กริยา 3 ช่อง watch: นี่คือโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
คำนาม
คือ ชื่อเรียกคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ และสิ่งที่เป็นนามธรรม
เวลาพูดถึงคำนาม ให้เรานึกถึง ตัวเองก่อนอันดับแรกว่า ตัวเราเป็นอะไร ตัวเราเป็นคน แล้วให้สมมติ(หรือไม่สมมติก็ได้) ว่าเรามีสัตว์เลี้ยงตัวโปรดอยู่ สัตว์เลี้ยงนั้นจะเป็นอะไรก็ได้ แล้วก็มีสิ่งของ มีสถานที่ที่เราชอบ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ให้นึกถึงทั้งหมดนี้ คือคำนามในภาพรวม ตัวเรา(ซึ่งเป็นคน) เลี้ยงสัตว์ มีสิ่งของ มีสถานที่ และมีความชอบในสิ่งของหรือสถานที่นั้น(นามธรรม) ก็จะสามารถช่วยให้เราเข้าใจคำนามได้ในมุมกว้างๆ
พอจะเจาะลึกเข้าไปอีก เป็นคำนามทั่วไป กับคำนามเฉพาะ ก็ให้เราเอาตัวเองเป็นหลักก่อนว่า ตอนแรกคิดว่าเราเป็นคน ซึ่งเป็นแค่คนทั่วๆไป แต่พอเรามาดูอีกที เรามีชื่อเฉพาะของเรา การมีชื่อขึ้นมาเจาะจงว่าเป็นตัวเราเนี่ยแหละ ก็เลยกลายให้คนธรรมดา กลายเป็นคนที่มีชื่อเรียกเฉพาะเจาะจง มีคนเดียวในโลกที่ชื่อแบบนี้ หน้าตาแบบนี้ แล้วเวลาเขียนชื่อเราทุกครั้ง ก็ต้องเขียนเป็นตัวอักษรใหญ่ ไม่ว่าจะชื่อเล่นหรือชื่อจริง พอคิดได้แบบนี้แล้ว เข้าใจแล้ว มันก็จะนำไปสู่การเข้าใจในเรื่องของความแตกต่างระหว่างคำนามทั่วไป กับ คำนามเฉพาะ
นอกจากนี้แล้ว เมื่อนึกถึงจำนวนของคำนามที่ยังไม่นับ ก็ให้นึกถึงอยู่สองพวกคือ มีเพียงหนึ่ง (เอกพจน์) และ มากกว่าหนึ่ง หรือสองขึ้นไป (พหูพจน์) ซึ่งก็จะมีกฏการทำคำนามเอกพจน์ให้เป็นพหูพจน์ตามด้านล่างนี้แล้ว แต่ถ้านึกถึงจำนวนของคำนามในเรื่องของจำนวนนับให้นึกถึง นับได้ (countable) กับ นับไม่ได้ (uncountable) ซึ่งมีรายละเอียดตามข้างล่างนี้ (ก่อนที่จะอ่านเนื้อหาข้างล่าง ขอให้เข้าใจภาพรวมของคำนามที่ได้เกริ่นไว้ข้างต้นนี้ก่อน)
ชนิดของคำนาม (
Types of Noun)
1.
คำนามทั่วไป (Common Nouns)
–
กล่าวถึงคำนามที่เป็นคน สัตว์ สิ่งของ และสิ่งที่เป็นนามธรรมโดยไม่เฉพาะเจาะจง
คำนามทั่วไป เป็นได้ทั้งคำนามนับได้และคำนามนับไม่ได้
คือ คำนามที่สามารถนับเป็นจำนวนนับได้ เป็นได้ทั้งคำนามเอกพจน์และคำนามพหูพจน์
กฎในการเปลี่ยนคำนามเอกพจน์ให้เป็นพหูพจน์ มีดังนี้
1.
เติม
–s
ได้เลย
2.
เติม
– es
หลังคำนามที่ลงท้ายด้วย
s, z, x, sh, and ch
3.
คำนามที่ลงท้ายด้วย
y
3.1
เปลี่ยน
y
เป็น
ies
ในกรณีที่หน้า
y
เป็นพยัญชนะ
3.2
เติม
–s
ได้เลย ในกรณีที่หน้า
y
เป็นสระ
4.
คำนามที่ลงท้ายด้วย
o
4.1
เติม
– es
หลังคำนาม ในกรณีที่หน้า
o
เป็นพยัญชนะ
4.2
เติม
– s
ได้เลย ในกรณีที่หน้า
o
เป็นสระ
5.
เปลี่ยน
f
หรือ
fe
เป็น
ves
หลังคำนามที่ลงท้ายด้วย
f or fe
*
คำนามที่ลงท้ายด้วย
f
หรือ
fe
บางคำที่สามารถเติม
– s
ได้เลย
6.
เปลี่ยนรูปเมื่อเป็นพหูพจน์
คือ คำนามที่ไม่สามารถนับได้ โดยปกติจะเป็นสสารหรือความคิด
พจน์ของคำนามเป็นเอกพจน์ได้เท่านั้น
2.
คำนามเฉพาะ (Proper Nouns)
–
ชื่อเฉพาะของคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ จะขึ้นต้นด้วยตัวอักษรตัวพิมพ์ใหญ่เสมอ
หน้าที่ของคำนาม (
Functions of Noun)
1.
ประธานของประโยค
2.
กรรมของประโยค
3. กรรมของคำบุพบท
คำสรรพนาม (Pronoun)
คำสรรพนาม
คือ คำที่ใช้แทนคำนาม ส่วนเรื่องคำสรรพนามที่ไม่มีอะไรมาก เห็นคำนี้เมื่อไหร่ ให้นึกทันที ว่าเค้าทำหน้าที่แทนคำนาม ก็จะมีหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทก็ทำงานตามหน้าที่ตามชื่อ ไม่ยาก แต่อาศัยท่องจำในตอนแรกบวกกับ ความเข้าใจในเรื่องของตำแหน่งประเภทของคำที่เราต้องทราบ ซึ่งจะได้อธิบายไว้ในการใช้ของแต่ละข้อ
ชนิดของคำสรรพนาม
(
Types of Pronoun)
1.
บุรุษสรรพนาม (
Personal Pronoun)
คือ คำสรรพนามที่ใช้แทนคน สถานที่ สิ่งของ และความคิด
1.1
คำสรรพนามที่ทำหน้าที่เป็นประธาน
(Subject Pronouns) ให้สังเกตคำนามที่อยู่หน้ากริยา แล้วเลือกใช้คำสรรพนามแทนให้เหมาะสมตามความหมายของคำนามนั้น ว่าแปลแล้ว เป็นคนที่เป็นผู้ชาย ผู้หญิง หรือสัตว์ หรือสิ่งของ หรือเป็นคนที่มีหลายคน ซึ่งต้องพิจารณาอีกว่า คนที่มีหลายคนจะใช้คำว่าอะไร (ขึ้นอยู่กับความสามารถในการแปลคำนามนั้นๆ)
– I, You, We, They, He, She, It
1.2
คำสรรพนามที่ทำหน้าที่เป็นกรรม
(Object Pronouns) คำอธิบายเกือบจะเหมือนข้อ 1.1 แต่ต่างกันตรงที่ให้สังเกตคำนามที่อยู่ หลัง กริยา
– me, you, us, them, him, her, it
2.
สรรพนามเจ้าของ
(
Possessive Pronouns)
คือ คำสรรพนามที่แสดงความเป็นเจ้าของ
2.1
คําคุณศัพท์ที่ใช้ขยายนามเพื่อบอกความเป็นเจ้าของของนา
ม (
Possessive Adjective Pronouns) คำสรรพนามชนิดนี้ ต่างจาก 2.2 โดยต้องมีคำนามตามหลัง (อยู่หน้าคำนาม) เนื่องจาก ชื่อของมันคือ Possessive Adjective
ถ้าใครทราบว่า Adjective แปลว่า คำคุณศัพท์ ทำหน้าที่ขยายคำนาม ตำแหน่งของเค้าอยู่หน้าคำนาม ก็จะเป็นหน้าที่ของคำสรรพนามชนิดนี้ทั้งหมด ทั้งเรื่องการขยายคำนาม และตำแหน่งที่เค้าอยู่
– my, your, our, their, his, her, its
2.2
คำสรรพนามที่แสดงความเป็นเจ้าของ (
Possessive Pronouns) คำสรรพนามแสดงความเป็นเจ้าของชนิดนี้ ชื่อก็บอกยี่ห้ออยู่แล้วว่า Possessive Pronoun แสดงความเป็นเจ้าของ แต่เป็นเจ้าของแบบแทนคำนามเลย
– mine, yours, ours, theirs, his, hers, its
3.
สรรพนามตนเอง (
Reflexive Pronouns)
คือ
สรรพนามที่แสดงตนเอง แสดงการเน้น ย้ำให้เห็นชัดเจน เป็นการเน้นย้ำว่า “ประธานกระทำกริยานั้นด้วยตนเอง” จะใช้ยังไง ให้ดูที่ประธานของประโยคเป็นหลัก ซึ่งประธานของประโยค สามารถเป็นได้ทั้งคำนามและคำสรรพนาม ต้องแปลและสังเกตได้เอง
– myself, yourself/yourselves, ourselves, themselves, himself, herself, itself
ประธาน กริยา และกรรม 4. รูปกรรมของบุพบท ( objects of prepositions )
รูปกรรมของบุพบท objects of prepositions Gerunds (เจอรันสฺ) เป็นกริยารูปหนึ่งที่ลงท้ายด้วย ing และทำหน้าที่เป็น คำนาม (noun) ฉะนั้นตำแหน่งของคำกริยาประเภทนี้ในประโยคคือ ประธาน (subject) กรรมตรง (direct object) ประธานเสริม (subject complement) และกรรมของบุพบท (object of preposition)
ตำแหน่งของ Gerunds
Gerunds (เจอรันสฺ) เป็นกริยารูปหนึ่งที่ลงท้ายด้วย ing และทำหน้าที่เป็น คำนาม (noun) ฉะนั้นตำแหน่งของคำกริยาประเภทนี้ในประโยคคือ ประธาน (subject) กรรมตรง (direct object) ประธานเสริม (subject complement) และกรรมของบุพบท (object of preposition)
ตำแหน่งของ Gerunds
1. ประธาน (subject)
ตัวอย่าง
Traveling might satisfy your desire for new experiences.
การเดินทางอาจจะสนองตอบความปรารถนาด้วยประสบการณ์ใหม่ๆ ของคุณ
หมายเหตุ กรณีนี้รูปกริยา Traveling เป็นประธาน ก็เพราะวางอยู่หน้ากริยาหลักของประโยค นั่นคือ might satisfy
2. กรรมตรง (direct object)
ตัวอย่าง
I hope that you appreciate my offering you this opportunity.
ผมหวังว่าคุณจะชื่นชอบการที่ผมให้โอกาสคุณครั้งนี้
หมายเหตุ กรณีนี้ my offering you this opportunity เป็นกรรมตรง ก็ เพราะเป็นการตอบคำถามว่า ชื่นชอบ <appreciate> “อะไร’’
3. ประธานเสริม (subject complement)
ตัวอย่าง
His favorite activity is playing golf.
กิจกรรมที่ชื่นชอบของเขาคือการเล่นกอล์ฟ
= Playing golf is his favorite activity.
หมายเหตุ กรณีนี้ playing golf เป็นเสมือนประธานเสริม อยู่หลัง verb to be “is” ส่วน Playing golf ที่วางอยู่หน้าประโยค ทำหน้าที่ประธาน
4. กรรมของบุพบท (object of preposition)
ตัวอย่าง
She suffered for years without complaining.
เธอทนทุกข์มาหลายปีโดยไม่ปริปากบ่น
หมายเหตุ กรณีนี้รูปกริยา complaining วางอยู่หลังบุพบท <preposition> คือ “without” จึงถือว่าเป็นกรรมของบุพบท
ประเภทของ Gerunds
จากตัวอย่างข้างบน อาจจะกล่าวคร่าวๆ ได้ว่า gerunds อาจจะเป็นกริยารูป ing ที่ทำหน้าที่นามที่เป็นคำเดี่ยว เรียกว่า single-word gerunds และที่เป็นวลี คือมีถ้อยคำอื่นตามหลังกริยารูป ing ที่ทำหน้าที่นาม เรียกว่า gerund phrase เช่น
single-word gerunds gerund phrases
traveling traveling to the countryside
waiting waiting for a bus
การใช้
สิ่งที่ท่านผู้อ่านจะได้ศึกษาและเรียนรู้ต่อไปนี้ นับว่ามีความสำคัญและต้องจดจำ หรือฝึกใช้ให้บ่อย โดยผู้เขียนจะขอกล่าวเป็นกรณีไปดังนี้
1. gerunds after verbs
2. gerunds after prepositions
3. gerunds after adjectives with prepositions
4. gerunds after verbs with prepositions
5. gerunds after verbs and objects
6. gerunds after “go”
7. gerunds with passive meaning
8. gerunds after some expressions
ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้
1. gerunds after verbs
เราใช้ gerunds เมื่อวางอยู่หลังคำกริยา (verbs) ต่อไปนี้ ได้แก่
admit advise appreciate avoid
complete consider delay deny
detest dislike enjoy escape
excuse finish like (=enjoy) postpone
practise mind miss begin
continue hate prefer risk
suggest involve justify spend (time)
resist resume waste(time) quit
delay fancy forgive put off
can’t help can’t stand can’t resist
ตัวอย่าง
I appreciate his playing that music.
ผมชื่นชอบการเล่นบทเพลงนั้นของเขา
We prefer his writing to speaking about important matters.
เราชอบการเขียนมากกว่าการพูดของเขาเกี่ยวกับเรื่องสำคัญๆ
Do you mind opening the window?
คุณจะรังเกียจไหมครับที่จะเปิดหน้าต่างให้หน่อย
Mother doesn’t like me wearing this suit.
แม่ไม่ชอบให้ดิฉันสวมใส่ชุดนี้
หมายเหตุ มีบ่อยที่หน้า gerund มี object pronouns เช่น me, him, her, them, us, you, it หรือ possessive adjectives เข่น my, his, her, their, our, your, its เมื่อวางอยู่หลังคำกริยาดังกล่าวมา
โปรดดูตัวอย่างเพิ่มเติมจากหมายเหตุในหัวข้อนี้
(1) ใช้รูป possessive adjective + gerund
When she hears her husband’s (whistle) she accompanies it with (sing).
→When she hears his whistling she accompanies it with singing.
(2) ใช้รูป object pronoun + gerund
I remember George (take) out his cheque book but I didn’t notice him (write) it.
→I remember him taking out his cheque book but I didn’t notice him writing it.
2. gerunds after prepositions
เราใช้ gerunds เมื่อวางอยู่หลังคำบุพบท ได้แก่ for, of, on, after, before, with, without, by, from, about, at
ตัวอย่าง
Instead of celebrating at home, they went out to dinner.
แทนที่จะฉลองกันอยู่ที่บ้าน พวกเขากลับออกไปทานอาหารเย็นนอกบ้านShe made a wish before blowing out the candles.
เธออธิษฐานก่อนจะเป่าเทียนให้ดับ
He was fined for driving without lights.
เขาถูกปรับฐานขับรถโดยไม่เปิดไฟ
3. gerunds after adjectives with prepositions
เราใช้ gerunds เมื่อวางอยู่หลังคำคุณศัพท์ (adjectives) ที่มีบุพบท (prepositions) ตามหลัง ได้แก่
afraid of good at committed to happy about
content with interested in amazed at/by mad at/about
ashamed of aware of bored with/by capable of
tired of excited about worried about disappointed in/with
fond of glad about guilty of different from
opposed to proud of reponsible for satisfied with
sick of sorry about sorry for sure of
surprised at upset about be/get used to famous for
ตัวอย่าง
Children are always happy about celebrating birthdays.
เด็กๆ มีความสุขในการฉลองวันเกิด
I am fond of swimming.
ฉันชอบว่ายน้ำ
I am tired of listening to you.
ผมเบื่อฟังคุณ
4. gerunds after verbs with prepositions.
เราใช้ gerunds กับคำกริยา (verbs) ที่มีบุพบท (prepositions) ตามหลัง ได้แก่
admit to believe in count on dream of/about
give up object to thank… for think of
adjust to agree with approve of blame…for
care about consist of decide on depend on/upon
feel like hear about insist on look for
prevent…from rely on/upon succeed in suspect…of
warn…about talk about take care of forget about
hear of plan on forget about look forward to
argue about refrain from concentrate on discourage from
ตัวอย่าง
She thanked the man for helping her.
เธอชอบคุณผู้ชายที่ช่วยเหลือเธอ
I look forward to receiving your reply.
ผมรอคอยที่จะได้รับคำตอบของคุณ
Have you ever thought about sending flowers to her?
คุณเคยคิดว่าจะส่งดอกไม้ไปให้เธอบ้างไหม
5. gerunds after verbs and objects
เราใช้ gerunds หลังคำกริยา (verbs) ที่มักมีกรรม (objects) รองรับ ดังโครงสร้าง verb + object + gerund ได้แก่
find hear notice see
watch feel observe smell
ตัวอย่าง
The waiter heard a man yawning.
พนักงานเสิร์ฟได้ยินชายคนหนึ่งหาว
Did you notice them waving?
คุณสังเกตเห็นพวกเขาโบกมือหรือเปล่า
หมายเหตุ คำกริยาดังกล่าวในข้อนี้ เป็นกริยาที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้สึก (verbs of sensation/perception) ซึ่งสามารถตามด้วยรูป bare infinitive (หรือกริยช่อง 1 ที่ไม่มี to (ข้างหน้า) ความแตกต่างอยู่ที่ action กล่าวคือ หากหลังกริยาเหล่านี้ ใช้รูป gerund จะแสดงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น แต่ถ้าใช้ bare infinitive จะไม่เน้นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ดังนั้น ในตัวอย่างดังกล่าวข้างบน อาจจะใช้ bare infinitive ก็ได้ ดังนี้
The waiter heard a man yawn.
Did you notice them wave?
6. gerunds after “go”
เราใช้ gerund หลังกริยา go (รวม went และ gone) เมื่อตามด้วย คำกริยา (verbs) ที่แสดงความหมายเชิงกิจกรรมสันทนาการ (recreational activities) ได้แก่
boat fish sail ski
bowl hike shop swim
camp hunt sightsee windsurf
dance jog skate canoe
ตัวอย่าง
I went shopping with my husband yesterday.
ดิฉันได้ไปจับจ่ายซื้อของกับสามีของดิฉันเมื่อวานนี้
Would you like to go boating with me?
คุณอยากไปพายเรือเล่นกับผมไหม
We went sightseeing around Bangkok two days ago.
เราไปเที่ยวชมรอบกรุงเททฯ เมื่อสองวันที่ผ่านมา
7. gerunds with passive meaning
หลังคำกริยาบางคำ ตามด้วยรูป gerunds ซึ่งให้ความหมายเชิงถูกกระทำ (passive meaning) คำกริยาเหล่านี้ ได้แก่
need want merit deserve
ตัวอย่าง
Your hair needs cutting.
= Your hair needs to be cut.
ผมของคุณสมควรจะได้รับการตัดได้แล้ว
My shoes want mending.
= My shoes want to be mended.
รองเท้าของผมควรจะได้รับการซ่อมได้แล้ว
His brave action deserves rewarding.
= His brave action deserves to be rewarded.
การกระทำที่กล้าหาญของเขาสมควรที่จะได้รับรางวัล
8. gerunds after some expressions
เราใช้ gerunds หลังข้อความบางอย่าง ได้แก่
It’s a waste of time/money/…
It’s no use …
It’s (not) worth …
There’s no point (in) …
have fun/a good time/trouble/difficulty/…
spend/ waste time
What about …? (ใช้เพี่อการเสนอแนะ)
How about…? (ใช้เพื่อการเสนอแนะ)
ตัวอย่าง
We had a good time watching the ice skating competition.
เราได้รับความสนุกสนานที่ได้ชมการแข่งสเก็ตน้ำแข็ง
It’s not worth reparing the machine.
มัน ไม่คุ้มค่าที่จะซ่อมเครื่องจักรดังกล่าว
It’s a waste of time watching that movie.
เสียเวลาเปล่าที่จะชมภาพยนตร์เรื่องนั้น
ต่างความหมาย
คำกริยาบางคำ เมื่อตามด้วยรูป gerunds และ infinitives จะให้ความหมายที่แตกต่างกัน ทั้งนี้การจะเลือกใช้รูป gerunds หรือ infinitives ต้องอาศัยการตีความหมายเป็นสำคัญ ได้แก่
1. remember + gerunds vs remember + to-infinitives
ตัวอย่าง
I remember posting the letter.
ฉันจำได้ว่าได้ส่งจดหมายไปแล้ว
I must remember to post the letter.
ฉันจะต้องจำให้ได้ว่าจะต้องส่งจดหมาย
หมายเหตุ จากตัวอย่างที่ใช้รูป remember + gerund หมายถึง “จำได้ในสิ่งที่ได้ทำไปแล้ว’’ ส่วนรูป remember + to-infinitive หมายถึง “จำไว้ว่าจะทำสิ่งนั้นๆ” แสดงว่ายัง ไม่ได้กระทำสิ่งนั้น
2. forget + gerunds VS forget + to-infinitives
ตัวอย่าง
I forgot taking the exam.
ผมลืมไปว่าได้เข้าสอบแล้ว
I forgot to take the exam yesterday.
ผมลืมเข้าสอบเมื่อวานนี้
หมายเหตุ จากตัวอย่างที่ใช้รูป forget + gerund หมายถึง “ลืมในสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว” ส่วนรูป forget + to-infmitive หมายถึง “ลืมที่จะกระทำสิ่งนั้น’’
3. regret + gerunds vs regret + to-infinitives
ตัวอย่าง
I regret saying what I said.
ผมเสียใจที่พูดในสิ่งที่พูดออกไป
I regret to say I feel ill.
ผมเสียใจที่จะกล่าวว่าผมป่วย
หมายเหตุ จากตัวอย่างที่ใช้รูป regret + gerund หมายถึง “เสียใจในสิ่งที่ได้ทำไปแล้ว’’ ส่วนรูป regret + to-infinitive หมายถึง” เสียใจในสิ่งที่จะกระทำ’’ แสดงว่าไม่ได้ทำมาในอดีต
สรุป จากกรณีการใช้ที่นำมาเปรียบเทียบกันทั้งในรูปของการตามด้วย gerunds และ to-infinitives พอจะสรุปรวบยอดเพื่อให้เป็นแนวคิดในการตัดสินใจใช้คำกริยาทั้ง 3 คำ ระหว่างตามด้วย gerunds และ infinitives ได้ดังนี้
ก. ตามด้วย gerunds หมายถึง อดีต (past) คือ ได้เกิดขึ้นไปแล้ว
ข. ตามด้วย to-infinitives หมายถึง ปัจจุบัน (present) หรือ อนาคต (future) คือ ยังไม่เกิด หรือยังไม่ได้กระทำ
4. try + gerunds VS try + to-infinitives
ตัวอย่าง
I try holding my breath.
ผมทดลองกลั้นลมหายใจ
I try to hold my breath.
ผมพยายามกลั้นลมหายใจ
หมายเหตุ เมื่อใช้ try + gerund จะหมายถึง “ทดลอง’’ (experiment) เหมือนกับการทดลองทางวิทยาศาสตร์แต่ถ้าใช้ try + to-infinitive จะหมายถึง “พยายาม’’ คือ พยายามที่จะทำบางสิ่งบางอย่าง
5. stop + gerunds vs stop + to-infinitives
ตัวอย่าง
You must stop smoking.
คุณจะต้องหยุด (เลิก) สูบบุหรี่
He stopped his car to smoke.
เขาจอดรถเพื่อจะสูบบุหรี่
หมายเหตุ เมื่อใช้ Stop + gerund จะหมายถึง “หยุดทำในสิ่งที่กำลังทำอยู่” แต่ถ้าใช้ stop + to-infinitive จะหมายถึง “หยุด (สิ่งหนึ่ง) เพื่อจะทำอีกสิ่งหนึ่ง”
6. go on + gerunds vs go on + to-infinitives
ตัวอย่าง
Go on talking.
พูตต่อไป
We went on to discuss finance.
เราได้หันไปพูดถึงเรื่องการเงิน
หมายเหตุ เมื่อใช้ go on + gerund จะหมายถึง “ดำเนินต่อไปในสิ่งที่กำลังทำอยู่’’ แต่ถ้าใช้ go on + to-infinitive จะหมายถึง “เปลี่ยนไปทำอีกสิ่งที่ต่างไปจากสิ่งเดิม”
7. mean + gerunds vs mean + to-infinitives
ตัวอย่าง
Having a party tonight will mean working extra hours tomorrow.
การจัดงานเลี้ยงคืนนี้จะหมายถึงการทำงานล่วงเวลาเพิ่มขึ้นพรุ่งนี้
I mean to work harder next year.
ผมตั้งใจจะทำงานหนักขึ้นปีหน้า
หมายเหตุ เมื่อใช้ mean + gerund คำว่า mean = signify แปลว่า “หมายถึง” ส่วนเมื่อใช้ mean – to-infinitive คำว่า mean = intend แปลว่า “ตั้งใจ”
ที่มา:รองศาสตราจารย์ทณุ เตียวรัตนกุล
[NEW] หลักการใช้ Present Perfect Tense ใช้ใน 2 เหตุการณ์ – NSRU BLOG | กริยา 3 ช่อง watch – NATAVIGUIDES
![present perfect tense](https://xn--12cl9ca5a0ai1ad0bea0clb11a0e.com/wp-content/uploads/2012/09/present-perfect-tense-1030x579.jpg)
Present Perfect Tense
Present Perfect Tense (Tense ปัจจุบันสมบูรณ์)
- Present เพร๊เซินท= ปัจจุบัน
- Perfect เพอเฟ็คท = สมบูรณ์
สมบูรณ์อย่างไร บางตำราก็ว่าเหตุการณ์มันเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว ก็เลยเรียกชื่อนี้ แต่ขอแนะนำว่าให้ใส่ใจที่การนำไปใช้อย่างไรดีกว่า
โครงสร้าง
S + have, has + V3
ประธาน + have, has + กริยาช่อง 3
He, She, It, A cat
has
eaten
I, You, We, They, Cats
have
eaten
⇒ กริยา 3 ช่อง หน้าตาเป็นอย่างไร
⇒ การย่อรูป have, has ทำอย่างไร
หลักการใช้
หลักการใช้ present perfect tense ใช้กับ 2 เหตุการณ์ต่อไปนี้
1. ใช้กับเหตุการณ์เกิดขึ้นในอดีต ดำเนินมาจนถึงขณะนี้ และจะต่อเนื่องไปในอนาคต
ถ้าใช้เล่าเหตุการณ์แบบนี้ จะมีสองคำนี้ประกอบอยู่ด้วย คือ
⇒ for ฟอ เป็นเวลา (กี่นาที กี่ชั่วโมง กี่วัน กีสัปดาห์ กี่ปี)
⇒ since ซินซ ตั้งแต่ (ตั้งแต่ชั่วโมงไหน วันไหน สัปดาห์ไหน เดือนไหน ปีไหน)
ตัวอย่างประโยค
- She has studied English since July.
หล่อนเรียน(แล้ว)ภาษาอังกฤษ ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม (เรียนตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ตอนนี้เดือนกันยายนแล้ว และมีแนวโน้มจะเรียนต่อไปอีก) - He’s worked in the garden since 8 o’clock.
เขาทำงาน(แล้ว)ในสวนตั้งแต่ 8 โมงเช้า (ตอนนี้สิบโมงแล้ว มีทีท่าว่าจะทำต่อไป) - It has rained for three hours.
ฝนตก (แล้ว) เป็นเวลา 3 ชั่วโมง (และมีแววว่าจะตกต่อไปอีก) - A boy has played football since 3 o’clock.
เด็กชายเล่นฟุตบอล(แล้ว)ตั้งแต่ 3 โมง (ตอนนี้สี่โมงแล้ว น่าจะเล่นต่อถึงห้าโมงมั้ง) - I have lived here for ten years.
ฉันอาศัยอยู่ (แล้ว) ที่นี่ เป็นเวลา 10 ปี (จุดเริ่มต้นเกิดในอดีต ปัจจุบันก็ยังอยู่ที่นี่ อนาคตก็จะอยู่ต่อ) - You’ve watched TV for two hours.
คุณดู(แล้ว)ทีวีเป็นเวลาสองชั่วโมง (ดูมาแล้วสองชั่วโมงและน่าจะดูต่อ ถ้าแม่ไม่ห้าม) - We’ve walked for five hours.
เราเดิน(แล้ว)เป็นเวลา 5 ชั่วโมง - They have built the house since last year.
พวกเขาสร้าง(แล้ว)บ้านตั้งแต่ปีที่แล้ว (ตอนนี้ก็ยังสร้างอยู่ และน่าจะสร้างต่อไปอีกหลายเดือนคงเสร็จ)
สัเกตได้ว่าคำกริยาที่ใช้นั้น ต้องกระทำได้อย่างต่อเนื่องยาวนานคล้าย present continuous tense เลย
คำถามที่ใช้กับตัวอย่างด้านบนส่วนมากจะขึ้นต้นด้วย How long……. (นานแค่ไหน)
♦ How long has she studied English? หล่อนเรียนอังกฤษนานแค่ไหนแล้ว
♦ How long has he worked in the garden? เขาทำงานในสวนนานแค่ไหนแล้ว
♦ How long has it rained? ฝนตกนานแค่ไหนแล้ว
♦ How long has a boy played football? เด็กชายเล่นฟุตบอลนานแค่ไหนแล้ว
♦ How long have you lived here? (ถาม you ตอบ I) คุณอยู่ที่นี่นานแค่ไหนแล้ว
♦ How long have I watched TV? (ถาม I ตอบ You) ผมดูทีวีนานแค่ไหนแล้ว
♦ How long have we walked? เราเดินนานแค่ไหนแล้ว
♦ How long have they built the house? พวกเขาสร้างบ้านนานแค่ไหนแล้ว
2. ใช้กับเหตุการณ์ที่จบไปแล้ว
2.1 ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่นานมานี้ และเหตุการณ์นั้นก็จบลงแล้วด้วย
ถ้าใช้กับเหตุการณ์แบบนี้ มักจะมีคำเหล่านี้อยู่ด้วย
already ออลเร๊ดดิ แล้ว
just จัสท เพิ่งจะ
yet เย็ท ยัง
ตัวอย่างประโยค
♦ She‘s just gone. หล่อนเพิ่งจะออกไป ( คงถึงหน้าปากซอยได้)
♦ He’s already finished his homework. เขาทำการบ้านเสร็จแล้ว (เพิ่งทำเสร็จไม่นานหรอก)
♦ It’s just rained. ฝนเพิ่งจะตก (หยุดเมื่อกี้เอง พื้นยังเปียกอยู่)
♦ I’ve already drunk milk. ผมดื่มนมแล้ว (ปากยังมีหยดน้ำนมอยู่เลย)
◊ You’ve just taken a bath. เธอเพิ่งจะอาบน้ำเอง (จะอาบอีกแล้วเหรอ)
◊ We’ve already eaten rice. พวกเรากินข้าวแล้ว (ท้องยังแน่นอยู่เลย)
◊ They’ve just washed the car. พวกเขาเพิ่งจะล้างรถ (รถยังไม่แห้งดีเลย)
♦ Has she gone yet? หล่อนไปหรือยัง
♦ Has he already finished his homework? เขาทำการบ้านเสร็จแล้วใช่ไหม
♦ Have you drunk milk yet? คุณดื่มนมหรือยัง
♦ Have we already eaten rice? พวกเรากินข้าวแล้วใช่ไหม
♦ Have they washed the car yet? พวกเขาล้างรถหรือยัง
2.2 ช้กับเหตุการณ์ในอดีตที่ไม่ระบุเวลา
ถ้าใช้กับกรณีนี้ จะไม่รบุว่าเกิดขึ้นเมื่อไหร่ บอกแค่เพียงว่า ทำแล้ว หรือไม่เคยทำ แค่นั้นเอง
- I’ve read that book.
ผมอ่านหนังสือเล่มนั้นแล้ว (อ่านเมื่อไหร่ไม่บอก ให้รู้ว่าอ่านแล้วก็แล้วกัน) - She’s got your letter.
หล่อนได้รับจดหมายของคุณแล้ว (หลังจากถูกคุณแม่เอาไปทิ้งลงถังหลายครั้ง) - I’ve cut my finger.
ผมทำมีดบาดนิ้วมือ (ดูสิ ยังไม่หายดีเลย) - He’s gone to England.
เขาไปอังกฤษแล้ว(ไม่ต้องมาหาเขาอีก) - It’s never rained in this area.
ฝนไม่เคยตกเลยในพื้นที่นี้ - Have you (ever) been to England?
คุณ (เคย) ไปอังกฤษไหม
No, I’ve never been to England.
ไม่ ผมไม่เคยไปอังกฤษเลย - Have you ever seen the rain coming out on a sunny day?
คุณเคยเห็นฝน ออกมา(ตก) ในวันที่มีแดดจ้าไหม (เอามาจากเพลง)
ประโยคปฏิเสธ
ประโยคปฏิเสธก็ไม่ยากครับ เอา not มาต่อท้าย have / has ก็ได้แล้ว
have not ย่อเป็น haven’t
has not ย่อเป็น hasn’t
♦ She has not studied English since July.
หล่อนไม่ได้เรียนภาษาอังกฤษ ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม
♦ He hasn’t worked in the garden since 8 o’clock.
เขาไม่ได้ทำงานในสวนตั้งแต่ 8 โมงเช้า
♦ I have not lived here for ten years.
ฉันไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่ เป็นเวลา 10 ปี
ประโยคคำถาม
ให้เอา have, has มาวางหน้าประธานของประโยค
♦ Has she studied English since July?
หล่อนเรียนภาษาอังกฤษ ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมใช่ไหม
Yes, she has./ No, she hasn’t.
♦ Has he worked in the garden since 8 o’clock?
เขาทำงานในสวนตั้งแต่ 8 โมงเช้าใช่ไหม
Yes, he has./ No, he hasn’t.
♦ Have you lived here for ten years?
คุณอาศัยอยู่ที่นี่ เป็นเวลา 10 ปีใช่ไหม
Yes, I have./ No, I haven’t.
Time Line เส้นเวลา
มาดูไทม์ไลน์กันดูซิ ทีบอกว่า tense นี้ใช้บอกกล่าวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ดำเนินมาถึงปัจจุบัน และน่าจะดำเนินต่อไปอีกในอนาคต เป็นเช่นไร
- สีดำคือ อดีตที่หมองหม่น
- สีส้มคือปัจจุบันที่สดใส
- สีชมพู คือ อนาคตที่เรืองรองผ่องอำไพ
- ลูกศรสีขาวไซร้คือเหตุการณ์
- เส้นทึบคือระยะเวลาของเหตุการณ์ (ค่อนข้างยาวนาน)
- เส้นทึบสีขาวคือระยะเวลาที่เหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว
- เส้นทึบสีเหลืองคือระยะเวลาที่คาดว่าเหตุการณ์อาจจะดำเนินต่อไป
จากภาพสามารถอธิบายได้ว่า มีเหตการณ์หนึ่งเกิดขึ้นในอดีต (เส้นทีบสีขาว)
และก็ดำเนินมาถึงปัจจุบัน (ลูกศรสีขาว) และคงจะดำเนินต่อไปในอนาคต
(เส้นทีบเหลือง) ลองมาสมมติเหตุการณ์ดูสักสองเหตุการณ์แล้วกัน
♦ She has studied English since July.
หล่อนเรียนภาษาอังกฤษ ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม
เห็นเรียนมาตั้งแต่เดือนกรกรฎาจริง (เส้นทีบสีขาว)
วันนี้ก็ยังเห็นไปเรียนอยู่ (ลูกศรสีขาว)
และคิดว่าคงเรียนต่อไปเรื่อยๆมั้ง(เส้นทึบสีเหลือง) แต่ไม่แน่นะ
วันนี้ไปเรียนเกิดไม่พอใจ แล้วไม่ไปอีกก็ได้
แต่ที่แน่ๆคือเรียนมานานพอควรจนถึงวันนี้แล้วกัน
♦ He’s worked in the garden since 8 o’clock.
เขาทำงานในสวนตั้งแต่ 8 โมงเช้า
เขามาทำงานตั้งแต่แปดโมงเช้าจริง (เส้นทึบสีขาว) ตอนนี้เวลา 11.00
ก็ยังทำในสวนนั่นแหละ (ลูกศรสีขาว) และคิดว่าคงจะทำถึงเย็นมั้ง
(เส้นทึบสีเหลือง) แต่ก็ไม่แน่อีกนั่นแหละ พอพักเที่ยงแล้ว
อาจนอนหลับเพลินแล้วไม่มาทำต่อก็ได้ แต่ที่แน่ๆ ตั้งแต่ 8
โมงเช้าจนถึงตอนนี้เขาทำงานในสวนจริง เป็นพยานได้
สรุปว่าถ้านักเรียนต้องการบอกกล่าวเล่าขาน เหตุการณ์ที่เริ่มตั้งแต่อดีต และดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน และคาดว่าจะดำเนินต่อไปในอนาคต ให้ใช้โครงสร้าง
ประธาน +have, has + กริยาช่องที่ 3
⇒ สรุปหลักการใช้ Tense 12
กริยา 3 ช่องที่ใช้ในหน้านี้
ช่อง 1
ช่อง 2
ช่อง 3
คำแปล
studystudiedstudiedเรียนworkworkedworkedทำงานrainrainedrainedฝนตกplayplayedplayedเล่นlivelivedlivedอาศัยwatchwatchedwatchedดูwalkwalkedwalkedเดินbuildbuiltbuiltสร้างgowentgoneไปfinishfinishedfinishedทำเสร็จdrinkdrankdrunkดื่มeatateeatenกินwashwashedwashedล้างreadreadreadอ่านgetgotgotได้รับbe (is am are)was werebeenเป็น อยู่ คือcutcutcutตัด บาด
ติว TOEIC ครูดิว : กริยา 3 ช่อง ท่องตั้งเเต่ประถม ไม่เคยจำได้!!
คะแนน TOEIC สร้างงาน สร้างเงิน ใครยังไม่รู้จะติวที่ไหนมาติวกับครูดิวได้นะคะ
✿ ถ้าพื้นฐานน้อย แนะนำหาคอร์สติวดีกว่าค่ะ! ✿
👉 ติว TOEIC กับครูดิวเลย (ทดลองติวฟรี!) ➡️ https://bit.ly/2wR4Gmu
Adverbs of Frequency คือ Adverb กลุ่มที่ใช้บอกความถี่ของการกระทำค่ะ เช่นพวก always, usually, often, sometimes, rarely เป็นต้น จะมีวิธีจำยังไงให้ง่ายๆ นะ? มาครูดิวไปดูกันค่ะ
✿ คอร์ส KruDew ติว TOEIC มีอะไรให้บ้าง? ✿
✅Grammar ที่ใช้สอบ TOEIC ให้ครบ เริ่มสอนจากพื้นฐาน เรียนได้ทุกคนแน่นอน
✅เทคนิคช่วยจำต่างๆ จำง่าย เอาไปใช้กับข้อสอบได้จริงๆ
✅เก็งศัพท์ TOEIC ออกข้อสอบบ่อยๆ ให้ครบ
✅ อัพเดทข้อสอบ New TOEIC ล่าสุด ครบ 200 ข้อ
✅สามารถสอบถามข้อหรือจุดที่สงสัยได้ตลอด
✅การันตี 750+ (ถ้าสอบแล้วไม่ถึง สามารถทวนคอร์สได้ฟรี)
📣 ถ้าไม่อยากพลาดคลิปดีๆแบบนี้ อย่าลืมกด ❤️ Subscribe ❤️กันนะคะ
ติวTOEIC สอบTOEIC
นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูความรู้เพิ่มเติมที่นี่
100 กริยา 3 ช่อง ท่องยังไง?? (ใช้บ่อยมาก)
100 กริยา 3 ช่อง ท่องยังไง จำได้แน่!!
3 verb forms
@EnglishThai Downunder เรียนภาษาอังกฤษฟรี แต่งประโยคภาษาอังกฤษ โครงสร้างประโยคภาษาอังกฤษ เรียนภาษาอังกฤษฟรี
เรียนภาษาอังกฤษกับครูฟาง, ฝึกภาษาอังกฤษ, อยากเก่งภาษาอังกฤษ, ติวสอบภาษาอังกฤษ, ติวภาษาอังกฤษ, ภาษาอังกฤษพื้นฐาน, ประโยคภาษาอังกฤษ, ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน, อยากเก่งภาษาอังกฤษ, คำศัพท์อังกฤษ, English lesson, แกรมม่าภาษาอังกฤษ, บทเรียนภาษาอังกฤษ
เทคนิคการผันกริยา 3 ช่อง
จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนรู้
ติดตาม Facebook และ Instagram : The Happy Time with Q
หากผิดพลาดประการใด ผู้จัดทำขออภัยมานะที่นี้ด้วยค่ะ 😀
50คำกริยา3ช่อง ภาษาอังกฤษ ที่ใช้บ่อย
50คำกริยา3ช่อง ภาษาอังกฤษ ที่ใช้บ่อย
กริยา3ช่อง ภาษาอังงกฤษ eng123
กริยา 3 ช่อง การผันกริยา 3 ช่อง
ขอบคุณข้อมูลจาก
https://sites.google.com/site/wrayyalanphlsaenm63lekhthi20/srupkiriya3chxng
http://www.ecc.ac.th/knowledge_detail.php?id=6
นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูบทความเพิ่มเติมในหมวดหมู่MAKE MONEY ONLINE
ขอบคุณที่รับชมกระทู้ครับ กริยา 3 ช่อง watch