singular verb คือ: คุณกำลังดูกระทู้
หากจะพิจารณาโครงสร้างของประโยคตามหน้าที่ (function) ของคำประเภทต่าง ๆ ว่าทำหน้าที่อะไรในประโยคแล้ว โครงสร้างของประโยคจะประกอบด้วยส่วนที่สำคัญที่สุด 3 ส่วนคือ ประธาน (Subject), กริยา (Verb) และส่วนเติมให้สมบูรณ์ (Complement)
ส่วนขยาย (modifiers) เช่น (adjectives, adverbs) และคำเชื่อม (connectives) เช่น prepositions, conjunctions, และอื่นๆ มีหน้าที่ช่วยเพิ่มเติมสนับสนุนที่สำคัญที่สุด โดยที่ modifiers มีหน้าที่ช่วยให้มีความหมายมากขึ้น หรือชัดเจนยิ่งขึ้น และ connectives มีหน้าที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างส่วนต่าง ๆ ของประโยค เพื่อให้ประโยคเหล่านั้นมีความต่อเนื่องราบรื่น ไม่สะดุด
1. Subject
คือคำ หรือกลุ่มคำที่อาจเป็นบุคคล สิ่งของ สถานที่ หรือสภาวะทางนามธรรม ซึ่งเป็นผู้แสดงออกในประโยค ส่วนใหญ่ subjects ที่เป็นประเภทคำโดด (single words) มักจะเป็นคำประเภท nouns และ pronouns เสมอ เช่น
The Principal called the meeting at 2 o’clock.
He wanted every staff member to attend the meeting.
Verbals (คำคล้าย verbs) เช่น gerund และ infinitive ก็อาจเป็น subject ได้
Jogging is good exercise. (gerund)
To run is more tiring than to walk. (infinitive)
The demonstrative, interrogative และ indefinite pronouns เป็น subjects ได้
That is going to be a difficult task. (demonstrative)
What are your plans for doing it? (interrogative)
Everyone is ready to work with you. (indefinite)
Phrase ที่ทำหน้าที่เหมือน noun เป็น subject ของ sentence ได้
Winning the prize is the thing he is so proud of.
To make this report as comprehensive as possible is our main objective.
Dependent clause ทั้ง clause ก็ทำหน้าที่เป็น subject ได้
Whoever works in the headquarter will be able to supply the information you need.
Whether the report has been approved or not will determine our action.
2. Verb
คือคำที่ใช้แสดงการกระทำของ subject (active verb) หรือการถูกกระทำ (passive verb) และอาจเป็นคำที่แสดงให้รู้จัก subject ซึ่งเรียกกันว่า linking verb ซึ่งไม่ใช่ลักษณะของการกระทำหรือการถูกกระทำแต่อย่างใดก็ได้ เช่น He appears happy. She looks cheerful. ในประโยคหนึ่ง ๆ จะมี verb เสมอเมื่อพูดถึง verb จะต้องนึกถึงตัวกำหนดรูปแบบของ verb 5 กรณีดังต่อไปนี้คือ
– พจน์ (number) – กาล (tense) – การก (voice)
– บุคคล (person)) – มาลา (mood)
ตัวกำหนดทั้ง 5 กรณีนี้จะส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบของ verb ซึ่งอาจเปลี่ยนที่รูปแบบของ verb หรือใช้ auxiliary verbs เหล่านี้ช่วย เช่น be, have, can, may, might, shall, will, should, would, could, must, do
Verbs เปลี่ยนแปลงไปตามตัวกำหนดดังนี้
2.1 Number กำหนดให้ verb นั้นเป็น singular หรือ plural verb ก็จะต้องเปลี่ยนไปตามนั้น
2.2 Person กำหนดให้ verb เปลี่ยนไปตาม person 3 อย่างคือ บุรุษที่ 1 first person (I), บุรุษที่ 2 second person (you) หรือ บุรุษที่ 3 third person (he, it, they)
2.3 Tense กำหนดให้ verb เปลี่ยนแปลงรูปแบบไปตามเวลาที่เกิดเหตุการณ์แล้วแต่จะเป็น past, present หรือ future
2.4 Mood กำหนดให้ verb เปลี่ยนแปลงไปตามลักษณะของประโยค หรือข้อความที่พูดแล้วแต่ว่าจะเป็นบอกเล่า หรือถาม (indicative mood) ออกคำสั่ง หรือขอร้อง (imperative mood) หรือลักษณะประโยคเป็นแบบเงื่อนไข หรือการสมมุติ (subjunctive mood)
2.5 Voice กำหนดให้ verb เปลี่ยนไปตามลักษณะที่ว่า subject เป็นผู้กระทำต่อ verb (active voice) หรือเป็นผู้ถูกกระทำ (passive voice)
The technician completed the video recording yesterday. (active voice)
Fund-raising activities were organized to help the orphans. (passive voice)
Verbs เมื่อพิจารณาตามการกระทำว่า Verb นั้นแสดงการกระทำอะไรหรือไม่ หรือเพียงแต่มาเชื่อมกับประธานเฉย ๆ จะแบ่งได้เป็น 3 ชนิด คือ Transitive verb คือ verb ที่ต้องมีกรรมมารับ เช่น eat, Intransitive verb คือ verb ที่ไม่ต้องมีกรรมมารับ เช่น sleep และ Linking verb ซึ่งมาเชื่อมกับ subject เช่น seem, appear, feel
3. Complement
Complement คือ คำหรือกลุ่มคำที่ตามหลังกริยา และทำให้ประโยคมีความหมายสมบูรณ์ complement อาจเป็น
3.1 กรรมตรง (Direct object)
He bought a beautiful present for his wife.
We are trying to find a solution to this problem.
3.2 กรรมรอง (Indirect object)
He gave a beautiful present to his wife.
3.3 Predicate nominative ได้แก่ predicate noun, predicate complement และ subjective complement ซึ่งก็คือ predicate nominative นั่นเอง Predicate nominative จะตามหลัง linking verbs และทำหน้าที่เป็น subject ในชื่อใหม่
คำที่ทำหน้าที่ predicate nominative เป็นได้ทั้ง noun, pronoun, verbal phrase, หรือ clause
หมายเหตุ: คำว่า predicate แปลง่าย ๆ ก็คือ ภาคแสดงนั่นเอง เช่น He is running แยกเป็น
He = subject และ predicate ก็คือ is running
Noun: He is chairman of the Board of Directors.
Pronoun: They thought the winner was he.
Gerund: My favorite exercise is doing aerobics.
Infinitive phrase: The purpose of this seminar is to find new ways and means to deal with our company’s productivity problem.
Noun Clause: The group leader should be whoever is best qualified.
3.4 Predicate adjective คือ adjective ที่เป็นภาค predicate ของประโยคและขยาย noun หรือ pronoun ที่เป็น subject Predicate adjective จะต้องอยู่หลัง linking verb เสมอ
The flower smell sweet.
He seemed depressed after his wife’s death.
He appears enthusiastic about the subject.
4. Modifiers (adjectives, adverbs)
อาจเป็น single words, phrases หรือ clauses ก็ได้
Modifiers มีหน้าที่อธิบาย หรือช่วยให้ความหมายของคำต่าง ๆ ในประโยคชัดเจนขึ้น และ Modifiers อาจทำให้ความหมายของประโยคกำกวมถ้าวางไม่ถูกตำแหน่ง
4.1 Adjectives คือคำที่ใช้ขยายหรือจำกัดความหมายของ noun หรือ pronoun ให้ชัดเจนขึ้น
The new employee has been assigned the difficult task of analyzing the statistical reports on income tax.
Somchai was very disappointed; he failed completely in that fierce competition.
4.2 Adverbs คือคำที่ใช้ขยาย verbs, verbals, adjectives หรือ adverbs อื่น ๆ หรืออีกนัยหนึ่ง adverbs คือคำที่ตอบคำถามคำที่ขึ้นต้นด้วย where, how, how much, when, why เช่น
We will organize the party here.
She walks very fast.
Spending money unwisely, he ran out of his allowance.
Submit your report as soon as it is completed.
She went downtown to buy a new piece of jewellery.
5. Connectives
Connectives มีหน้าที่เชื่อมส่วนของประโยค เพื่อแสดงความสัมพันธ์ระหว่างส่วนที่เชื่อมนั้น conjunctions และ prepositions ถือเป็น connectives ที่สำคัญที่สุดลักษณะสำคัญของ connectives มีดังนี้
5.1 เชื่อมส่วนของประโยค หรือ clause ที่มีฐานะเท่ากัน ได้แก่ coordinate conjunctions, correlative conjunctions, และ conjunctive adverbs. connectives เหล่านี้ปรากฎอยู่ใน compound sentence . Coordinate conjunctions Connectives ประเภทนี้ใช้มากที่สุด จะใช้เชื่อมส่วนของประโยคที่มีฐานะหรือความสำคัญเท่ากันทางไวยากรณ์ คือ words กับ words, phrases กับ phrases, independent clauses กับ independent clauses คำเหล่านี้ที่ใช้มาก ได้แก่ and, but, or, nor, for, yet เช่น I go to school, but my sister stays at home. Correlative conjunctions Connectives ประเภทนี้จะเป็นคำคู่ ใช้เชื่อมส่วนของประโยคที่มีฐานะเท่ากันเหมือน coordinate conjunctions แต่คำที่ใช้เป็นคู่นั้นจะต้องตามด้วยคำชนิดเดียวกัน ตัวอย่าง connectives ประเภทนี้ได้แก่ either…or, neither…nor, not only…but also, both…and เช่น Either he leaves or I will.
Conjunctive adverbs ประเภทนี้ใช้เชื่อม independent clauses ด้วยกันเพื่อแสดงความสัมพันธ์อย่างไรก็ดีถึงแม้ clauses ที่ถูกเชื่อมจะเป็น independent clauses แต่ก็เป็น independent ในเชิงไวยากรณ์เท่านั้น ในแง่ความหมายที่สมบูรณ์จริง ๆ แล้วยังไม่สมบูรณ์ หากยังต้องอาศัย clause ที่มาก่อนจึงจะสมบูรณ์อย่างแท้จริง Conjunctive adverbs ที่ใช้มากคือ therefore, however, consequently, accordingly, subsequently, furthermore, moreover, nevertheless เช่น This task is very difficult; therefore, we need all of us to co-operate.
5.2 เชื่อมส่วนของประโยคที่มีฐานะไม่เท่ากัน ได้แก่ subordinate conjunctions, relative pronouns, และ relative adverbs. connectives เหล่านี้จะปรากฏอยู่ใน complex sentence Subordinate conjunctions Connectives ประเภทนี้ใช้นำ dependent adverb clauses และเชื่อม independent clauses คำเหล่านี้ที่ใช้มาก ได้แก่ before, since, after, as, because, if, unless, until, although เช่น Although Sompong works very hard, his boss seems to be displeased with his performance.
5.3 Prepositions คือคำที่ใช้แสดงความสัมพันธ์ระหว่าง verbs กับ noun ซึ่งเป็น object ของ preposition นั้น และช่วยทำให้ความหมายของ verbs ที่ถูกเชื่อมเปลี่ยนไปจากเดิมได้ เช่น to, of, by, from, between, in, over, under, for เช่น The cat is under the table.
6. Verbals
Verbals เป็นคำที่สร้างจาก verbs แต่ไม่มีฐานะเป็น verbs, verbals มี 3 ชนิดคือ infinitive, participle และ gerund
6.1 Infinitives (to go, to run, to see, etc.) Infinitives ทำหน้าที่เหมือน noun, adjective หรือ adverb ได้
I like to dance. (noun)
A book to read is what the child wants. (adjective)
They went to play basketball. (adverb)
6.2 Participle มี 3 ชนิดคือ present participle (reading, printing, feeling, etc.), past participle (written, typed, built, etc.) และ perfect participle (having written, having typed, having built, etc.)
Participle ทำหน้าที่อย่างเดียวคือเป็น adjective เท่านั้น คือขยายคำนามที่เป็นประธานของประโยค
Going to the basement, John slipped. (adjective)
Typed and signed, the letter was mailed today. (adjective)
Having seen the accident, she called the police. (adjective)
6.3 Gerund (swimming, running breaking, etc.) โดยทั่วไปทำหน้าที่เป็น noun
David enjoys playing games on the internet. (noun) ทำหน้าที่กรรมตามหลังคำกริยา enjoy
Share this:
Like this:
ถูกใจ
กำลังโหลด…
[Update] Grammar: Subject – Verb Agreement หลักการใช้คำกริยาให้สอดคล้องกับประธานในภาษาอังกฤษ | singular verb คือ – NATAVIGUIDES
ประโยคมีองค์ประกอบหลักคือ ประธาน (Subjects) กริยา (Verbs) กรรม (Objects) โดยแต่ละภาษามีกฎไวยากรณ์แตกต่างกันไป ภาษาอังกฤษก็เช่นกัน ที่จะมีกฎในการใช้ประธานและกริยาร่วมกันในประโยค ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องรู้
กฎการใช้ประธาน (Subjects) และ กริยา (Verbs) ร่วมกันในประโยค
กฎข้อที่ 1 : ประธานเอกพจน์ อยู่ใน Present Simple Tense กริยาต้องเป็นเอกพจน์ คือเติม s/es เช่น
She speaks English very well.
(เธอพูดภาษาอังกฤษเก่งมาก)
The dog barks at the cat.
(สุนัขเห่าแมว)
ถ้าประธานพหูพจน์หรือหลายคน หลายสิ่ง กริยาต้องเป็นพหูพจน์ด้วย คือ กริยารูปปกติไม่ต้องเติม s/es เช่น
The dogs bark at the cat.
(พวกสุนัขเห่าแมว)
These children live in Tokyo.
(เด็ก ๆ เหล่านี้อาศัยอยู่ในโตเกียว)
กฎข้อที่ 2 : ประธาน 2 ตัว เชื่อมด้วย and ให้ถือเป็นพหูพจน์ กริยาก็นับเป็นพหูพจน์ด้วย เช่น
Tom and I work until 7:00 p.m. each day.
(ทอมและฉันทำงานจนกระทั่งถึงหนึ่งทุ่มในแต่ละวัน)
Nid and her Japanese husband are moving back to Japan.
(นิดและสามีชาวญี่ปุ่นของเธอกำลังย้ายกลับญี่ปุ่น)
Sugar and Fish sauce are needed for the Thai recipe.
(น้ำตาลและน้ำปลาจำเป็นสำหรับสูตรอาหารไทย)
กฎข้อที่ 3 : ประธาน 2 ตัวเชื่อมด้วย and แต่คิดเป็นสิ่งเดียวกันหรือเป็นหน่วยเดียวกัน ให้นับเป็นเอกพจน์ กริยาก็เป็นเอกพจน์ เช่น
Rice and omelet is my favorite breakfast.
(ข้าวและไข่เจียวเป็นอาหารเช้าสุดโปรดของฉัน : ในที่นี้หมายถึงข้าวที่มีไข่เจียววางอยู่ในจานเดียวกันคือของชิ้นเดียวกันจึงนับเป็นเอกพจน์)
กฎข้อที่ 4 : ประธานที่มีคำนามมากกว่า 1 เชื่อมด้วย and ถ้าเป็นคนหรือสิ่งเดียวกัน จะใช้ article ที่ประธานตัวหน้าที่เดียวเท่านั้น เช่น
The manager and owner of this restaurant is my brother.
(ผู้จัดการและเจ้าของร้านนี้เป็นพี่ชายของฉัน : The manager and owner = ผู้จัดการกับเจ้าของเป็นคนเดียวกัน)
The black and white dog under the table is my girlfriend’s dog.
(สุนัขดำขาวที่อยู่ใต้โต๊ะเป็นสุนัขของแฟนฉันเอง : The black and white dog = สุนัขตัวเดียวมีสองสีคือดำ-ขาว)
ข้อควรระวัง!! ถ้าเป็นคนละคนหรือคนละสิ่งต้องใส่ article ที่หน้าคำนามทั้งสองคำ เช่น
The manager and the owner of this restaurant are my brothers. (ผู้จัดการและเจ้าของเป็นคนละคนกัน)
The black and the white dog under the table are my girlfriend’s dogs. (มีหมาสีดำและหมาสีขาว)
กฎข้อที่ 5 : ประธานที่มีคำขยายหรือวลีเหล่านี้ต่อท้าย กริยาจะเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ให้ยึดประธานหรือคำนามที่อยู่ข้างหน้าเป็นหลัก เช่น
accompanied by (พร้อมด้วย)
along with (พร้อมด้วย)
as well as (เช่นเดียวกับ, และ)
besides (นอกจาก)
but (ยกเว้น)
except (ยกเว้น)
excluding (ไม่นับ)
in addition to (นอกจาก)
in company with (พร้อมด้วย)
including (รวมทั้ง)
together with (พร้อมด้วย)
Ploy as well as her parents is going to Europe.
(พลอยและพ่อแม่ของเธอกำลังจะไปยุโรป)
My brothers, in addition to my sister, are famous basketball players.
(นอกจากน้องสาวของฉันบรรดาพี่ชายของฉันก็เป็นนักบาสเกตบอลชื่อดังเหมือนกัน)
กฎข้อที่ 6 : ประโยคหรือวลีที่ขยายประธาน ไม่มีผลต่อการใช้กริยาของประธาน เช่น
Zico, with all his players, was on the field.
(ซิโก้กับนักเตะของเขาอยู่ในสนาม)
Mr. Clark, like our other neighbors, is very helpful.
(มิสเตอร์คาร์กเหมือนเพื่อนบ้านคนอื่น ๆ ของพวกเราคือให้การช่วยเหลือเกื้อกูลมาก ๆ)
กฎข้อที่ 7 : คำต่อไปนี้เมื่อเป็นประธานให้ถือเป็นเอกพจน์ กริยาก็เป็นเอกพจน์เสมอ เช่น
anybody
everybody
someone
anyone
everyone
somebody
anything
everything
something
anywhere
everywhere
somewhere
each + singular N.
either + singular N.
neither + singular N.
each of + Plural N.
either of + Plural N.
neither of + plural N.
Everyone is in the room.
(ทุกคนอยู่ในห้อง)
Someone in the office likes you.
(บางคนในที่ทำงานแอบชอบคุณ)
กฎข้อที่ 8 : ประธานที่เชื่อมด้วย or, either….or, neither… nor, not only……but also กริยาให้ถือตามประธานตัวหลัง เช่น
Neither Nantanach nor Naphat likes fish.
(ไม่ว่าจะนันทนัชหรือณภัทรก็ไม่ชอบปลา)
Neither Pim nor her friends are leaving.
(ไม่ว่าจะพิมหรือเพื่อน ๆ ของเธอไม่ได้กำลังจะออกไป)
Not only Mark but also his friends are coming to the party tonight.
(ไม่ใช่แต่มาร์กเท่านั้น แต่เพื่อน ๆ ของเขากำลังจะมาปาร์ตี้คืนนี้ด้วยเช่นกัน)
** หมายเหตุ ในกรณีประธาน 2 ตัว มักเอาประธานที่เป็นพหูพจน์ไว้ข้างหลังมากกว่า
กฎข้อที่ 9 : คำต่อไปนี้ถ้าใช้แทนคำนามนับได้ ให้ถือเป็นพหูพจน์เสมอ เช่น
all
both
(a) few
many
several
some
All were ready to leave the party by midnight.
(ทุกคนพร้อมออกจากงานปาร์ตี้ตอนเที่ยงคืน)
Many were invited to the lunch but only twelve showed up.
(มีหลายคนถูกเชิญมาทานอาหารกลางวันแต่มีมาแค่ 12 คนเท่านั้น)
กฎข้อที่ 10 : จำไว้ว่า ‘There’ และ ‘Here’ ที่ขึ้นต้นประโยคไม่ใช่ประธาน แต่เราจะเจอประธานหลังคำเหล่านี้ในประโยคเสมอ เช่น
There are books in my bag.
(มีหนังสืออยู่ในกระเป๋าของฉัน : are สอดคล้องกับ books ซึ่งเป็นประธานของประโยค)
Here is the report you wanted.
(นี่คือรายงานที่คุณต้องการ : is สอดคล้องกับ report ซึ่งเป็นประธานของประโยค)
กฎข้อที่ 11 : คำนามบางคำที่อยู่ในรูปพหูพจน์ให้ถือเป็นเอกพจน์ กริยาต้องเป็นเอกพจน์ เช่น
mumps, home economics, social studies economics, measles, calisthenics, statistics, civics, physics, gymnastics, phonics, news, acrobatics, aesthetics, thesis, mathematics
Mathematics is an easy subject for some people.
(คณิตศาสตร์เป็นเรื่องง่ายสำหรับบางคน)
Measles is a dangerous disease for pregnant women.
(โรคหัดเป็นโรคอันตรายสำหรับผู้หญิงท้อง)
กฎข้อที่ 12 : การใช้วลีบอกปริมาณ มีหลักดังนี้
12.1. วลีบอกปริมาณต่อไปนี้ถ้าตามด้วยนามเอกพจน์ กริยาต้องใช้เอกพจน์ ถ้าตามด้วยนามพหูพจน์กริยาต้องใช้พหูพจน์ เช่น
a lot of
plenty of
most of
some of
lots of
all of
none of
percent of
เช่น
Some of my jewelry is missing.
(เครื่องประดับบางชิ้นของฉันหายไป)
A lot of books were left on the table.
(หนังสือจำนวนมากเหลืออยู่บนโต๊ะ)
Most of my friends live in Milan.
(เพื่อนของฉันส่วนใหญ่อาศัยอยู่ที่มิลาน)
12.2. วลีบอกปริมาณต่อไปนี้ใช้กับคำนามนับได้ที่เป็นพหูพจน์ และกริยาก็ต้องเป็นพหูพจน์ เช่น
a number of
many
a large number of
a good many
a great number of
a great many
A number of students were studying very hard in the classroom even after school.
(นักเรียนจำนวนมากกำลังเรียนอย่างคร่ำเคร่งในห้องเรียนแม้จะเป็นหลังโรงเรียนเลิกแล้วก็ตาม)
There are still a large number of problems to be solved.
(ยังมีปัญหาอีกมากให้แก้ไข)
12.3. วลีบอกปริมาณต่อไปนี้ เมื่อใช้กับนามนับไม่ได้ กริยาต้องใช้รูปเอกพจน์ตลอดไป เช่น
much
a large number of
a great deal of
a large amount of
a good deal of
a large quantity of
A large amount of money was stolen from the bank.
(เงินจำนวนมากถูกขโมยไปจากธนาคาร)
กฎข้อที่ 13 : ประโยคที่มี who, which, that เป็น Relative Pronoun กริยาของ Relative Pronoun จะใช้รูปของเอกพจน์หรือพหูพจน์ให้ถือเอาตามคำที่มันแทนซึ่งอยู่ข้างหน้า who, which, that เช่น
There is a boy who is running in the park.
(มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งคนที่กำลังวิ่งอยู่ในสวน : who = a boy)
No houses that were made of wood survived the fire.
(ไม่มีบ้านสักหลังที่สร้างจากไม้แล้วจะรอดจากไฟไหม้ได้ : that = houses)
กฎข้อที่ 14 : ประธานที่ขึ้นต้นด้วยวลีที่นำหน้าด้วย to (Infinitive Phrase) หรือ gerund (V.ing) ถือว่าเป็นเอกพจน์ กริยาต้องเป็นรูปเอกพจน์ เช่น
To study English is fun.
Studying English is fun.
กฎข้อที่ 15 : ประธานที่เป็นจำนวนเงิน, มาตราต่าง ๆ และช่วงเวลา ถือเป็นเอกพจน์ กริยาจึงเป็นเอกพจน์ เช่น
Ten million bahts is too high for this car.
(สิบล้านบาทมันแพงเกินไปสำหรับรถคันนี้)
Twenty years is a long time to wait.
(ยี่สิบปีเป็นเวลาที่ยาวนานสำหรับการรอคอย)
Sixty-five miles is all we have left to drive.
(หกสิบห้าไมล์คือระยะทั้งหมดที่พวกเราเหลือในการขับรถ)
กฎข้อที่ 16 : ประธานที่เป็นเศษส่วนของคำนามพหูพจน์ กริยาจะเป็นพหูพจน์ และประธานที่เป็นเศษส่วนของคำนามเอกพจน์ กริยาจะเป็นเอกพจน์ เช่น
Two-thirds of the boys are playing football.
(สองส่วนสามของเหล่าเด็กผู้ชายกำลังเล่นฟุตบอล)
One-third of the cheese is moldy.
(หนึ่งส่วนสามของชี้สขึ้นรา)
กฎข้อที่ 17 : ชื่อหนังสือ, บทความ, หนัง และเพลง เป็นเอกพจน์เสมอ เช่น
Harold and the Purple Crayon was my favorite book as a child. (Harold and the Purple Crayon คือหนังสือเล่มโปรดของฉันตอนเด็ก ๆ)
Learn 250+ Common Verbs in English in 25 Minutes
Extensive List of English Verbs with Pictures for English learners.
List of 700+ verbs in English: https://7esl.com/englishverbs/
Action verbs: https://7esl.com/actionverbsvocabulary/
WATCH MORE:
★ Grammar: https://goo.gl/7n226T
★ Vocabulary: https://goo.gl/E5Ty4T
★ Expressions: https://goo.gl/JBpgCF
★ Phrasal Verbs: https://goo.gl/Ux3fip
★ Idioms: https://goo.gl/y7wNjN
★ Conversations: https://goo.gl/pmdpQT
★ English Writing: https://goo.gl/46gmY7
★ IELTS: https://goo.gl/Tg2U4v
★ TOEFL: https://goo.gl/8Zwvic
★ British vs. American English: https://goo.gl/VHa5W8
★ Pronunciation: https://goo.gl/P4eR39
★ Business English: https://goo.gl/r7jqtB
OUR SOCIAL MEDIA:
Pinterest: https://www.pinterest.com/7english/
Facebook: https://www.fb.com/7ESLLearningEnglish/
For more videos and lessons visit:
https://7esl.com/
นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูเพิ่มเติม
singular and plural form of verbs / basic English grammar in sinhala
this lesson will help you to identify plural form of verbs.
English Grammar Verbs Singular \u0026 Plural
English Grammar Verbs Singular \u0026 Plural
Singular verb and plural verb
Talking about Your Home in English
Improve your vocabulary and learn how to talk about your home in English.
https://www.kidspages.com/flashcards.htm
นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูวิธีอื่นๆMAKE MONEY ONLINE
ขอบคุณที่รับชมกระทู้ครับ singular verb คือ