Skip to content
Home » [NEW] วิธีที่ง่ายที่สุดในการใช้ประโยคเงื่อนไข (Conditional Sentences) | play around แปลว่า – NATAVIGUIDES

[NEW] วิธีที่ง่ายที่สุดในการใช้ประโยคเงื่อนไข (Conditional Sentences) | play around แปลว่า – NATAVIGUIDES

play around แปลว่า: นี่คือโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้

ประโยคเงื่อนไข หรือได้เรียกชื่อต่างๆ ว่า  if clause บ้างก็เรียก Conditional sentences เป็นเรื่องที่ใช้งานไม่ยากแต่เป็นเรื่องหนึ่งท่สำคัญอย่างมากไม่รู้ไม่ได้ ดังนั้นวันนี้ Eng Breaking จะแนะนำไวยากรณ์ภาษาอังกฤษสำหรับผู้เรียนหลักภาษานะคะ

ประโยคเงื่อนไข  if clause คืออะไร

ประโยคเงื่อนไขเป็นหัวข้อ ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษที่มีส่วนเนื้อหาค่อนข้างเยอะ แต่ไม่ใช่เรื่องที่ยากมากถ้าเรามีวิธีการเรียนถูกต้อง วันนี้เราจะแนะนำละเอียดตั้งแต่เรื่อง ประโยคเงื่อนไข  if clause คืออะไร และสรุป 4 เทคนิคใช้ If Clause ระดับมืออาชีพ เข้าใจได้ง่ายที่สุดในบทความเดียว เอาล่ะ ถ้าเพื่อนๆพร้อมแล้ว เราไปดูกันเลย

  • ก่อนอื่นเราทำความเข้ามใจความหมายของคำว่า ประโยคเงื่อนไข  if clause คืออะไร ก่อนนะคะ
    – สำหรับคำว่า if  ในภาษาอังกฤษ แปลว่า “ถ้า”
    – สำหรับคำว่า clause ในภาษาอังกฤษ  แปลว่า  “อนุประโยค”
    – เข้าใจง่ายๆ  clause คือ อนุประโยค ถ้า…..นะคะ
  • สำหรับคำว่า conditional sentences แปลได้ว่า
    – สำหรับคำว่า conditional ในภาษาอังกฤษ  แปลว่า “เงื่อนไข”
    – สำหรับคำว่า  sentences ในภาษาอังกฤษ  แปลว่า “ประโยค”
    >> เข้าใจง่ายๆ  conditional sentences คือ ประโยคเงื่อนไข

ประโยคเงื่อนไข  if clause คือรูปแบบประโยคที่ใช้บอกว่า ถ้ามีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น (เงื่อนไข) อีกสิ่งก็จะเกิดขึ้นตาม (ผลลัพธ์) เดี๋ยวเราจะยกตัวอย่างละเอียดให้เข้าใจง่ายขึ้นดังนี้

  • If it rains, I will stay home. แปลว่า ถ้าฝนตก ฉันจะอยู่บ้าน
    เห็นชัดเลยว่า If it rains (เงื่อนไข) เป็นส่วน If clause และ I will stay home. (ผลลัพธ์) ก็คือ Main clause ของมันนะคะ

ตัวอย่างที่สอง:

  • If I am tired, I go to sleep. แปลได้ว่า ถ้าฉันเหนื่อน ฉันนอน หรือเข้าใจเลยว่า ทุกครั้งที่ฉันรู้สึกเหนื่อยเมื่อยล้า ฉันนอนเอาแรงก่อน ในนั้น  I am tired (เงื่อนไข) เป็นส่วน If clause และ go to sleep(ผลลัพธ์) ก็คือ Main clause ของมันนะคะ

หลักการใช้ ประโยคเงื่อนไข if clause 

ประโยคเงื่อนไข if clause  หรือ Conditional sentences ประกอบด้วยสองส่วคือ ประโยคที่แสดงเงื่อนไขจะขึ้นต้นด้วย “If” และประโยคหลัก Main Clause โดยประโยค If Clause และโครงสร้างของประโยคสามารถที่จะเอา If clause นำหน้า Main clause หรือ เอา Main clause นำหน้า If clause ก็ได้ เช่น

  • If you love me, I will love you.  ในนั้น If clause คือ If  you love me, Main clause คือ I will love you

Conditional Sentences ไวยากรณ์ในภาษาอังกฏษ

เรามาดูหลักการใช้ if clause ทั้งการใช้คอมม่า และการใช้ if clause ทั้ง 4 แบบกันเลย (บางที่อาจพูดถึงแค่ 3 แบบ โดยจะตัดแบบที่ 0 หรือที่เรียกว่า type 0 ออก) และ Type 1, Type 2, Type 3  และแบบผสมพิเศษด้วย วิธีการใช้งานของแต่ละแบบละเอียด พร้อมตัวอย่าง ดังต่อไปนี้

  •  Zero Conditional Sentences  หรือ  if clause type 0 
  •  First Conditional Sentences หรือ  if clause type 1
  •  Second Conditional Sentences  หรือ  if clause type 2
  •  Third Conditional Sentences หรือ  if clause type 3

1. เริ่มจาก  Zero Conditional Sentences  หรือ  การใช้ ประโยคเงื่อนไข แบบที่ 0

Zero Conditional Sentences  หรือ  การใช้ ประโยคเงื่อนไข แบบที่ 0 มีโครงสร้างประโยคเข้ามใจง่ายๆ ดังนี้  If + Present Tense (Conditional Sentence), Present Simple (Main Clause)

  • ประโยคเงื่อนไข แบบที่ 0 โดยจะเป็นการพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นโดยทั่วไป ไม่ใช่เหตุการณ์เฉพาะ เราจะใช้กับ
    – สิ่งที่เป็นจริงเสมอ (ความจริงตามธรรมชาติ )
    – สิ่งที่เราทำเป็นปกติ (เช่นประโยดนี้ ถ้าฉันไปชายหาด ฉันจะใช้ครีมกันแดด )

ตัวอย่างประโยค if clause type 0

  • If I am tired, I go to sleep. แปลว่า ถ้าฉันเหนื่อน ฉันนอน – ทุกครั้งที่ฉันรู้สึกเหนื่อยเมื่อยล้า ฉันนอนเอาแรงก่อน
  • Your wife gets angry if you smoke. แปลว่า แฟนนายโกรธ ถ้านายสูบบุหรี่ – เห็นหล่อนวีนทุกครั้งที่นายสูบ
  • If you go to the park, you can see Jo in the shop. แปลว่า ถ้าคุณไปสวน คุณสามารถพบโจได้ในร้าน – โจทำงานที่นั่น ไปก็เจอเลย
    ในบางกรณีสามารถใช้คำว่า When ก็ได้ เพราะมีความหายเดียวกัน เช่น
  • If I am tired, I go to sleep. แปลว่า ถ้าฉันเหนื่อย ฉันไปนอน
    เราสามารถเขียนได้ว่า When  I am tired, I go to sleep. แปลว่า เมื่อฉันเหนื่อย ฉันไปนอน

หมายเหตุ: การใช้ if clause แบบที่ 0 เราสามารถใช้ when แทน if ได้ โดยที่ความหมายไม่เปลี่ยน 

Tense ที่ใช้Present simplePresent simpleตัวอย่างประโยคIf ice melts,it turns into water.ถ้าน้ำแข็งละลายมันจะกลายเป็นน้ำ If I go to the beach,I use sunscreen.ถ้าฉันไปชายหาดฉันจะใช้ครีมกันแดด If you don’t exercise,your

muscle

mass decreases.ถ้าคุณไม่ออกกำลังกายมวลกล้ามเนื้อของคุณก็ลดลง

2. เริ่มจาก  First Conditional Conditional Sentences  หรือ  การใช้ ประโยคเงื่อนไข แบบที่ 1

First Conditional Conditional Sentences   หรือ  การใช้ ประโยคเงื่อนไข แบบที่  1  มีโครงสร้างประโยคเข้ามใจง่ายๆ ดังนี้    If + Present Tense (Conditional Sentence), Will + Verb (Main Clause)

ประโยคเงื่อนไข แบบที่ 1 เราจะใช้กับเหตุการณ์สมมติที่น่าจะเกิดขึ้นในอนาคต รายละเอียดคือจะใช้เพื่อพูดถึงสิ่งที่เป็นเหตุเป็นผลกันว่า หากสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นอีกสิ่งหนึ่งก็จะเกิดขึ้นตามมาด้วย เพราะตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง ใช้พูดถึงโลกแห่งความเป็นจริงและเหตุการณ์เฉพาะ โดยทั่วไปแล้วมักจะใช้เพื่อเป็นการเตือน  ในประโยคเงื่อนไขแบบที่ 1 นี้ จะบอกเวลา ณ. ปัจจุบันหรือในอนาคตที่สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นจริง

ตัวอย่างประโยค if clause type 1

  • If I study hard, I will pass the exam. แปลว่า ถ้าฉันเรียนหนักๆ ฉันจะสอบผ่าน – ฉันมั่นใจว่าอย่างนั้น (อาจไม่ผ่านก็ได้)
  • If it rains, we will play inside. แปลว่า ถ้าฝนตกเราจะเล่นข้างใน  – เราคิดไว้อย่างนั้น พอฝนตกจริงอาจวิ่งเล่นข้างนอกก็ได้
  • If you go to the park, you will see Jo in the shop. แปลว่า ถ้าคุณไปสวน คุณอาจจะพบโจได้ในร้านก็ได้ – ฉันไปสวนแล้วเห็นโจกินข้าวร้านนั้นบ่อยๆ (ไปอาจไม่เจอ)
  • You will feel better if you sleep enough.
    คุณจะรู้สึกดึขึ้น ถ้าคุณนอนเพียงพอ – อาจจริงของคุณ หรือไม่จริงก็ได้

ข้อควรจำ: นอกจากนี้ ใน main clause ของประโยคเงื่อนไขแบบที่ 1 คุณสามารถใช้ modals verb แทนการใช้  future tense ได้อีกด้วยเพื่อบอกระดับความแน่นอน การอนุญาต หรือเพื่อแนะนำให้ทราบว่าผลที่เกิดขึ้นจะเป็นอย่างไร

Tense ที่ใช้Past simplewould/wouldn’t + verbตัวอย่างประโยคIf I won the lottery,I would travel around the world.ถ้าฉันถูกหวยฉันจะเที่ยวรอบโลก If I owned a cat,I would name it Chewie.ถ้าฉันมีแมวฉันจะตั้งชื่อมันว่าชิววี่ If I had a car,I wouldn’t take the bus.ถ้าฉันมีรถฉันจะไม่ขึ้นรถเมล์

การใช้ประโยคเงื่อนไขที่ไม่ยากอย่างที่คิด

3. เริ่มจาก  Second Conditional Sentences  หรือ  การใช้ ประโยคเงื่อนไข แบบที่ 2

Second Conditional Sentences   หรือ  การใช้ ประโยคเงื่อนไข แบบที่  1  มีโครงสร้างประโยคเข้ามใจง่ายๆ ดังนี้   
If + Past tense (Conditional Sentence), Would + Verb (Main Clause)

ประโยคเงื่อนไข แบบที่ 2 เราจะใช้พูดถึงเหตุการณ์ในอนาคตที่ไม่อาจจะเกิดขึ้นได้จริง อาจจะเกิดจากการจินตนาการหรือเพ้อฝัน และใช้พูดถึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในปัจจุบัน

ตัวอย่างประโยค if clause type 2

  • If I won the lottery, I would travel around the world. แปลว่า ถ้าฉันถูกล็อตเตอรี่นะ ฉันจะเดินทางรอบโลกเลย – เพ้อไป ชาตินี้จะมีโอกาศไหม
  • If I had time, I would learn more English. แปลว่า ถ้าฉันมีเวลานะ ฉันจะเรียนอังกฤษให้มากขึ้น => ความจริงคือ  เรียนเอาแค่ผ่านก่อนเถอะ เวลาแทบจะไม่มีเหลืออยู่แล้ว
  • If I were you, I would take the offer. แปลว่า ถ้าฉันเป็นนาย ฉันจะรับข้อเสนอนะ => ความจริงคือนายเป็นฉันไม่ได้หรอก คนละคนกัน
  • If I had his number, I would call him. แปบว่า ถ้าฉันมีเบอร์เขา ฉันจะโทรหาเขา => ความจริงคือฉันไม่มีเบอร์เขา

ข้อควรจำ
เราสามารถสลับประโยคที่เป็นเหตุและผลกันได้
เช่น If I had his number, I would call him. สามารถเขียนเป็น  I would call him if I had his number ก็ได้ ความหมายของประโยคนิไม่เปลี่ยนแปลง

โดยหากคำว่า if อยู่กลางประโยคเราไม่จำเป็นต้องใส่เครื่องหมายคอมม่า (,) แต่หาก if ขึ้นต้นประโยคจะต้องใส่คอมม่าคั่นระหว่างประโยคทุกครั้ง

  • นอกจากกริยา would แล้ว เรายังสามารถใช้ could หรือ might แทนได้เช่นกัน
  • ประธานไม่ว่าจะเป็นเอกพจน์ หรือพหูพจน์หากอยู่ในโครงสร้างนี้โดยใช้ Verb to be จะใช้ were ตัวเดียวเท่านั้น อย่าลืมจดไว้นะคะเพราะในข้อาอบต่างๆ เรามักจะเจอประโยคเงือนไขแบบที่สองนี้ค่ะ อยากได้คะแนนสูงๆ ต้องไม่พลาดนะคะ

Eng Breaking จะแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการจดจำไวยากรณ์ภาษาอังกฏษแบบกล้วยๆ คือลองผสมผสานการใช้ภาษาเข้ากับชีวิตประจำวันของเราดู ค่อย ๆ ฝึกและเรียนรู้ ที่สำคัญ อย่าลืมทดลอง 6 วิธีนี้

  • อ่านหนังสือหรือบทความภาษาอังกฤษ: เพราะเราสามารถเรียนคำศัพท์ใหม่ พร้อมวิธีตั้งประโยคที่มักจะเจอบ่อย เรียนรู้ไวยากรณ์ภาษาอังกฏษจาเรื่องยาว นิยาย นิทาน ที่มีในหนังสือได้ง่าย
  • จดศัพท์ใหม่ ๆ: ถ้าเจอศัพท์ใหม่ต้องจดไว้ ตั้งเป็นประโยคเพื่อจำได้ ไม่ลืม
  • ทำให้หูคุ้นเคยกับภาษาอังกฤษ: ฝึกทักษะการฟังไปด้วย เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ แต่ผู้เรียนชอบมองผ่าน เริ่มจากการฟังเพลง ฟังบทสนทนาแบบง่ายๆ ก่อนแล้วค่อยๆ ปรับความเร็วและระดับความยากของบทฟัง
  • ใช้ช่องทางออนไลน์ให้เป็นประโยชน์: เรียนผ่านระบบการเรียนออนไลน์ สามารถเรียนได้ทุกที่ เรียนที่บ้านก็ได้เวลาเรียนสะดวกกว่าไปถึงศูนย์การเรียนอีกต่างหาก เรียนกับ Eng Breaking Native 1 to 1 คือคุณจะมีโอกาสได้เรียนตัวต่อตัวกับการจารย์เจ้าของภาษาทุกๆ วัน
  • ฝึกทุกที่ที่มีโอกาส: ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษา หรือคนงานทั่วไป เราก็สามารถเรียนภาษาอังกฏษได้กับคอร์สเรียนต่างๆ น่าสนใจจาก Eng Breaking คอร์สเรียนที่เน้นทักษะการสื่อสาร ช่วยคุณทั่นใจในการพูดคุยกับเจ้าของภาษา
  •  อย่ากลัวที่จะลองใช้: มั่นในในตัวเอง มั่นใจในสิ่งที่ทำจะช่วยคุณผสมความสำเร็จได้ง่าย ขึ้น สำหรับการเรียนภาษาอังกฏษก็เช่นกัน อย่ากลัวเมื่อพูดผิดนะคะ เพราะใครๆ ก็ต้องผ่านจุดเริ่มต้นนั้นเช่นกัน มั่นใจและมีแนวทางการเรียนอย่างถูกต้องรับรองส่าคุณจะเป็นคนต่อไปที่สำเร็จ

4. เริ่มจาก  Third Conditional Conditional Sentences  หรือ  การใช้ ประโยคเงื่อนไข แบบที่ 3

Third Conditional Conditional Sentences   หรือ  การใช้ ประโยคเงื่อนไข แบบที่  3  มีโครงสร้างประโยคเข้ามใจง่ายๆ ดังนี้   
If + Past Perfect (Conditional Sentence), Would have + Verb (Main Clause)

ประโยคเงื่อนไข แบบที่ 2 เราจะใช้กับเหตุการณ์สมมติในอดีต ซึ่งไม่มีทางเป็นจริงได้ เพราะอดีตเป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้ว

ตัวอย่างประโยค if clause type 3

  • If I had studied hard, I would have passed the test. แปลว่า ถ้าฉันเรียนหนักนะ ฉันคงสอบผ่านไปแล้ว => ความจริงคือ ตอนนั้นไม่ได้เรียนหนัก แล้วสอบตก
  • If he had won the singing contest, he would have got a

    BMW

    แปลว่า  ถ้าเขาชนะการประกวดร้องเพลง เขาคงได้ BMW ไปแล้ว  => ความจริงคือ ตอนั้นแพ้ ขับเก๋งคันเก่าต่อไปเถอะ

  • If I had left my house at 9, I would have arrived here on time.
  • ถ้าฉันออกจากบ้านตั้งแต่ 9 โมง ฉันก็คงมาถึงที่นี้ตรงเวลา => ความจริงคือ ฉันออกจากบ้านสาย และฉันมาถึงสาย

ข้อควรจำ: เราสามารถสลับที่ประโยคที่อยู่หลังคอมม่าขึ้นมาไว้ข้างหน้าได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีคอมม่าอีก และยังให้ความหมายเหมือนเดิม

เช่น
– If I had studied harder, I would have passed the exam.
เราสามารถเปลี่ยนเป็น
– I would have passed the exam if I had studied harder.

If clause แบบที่ 3If clauseMain clauseTense ที่ใช้Past perfectwould have/wouldn’t have + verb ช่อง 3ตัวอย่างประโยคIf I had studied hard,I would have passed the exam.ถ้าตอนนั้นฉันตั้งใจเรียนฉันก็คงสอบผ่าน If I hadn’t been sick,I would have gone to the cinema.ถ้าตอนนั้นฉันไม่ได้ป่วยฉันก็คงจะไปโรงหนัง If he had left earlier,he would have arrived on time.ถ้าตอนนั้นเขาออกมาเร็วกว่านี้เขาก็คงมาถึงตรงเวลา

สำหรับประโยคเงือนไขในภาษาอังกฤษนอกจากสี่รูปแบบที่มักจะเจอบ่อยแล้วคือ 

  • Zero Conditional Sentences  หรือ  if clause type 0 
  •  First Conditional Sentences หรือ  if clause type 1
  •  Second Conditional Sentences  หรือ  if clause type 2
  •  Third Conditional Sentences หรือ  if clause type 3

เรายังมีอีกแบบหนึ่งที่เรียกได้ว่าประโยคเงือนไงแบบ mixed type และมีวิธีการใช้งานรายละเอียดตามนี้นะคะ

if clause แบบผสมกันระหว่างแบบที่ 2 และ 3 ได้อีกด้วย ซึ่งก็คือการใช้กับเหตุการณ์สมมติในอดีตที่ไม่เป็นจริง ที่มีผลมายังปัจจุบัน (ต่างจากแบบที่ 3 ที่มีผลเฉพาะกับในอดีต)

If clause แบบ mixed typeIf clauseMain clauseTense ที่ใช้Past perfectwould/wouldn’t + verbตัวอย่างประโยคIf I had exercised regularly,I would have a great body.ถ้าฉันได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอฉันก็คงจะมีหุ่นดี If I hadn’t met John,I wouldn’t be happy now.ถ้าตอนนั้นฉันไม่ได้พบจอห์นฉันก็คงจะไม่มีความสุขในตอนนี้ If he had arrived on time,his boss wouldn’t be angry.ถ้าเขาได้มาถึงตรงเวลาหัวหน้าเขาก็คงไม่โมโห

ยกตัวอย่างให้เข้าใจได้ง่ายๆ คือประโยค ถ้าฉันได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ฉันก็คงจะมีหุ่นดี – การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอในตอนนั้น จะทำให้ฉันมีหุ่นดีในตอนนี้ แต่ในความเป็นจริงนั้นฉันไม่ได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เลยจะได้เข้าใจเป็นเหตุการณ์สมมติในอดีตที่ไม่เป็นจริง

การใช้ประโยคเงื่อนไขฉบับเต็ม

สรุปการใช้ if clause

เนื้อหาเกี่ยวกับประโยคเงือนไขคงเยอะนิดหนึ่งแต่ไม่ค่อยยากเลยใช่ไหมคะ เพราะแต่ละแบบก็มีลักษณะที่ให้เห็นภาพชัดเช่น  ประโยคเงือนไขหรือได้เรียกเป็นชื่ออื่นคือ If clause หรือ Conditional Sentences  แต่ความหมายเดียวกัน คือประโยคที่มีสองส่วนที่ หนึ่งคือ if และสองคือส่วน main clause ที่เป็นประโยคส่วนที่เป็นผลลพธ์ 

ประโยคเงือนไข If clause แบ่งหลักๆได้เป็น 4 แบบที่มักจะเจอบ่อยๆ คือ
If clause แบบที่ 0 จะใช้กับสิ่งที่เป็นจริงเสมอ หรือสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปกติ
If clause แบบที่ 1 จะใช้กับเหตุการณ์สมมติที่น่าจะเกิดขึ้นในอนาคต
If clause แบบที่ 2 จะใช้กับเหตุการณ์สมมติในปัจจุบันหรืออนาคตที่มีโอกาสเป็นไปได้น้อย
If clause แบบที่ 3 จะใช้กับเหตุการณ์สมมติในอดีต ซึ่งไม่มีทางเป็นจริงได้
นอกจาก if clause ทั้ง 4 แบบแล้ว เรายังสามารถใช้แบบผสม (mixed type) ซึ่งจะใช้กับเหตุการณ์สมมติในอดีตที่ไม่เป็นจริง ที่มีผลมายังปัจจุบัน 

สรุปในตารางดังต่อไปนี้

ประเภทของประโยคเงื่อนไขการใช้tense ของคำกริยาใน If clausetense ของคำกริยาใน Main clasue0ความจริงทั่วไปSimple presentSimple presentแบบที่ 1สิ่งที่เป็นเหตุเป็นผลกับซึ่งกันและกันSimple presentSimple futureแบบที่ 2สิงที่ตรงกันข้ามกับความจริงในปัจจุบันหรือในอนาคตSimple pastPresent conditional หรือ Present continuous conditionalแบบที่ 3สิ่งที่ตรงกันข้ามกับความจริงในอดีตPast perfectPerfect conditionalแบบผสมสิ่งที่ไม่เป็นความจริงในอดีตและส่งผลต่อปัจจุบันPast perfectPresent conditional

เป็นยังไงบ้างคะกับการใช้ประโยคเงื่อนไข (Conditional Sentences) ฉบับอธิบายเข้าใจง่ายๆ กระจ่างสุดที่ Eng Breaking ได้นำมาแนะนำวันนี้คะ หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชต่อผู้เรียนทุกคน ต่อจากนี้เรื่องการใช้ประโยคเงื่อนไขคงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเราอีกต่อไปแล้วค่ะ อย่าลืมติดตามเราเพื่ออัพเดทข้อมูลพร้อมเทคนิคดีๆ ในการเรียนภาษาอังกฏษกันนะคะ เราเชื่อว่าคุณจะเป็นคนต่อไปที่สำเร็จในการเรียนค่ะ

[Update] จัดเต็ม! คําบุพบทภาษาอังกฤษ (Prepositions) ไวยากรณ์ที่น่ารู้ | play around แปลว่า – NATAVIGUIDES

คําบุพบทภาษาอังกฤษ – หนึ่งในปัญหาที่คนเรียนภาษาอังกฤษมักจะประสบก็คือ ด่านของ Grammar หรือ ไวยกรณ์ที่ไม่ว่าจะเรียนอย่างไรก็ยังใช้ไม่ถูกสักที คุณไม่ต้องกังวัลอีกต่อไปเพราะวันนี้ Eng Breaking ได้นำบทความดี ๆ เกี่ยวกับ คำบุพบท หรือ Preposition หนึ่งในไวยากรณ์ภาษาอังกฤษที่คนไทยส่วนใหญ่มักใช้ผิด มาเสิร์ฟให้คุณถึงที่ ถ้าพร้อมแล้วก็ไปดูกันเลย

สารบัญ

1 – คําบุพบทคืออะไร

คำบุพบท หรือ บุรพบท คือคำชนิดหนึ่งในไวยากรณ์ ทำหน้าที่เชื่อมคำต่อคำ มักจะอยู่หน้านาม สรรพนาม หรือกริยา ก็ได้ เพื่อแสดงความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกัน เช่น แสดงความสำพันธ์ระหว่างคำต่อคำ  เช่น นามต่อนาม,  กริยากับนาม,  กริยากับสรรพนาม  สรรพนามกับนาม, หรือนามกับสรรพนาม.

คําบุพบทภาษาอังกฤษ (Prepositions) เป็นส่วนไวยากรณ์ที่ยากมาก

2 – ตำแหน่งของคําบุพบท ภาษาอังกฤษ

2.1 – หลัง TO BE, นำหน้าคำนาม

+ The book is on the table = หนังสืออยู่บนโต้ะ
+ I will go abroad to study in Australia for 2 years = ฉันจะไปเรียนต่อต่างประเทศที่ออสเตรเลียเป็นเวลา 2 ปี

2.2 – หลังคำกริยา

อาจอยู่หลังคำกริยาทันทีหรืออาจมีคำอื่นระหว่างคำกริยาและคำบุพบท

+ I live in Bangkok = ผมอยู่ที่กรุงเทพมหานคร
+ Take off your hat! = ถอดหมวกของคุณออก!
+ I have an air-conditioner, but I only turn it on in summer = ฉันมีเครื่องปรับอากาศ แต่ฉันเปิดมันในฤดูร้อนเท่านั้น

2.3 – อยู่หลังคำคุณศัพท์

+ I’m not worried about living in a foreign country = ฉันไม่ได้กังวลเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในต่างประเทศ
+ He is not angry with you = เขาไม่ได้โกรธคุณ

3 – ประเภทของคำบุพบท

คำบุพบทแบ่งเป็นชนิดต่าง ๆ ซึ่งจะมีถึง 7 ชนิด

3.1 – คำบุพบทบอกสถานที่ (prepositions of place) เช่น at, on, in, etc.

ตัวอย่าง

  • John is at home now. แปลว่า ตอนนี้จอห์นอยู่ที่บ้าน
  • Harry is on the ship. แปลว่า แฮร์รี่อยู่บนเรือ
  • The Smiths are in Italy. แปลว่า ครอบครัวของสมิธอยู่ในอิตาลี

3.2 – คำบุพบทบอกตำแหน่ง (prepositions of position) เช่น above, beneath, behind, in front of, etc.

ตัวอย่าง

  • There is a big tree in front of Jane’s house.
  • Harry is hiding behind the bush.
  • Peter’s book is beneath Bean’s book.

3.3 – คำบุพบทบอกการเคลื่อนไหว (prepositions of motion) เช่น through, into, towards, out of, away from, etc.

ตัวอย่าง

  • The train is going through the tunnel.
  • Peter is walking towards the

    monument

    .

  • Ann is driving into the parking lot.

3.4 – คำบุพบทบอกทิศทาง (prepositions of direction) เช่น up, down, across, along, etc.

ตัวอย่าง

  • Susan is driving up the hill.
  • Peter is walking across the street.
  • Jane is walking along Chaeng Watthana Road.

3.5 – คำบุพบทบอกเวลา (prepositions of time) เช่น on, in, at, by, after, before, etc.

ตัวอย่าง

  • I play football on Monday.
  • I will finish the

    project

    in a year.

  • Jane gets up at six o’clock.
  • I arrived before Jim.

3.6 – คำบุพบทบอกลักษณะอาการ (prepositions of manner) เช่น in, with, without, etc.

ตัวอย่าง

  • Ann speaks in a very low voice.
  • Peter listened with great interest.
  • Nobody can live without hope.

3.7 – คำบุพบทบอกความสัมพันธ์ (prepositions of relationship) เช่น about, of, with, in, from, etc.

ตัวอย่าง

  • The children are talking about toys. เด็กๆ กำลังคุยกันเกี่ยวกับของเล่น
  • Bangkok is the capital of Thailand. กรุงเทพเป็นเมืองหลวงของประเทศไทย
  • The girl with long hair is my sister. ผู้หญิงที่มีผมยาวเป็นพี่สาวของฉัน
  • The boy in the blue suit is my son. ผู้ชายที่ใส่ชุดสีฟ้าเป็นลูกชายของฉัน

4 –

คำบุพบทภาษาอังกฤษที่มักใช้บ่อยที่สุด

เรียนภาษาอังกฤษทุกวันเพื่อได้ผลประสิทธิภาพสูงสุด

คำบุพบทต่อไปนี้เป็นคำที่ใช้กันบ่อย ๆ จะว่าเป็นคำพื้นฐานที่ต้องเรียนรู้และจดจำให้ได้ก็ไม่ผิดนะ

A

About — อ่านว่า เออะเบ๊า หมายความว่า เกี่ยวกับ, รอบ ๆ หรือ ทั่ว

  • This book is about love. แปลว่า หนังสือเล่มนี้เกี่ยวกับความรัก
  • The dog is running about the room. หมากำลังวิ่งทั่วห้อง

Above — อ่านว่า เออะเบิ๊ฝ หมายความว่า เหนือ, เกิน

  • There’s a spider above the bed. มีแมงมุมตัวหนึ่งอยู่เหนือเตียง
  • This toy is for children above 10. ของเล่นชิ้นนี้เหมาะสำหรับเด็กอายุ 10 ปีขึ้นไป

Across — หมายความว่า ข้าม, ตรงกันข้าม

  • The boy is walking across the street. เด็กชายคนหนึ่งกำลังเดินข้ามถนน
  • My house is across the road. บ้านของฉันอยู่ฝั่งตรงกันข้ามถนน

After — หมายความว่า หลัง, หลังจาก

  • Do you believe in life after death? คุณเชื่อในเรื่องของชีวิตหลังความตายหรือเปล่า
  • She eats breakfast after she takes a bath. หล่อนกินอาหารเช้าหลังจากหล่อนอาบน้ำ

Against — หมายความว่า ต่อต้าน, คัดค้าน, ต้าน, พิง

  • Most people voted against the new dam. คนส่วนมากโหวตคัดค้านเขื่อนแห่งใหม่
  • We’re cycling against the wind. พวกเรากำลังปั่นจักรยานต้านลม
  • He’s leaning against the wall. เขากำลังเอนหลังพิงกำแพง

Along — หมายความว่า ไปตาม

They’re walking along the beach. พวกเขากำลังเดินไปตามชายหาด

Amid(st) — หมายความว่า ในท่ามกลาง

We are camping in the forest amid the tall trees. พวกเราตั้งแคมป์ในป่าท่ามกลางต้นไม้สูง

Among —  หมายความว่า ในท่ามกลาง

The little kids are standing among the crowd. เด็กตัวเล็กกำลังยืนอยู่ในท่ามกลางฝูงชน

Around — หมายความว่า รอบ ๆ

  • The earth goes around the sun. โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์
  • The kids are sitting around the teacher. เด็กนั่งล้อมรอบครู

At — หมายความว่า ที่, เวลา, มาที่, ไปที่, ในเรื่อง

  • She’s at home. แปลว่า หล่อนอยู่ที่บ้าน
  • I get up at six o’clock. ฉันตื่นนอนเวลา 6 นาฬิกา
  • She’s looking at me. หล่อนกำลังมองมาที่ฉัน
  • Sam is pointing at the lion. แซมกำลังชี้ไปที่สิงโต
  • We’re not good at sports. พวกเราไม่เก่งในเรื่องกีฬา

B – E

Before — หมายความว่า ก่อน

Please come back before noon. กรุณากลับมาก่อนเที่ยง

Behind — หมายความว่า ข้างหลัง

The little boy is standing behind his dad. เด็กชายตัวน้อยกำลังยืนอยู่ข้างหลังพ่อของเขา

Below — หมายความว่า ข้างใต้, ต่ำกว่า

  • Your name is below mine. ชื่อของคุณอยู่ใต้ชื่อของฉัน
  • Your score is below average. คะแนนของคุณต่ำกว่าค่าเฉลี่ย

Beneath — หมายความว่า ใต้

The cat is sleeping beneath the chair. แมวกำลังนอนหลับอยู่ใต้เก้าอี้

Beside — หมายความว่า ข้าง ๆ

Come and stand beside me! มายืนข้าง ๆ ฉัน

Besides — หมายความว่า นอกเหนือ, นอกจาก

Can you sing other songs besides Chang Chang Chang? คุณร้องเพลงอื่นเป็นไหมนอกจากช้าง ๆ ๆ

Between — หมายความว่า ระหว่าง

Sam sits between Jand and me. แซมนั่งระหว่าเจนกับฉัน

Beyond —  หมายความว่า เกิน, เหนือ, เลย

  • Not every dog lives beyond 20 years. ไม่ใช่หมาทุกตัวที่จะมีชีวิตอยู่ได้เกิน 20 ปี
  • My house is beyond the bridge. บ้านของฉันอยู่เลยสะพานไป

During — หมายความว่า ในช่วง

Some students play in the playground during the recess. นักเรียนบางคนเล่นในสนามเด็กเล่นในช่วงเวลาพัก

Except — หมายความว่า ยกเว้น

Dad works everyday exept Sundays. พ่อทำงานทุกวันยกเว้นวันอาทิตย์

F – W

For — หมายความว่า สำหรับ, เพื่อ

My love is for you only. ความรักของฉันมีไว้สำหรับคุณเท่านั้น

In — หมายความว่า ใน

Mom is in the kitchen. แม่อยู่ในห้องครัว

Into — หมายความว่า ไปใน

The cat ran into the room. แมววิ่งเข้าไปในห้อง

Of — หมายความว่า ของ, แห่ง

  • It’s on the back of the book. มันอยู่ด้านหลังของหนังสือ
  • Thailand is the land of smile. ประเทศไทยคือดินแดนแห่งรอยยิ้ม

On — หมายความว่า บน

Your book is on the table. หนังสือของคุณอยู่บนโต๊ะ

Over — หมายความว่า เหนือ

The birds are flying over the house. นกกำลังบินอยู่เหนือบ้าน

Past — หมายความว่า ผ่าน

They are walking past the shop. พวกเขากำลังเดินผ่านร้านไป

Through — หมายความว่าผ่าน, ตลอด,

The sun is shining through the window. ดวงอาทิตย์กำลังส่องแสงผ่านมาทางหน้าต่าง

To — หมายความว่า ไปสู่

She walks to school every day. หล่อนเดินโรงเรียนทุกวัน

Under — หมายความว่า ใต้

The cat is under the chair. แมวอยู่ใต้เก้าอี้

Underneath — หมายความว่า ใต้

They found a snake underneath the bed. พวกเขาพบงูตัวหนึ่งอยู่ใต้เตียง

Until — หมายความว่า จนถึง, จนกระทั่ง

I will wait for you until noo. ฉันจะคอยคุณจนถึงเที่ยง

With — หมายความว่า กับ

I live with my parents. ฉันอาศัยอยู่กับพ่อแม่

Without

— หมายความว่า  ไม่มี, ปราศจาก

I never go out wihout my an umbrella. ฉันไม่เคยออกไปข้างนอกโดยไม่มีร่ม

5 – วิธีการออกเสียงคำบุพบทภาษาอังกฤษทั่วไป

About  (อะเบาท์)   =   เกี่ยวกับ
Above  (อะโบฟว)   =   ข้างบน
According to  (อะคอดิง ทู)   =   ตามที่
Across  (อะครอส)   =   ข้าม
After  (อาฟเทอะ)   =   ภายหลัง
Against  (อะเกนซท์)   =   ต่อต้าน
Along  (อะลอง)   =   คล้ายกับ
Alongside  (อะลองไซด์)   =   อยู่ข้าง ๆ
Among  (อะมอง)   =   ท่ามกลาง
Anyone  (เอนนีวัน)   =   ใคร ๆ
Anything  (เอนนีธิง)   =   ใด ๆ
Around  (อะราวนด์)   =   รอบ ๆ
At  (แอท)   =   ที่
Before  (บิฟอ)   =   ก่อน
Behind  (บีไฮนด์)   =   ล้าหลังกว่า
Below  (บิโลว)   =   ข้างล่าง
Beside  (บีไซด์)   =   อยู่ข้าง
Between  (บีทวีน)   =   อยู่ระหว่างสิ่งสองสิ่ง
Beyond  (บิยอนด์)   =   ที่เหนือกว่า (แสดงถึงขอบเขต, ข้อจำกัด)
By  (บาย)   =   โดย
Considering  (เคินซิดดะริง)   =   ในความคิดของ
Despite  (ดิสไปท์)   =   ถึงอย่างไรก็ตาม
Down  (เดาน์)   =   ลงไปตาม
During  (ดูวริง)   =   ในระหว่าง
Each  (อีซ)   =   แต่ละ
For  (ฟรอ)   =   เพื่อ
From  (ฟรอม)   =   จาก
In  (อิน)   =   ใน
Into  (อินทู)   =   เข้าไปใน
Nobody  (โนบะดี)   =   ไม่มีใคร

ยังมีต่อ

Of  (ออฟ)   =   ของ
Off  (ออฟ)   =   ออกจาก
On  (ออน)   =   บน
Instead of  (อิน สเตด ออฟ)   =   แทนที่
On  (ออน)   =   ที่ (ใช้บอกสถานที่)
Near  (เนียร์)   =   ใกล้
On the corner  (ออน เดอะ คอเนอะ)   =   อยู่แยก
Under  (อันเดอะ)   =   ใต้
On the left  (ออน เดอะ เลฟท์)   =   อยู่ด้านซ้าย
In front of  (อิน ฟรอนท์ ออฟ)   =   ตรงข้างหน้า
On the right  (ออน เดอะ ไรท์)   =   อยู่ด้านขวา
On time  (ออน ไทม์)   =   ตรงตามกำหนดเวลา
Onto  (ออนทู)   =   ไปยัง
Opposite  (ออฟพะซิท)   =   ตรงกันข้าม
Over  (โอเวอะ)   =   เหนือ
Regarding  (ริกาดิง)   =   เกี่ยวกับ
Since  (ซินซ์)   =   ตั้งแต่
Surely  (ชัวลี)   =   อย่างแน่นอน
Through  (ธรูู)   =   เนื่องจาก
Throughout  (ธรูเอาท์)   =   โดยตลอด
Till  (ทิล)   =   จนกระทั่ง
To  (ทู)   =   ไปถึง
Toward  (ทะวอด)   =   ไปสู่
Under  (อันเดอะ)   =   ใต้
Underneath  (อันเดอะนีธ)   =   ภายใต้
Up  (อัพ)   =   ข้างบน
Upon  (อะพอน)   =   บน
Versus  (เวอเซิซ)   =   ต่อสู้กับ
Via  (เวีย)   =   ด้วยวิธีการ
With  (วิธ)   =   เกี่ยวกับ
Within  (วิธิน)   =   ภายใน
Without  (วิเธาท์)   =   โดยปราศจาก

สรุป

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ กับบทความเรื่อง Preposition หรือคำบุพบทที่ทาง Eng Breaking ได้นำมาเสิร์ฟให้คุณถึงที่ เห็นไหมล่ะคะ หากเรารู้หลักการใช้ที่ถูกต้อง ภาษาอังกฤษก็กลายเป็นเรื่องง่ายนิดเดียว แต่ถึงอย่างไรก็อย่าลืมหมั่นทบทวนและหมั่นฝึกฝนภาษาอังกฤษอยู่เป็นประจำนะคะ Practice makes perfect การฝึกฝนบ่อย ๆ จะทำให้เกิดความชำนาญ ไว้ครั้งหน้าอย่าลืมมาติดตามบทความดี ๆ เกี่ยวกับการเรียนภาษาอังกฤษจาก Eng Breaking ว่ามาจะมีสาระน่ารู้ดี ๆ อะไรมาฝากกันอีก สำหรับวันนี้สวัสดีค่ะ


United | Playing For Change | Song Around the World


This song is featured as a bonus track on our latest album, PFC3: Songs Around The World Vinyl! Get it here: http://bit.ly/2lQhkaK
In 2011, Playing For Change joined forces with the United Nations Population Fund and the Millennium Development Goals Achievement Fund for UNFPA’s 7 Billion Actions campaign. By the end of that year, the world population reached 7 billion, and this global campaign strove to bring awareness to the opportunities and challenges that the population growth would present. 7 billion people means 7 billion hearts, and music has always been the best way to speak to the hearts of the people. We traveled across the globe, put headphones on musicians, added them to the track, and created “United,” which serves as a tangible example of something positive we can all do together as a human race.
JOIN THE MOVEMENT
Subscribe to our mailing list: www.bit.ly/1x9CAfJ
Become a member: http://bit.ly/JoinAndSupportPFC
GET SOCIAL
https://www.facebook.com/PlayingForChange
https://twitter.com/playing4change
http://instagram.com/playing4change
Playing For Change (PFC) is a movement created to inspire and connect the world through music, born from the shared belief that music has the power to break down boundaries and overcome distances between people. The primary focus of PFC is to record and film musicians performing in their natural environments and combine their talents and cultural power in innovative videos called Songs Around The World. Creating these videos motivated PFC to form the Playing For Change Band—a tangible, traveling representation of its mission, featuring musicians met along their journey; and establish the Playing For Change Foundation—a separate 501(c)3 nonprofit organization dedicated to building music and art schools for children around the world. Through these efforts, Playing For Change aims to create hope and inspiration for the future of our planet.
To learn more about the work of the PFC Foundation, visit http://www.playingforchange.org

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูเพิ่มเติม

United | Playing For Change | Song Around the World

Everyday People feat. Jack Johnson, Jason Mraz, Keb’ Mo’ | Turnaround Arts | Playing For Change


We are proud and honored to share “Everyday People,” produced by Playing For Change in partnership with Turnaround Arts.
Turnaround Arts infuses struggling schools with arts as a strategy for reform. The program was founded by President Obama’s Committee on the Arts and Humanities and is now run by the John F. Kennedy Center for the Performing Arts.
Turnaround Arts currently works in 73 schools, 38 districts, and 17 states and the District of Columbia.
\”Everyday People\” features Turnaround Arts students alongside their Turnaround Artists including Jack Johnson, Jason Mraz, Paula Abdul, Misty Copeland, Elizabeth Banks, Keb’ Mo, Forest Whitaker, and many more performing this timely song by Sly and the Family Stone.
This video was created to inspire the idea that all children deserve access to the arts in school and that the arts have the power to create change.
Learn more about Turnaround Arts at http://turnaroundarts.kennedycenter.org
Twitter: @TurnaroundArts
Facebook: @TurnaroundArts
Instagram: @turnaroundartsnational

Playing For Change is a movement created to inspire and connect the world through music, born from the shared belief that music has the power to break down boundaries and overcome distances between people. Our primary focus is to record and film musicians performing in their natural environments and combine their talents and cultural power in innovative videos we call Songs Around The World. Creating these videos motivated us to form the Playing For Change Band—a tangible, traveling representation of our mission, featuring musicians met along our journey; and establish the Playing For Change Foundation—a separate 501(c)3 nonprofit organization dedicated to building music and art schools for children around the world. Through these efforts, we aim to create hope and inspiration for the future of our planet.
Learn more: http://playingforchange.com
Twitter: @playing4change
Facebook: @PlayingForChange
Instagram: @playing4change

“Everyday People”
Written by Sly Stewart
© Mijac Music. Administered by Sony/ATV Music Publishing

Everyday People feat. Jack Johnson, Jason Mraz, Keb' Mo' | Turnaround Arts | Playing For Change

Girlschool Play Around


Girlschool   Play Around

Girlschool – Hit And Run (TOTP 1981) HD


Girlschool Hit And Run (TOTP 16.04.81)

Girlschool - Hit And Run (TOTP 1981) HD

Build: Architecture 2021 | Full Event Video | Unreal Engine \u0026 Twinmotion


Watch the full recording of Build: Architecture 2021 here. For more information on using interactive 3D technology for architecture, visit: https://www.unrealengine.com/enUS/solutions/architecture
To learn more about the announcements made during the event, please visit our landing page: https://www.unrealengine.com/enUS/events/buildarchitecture2021
Build: Architecture 2021 may be over, but that doesn’t mean you have to miss out on the fascinating presentations we saw at the event.
In this full recording from the day, you’ll hear from some of the architecture industry’s most forwardthinking companies on how they’re integrating realtime technology into their processes.
Zaha Hadid Architects, BIG, Buildmedia, Vouse, Foster + Partners, HOK, and more showcase their latest projects leveraging Unreal Engine and Twinmotion.
We explore topics including the art of storytelling in architectural design, how Unreal Engine helps break through the barriers of traditional visualization, and what evermore immersive open worlds and digital twins mean for the industry.
Ready to be inspired? Check out the video today!
Twinmotion Archviz BuildArchitecture21 UnrealEngine RealTime Visualization Architecture HOK Buildmedia Foster+Partners Vouse CannonDesign BjarkeIngelsGroup PureBlink ZahaHadidArchitects Cesium DigitalTwins AEC

Build: Architecture 2021 | Full Event Video | Unreal Engine \u0026 Twinmotion

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูวิธีอื่นๆLEARN FOREIGN LANGUAGE

ขอบคุณมากสำหรับการดูหัวข้อโพสต์ play around แปลว่า

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *