลว่า อื่น ๆ
other กับ the other ใช้ต่างกันยังไง
other แบบไม่มี the คือ อื่น ๆ ทั่วไปแบบไม่เจาะจง
the other คือ อื่น ๆ แบบเจาะจง หรือ \”อันอื่นที่เหลือ\”
other ต้องมีคำนามตามไหม
other ใช้ได้ 2 แบบ คือ
1. มีคำนามตาม ( ใช้เป็น determiner หรือคำนำหน้านาม )
2. ไม่มีคำนามตาม ( ใช้เป็น pronoun หรือคำสรรพนาม )
other กับ others ต่างกันยังไง
the other กับ the others ต่างกันยังไง
ถ้าจะใช้แบบไม่มีคำนามตาม
ต้องดูด้วยว่าเป็นเอกพจน์ หรือพหูพจน์
ถ้าเป็นพหูพจน์ ต้องเติม s ด้วย เป็น others หรือ the others
other กับ another ต่างกันยังไง
other แปลว่า อื่นๆ
another แปลว่า อีกอันนึง
1. มีอยู่แล้วอันนึง ขอเพิ่ม\”อีกอันนึง\”
2. ไม่เอาอันนี้ ขอ\”อีกอันนึง\”
each other แปลว่าอะไร
each other แปลว่า กันและกัน
one another แปลว่าอะไร
one another แปลว่า กันและกัน
each other กับ one another ใช้ต่างกันยังไง
each other คือ กันและกันแบบ 2 คน
one another คือ กันและกันแบบ 3 คนขึ้นไป
เจอกันกับ ติว Tuesday ทุกวันอังคาร
และ พักกลางวัน ทุกวันศุกร์นะคะ
เรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองฟรี กับครูอาย เรียนเหอะ อยากสอน ได้ที่ไหนบ้าง?
▸ Youtube : https://www.youtube.com/เรียนเหอะอยากสอน
▸ Facebook : https://www.facebook.com/reanher
▸ Instagram : https://www.instagram.com/reanher.ig
กดที่นี่เพื่อ Subscribe ช่องนี้กันได้นะคะ ^^
https://www.youtube.com/channel/UCRX0VwKduaOHqlGeIdeOAUg?sub_confirmation=1
ติดต่อสปอนเซอร์
▸ Email : [email protected]
ครูอาย สอนภาษาอังกฤษ เรียนเหอะอยากสอน ติวTuesday

other , others , the other , the others , another | ติว Tuesday

another, other, the other, others, the others แตกต่างกันยังไง ใช้งานยังไง เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ESE


another, other, the other, others, the others แตกต่างกันยังไง ใช้งานยังไง เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ESE
ในคลิปภาษาอังกฤษนี้เราจะมาเรียนรู้วิธีการใช้ another, other, the other, others, the others ทั้งหมด 5 ตัวเลย ว่ามันใช้แตกต่างกันอย่างไร ความหมายในแต่ละสถานการณ์ต่างกันอย่างไร และ ทำยังไงถึงจะรู้ว่าต้องใช้ another, other, the other, others, the others เมื่อเราสนทนาหรือพยายามสื่อสาร และแต่งประโยคเป็นภาษาอังกฤษ พร้อมตัวอย่างประโยคการใช้งานในสถานการณ์จริง
เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์กับESE
เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ ครบทุกหลักการใช้งานในคลิปเดียวแบบเต็มสูบทั้งหมด
หากสนใจมาเรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัว กับทางESE สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้ทางช่องทางเหล่านี้นะครับ
อย่าลืมกดติดตามเราทางช่องทางอื่นๆด้วยนะครับ
Follow us on Facebook: https://www.facebook.com/easyandsimpleenglish/
Follow us on Instagram: https://www.instagram.com/ese_stagram_th/
Visit our website: http://easysimpleenglish.com/
Contact: Tel: 0863537300

another, other, the other, others, the others แตกต่างกันยังไง ใช้งานยังไง เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ESE

each, every, all, another, other ใช้อย่างไร บวกนามเอกพจน์หรือพหูพจน์ by ดร.พี่นุ้ย


each, every, all, another, other ใช้อย่างไร บวกนามเอกพจน์หรือพหูพจน์ by ดร.พี่นุ้ย
ดร.พี่นุ้ย สมิตา หมวดทอง
โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ NuiEnglish
เกียรตินิยมอันดับ 1 อักษร จุฬาฯ
นักเรียนทุน ก.พ. และทุนรัฐบาลอังกฤษ
พสบ. 26 กองทัพบก
พรส.13 โรงเรียนเสนาธิการทหารบก
พขส.2 สถาบันพระปกเกล้า
FA 7 สถาบันพระปกเกล้า
พคบ.10 กอ.รมน
กรรมการสงเคราะห์ สถานพินิจสมุทรสาคร
The Startup Ready Batch3
SIP 44 ธนาคารกรุงเทพ
http://www.nuienglish.com
http://www.facebook.com/nuienglish
stayhome withme

each, every, all, another, other ใช้อย่างไร บวกนามเอกพจน์หรือพหูพจน์ by ดร.พี่นุ้ย

Another, Other, The Other, The Others ต่างกันอย่างไร


สอบถามเรื่องคอร์ส Line: Aj.Adam, Info.Hollywood, KhunBaiTuey
โทร 02 612 9300, 081 353 7810, 089 422 4546
สนใน sponsor คลิปอาจารย์อดัมติดต่ออีเมล [email protected] หรือโทร 02 612 9300
เรียนกับอดัม: http://www.facebook.com/hollywoodlearning
สาขาเชียงใหม : http://www.facebook.com/hollywoodlearningcm
เรียนออนไลน์กับอดัม: http://www.ajarnadam.tv
FBของอดัม: http://www.facebook.com/AjarnAdamBradshaw
Twitter: http://twitter.com/AjarnAdam
FBของซู่ชิง: http://www.facebook.com/jitsupachin
YouTube ของซู่ชิง: http://www.youtube.com/user/jitsupachin
Twitter ซูชิง: http://twitter.com/Sue_Ching

Another, Other, The Other, The Others ต่างกันอย่างไร

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูบทความเพิ่มเติมในหมวดหมู่LEARN FOREIGN LANGUAGE

ขอบคุณที่รับชมกระทู้ครับ การใช้ another

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *