verb ตัวอย่าง: นี่คือโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
Verb
ตุลาคม 12, 2011 เวลา 4:59 am | เขียนใน UNIT 2 | ใส่ความเห็น
VERB
กริยา (verb) คือคำหรือกลุ่มคำที่แสดงอาการหรือการกระทำของนาม สรรพนาม หรือประธานของประโยค แบ่งได้ 4 ชนิดคือ
1.Transitive verbs เป็นกริยาที่ต้องการกรรมมารองรับข้างท้าย หากขาดกรรมรองรับ ความสมบูรณ์ขาดหายไป
ตัวอย่าง
He throws rocks. เขาขว้างก้อนหิน
She ate cookies. เธอกินคุกกี้
2.Intransitive verbs เป็นกริยาที่ให้ความสมบูรณ์อยู่แล้วไม่จำเป็นต้องมีกรรมรองรับข้างท้าย
ตัวอย่าง
She runs quickly. เธอวิ่งอย่างรวดเร็ว
Sunee studies hard. สุนีย์ขยันเรียน
3. Linking verbs เป็นกริยาใช้เชื่อมประธานของประโยคเข้ากับตัวขยายซึ่งอาจจะเป็นนามหรือคุณศัพท์ก็ได้ เพื่อแสดงสภาพอะไรสักอย่าง (a state of being) ได้แก่ be, seem, appear, look, become, get, turn, taste, feel, remain, sound, grow
ตัวอย่าง
Klinton become President of the U.S.A. คลินตัน ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา
She felt sick during the play. เธอรู้สึกไม่สบายในระหว่างทำการแสดง
โดยสรุป Linking verbs + NOUN / ADJECTIVE
4. Helping verbs
เป็นกริยาช่วย ที่นำมาใช้ร่วมกับกริยาแท้ ได้แก่ be, have, has, had, can, could, will, would, may, might, must, do, does, did, ought to เป็นต้น ซึ่งจะขอกล่าวถึงกริยาช่วยที่สำคัญและพบในข้อสอบบ่อยมีดังนี้
4.1 กริยาช่วยที่ใช้แสดงความสามารถ (ability) คือ
(1) can และ could ใช้ can+verb ใน present/future time และ could+verb ใน past
time และใช้ can not (= can’t)+verb หรือ could not (=couldn’t)+verb เพื่อชี้ แสดงการไร้ความสามารถ
ตัวอย่าง
He can swim very well. เขาว่ายน้ำเก่ง
She could drive when she was sixteen. เธอขับรถเป็นเมื่ออายุ 16 ปี
He couldn’t come yesterday. เมื่อวานนี้เขามาไม่ได้
(2) be able to ใช้ is/am/are able to + verb ใน present time และใช้ was / were able to+verb ใน past time ส่วน will be able to หรือ be going to be able to + verb ใช้ใน future time
ตัวอย่าง
I’m able to drive a car now. ตอนนี้ฉันขับรถได้แล้ว
We are going to be able to see you tomorrow. พวกเราจะสามารถพบคุณพรุ่งนี้.
4.2 กริยาช่วยที่ใช้ในการขออนุญาตและให้อนุญาต คือ
(1) การขออนุญาต ใช้
may
can + verb
could
ตัวอย่าง
May I leave now? ผมขออนุญาตไปตอนนี้ได้ไหมครับ?
Can I borrow you book? ผมขอยืมหนังสือของคุณหน่อยได้ไหม
Could I turn in my paper tomorrow? ผมขออนุญาตส่งงานพรุ่งนี้ได้ไหมครับ
(2) การให้อนุญาต ใช้
may
can + verb
could
ตัวอย่าง
You may leave now. คุณไปได้แล้วครับ
You could have an appointment tomorrow คุณสามารถนัดหมายได้พรุ่งนี้
หากไม่อนุญาต ก็ใช้ not เติมหลังกริยาช่วยเป็น cannot, may not could not
ตัวอย่าง
You can’t come in just now. คุณเข้ามาตอนนี้ไม่ได้.
4.3 กริยาช่วยที่ใช้แสดงการบังคับ (obligation) และความจำเป็น (necessary)
(1) should และ ought to ใช้แสดงเชิงบังคับว่าควรจะต้องทำ วิธีใช้คือ
should
+ verb
ought to
ตัวอย่าง
You should be ashamed of yourself.
คุณควรจะละอายตัวเอง
She ought to improve her appearance before she looks for a job.
เธอควรจะปรับปรุงบุคลิกของตัวเองก่อนที่จะหางานทำ
should
+ verb
ought to have
เพื่อแสดงว่าเป็นสิ่งที่ควรจะทำ แต่ไม่ได้ทำลงไป
ตัวอย่าง
I should have given you my telephone number.
ฉันควรที่จะได้ให้เบอร์โทรศัพท์ของฉันแก่คุณ
(จริงแล้วไม่ได้ให้ เลยเสียใจที่ไม่ได้ให้)
The ought to have given us their new address.
พวกเขาควรที่จะได้ให้ที่อยู่ให้ของพวกเขาแก่เรา
(จริง ๆ แล้ว ไม่ได้ให้ที่อยู่ใหม่ไว้)
should ยังใช้ในประโยคปฏิเสธหรือคำถาม เช่น
You shouldn’t smoke so much. คุณไม่ควรสูบบุหรี่จัดมาก
Should I ask Jane now? ฉันควรถามเจนแล้วยัง
(2) Had better + verb ใช้แสดงความรู้สึกเชิงบังคับว่าควรจะทำ
ตัวอย่าง
You had better take care of yourself. คุณควรจะดูแลตัวเอง
ใช้ had better not + verb เพื่อชี้แนะว่าไม่ควรจะทำสิ่งนั้น
ตัวอย่าง
He’d better not be late again. เขาไม่ควรจะมาสายอีก
(3) Must และhave to ใช้แสดงการบังคับ ข่มขู่ว่าจะต้องทำ หรือต้องไม่ทำ (must not)
must
+ verb
have / has to
ตัวอย่าง
They must be there on time. พวกเขาจะต้องถึงที่นั่นตรงเวลา (ไม่มีข้อแม้)
You have to study tonight. คืนนี้คุณจะต้องเรียน (ไม่มีข้อแม้)
You must not disturb him. คุณจะต้องไม่รบกวนเขา (ห้ามรบกวนเด็ดขาด)
4.4 กริยาช่วยที่แสดงความเป็นไปได้ (possibility) และความน่าจะเป็น (probability)
(1) may และ might ใช้ may / might + verb
ตัวอย่าง
She may change her mind เธออาจจะเปลี่ยนใจของเธอ
She might have to move to New York. เธออาจจะย้ายไปอยู่นิวยอร์ค
หากจะใช้แบบปฏิเสธก็เติม not ท้าย may หรือ might
(2) should และ ought to ใช้แสดงความน่าจะเป็นที่ใกล้จะบรรลุตามความหมาย โดยมีหลัก
should / ought to + verb
ตัวอย่าง
You should receive that package by next Tuesday
ought to
คุณน่าจะได้รับหีบห่อภายในอังคารหน้า
ในรูปอดีต (past time) ใช้ should have/ought to have + Verb 3 (หรือ past participle) เพื่อชี้แสดงความคาดหวังที่ไม่บรรลุผล เช่น
He should/ought to have arrived yesterday เขาน่าที่จะได้มาถึงเมื่อวานนี้ (แต่ไม่ถึง)
(3) Must ใช้แสดงความน่าจะเป็นที่มีความเป็นไปได้สูงมาก ซึ่งใกล้จะบรรลุผลตามความคาดหวังแล้ว
ตัวอย่าง
He’s not here. He must be out to lunch. เขาไม่อยู่ที่นี่ เขาคงจะต้องไปทานข้าวแน่ ๆ
หากเป็น past tense ใช้ must have+ Verb 3 หมายถึงจะต้องทำไปแล้วแน่ ๆ
ตัวอย่าง
His car is gone. He must have decide to go home early.
รถของเขาไปแล้ว เขาจะต้องได้ตัดสินใจกลับบ้านแต่เช้าแน่ ๆ
4.5 กริยาช่วยวลีที่ใช้แสดงความชอบหรือความต้องการ
(1) would rather + verb
ตัวอย่าง
I would rather have steak than chicken ฉันอย่างทานสเต็กมากกว่าไก่
หากเป็น past time ใช้ would rather have + Verb 3
ตัวอย่าง
We’d rather have gone to the baseball game เราอยากไปดูกีฬาเบสบอล
ใช้ would rather not + verb เพื่อชี้แสดงความชอบหรือความปรารถนาที่ไม่ทำบางสิ่งบางอย่าง
ตัวอย่าง
We would rather not talk about that any more. เราไม่อยากจะคุยถึงเรื่องนั้นอีกแล้ว.
4.6 กริยาช่วยที่ใช้แสดงความต้องการและความประสงค์ (wants and sires)
(1) would + verb. I would ใน present/future time
I’m hungry. I would like a sandwich.
ผมหิว ผมอยากจะทานแซนด์วิช
(2) would have + Verb3 เมื่อเป็น past time
I’d have been glad to show you around the city.
ผมยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะพาคุณชมรอบเมือง
4.7 กริยาช่วยที่นำมาใช้แบบ causative form
Have, Has, Had ใช้แสดงถึงสิ่งที่เราเองไม่ได้เป็นผู้กระทำ แต่จ้างวานให้คนอื่นทำให้มีหลักเกณฑ์คือ
– have /get + something + verb3
I have my hair cut
ผมให้คนตัดผมของผม
– have / has + someone + Verb หรือ
get / got + someone + Verb
I will have Mary water my flowers.
I will get Mary to water my flowers.
ผมจะว่าจ้างแมรี่ให้มารดน้ำต้นไม้ของผม
Share this:
Like this:
ถูกใจ
กำลังโหลด…
Related
[NEW] Grammar: หลักการใช้ Modal Verbs (กริยาช่วย) แบบครบเครื่องทุกเรื่องที่ต้องรู้ | verb ตัวอย่าง – NATAVIGUIDES
เราทราบกันอยู่แล้วว่า คำกริยาในภาษาอังกฤษมีทั้งกริยาหลัก (Main Verbs) กริยาช่วย (Auxiliary Verbs) เรื่องกริยาหลักไม่ค่อยซับซ้อน แต่เจ้ากริยาช่วยนี่สิ ที่แตกกิ่งออกมามี Modal Verbs ด้วยชวนให้สับสน คราวนี้เราจะมาตีแผ่เรื่อง Modal Verbs กันอย่างครบเครื่องทุกเรื่องที่ต้องรู้เลยค่ะ
Modal Verbs คืออะไร?
Modal Verbs คือ กริยาช่วย ที่มีความพิเศษตรงนี้มีความหมายในตัวมันเอง (ปกติกริยาช่วยมีหน้าที่ทำให้ประโยคสมบูรณ์แต่ไม่มีความหมาย)
Modal Verbs ที่ต้องรู้
1. Can/Could = สามารถ
2. Will/Would = จะ
3. Shall/Should = ควรจะ
4. May/Might = อาจจะ
5. Must = ต้อง
6. Ought to = ควรจะ
Modal Verbs ต่างจาก verb ปกติอย่างไร?
1. Modal Verbs ไม่ต้องเติม s ไม่ว่าประธานจะเป็นตัวไหน
Ex 1. I will visit Japan next year.
Ex 2. She can speak Italian.
2. สามารถทำเป็นประโยคปฏิเสธหรือประโยคคำถามได้เลยโดยไม่ต้องใช้กริยาช่วยตัวอื่น เช่น do, does
Ex 1. Students can’t enter this room.
Ex 2. Can you pass me the sugar?
3. หลัง Modal Verbs ต้องตามด้วย infinitive verbs (verb รูปธรรมดาที่ไม่เติม -ing, -ed, to, s หรือ es)
Ex 1. I should arrive by lunch time.
Ex 2. You must study hard.
คราวนี้มาดูหลักการใช้ Modal Verbs แต่ละตัวกันเลย
Can/Could
รูปปฏิเสธของ Can คือ Can not (Can’t)
รูปปฏิเสธของ Could คือ Could not (Couldn’t)
– ใช้บอกความสามารถ โดย Can บอกความสามารถในปัจจุบัน Could บอกความสามารถในอดีต
Ex 1. He can fix computers. (เขาสามารถซ่อมคอมพิวเตอร์ได้)
Ex 2. When I was younger, I could run marathons without a problem. (ตอนฉันเด็ก ๆ ฉันสามารถวิ่งมาราธอนได้โดยไม่มีปัญหา)
– ใช้ถามเพื่อขออนุญาต, ให้การอนุญาตหรือไม่อนุญาต, ร้องขอบางสิ่งบางอย่าง, เสนอการช่วยเหลือ โดย Could มีความสุภาพมากกว่า Can
Ex 1. Can I use this restroom please? (ฉันสามารถใช้ห้องน้ำนี้ได้ไหม?)
Ex 2. Could you fill in these blanks please? (รบกวนช่วยกรอกข้อมูลตรงช่องว่างนี้ได้ไหมคะ?)
Ex 3. Can you help me please? (คุณสามารถช่วยฉันได้ไหม?)
Ex 4. Can I carry your bags for you? (ฉันช่วยถือกระเป๋าให้ไหม?)
Ex 5. You can’t smoke in this room. (คุณสูบบุหรี่ในห้องนี้ไม่ได้)
– ใช้บอกสิ่งที่เป็นไปได้หรือเกิดขึ้น โดย Could บอกสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต มีโครงสร้าง Could + have + past participle (V.3)
Ex 1. It can get very hot there at night. (ตอนกลางคืนมันจะร้อนมาก ๆ)
Ex 2. I could have done it by myself. (ฉันสามารถทำมันได้ด้วยตัวฉันเอง)
Will/Would
รูปปฏิเสธของ Will คือ Will not (Won’t)
รูปปฏิเสธของ Would คือ Would not (Wouldn’t)
– Will ใช้บอกสิ่งที่คาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต, บอกความตั้งใจ
Ex 1. I will visit Japan next year. (ฉันจะไปญี่ปุ่นปีหน้า)
Ex 2. We will give you this book. (พวกเราจะให้หนังสือเล่มนี้แก่คุณ)
– Would ใช้พูดถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอดีต, ใช้ขอร้องอย่างสุภาพ, บอกความต้องการ และใช้ในประโยคเงื่อนไข
Ex 1. I knew that Nid would be successful. (ฉันรู้ว่านิดจะประสบความสำเร็จ)
Ex 2. Would you mind if I asked you to work today? (คุณรังเกียจไหมถ้าฉันจะถามคุณเรื่องงานวันนี้)
Ex 3. Would you like some milk? (คุณต้องการนมไหม?)
Ex 4. If she came, I would go. (ถ้าเธอมาฉันจะไป)
Shall/Should
รูปปฏิเสธของ Shall คือ Shall not (Shan’t)
รูปปฏิเสธของ Should คือ Should not (Shouldn’t)
– Shall ใช้ในการเสนอแนะ ชี้แนะ เสนอความช่วยเหลือ
Ex. Shall I carry your bags for you? (ฉันถือกระเป๋าให้คุณไหม?)
หมายเหตุ: ในปัจจุบันไม่ค่อยใช้ Shall กันแล้ว แต่บางครั้งอาจเจอได้ในการพูดอย่างเป็นทางการ และบางเอกสารทางกฎหมาย สำหรับภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันจะเจอ Shall มากที่สุดในประโยคคำถามยื่นข้อเสนอ หรือเสนอแนะ ชักชวน ว่า Shall I…? / Shall we…?
– Should แปลว่า ควรจะ… ใช้ในการแนะนำ
Ex 1. Should we take a taxi? (พวกเราควรจะขึ้นแท็กซี่นะ?)
Ex 2. I think you should stop smoking. (ฉันคิดว่าคุณควรเลิกสูบบุหรี่นะ)
May/Might
May และ Might แปลว่า อาจจะ สามารถใช้แทนกันได้ แต่ Might จะสื่อว่ามีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยกว่า
รูปปฏิเสธของ May คือ May not
รูปปฏิเสธของ Might คือ Might not (Mightn’t)
– ใช้บอกความเป็นไปได้ หรือสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น
Ex. She may be in danger. (เธออาจจะตกอยู่ในอันตราย)
– ใช้ในการให้อนุญาต, ขออนุญาต
Ex 1. May I borrow your phone? (ฉันขอยืมโทรศัพท์คุณได้ไหม?)
Ex 2. You may call me anytime. (คุณโทรหาฉันได้ทุกเวลานะ)
Must
– แปลว่า ต้อง ใช้พูดถึงสิ่งที่ต้องทำ สิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้
Ex 1. I must finish my work. (ฉันต้องทำงานให้เสร็จ)
Ex 2. Plants must have light and water to grow. (พืชต้องมีแสงและน้ำเพื่อการเจริญเติบโต)
Ex 3. The show must go on. (ชีวิตต้องดำเนินต่อไป)
– เมื่อเป็นรูปปฏิเสธ Must not (Mustn’t) จะหมายถึง ข้อห้าม, ไม่อนุญาตให้ทำ
Ex. You mustn’t drink that. (คุณห้ามดื่มสิ่งนั้นนะ)
Ought to
Ought to แปลว่า ควรจะ เป็นคำที่คนสมัยก่อนใช้กัน ปัจจุบันนี้ไม่ค่อยใช้กันแล้ว จะใช้ Should มากกว่า
Ex. We ought to help the poor. = We should help the poor. (เราควรจะช่วยเหลือคนจน)
อาจจะดูเยอะ แต่ค่อย ๆ ทำความเข้าใจ นำไปใช้ฝึกฝนบ่อย ๆ รับรองจะสนุกกับการใช้ Modal Verbs แน่นอน
What were you doing? – Past Continuous
Learn how to use Past Continuous/Progressive through a short story in this video. We use this tense 1. for a continuous action in the past which was interrupted by another action \”I was reading the label, when the jar slipped out of my hands\”; 2. to describe the atmosphere \”The sun was shining\”; 3. for two actions which happened in the same time in the past \”I was sitting in the living room and she was taking a shower\”
นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูเพิ่มเติม
How to Pronounce the ‘s’ in Plurals and Verb Endings – Improve Your Pronunciation
Improve Your Pronunciation – The ‘S’ in Plurals and Verb Endings
This ‘S’ is pronounced in three ways: /s/, /z/, and /uz/
/s/
The ‘s’ in a plural or verb ending is pronounced /s/ if the last sound in the word is /p/, /f/, /k/, /t/, /th/
Examples:
pipe – pipes /s/
reef – reefs /s/
cake – cakes /s/
fruit – fruits /s/
birth – births /s/
/z/
The ‘s’ in the plural or verb ending is pronounced /z/ if the last sound in a word is /b/, /d/, /v/, /g/, /dh/, /l/, /m/, /n/, /ng/, /r/ or a vowel
Examples:
robe robes /z/
card cards /z/
love loves /z/
bag bags /z/
marble marbles /z/
gun guns /z/
star stars /z/
try tries /z/
/uz/
The ‘s’ in a plural or verb ending is pronounced /uz/ if the last sound in the word is /s/, /z/, /ch/, /j/, /sh/ /zh/
Examples:
boss bosses /uz/
gaze gazes /uz/
speech speeches /uz/
lodge lodges /uz/
splash splashes /uz/
Sample sentences for practice:
1. Little boys and girls love to fly kites.
2. The dog jumps and barks and runs to her owner when she sees him.
3. Like many other wives, Simone kisses her husband goodbye every morning and wishes he gets home sooner than usual.
Learn English http://www.gansacademy.com
10 Phrasal Verb ที่เจอบ่อย ใช้บ่อย | Eng ลั่น [by We Mahidol]
พี่คะน้ารวบรวม 10 Phrasal Verb ที่เจอได้บ่อย ๆ พร้อมตัวอย่างการใช้มาฝาก
\”Phrasal Verb\” หรือ \”กริยาวลี\” คือ คำกริยา + preposition เมื่อรวมกันแล้วจะได้ความหมายใหม่ และเป็นคำที่ไม่สามารถแปลตรงตัวได้ ดังนั้น ก่อนนำไปใช้เราควรรู้และทำความเข้าใจก่อนว่าแต่ละคำใช้กับสถานการณ์แบบไหนได้บ้าง? ถ้าอยากรู้ ตามพี่คะน้าไปดูกันเลย
Learn WithMe Engลั่น PhrasalVerb กริยาวลี WeMahidol Mahidol
YouTube : We Mahidol
Facebook : http://www.facebook.com/wemahidol
Instagram : https://www.instagram.com/wemahidol/
Twitter : https://twitter.com/wemahidol
มหาวิทยาลัย มหิดล Mahidol University : https://www.mahidol.ac.th/th/
Website : https://channel.mahidol.ac.th/
100 คำกริยาภาษาอังกฤษverb ที่ใช้บ่อย
100 คำกริยาภาษาอังกฤษverb ที่ใช้บ่อย
กริยาอังกฤษ ภาษาอังกฤษ verb
ภาษาอังกฤษใช้บ่อย,
กริยาอังกฤษ,
คำกริยาภาษาอังกฤษใช้บ่อย,
คำกริยาอังกฤษ,
คำกริยาภาษาอังกฤษ,
กริยาอังกฤษใช้บ่อย,
Simple Subject and Simple Predicate Verb Grammar Lesson Trailer
Another grammar lesson from GrammarFlip.com! Gain access to hundreds of practice exercises, writing activities, games, and more. Get started for free! http://www.GrammarFlip.com/freetrial
นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูบทความเพิ่มเติมในหมวดหมู่MAKE MONEY ONLINE
ขอบคุณมากสำหรับการดูหัวข้อโพสต์ verb ตัวอย่าง