Skip to content
Home » [Update] Question Sentences ประโยคคำถาม | present simple tense ประโยคคําถาม – NATAVIGUIDES

[Update] Question Sentences ประโยคคำถาม | present simple tense ประโยคคําถาม – NATAVIGUIDES

present simple tense ประโยคคําถาม: นี่คือโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้

Post on 16 / 02 / 20

by: English Hero

1.6K viewed

ประโยคคำถาม (Question Sentences หรือ Interrogative sentence)

 

      หมายถึง ประโยคหรือกลุ่มคำที่ผู้พูดหรือผู้เขียนต้องการให้ผู้ฟังหรือผู้อ่านให้คำตอบ ซึ่งอาจจะเป็นคำตอบสั้น ๆ ว่า  yes  หรือ  no  หรือเป็นคำตอบที่เป็นคำเดียว เป็นกลุ่มคำ หรือเป็นประโยค 

 

ประเภทของประโยคคำถาม

 

1. Yes/No questions

  1. Yes/No questions  ได้แก่คำถามที่ผู้ตอบมักจะต้องตอบรับหรือตอบปฏิเสธ คือ ตอบ  yes หรือ  no  คำถามประเภทนี้ สร้างขึ้นจากประโยคบอกเล่า  ในประโยคที่ใช้ tense ต่าง ๆที่มีกริยาช่วย หรือในประโยค ที่มี BE เป็นกริยาแท้เป็น   present simple tense หรือ past simple tense มักวางประธานและกริยา สลับที่กันกลายเป็นประโยคคำถาม Yes/No questions  การตอบคำถามส่วนมากจะเริ่มด้วยคำตอบ yes หรือ no  ตามข้อเท็จจริงที่ผู้ตอบต้องการสื่อและตามด้วยข้อมูลเพิ่มเติมซึ่งอาจจะเป็นข้อความสั้น ๆ ที่อยู่ในรูปของ  declarative sentence

กริยาช่วย + ประธาน + กริยาแท้……..?

Declarative Sentence

Question

Answer

That is our new English teacher.

Is that our new English teacher?

Yes./ Yes, that’s right./ Yes, it is.

I am from Thailand.

Are you from Thailand?

Yes, I am.

He is studying at my university.

Is he studying at your university?

Yes, he is. 

He has left for the airport.

Has he left for the airport?

Yes./ Yes, he has.

 

                    

 

     ประโยคที่มีกริยาอื่น ๆ เช่น walk, play, leave, study, etc.  เป็นกริยาแท้และอยู่ใน present simple tense ต้องใช้กริยาช่วย  do  หรือ  does ในประโยคคำถาม  ดังตัวอย่าง  

 

Declarative Sentence

Question

Answer

He walks to school.

Does he walk to school?  

Yes./ Yes, he does.

They play tennis.

Do they play tennis?

Yes, they do./ No, they don’t.

I play badminton.      

Do you play badminton?      

Yes, I do./ No, I don’t.

We like Italian food.

Do you like Italian food?

Yes, we do./ No, we don’t.

 

ใช้กริยาช่วย  did ในประโยคที่มีกริยาแท้อยู่ใน past simple tense เมื่อเปลี่ยนประโยคบอกเล่าเป็นประโยคคำถาม   ดังตัวอย่าง

Declarative Sentence

Question

Answer

Korn studied in Bangkok.

Did Korn study in Chiang Rai?

No, he didn’t.  He studied in Bangkok.

The boys studied in Bangkok.

Did the boys study in Bangkok?

Yes, they did./ No, they didn’t.

 


                    
ในประโยคที่มี  do  และ have เป็นกริยาแท้และอยู่ใน present simple tense ต้องใช้กริยาช่วย  do  หรือ  does ในประโยคคำถาม  และใช้กริยาช่วย  did เมื่อ do  หรือ have อยู่ใน past simple tense  ดังตัวอย่าง  

Declarative Sentence

Question

Answer

He does his homework after school.

Does he do his homework after school?  

Yes, he does./ No, he doesn’t.

They always do the work by themselves.

Do they always do the work by themselves?

Yes, they do./ No, they don’t.

I did that alone. 

Did you do that alone?      

Yes, I did./ No, I didn’t.

We have Italian food once a week.

Do you have Italian food once a week?

Yes, we do./ No, we don’t.

We had Chinese food yesterday.

Did you have Chinese food yesterday?

Yes, we did./ No, we didn’t.

 

2. Wh-questions

  1. Wh-questions ได้แก่คำถามที่ผู้ตอบจะต้องให้ข้อมูลแก่ผู้ถามตาม Wh-word ที่วางไว้ต้นประโยคคำถาม เช่น

                          Q:  Where did Korn study?  

                          A:  He studied in Bangkok.   

                        Wh-words ซึ่งใช้นำหน้าประโยคคำถาม ได้แก่คำต่อไปนี้    who (ใคร = subject), whom (ใคร = object), what (อะไร = subject และ object), when (เมื่อไร), where (ที่ไหน),

how (อย่างไร), which (คน/อัน/สิ่งไหน), whose (ของใคร), why (ทำไม) การสร้างประโยคคำถามด้วย Wh-words

                    2.1 Who ใช้เมื่อถามถึงประธานของประโยคที่เป็นคน

การเรียงคำในประโยคคำถามเหมือนการเรียงคำในประโยคบอกเล่าดังนี้

Wh-word (= ประธานของประโยค) + กริยา (= present simple หรือ past simple)?

Wh-word (= ประธานของประโยค) + กริยา (= aux. verb + main verb เมื่อเป็น tense อื่น)?  

                      นอกจาก  who ที่ใช้ถามถึงประธานของประโยคแล้วยังใช้ what, which, whose, how many ได้ ซึ่งเรียงคำในประโยคแบบเดียวกับ  who 

                    2.2 Whom ใช้เมื่อถามถึงบุคคลที่เป็นกรรมของประโยค 

                      หมายเหตุ  ปัจจุบันนิยมใช้  who  แทน  whom  โดยเฉพาะในภาษาพูดและภาษาไม่เป็นทางการ

                      การเรียงคำในประโยคคำถาม   ประธานของประโยค จะต้องวางสลับกับ กริยาช่วย  ดังนี้

                      – ในประโยคที่ใช้ tense ต่าง ๆ ที่มีกริยาช่วย วางประธานและกริยาช่วยสลับที่กัน   ในประโยคที่มี BE เป็นกริยาแท้ อยู่ใน  present simple tense หรือ past simple tense ต้องวางประธานและกริยา BE สลับที่กัน 

                  – ในประโยคที่มีกริยาอื่น เช่น  walk, buy, come, etc. เป็นกริยาแท้ อยู่ใน  present simple ต้องใช้ does วางหน้าประธานที่เป็นบุรุษที่ 3 เอกพจน์  และใช้ do  วางหน้าประธานที่เป็นบุรุษอื่น ๆ  แล้วเปลี่ยนกริยาแท้ให้อยู่ในรูป V base form วางไว้หลังประธาน  ถ้ากริยานั้นเป็น  past simple ให้ใช้  did วางหน้าประธานได้ทุกบุรุษ แล้วเปลี่ยนกริยาแท้ให้อยู่ในรูป  V base form วางไว้หลังประธาน

 

                 2.3 Whose ใช้เพื่อถามว่าใครเป็นเจ้าของของสิ่งของสิ่งหนึ่งหรือจำนวนหนึ่ง  ใช้คังนี้

                           whose:  Whose are these?   หรือ

                           whose + noun:  Whose car ran the fastest?  ประโยคคำถามนี้  “Whose car”

                  เป็นประธานของประโยค  รูปประโยคมีลักษณะดังนี้

                           whose + noun (= ประธานของประโยค) + กริยา (= present simple หรือ past simple)

                           Whose book are you reading? ประโยคคำถามนี้  Whose book เป็นกรรมของประโยค

                   รูปประโยคมีลักษณะดังนี้

                           whose + noun (=กรรม) + กริยาช่วย + ประธาน + กริยาแท้

 

                   2.4 Which  ใช้เพื่อถามว่า คนไหน/อันไหน/สิ่งไหน   ใช้ในลักษณะเดียวกับ whose คือมีนามตามมา หรือไม่มีคำนามตามมา   และใช้เป็นประธานหรือกรรมของประโยคก็ได้  เช่น

                           Which car ran the fastest? (Which car = subject) การเรียงคำในประโยคมีลักษณะดังนี้ 

                           which + noun (= ประธานของประโยค) + กริยา (= present simple หรือ past simple)

                           Which book did you buy? (Which book = object) การเรียงคำในประโยคมีลักษณะดังนี้ 

                           which + noun (= กรรม) + กริยาช่วย + ประธาน + กริยาแท้

 

                      2.5 What  มีความหมายว่าอะไร  ส่วนมากใช้เพื่อถามถึงสิ่งของ  มีคำนามตามมาหรือไม่มีคำนามตามมาก็ได้  และใช้เป็นประธานหรือกรรมของประโยคได้   เช่น

                   What made that noise? (What = subject)

                   What animals live on plants?  (What animals = subject) การเรียงคำในทั้ง 2 ประโยค มีลักษณะดังนี้

                   what/ what + noun (= ประธานของประโยค) + กริยา(= present simple หรือ past simple)                                  

                   What did he drink? (What = object)

                   What musical instrument does he play? (What musical instrument = object)

                      การเรียงคำในทั้ง 2 ประโยคมีลักษณะดังนี้ 

                    what/ what + noun (= กรรม) + กริยาช่วย + ประธาน + กริยาแท้

 

                      2.6 When  มีความหมายว่าเมื่อไร ใช้ถามถึงเวลาซึ่งทำหน้าที่เป็นส่วนขยายของประโยค   เช่น

                           When did he leave?

                           When will they arrive?

                      การเรียงคำในทั้ง 2 ประโยคมีลักษณะดังนี้ 

                           when + กริยาช่วย + ประธาน + กริยาแท้

 

                      2.7 Where มีความหมายว่าที่ไหน  ใช้ถามถึงสถานที่   ซึ่งทำหน้าที่เป็นส่วนขยายของประโยค เช่น

                                  Where are the boys?

                                  Where were the boys?

                           ใน  2  ประโยคนี้มี BE เป็นกริยาแท้ อยู่ใน present simple tense และ past simple tense

                      ต้องวางประธานและกริยา BE สลับที่กันดังนี้ 

                           where +  BE  (= กริยาแท้) + ประธาน

                                 Where did he study?

                                  Where are they going?

                           ในประโยคที่กริยาแท้เป็นกริยาอื่น เช่น study, go walk, eat, etc. การเรียงคำในประโยค

                      ต้องมีลักษณะดังนี้ 

                           where + กริยาช่วย + ประธาน + กริยาแท้

 

 

                      2.8 Why มีความหมายว่าทำไม ใช้ถามถึงเหตุผล ซึ่งทำหน้าที่เป็นส่วนขยายของประโยค เช่น

                           Why did he leave early?

                           Why is he crying?

                      การเรียงคำในทั้ง 2 ประโยคมีลักษณะดังนี้ 

                           why + กริยาช่วย + ประธาน + กริยาแท้

 

                      2.9 How มีความหมายว่าอย่างไร  ใช้ถามถึงลักษณะการกระทำว่าเป็นอย่างไร

                                      -ทำหน้าที่เป็นส่วนขยายของประโยค  

                           Ex:   How are the boys?

                                   How were the boys?

                           ใน 2 ประโยคนี้มี BE เป็นกริยาแท้ อยู่ใน  present simple tense และ past simple tense ต้องวางประธานและกริยา  BE  สลับที่กันดังนี้ 

                           how +  BE  (= กริยาแท้) + ประธาน

                           Ex:   How did he go to school?

                                    How are they going to the station?

                           ในประโยคที่กริยาแท้เป็นกริยาอื่น เช่น study, go, walk, eat, etc.

                      การเรียงคำในประโยค ต้องมีลักษณะดังนี้ 

                           how + กริยาช่วย + ประธาน + กริยาแท้

                           how ใช้กับคำคุณศัพท์หรือคำกริยาวิเศษณ์ได้  เช่น

                           How old is the boy?

                           How often did he go to the cinema?

                           How many people came to the party?

                           How much water must we drink?

                           สำหรับ  how many + N และ how much + N  ใช้เป็นประธานได้และเรียงคำในประโยคเหมือน who  หรือใช้เป็นกรรมของประโยคและเรียงคำในประโยคเหมือน whom

 

 

 

ตัวอย่างการตั้งคำถามและการตอบคำถามให้สอดคล้องกับคำถาม

QUESTION

ANSWER

Wh-word as subject

Aux. verb       

Main verb  

Others (Adv. / Prep phr.)

Who

 

came

yesterday?

Lily.

Who

 

is

in the room?

Peter.

Who

has

got

John’s address?

The secretary.

Which boy

 

won

the game?

Henry from Class A.

Whose student

is going to 

enter

the competition?

Mr. Brown’s.

What

 

made

him cry?

The loud noise.

 

 

 

การเรียงคำในประโยคคำถามข้างต้นเหมือนในประโยคบอกเล่า

QUESTION

ANSWER

WH-word

Aux. verb  

Subject  

Aux. verb

Main verb

Others (Adv./Prep phr.)

Whom

did

you

 

ask?

 

His father.

What

is

he

 

doing?

 

He’s studying for the exam.

Why

did

she

 

leave

early?

She wasn’t feeling well.

When

will

he

 

move

to Bangkok ?

Soon./ Next month.

Where

does 

he

 

live?

 

He lives on Wireless Road.

How

did

you

 

open

that can?

I used this opener.

How long

has

he

been

working

there?

For 4 years.

                      การเรียงคำในประโยคคำถามข้างต้น   ประธานของประโยค จะต้องวางสลับกับกริยาช่วย 
                      การตอบคำถามผู้ตอบจะต้องให้ข้อมูลแก่ผู้ถามตาม Wh-word ที่วางไว้ต้นประโยคคำถาม 

 

 

3. Tag Questions

  1. Tag Questions ได้แก่คำถามที่ส่วนหน้าเป็นรูปประโยคบอกเล่าหรือรูปประโยคปฏิเสธ และต่อท้ายหรือต่อส่วนสร้อยด้วยข้อความสั้น ๆ มีรูปเป็นคำถามคือ วางประธานและกริยาสลับที่กัน Tag question มีโครงสร้างดังนี้

                           ประโยคบอกเล่า, ส่วนสร้อยกริยาอยู่ในรูปปฏิเสธ 

                           ผู้ถามคาดหวังคำตอบ yes  

                                Peter has already gone home, hasn’t he?

                                ประโยคปฏิเสธ, ส่วนสร้อยกริยาอยู่ในรูปบอกเล่า

                                ผู้ถามคาดหวังคำตอบ no  

                                Peter hasn’t gone home yet, has he?

                           ส่วนที่เป็นคำถามต่อท้ายของ tag question จะประกอบด้วยกริยาช่วยและประธานที่เป็นคำสรรพนาม กริยาช่วยจะเป็นกริยาช่วยตัวเดียวกับที่อยู่ในส่วนหน้า  แต่เป็นรูปที่ต่างกัน คือ ถ้าส่วนหน้าเป็นรูปประโยคบอกเล่า  กริยาช่วยส่วนท้ายจะเป็นรูปปฏิเสธย่อ   ถ้าส่วนหน้าเป็นรูปประโยคปฏิเสธ กริยาช่วยส่วนต่อท้ายจะเป็นบอกเล่า   เช่น

                                John can come, can’t he?

                                John can’t come, can he?

                                Your sister has arrived, hasn’t she?

                                Your sister hasn’t arrived, has she?

                                Henry is working in the garden, isn’t he?

                                Henry isn’t working in the garden, is he?

                           ถ้าประโยคบอกเล่าส่วนหน้ามีกริยาแท้ที่เป็น present tense  ส่วนสร้อยจะต้องใช้ don’t  หรือ  doesn’t  แทนกริยาเดิม   ถ้ากริยาแท้เป็น past tense ส่วนสร้อยจะต้องใช้ didn’t  เช่น

                                You like Chinese food, don’t you?

                                He always comes to class late, doesn’t he?

                                Jim came home late, didn’t he?

                           ถ้าประโยคบอกเล่าส่วนหน้ามีกริยา BE หรือ have  เป็นกริยาแท้  ส่วนสร้อยจะใช้กริยา BE หรือ have  รูปปฏิเสธ  เช่น

                                He was late, wasn’t he?

                                She has two children, hasn’t she?

                                แต่   I am late, aren’t I?  (รูปปฏิเสธของ am  ให้ใช้  aren’t)

                           การทำประโยคคำสั่งเป็น tag question   ให้เติม   ‘will you?’/ ‘won’t you?’/ ‘can’t you?’ ต่อท้ายซึ่งใช้เมื่อพูดขอร้องโดยอาจจะแสดงถึงความรำคาญ หรือในการเชื้อเชิญอย่างเป็นกันเอง  และสำหรับพูดขอร้องธรรมดา อาจจะใช้  could you?/ can you?/ would you? ต่อท้ายประโยคคำสั่ง   เช่น 

                                Stop talking, will you?

                                Sit down, will you?

                                Stop making that noise, can you?

                                Come a little bit early, can you?

 

 

ที่มา: http://www.stou.ac.th/schools/sla/b.a.english

 

[Update] Present simple tense คืออะไร มีการใช้อย่างไร | present simple tense ประโยคคําถาม – NATAVIGUIDES

Present simple tense เป็น tense พื้นฐานที่มีโครงสร้างเรียบง่ายมากที่สุด แต่ก็ถือว่ามีความสำคัญมาก เพราะเป็นหนึ่งใน tense ที่ใช้บ่อย และเป็นพื้นฐานของแกรมม่าหัวข้ออื่นๆอีกมากมาย

สำหรับใครที่ยังไม่ค่อยแม่นเรื่อง present simple tense ในบทความนี้ ชิววี่ก็ได้เรียบเรียงเนื้อหามาให้ได้เรียนรู้กันแบบง่ายๆแล้ว เอาล่ะ ถ้าเพื่อนๆพร้อมแล้ว เราไปดูกันเลย

Present simple tense คืออะไร

Present simple tense คือรูปคำกริยาที่ใช้กับข้อเท็จจริงทั่วไป สิ่งที่เป็นกิจวัตร หรือแผนการและตารางเวลา ซึ่งจะใช้คำกริยาช่อง 1 (เช่น go, come, eat) อย่างเช่น

I go to school every day.
ฉันไปโรงเรียนทุกวัน

แต่ถ้าประธานเป็นเอกพจน์บุรุษที่ 3 เราจะต้องใช้คำกริยารูป s/es แทน (เช่น goes, comes, eats) อย่างเช่น

He goes to school every day.
เขาไปโรงเรียนทุกวัน

โครงสร้าง present simple tense

เมื่อเทียบกับ tense อื่นๆ present simple tense นั้นถือว่ามีโครงสร้างที่เรียบง่าย โดยหัวใจหลักอย่างหนึ่งของมันก็คือการใช้คำกริยาช่อง 1

แต่ present simple tense ก็มีความซับซ้อนนิดหน่อยตรงที่ว่า จะมีการใช้คำกริยารูป s/es ด้วย โดยจะมีหลักการคือ

  • ถ้าประธานเป็นพหูพจน์ (เช่น we, they, boys, teachers, cats, pens) หรือเป็นเอกพจน์บุรุษที่ 1 และ 2 (I และ you) เราจะต้องใช้คำกริยารูปปกติ (เช่น go, come, eat)
  • ถ้าประธานเป็นเอกพจน์บุรุษที่ 3 (เช่น he, she, it, boy, teacher, cat, pen) เราจะต้องใช้คำกริยารูปที่เติม s/es (เช่น goes, comes, eats)

นอกเหนือจากนี้แล้ว ยังมีประเด็นในเรื่องชนิดของประโยคอีก ซึ่งประโยคแต่ละชนิด อย่างเช่น ประโยคบอกเล่า ประโยคปฏิเสธ และประโยคคำถาม ก็จะมีโครงสร้างและรายละเอียดการใช้ tense ที่ต่างกัน ซึ่งก็คือ

ทบทวนความรู้
Subject แปลว่า ประธาน
Verb แปลว่า คำกริยา
Object แปลว่า กรรม หรือ ผู้ถูกกระทำ เช่นในประโยค I love you.
Complement แปลว่า ส่วนเติมเต็ม ซึ่งก็คือคำที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประธาน เวลาใช้มักจะตามหลัง linking verb (เช่น is, am, are, feel, seem) เช่นในประโยค I am a student.

ประโยคบอกเล่า

การใช้ present simple tense ในประโยคบอกเล่า จะมีโครงสร้างและตัวอย่างประโยคดังนี้

โครงสร้าง
Subject + verb 1 + (object/complement)

ตัวอย่างประโยคเช่น

I love my cat.
ฉันรักแมวของฉัน

The sun rises in the east.
พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก

ประโยคปฏิเสธ

การใช้ present simple tense ในประโยคปฏิเสธ จะมีโครงสร้างหลักๆ 2 แบบ คือ

1. ประโยคที่ใช้ verb to be เป็นคำกริยาหลัก

ถ้าประโยคมี verb to be (is, am, are) เป็นคำกริยาหลัก เราสามารถใช้ not หลัง verb to be ได้เลย โดยเราสามารถเขียนย่อ is not ให้เป็น isn’t และย่อ are not ให้เป็น aren’t ได้ แต่สำหรับ am not นั้น เราจะไม่ใช้รูปย่อ

โครงสร้าง
Subject + verb to be + not + (object/complement)

He isn’t an engineer.
เขาไม่ใช่วิศวกร
(รูปประโยคบอกเล่าคือ He is an engineer.)

They aren’t students.
พวกเขาไม่ได้เป็นครู
(รูปประโยคบอกเล่าคือ They are students.)

2. ประโยคที่ไม่ได้ใช้ verb to be เป็นคำกริยาหลัก

ถ้าประโยคมีคำกริยาหลักเป็นคำกริยาอื่นที่ไม่ใช่ verb to be เราจะใช้ do/does + not ไว้หน้าคำกริยาหลัก โดยเราสามารถเขียนย่อ do not เป็น don’t และย่อ does not ให้เป็น doesn’t ได้

โครงสร้าง
Subject + do/does + not + verb 1 + (object/complement)

(ในประโยคปฏิเสธที่ใช้ do/does เราจะใช้ does กับประธานเอกพจน์บุรุษที่ 3 และจะใช้ do กับประธานชนิดอื่นๆ และเราจะใช้คำกริยาหลัก เป็นคำกริยารูปปกติที่ไม่ได้เติม s/es เสมอ)

He doesn’t love me.
เขาไม่ได้รักฉัน
(รูปประโยคบอกเล่าคือ He loves me.)

Her friends don’t like me.
เพื่อนๆของเธอไม่ชอบฉัน
(รูปประโยคบอกเล่าคือ Her friends like me.)

ประโยคคำถาม

การใช้ present simple tense ในประโยคคำถาม จะมีโครงสร้างหลักๆ 2 แบบ คือ

1. ประโยคที่ใช้ verb to be เป็นคำกริยาหลัก

ถ้าประโยคมี verb to be (is, am, are) เป็นคำกริยาหลัก เราจะขึ้นต้นประโยคด้วย verb to be

โครงสร้าง
Verb to be + subject + (object/complement)?

ตัวอย่างประโยคเช่น

Is she angry?
เธอโกรธรึเปล่า
(รูปประโยคบอกเล่าคือ She is angry.)

Are they students?
พวกเขาเป็นนักเรียนรึเปล่า
(รูปประโยคบอกเล่าคือ They are students.)

2. ประโยคที่ไม่ได้ใช้ verb to be เป็นคำกริยาหลัก

ถ้าประโยคมีคำกริยาหลักเป็นคำกริยาอื่นที่ไม่ใช่ verb to be เราจะขึ้นต้นประโยคด้วย do/does แล้วคงคำกริยาหลักไว้หลังประธาน เหมือนประโยคบอกเล่า

โครงสร้าง
Do/Does + subject + verb 1 + (object/complement)?

(ในประโยคคำถามที่ใช้ do/does เราจะใช้ does กับประธานเอกพจน์บุรุษที่ 3 และจะใช้ do กับประธานชนิดอื่นๆ และเราจะใช้คำกริยาหลัก เป็นคำกริยารูปปกติที่ไม่ได้เติม s/es เสมอ)

ตัวอย่างประโยคเช่น

Does he eat spicy food?
เขากินอาหารเผ็ดมั้ย
(รูปประโยคบอกเล่าคือ He eats spicy food.)

Do they speak English?
พวกเขาพูดภาษาอังกฤษมั้ย
(รูปประโยคบอกเล่าคือ They speak English.)

หลักการใช้ present simple tense

ใช้ present simple tense เมื่อใด

เราจะใช้ present simple tense เมื่อ

1. กล่าวถึงสิ่งที่เป็นจริงในปัจจุบัน

I am a student.
ฉันเป็นนักเรียน

Joe lives in Japan with his friend.
โจอาศัยอยู่ที่ญี่ปุ่นกับเพื่อน

My parents own a restaurant.
พ่อแม่ฉันเป็นเจ้าของร้านอาหาร

2. กล่าวถึงสิ่งที่เป็นกิจวัตร

I play football every day.
ฉันเล่นฟุตบอลทุกวัน

The train leaves every morning at 7 a.m. 
รถไฟจะออกทุกๆเช้าตอน 7 โมง

We often watch movies together.
พวกเราดูหนังด้วยกันบ่อยๆ

3. กล่าวถึงข้อเท็จจริงตามธรรมชาติ

The sun rises in the east.
พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก

Water boils at 100°C.
น้ำเดือดที่ 100 องศาเซลเซียส

Students don’t generally have much money.
เด็กนักเรียนโดยทั่วไปแล้วไม่ได้มีเงินมาก

4. กล่าวถึงแผนการหรือตารางเวลา

The bus arrives at the bus stop every 15 minutes.
รถบัสจะมาถึงป้ายทุกๆ 15 นาที

The party starts at 9 o’clock.
ปาร์ตี้จะเริ่มตอน 9 โมง

The school term starts next month.
โรงเรียนจะเปิดเทอมในเดือนหน้า

5. ให้คำแนะนำ ข้อมูล หรือรายละเอียดขั้นตอนต่างๆ

To start the program, first you click the icon on the desktop.
ในการเริ่มโปรแกรม ก่อนอื่นให้คุณคลิกที่ไอคอนบนเดสก์ท็อป

First of all, you break the eggs and whisk with sugar.
ก่อนอื่นให้คุณตอกไข่และตีไข่กับน้ำตาล

You go straight along the road and turn right at the corner.
คุณตรงไปตามถนนแล้วเลี้ยวขวาตรงหัวมุม

(การให้คำแนะนำ หรือรายละเอียดขั้นตอนต่างๆ เราอาจละประธานได้ เช่น Go straight along the road and turn right at the corner. ซึ่งเราจะเรียกรูปประโยคที่ละประธานนี้ว่า imperative form)

เกร็ดความรู้
นอกจากกรณีเหล่านี้แล้ว เรายังสามารถใช้ present simple tense ในการเล่ามุขตลก หรือเล่าเรื่องราวต่างๆ (เช่น เรื่องราวชีวิต เรื่องราวคนอื่น เรื่องราวจากหนังสือ เรื่องราวจากหนัง) ได้อีกด้วย การใช้ present simple tense ในการเล่าเรื่อง จะช่วยให้เรื่องที่เล่านั้นดูสดใหม่และดูใกล้ตัวมากขึ้น เมื่อเทียบกับการใช้ past tense

คำบอกเวลากับ present simple tense

เนื่องจาก present simple tense จะถูกใช้เมื่อกล่าวถึงสิ่งที่เป็นกิจวัตร เราจึงมักจะเห็นคำบอกเวลาจำพวกคำบอกความถี่ (adverbs of frequency) ใน present simple tense บ่อยๆ ซึ่งคำเหล่านี้นั้นได้แก่

Adverbs of frequencyความหมายAlwaysเป็นประจำ, เสมอUsuallyมักจะNormallyโดยปกติGenerallyโดยปกติOftenบ่อยครั้งFrequentlyบ่อยครั้งSometimesบางครั้งOccasionallyเป็นครั้งคราวSeldomไม่ค่อยRarelyนานๆครั้งHardlyนานๆครั้งNeverไม่เคย

ตัวอย่างประโยคก็อย่างเช่น

I always wake up at 6 o’clock.
ฉันตื่นนอนตอน 6 โมงเป็นประจำ

Peter often takes notes during conference.
ปีเตอร์จดโน้ตบ่อยๆเวลาประชุม

He is never late.
เขาไม่เคยสาย

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่า adverbs of frequency นั้นจะถูกใช้ใน present simple tense บ่อยๆ แต่จริงๆแล้วก็สามารถใช้กับ tense อื่นๆได้ด้วยเช่นกัน ตัวอย่างเช่น

I always woke up at 6 o’clock when I was a student.
ฉันตื่นนอนตอน 6 โมงเป็นประจำ เมื่อตอนที่ฉันยังเป็นนักเรียน
(เป็นกิจวัตรในอดีต ปัจจุบันไม่ใช่แล้ว เราจึงใช้ past simple tense)

I will always love you.
ฉันจะรักคุณเสมอ
(เป็นการพูดถึงอนาคต เราจึงใช้ future simple tense)

สรุป present simple tense

  • Present simple tense คือรูปคำกริยาที่ใช้กับข้อเท็จจริงทั่วไป สิ่งที่เป็นกิจวัตร หรือแผนการและตารางเวลา ซึ่งจะใช้คำกริยาช่อง 1 (เช่น go, come, eat)
  • แต่ถ้าประธานเป็นเอกพจน์บุรุษที่ 3 (เช่น he, she, it, boy, teacher, cat, pen) เราจะต้องใช้คำกริยารูปที่เติม s/es (เช่น goes, comes, eats) แทน
  • ประโยคบอกเล่า ประโยคคำถาม และประโยคปฏิเสธ จะมีโครงสร้างประโยคและรายละเอียดการใช้ tense ที่ต่างกัน สำหรับประโยคคำถามและประโยคปฏิเสธ ถ้าคำกริยาหลักไม่ใช่ verb to be เราจะต้องนำ do/does เข้ามาใช้ด้วย
  • เราจะใช้ present simple tense เมื่อ
    • กล่าวถึงสิ่งที่เป็นจริงในปัจจุบัน
    • กล่าวถึงสิ่งที่เป็นกิจวัตร
    • กล่าวถึงข้อเท็จจริงตามธรรมชาติ
    • กล่าวถึงแผนการหรือตารางเวลา
    • ให้คำแนะนำ ข้อมูล หรือรายละเอียดขั้นตอนต่างๆ
    • ใช้เล่าเรื่องหรือเล่ามุขตลก เมื่อเราต้องการให้เรื่องนั้นดูสดใหม่หรือใกล้ตัวมากขึ้น
  • เรามักเจอคำบอกความถี่ (เช่น always, often, sometimes) ใน present simple tense บ่อยๆ เพราะเป็นคำที่ใช้บ่งบอกถึงความเป็นกิจวัตร แต่คำเหล่านี้ จริงๆแล้วก็สามารถใช้กับ tense อื่นๆได้ด้วยเช่นกัน ขึ้นอยู่กับใจความของประโยค

จบแล้วนะครับกับ present simple tense ทีนี้เพื่อนๆก็คงจะเข้าใจ และสามารถนำไปใช้ได้ถูกต้องมากขึ้นแล้วนะ

อย่าลืมนะครับ ภาษาอังกฤษยิ่งเรียนรู้ ยิ่งฝึก ก็ยิ่งเก่ง สำหรับบทความนี้ ชิววี่ต้องขอตัวลาไปก่อน See you next time


Learn the Present Continuous Tense in English


Learn the Present Continuous Tense in English with examples.

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูความรู้เพิ่มเติมที่นี่

Learn the Present Continuous Tense in English

Present Continuous with Mr Bean


Present Continuous with Mr Bean

Present Simple Tense ในรูปประโยคคำถาม, ใช้ยังไง? | ครูแหม่ม​ by krumamclub


อธิบายการใช้​ Present Simple Tense รูปประโยคคำถาม​แบบเข้าใจง่าย​ พร้อมตัวอย่าง
krumamclub

Present Simple Tense ในรูปประโยคคำถาม, ใช้ยังไง?  | ครูแหม่ม​ by krumamclub

Talking about Your Family in English


Teach and learn the names of the family members in English and learn how to talk about your family.
https://www.kidspages.com

Talking about Your Family in English

Present continuous in English for kids – What are you doing?


Learn the present continuous tense in English for kids through an easy compilation of actions, including verbs and a sample sentence that answers the question \”What are you doing?\”, in first and third person. This video is specially designed for kids and beginners but also suitable for all kind of students.
Support our channel in an easy and free way simply by sharing our videos. Thank you!!
Recommended videos for you:
Furniture and appliances in English: https://www.youtube.com/watch?v=hBKVPdxSse0
Sight words Nouns List of most used nouns in English: https://www.youtube.com/watch?v=HJtHofBcSUE
Ordinal numbers in English: https://www.youtube.com/watch?v=gMXFsO6PUg
House parts and rooms English for kids and beginners: https://www.youtube.com/watch?v=Yuj_YUyOQL0
The family in English for kids: https://www.youtube.com/watch?v=rYnvnf5XRk0
Foods in English and Spanish Bilingual vocabulary for kids: https://www.youtube.com/watch?v=g_1aAsbgHlM

Present continuous in English for kids - What are you doing?

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูบทความเพิ่มเติมในหมวดหมู่MAKE MONEY ONLINE

ขอบคุณที่รับชมกระทู้ครับ present simple tense ประโยคคําถาม

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *