anybody แปลว่า: นี่คือโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
Table of Contents
Pronoun
Pronoun
-Pronoun (โพรนาวน์) แปลว่า “สรรพนาม”
-สรรพนาม แปลว่า “ชื่อที่ใช้แทนคำนามโดยทั่วไป” คือคำที่ใช้แทนคำนามไม่ว่าจะเป็น คน, สัตว์, สิ่งของ และสถานที่ดังที่ได้กล่าวมาแล้วครั้งหนึ่งเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงโดยไม่ ต้องกล่าวคำนามนั้นซ้ำอีกอันเป็นการไม่เพราะหูจึงได้นำเอาคำสรรพนามมาใช้แทน คำนามนั้น
-คำสรรพนามที่นำมาใช้ในภาษาอังกฤษแบ่งออกเป็น 10 ชนิด คือ:-
1.Personal pronoun (เพอร์ซะนัล โพรนาวน์) แปลว่า “สรรพนามส่วนบุคคล”
2.Demonstrative pronoun (เดมอนสทระทีฟว์ โพรนาวน์) แปลว่า “สรรพนามชี้เฉพาะ”
3.Indefinite pronoun (อินเดฟฟินิท โพรนาวน์) แปลว่า “สรรพนามที่ไม่ชี้เฉพาะ”
4.Possessive pronoun (โพสเซสซีฟว์ โพรนาวน์) แปลว่า “สรรพนามแสดงความเป็นเจ้าของ”
5.Inpersonal pronoun (อินเพอร์ซะนัล โพรนาวน์) แปลว่า “สรรพนามที่ไม่เป็นส่วบุคคล”
6.Interrogative pronuon (อินเทอรอกกะทีฟว์ โพรนาวน์) แปลว่า “สรรพนามเกี่ยวกับการสอบถาม”
7.Reflexive pronoun (รีเฟลคซีฟว์ โพรนาวน์) แปลว่า “สรรพนามสะท้อนกลับ”
8.Emphatic pronoun (เอ็มฟาทิค โพรนาวน์) แปลว่า “สรรพนามเกี่ยวกับการเน้น”
9.Distributive pronoun (ดิสทริบบิวทีฟว์ โพรนาวน์) แปลว่า “สรรพนามเกี่ยวกับการจำแนก”
10.Relative pronoun (รีเลทีฟว์ โพรนาวน์) แปลว่า “สรรพนามที่มีความเกี่ยวเนื่องกัน”
Personal Pronoun
-Personal pronoun (เพอร์ซะนัล โพรนาวน์) แปลว่า “สรรพนามส่วนบุคคล, สรรพนามส่วนตัว, หรือ บุรุษสรรพนาม”
-บุรุษสรรพนาม คือคำสรรพนามที่ใช้แทนตัวผู้พูด, คนที่เราพูดด้วย, และคนที่เราพูดถึง แบ่งออกเป็น 3 บุรุษ คือ:-
1.First person (เฟิร์สท์ เพอซัน) แปลว่า “บุรุษที่ 1” ใช้แทนตัวผู้พูดทั้งเอกพจน์และพหูพจน์ เช่น:-
-เอกพจน์มี 2 ตัว คือ:-
1. I (ไอ) แปลว่า “ผม, ฉัน, กู, ข้าพเจ้า” ใช้เป็นประธาน เช่น:-
-I love you.
=ผมรักคุณ.
-I forget him.
=ฉันลืมเขา.
-I like her.
=ผมชอบเธอ.
2. me (มี) แปลว่า “ผม, ฉัน, กู, ข้าพเจ้า” ใช้เป็นกรรม เช่น:-
-She likes me.
=หล่อนชอบผม.
-He thinks me.
=เขาคิดถึงฉัน.
-She remembers me.
=หล่อนจำกูได้.
-พหูพจน์มี 2 ตัว คือ:-
1.we (วี) แปลว่า “เรา, พวกเรา” ใช้เป็นประธาน เช่น:-
-We like to eat delicious food.
=พวกเราชอบรับประทานอาหารอร่อย.
-We have to make goodness.
=พวกเราต้องสร้างความดี.
-We have to pray spell and worship a Buddha every day.
=พวกเราต้องสวดมนต์ไหว้พระทุกวัน.
2.us (อัส) แปลว่า “เรา, พวกเรา” ใช้เป็นกรรม เช่น:-
-Maneerat helped us out of misery.
=มณีรัตน์ช่วยพวกเราให้พ้นจากความทุกข์ยาก.
-He made us happy.
=เขาทำให้พวกเรามีความสุข.
-The teacher taught English us very good.
=ครูสอนภาษาอังกฤษแก่พวกเราดีมาก
2.Second person (เซคันด์ เพอซัน) แปลว่า “บุรุษที่ 2” ใช้แทนตัวผู้ที่เราพูดด้วยมีตัวเดียวเป็นได้ทั้งเอกพจน์และพหูพจน์, เป็นได้ทั้งประธานและกรรม คือ:-
-you (ยู) แปลว่า “คุณ, ท่าน, แก, มึง, เอง, จ้าว”
you ทำหน้าที่เป็นเอกพจน์
-Where are you from?
=คุณมาจากไหน?
-When will you come back?
=แกจะกลับมาเมื่อไหร่?
-You are the people I respect a lot.
=คุณเป็นคนที่ฉันเคารพมาก.
you ทำหน้าที่เป็นพหูพจน์
-Where are you going?
=พวกคุณจะไปไหน?
-You are good men.
=พวกคุณเป็นคนดี.
-Where did you learn English from?
=คุณเรียนรู้ภาษาอังกฤษมาจากไหน?
you ทำหน้าที่เป็นกรรม
-We remember you all the time.
=พวกเราจำคุณได้ตลอดเวลา.
-She loved you for a long time.
=หล่อนรักคุณมานานแล้ว.
-Did Mary meet you or yet ?
=แมรี่ได้พบคุณหรือยัง?
3.Third person (เธิร์ด เพอซัน) แปลว่า “บุรุษที่ 3” มี 8 ตัว คือ:-
รูปประธาน รูปกรรม
-he (ฮี) him (ฮิม) แปลว่า “เขา” เป็นผู้ชาย เป็นเอกพจน์
-she (ชี) her (เฮอ) แปลว่า “เธอ, หล่อน” เป็นผู้หญิง เป็นเอกพจน์
-it (อิท) it (อิท) แปลว่า “มัน” เป็นได้ทั้งตัวผู้และตัวเมีย เป็นเอกพจน์
-they (เฑ) them (เฑม) แปลว่า “เขาทั้งหลาย” เป็นได้ทั้งชายและหญิง เป็นพหูพจน์
วิธีใช้ Personal Pronoun
– I ใช้แทนตัวผู้พูด เป็นเอกพจน์ เป็นได้ทั้งเพศชายและเพศหญิง
– we ใช้แทนตัวผู้พูด เป็นพหูพจน์ เป็นได้ทั้งเพศชายและเพศหญิง
– you ใช้แทนตัวบุคคลที่เราพูดด้วย เป็นได้ทั้งเอกพจน์และพหูพจน์ เป็นได้ทั้งเพศชายและเพศหญิง
-he ใช้แทนตัวบุคคลผู้ที่เราพูดถึง เป็นเอกพจน์ เป็นเพศชาย
-she ใช้แทนตัวบุคคลผู้ที่เราพูดถึง เป็นเอกพจน์ เป็นเพศหญิง
-it ใช้แทนสัตว์, สิ่งของ, และเด็กอ่อนผู้ที่เราพูดถึง เป็นเอกพจน์ เป็นได้ทั้งเพศชาย, เพศหญิง, เพศรวม, และไม่มีเพศ
-they ใช้แทน คน, สัตว์, และสิ่งของ เป็นพหูพจน์ เป็นได้ทั้งเพศชาย, เพศหญิง, เพศรวม, และไม่มีเพศ
Demonstrative Pronoun
-Demonstrative pronoun (เดมอนสเทรทีฟว์ โพรนาวน์) แปลว่า “สรรพนามชี้เฉพาะ หรือ นิยมสรรพนาม” ใช้แทนสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือคนใดคนหนึ่ง ที่กล่าวถึงมาแล้ว หรือที่เรากล่าวถึงมาแล้วข้างต้น มี 4 ตัว คือ:-
1.this (ฑิส) แปลว่า “นี่, นี้, อย่างนี้, ในเวลานี้, ขณะนี้” เป็นเอกพจน์ เป็นได้ทั้งประธาน,กรรม, และคำคุณศัพท์
-this เป็นประธานของประโยค เช่น:-
-This is the true.
=นี้คือความจริง.
-This is my desire.
=นี้คือความปราถนาของฉัน.
-This become my treasure.
=สิ่งนี้กลายเป็นสมบัติของฉันแล้ว.
-this ใช้เป็นกรรม เช่น:-
– I want this a lot.
=ผมต้องการเรื่องนี้มาก.
– She loves this really.
=หล่อนรักสิ่งนี้จริงๆ.
– We like this a lot.
=พวกเราชอบสิ่งนี้มาก.
-this ใช้เป็นคำคุณศัพท์ เช่น:-
-This man is quite good.
=ชายคนนี้ค่อนข้างดี.
-This woman has beautiful body.
=ผู้หญิงคนนี้มีร่างกายสวยงาม.
-This story is thing that children should not know.
=เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เด็กๆไม่ควรรู้.
2.that (แฑท) แปลว่า “นั่น, นั้น, โน่น, เช่นนั้น, สิ่งนั้น, เวลานั้น, จำพวกนั้น” เป็นเอกพจน์ เป็นได้ทั้งประธาน, กรรม, และคุณศัพท์
-that ใช้เป็นประธาน เช่น:-
-What is that?
=นั่นอะไร?
-That is mine.
=นั่นเป็นของฉัน.
-That is what everyone should not do.
=นั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่ควรทำ.
-that ใช้เป็นกรรม เช่น:-
-He does that every day.
=เขาทำสิ่งนั้นทุกวัน.
-She liked that as a life.
=หล่อนชอบสิ่งนั้นเป็นชีวิตจิตใจ.
-We love that a lot.
=พวกเรารักสิ่งนั้นมาก.
-that ใช้เป็นคุณศัพท์ เช่น:-
-That pen is mine.
=ปากกาด้ามนั้นเป็นของฉัน.
-I like that computer really.
=ข้าพเจ้าชอบคอมพิวเตอร์นั้นจริงๆ.
-That girl is very beautiful really.
=เด็กสาวคนนั้นสวยมากจริงๆ.
3.these (ฑีส) แปลว่า “เหล่านี้, พวกนี้, นี้แหละ, เช่นนี้” เป็นพหูพจน์ เป็นได้ทั้งประธาน,
กรรม, คุณศัพท์
-these ใช้เป็นประธาน เช่น:-
-These are mine.
=พวกนี้เป็นของข้าพเจ้า.
-These are true.
=เหล่านี้เป็นของจริง.
-These make me difficult.
=พวกนี้ทำให้ผมยุ่งยากลำบาก.
-these ใช้เป็นกรรม เช่น:-
-She makes these always.
=หล่อนทำเช่นนี้เสมอ.
-We like these a lot.
=พวกเราชอบพวกนี้มาก.
-They have these themselves.
=พวกเขามีของเหล่านี้เอง.
-these ใช้เป็นคุณศัพท์ เช่น:-
-These fruits are delicious.
=ผลไม้เหล่านี้น่ารับประทาน.
-These birds fly very high.
=นกเหล่านี้บินได้สูงมาก.
-These planes trucked passengers a lot.
=เครื่องบินเหล่านี้บรรทุกผู้โดยสารได้เป็นจำนวนมาก.
4.those (โฑส) แปลว่า “เหล่านั้น, เหล่าโน่น, จำพวกนั้น, เช่นนั้น” เป็นพหูพจน์ เป็นได้
ทั้งประธาน, กรรม, และคุณศัพท์
-those ใช้เป็นประธาน เช่น:-
-Those are yours.
=เหล่านั้นเป็นของคุณ.
-Those are strong.
=เหล่านั้นแข็งแรง.
-Those are very beautiful.
=สิ่งเหล่านั้นสวยงามมาก.
-those ใช้เป็นกรรม เช่น:-
-He makes those clear-cut.
=เขาทำสิ่งนั้นให้ชัดเจน.
-She wants those really.
=หล่อนต้องการของเหล่านั้นจริงๆ.
-We love those a lot.
=พวกเรารักสิ่งเหล่านั้นมาก.
-those ใช้เป็นคุณศัพท์ เช่น:-
-Those books are theirs.
=หนังสือเหล่านั้นเป็นของพวกเขา.
-Those shirts are yours.
=เสื้อชั้นในเหล่านั้นเป็นของคุณ.
-Those gifts were send to you.
=ของขวัญเหล่านั้นถูกส่งมาถึงคุณ.
Indefinite Pronoun
-Indefinite pronoun (อินเดฟฟินิท โพรนาวน์) แปลว่า “สรรพนามที่ไม่ชี้เฉพาะเจาะจง หรือ
อนิยมสรรพนาม” ใช้ทแนสิ่งใดสิ่งหนึ่ง, คนใดคนหนึ่ง, หรือหลายสิ่งหลายอย่าง แต่ไม่ชี้เฉพาะเจาะจง เป็นได้ทั้งเอกพจน์และพหูพจน์
-สรรพนามที่เป็นเอกพจน์ เช่น:-
-one (วัน) แปลว่า “หนึ่ง”
-someone (ซัมวัน) แปลว่า”บางคน, ใครบางคน”
-somebody (ซัมบอดี้) แปลว่า “คนนั้นคนนี้, บางคน, ใครต่อใคร, ใครก็ได้, ใครๆ”
-something (ซัมซิง) แปลว๋า “บางสิ่ง, บางอย่าง,
-no one (โนวัน) แปลว่า ”ไม่มีใคร”
-nobody (โนบอดี้) แปลว่า “ไม่มีใคร”
-nothing (นัธซิง) =ไม่มีอะไร
-anyone (เอนนี่วัน) แปลว่า “ใครก็ตาม, ใครๆ”
-anybody (เอนนี่บอดี้) แปลว่า “ใครๆ, ใครก็ตาม”
-anything (เอนนี่ซิง) แปลว่า “อะไรก็ตาม, ชนิดใดก็ตาม, ทุกสิ่งทุกอย่าง ”
-everyone (เอฟเวรี่วัน) แปลว่า “ทุกคน”
-everybody (เอฟเวรี่บอดี้) แปลว่า “ทุกคน”
-everything (เอฟเวรี่ซิง) แปลว่า “ทุกสิ่ง, ทุกอย่าง,
-each (อีช) แปลว่า “แต่ละ, คนละ, อันละ, เล่มละ”
-other (อัธเธอะ) แปลว่า “คนอื่น, สิ่งอื่น, อันอื่น”
-another (อะนัธเธอะ) แปลว่า “อีก, อื่น, อย่างอื่น, อีกหนึ่ง”
-either (อีเธอะ) แปลว่า “อย่างใดอย่างหนึ่ง”
-สรรพนามที่เป็นพหูพจน์ เช่น:-
-all (ออล) แปลว่า “ทั้งหมด, ทั้งมวล”
-both (โบธ) แปลว่า “ทั้งสอง, ทั้งคู่”
-many (เมนี่) แปลว่า “จำนวนมาก”
-few (ฟิว) แปลว่า “จำนวนน้อย”
-some (ซัม) แปลว่า “บางส่วน, บางอัน, บางชิ้น, บางคน”
สรรรพนามที่มีรูปเป็เอกพจน์
one
-one (วัน) แปลว่า “หนึ่ง” เป็นเอกพจน์ เป็นได้ทั้งสรรพนามและคุณศัพท์
-one ทำหน้าที่เป็นสรรพนาม เช่น:-
-One never knows about weather.
=หนึ่งไม่เคยรู้เกี่ยวกับสภาพอากาศ.
-One is not two.
=หนึ่งไม่ใช่สอง.
-One of your brothers has came to visit me yesterday.
=หนึ่งในบรรดาพี่น้องทั้งหลายของคุณได้มาเยี่ยมผมเมื่อวานนี้.
-one ทำหน้าที่เป็นคุณศัพท์ เช่น:-
-One bird is mine.
=นกตัวหนึ่งเป็นของผม.
-One man in this room is a millionaire.
=ชายคนหนึ่งในห้องนี้เป็นเศรษฐี.
-One woman on the plane is very spirited.
=ผู้หญิงคนหนึ่งบนเครื่องบินกล้าหาญมาก.
**คำเตือน:- ตรงนี้ขอให้ผู้ศึกษาทั้งหลายโปรดอ่านดูให้ดี
-one ถ้าเติม s เข้าไปด้านหลังจะกลายเป็นสรรพนามที่เป็นพหูพจน์ เช่น:-
-There was a mother in the house and there were five young ones.
=มีแม่คนหนึ่งในบ้านและมีลูกเล็กๆอีกห้าคน.
-The people in this country,ones are still as fool.
=ประชาชนในประเทศนี้พวกเดียวที่ยังเป็นคนโง่.
-The people in this country กลุ่มคำเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นซ้อนขยาย ones
-one ถ้าใช้ในรูปแสดงความเป็นเจ้าของ ต้องใช้รูปดังนี้คือ: one’s เช่น:-
-One’s evil may make another bad too.
=ความชั่วร้ายของคนหนึ่งอาจจะทำให้คนอื่นพลอยชั่วร้ายไปค้วย.
-one ถ้าใช้คู่กับ other หรือ another จะมีความหมายว่า “คนหนึ่ง, อันหนึ่ง” เช่น:-
-You have three chance. You must choose one or another.
=คุณมีโอกาส 3 ช่องทาง.คุณต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง.
-One night we went to dance,another night we went to dinner.
=คืนหนึ่งพวกเราไปเต้นรำอีกคืนหนึ่งพวกเราไปทานอาหารเย็น.
-someone (ซัมวัน) แปลว่า “บางคน” เป็นเอกพจน์ เป็นได้ทั้งประธานและกรรม
เช่น:-
-Someone likes to go to play water.
=บางคนชอบไปเล่นน้ำ.
-I like someone in this group.
=ฉันชอบบางคนในกลุ่มนี้.
-somebody (ซัมบอดี้) แปลว่า “ใครต่อใคร, ใครๆ” เป็นเอกพจน์ เป็นได้ทั้งประธานและกรรม เช่น:-
-Somebody blame you.
=ใครต่อใครก็ติเตียนคุณ.
-Somebody loves you.
=ใครๆก็รักคุณ.
-I call somebody in this room.
=ผมเรียกใครก็ได้ในห้องนี้.
-something (ซัมซิง) แปลว่า “บางสิ่ง, บางอย่าง” เป็นเอกพจน์ เป็นได้ทั้งประธานและกรรม เช่น:-
-Something is good, something is worse.
=บางสิ่งก็ดีบางอย่างก็แย้.
-I want something in the box.
=ฉันต้องการบางอย่างในกล่องนั้น.
-no one (โนวัน) แปลว่า “ไม่มีใคร” เป็นเอกพจน์ เป็นได้ทั้งประธานแะกรรม เช่น:-
-No one is old over learn.
=ไม่มีใครแก่เกินเรียน.
-No one is else here.
=ไม่มีใครอื่นเลยที่นี่.
-We know no one here.
=พวกเรารู้ว่าไม่มีใครอยู่ตรงนี้.
-nobody (โนบอดี้) แปลว่า “ไม่มีใคร” เป็นเอกพจน์ เป็นได้ทั้งประธานและกรรม
เช่น:-
-Nobody will live endlessly.
=ไม่มีใครจะอยู่ค้ำฟ้าได้.
-Nobody interests you.
=ไม่มีใครสนใจคุณ.
– You have to make nobody difficult.
=คุณต้องทำไม่ให้ใครลำบาก.
-anyone (เอนนี่วัน) แปลว่า “ใครๆ, ใครก็ตาม” เป็นเอกพจน์ เป็นได้ทั้งประธานและกรรม เช่น:-
-Anyone can not help you.
=ใครๆก็ไม่สามารถช่วยเหลือคุณได้.
-We want anyone can help us happy.
=พวกต้องการใครก็ตามที่สามารถช่วยพวกเราให้มีความสุขได้.
-anybody (เอนนี่บอดี้) แปลว่า “ใครก็ได้, ใครๆ, ทุกคน” เป็นเอกพจน์ เป็นได้ทั้งประธานและกรรม เช่น:-
-Anybody has ability please follow me this.
=ใครก็ได้ที่มีความสามารถโปรดติดตามข้าพเจ้ามาทางนี้.
-We invite anybody in this room go to eat food.
=พวกเราขอเชิญทุกคนในห้องนี้ไปรับประทานอาหาร.
-anything (เอนนี่ซิ่ง) แปลว่า “ทุกสิ่งทุกอย่าง” เป็นเอกพจน์ เป็นได้ทั้งประธานและกรรม เช่น:-
-Anything in this world is non-finite thing.
=ทุกสิ่ทุกอย่างในโลกนี้เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน.
-I want anything that is true thing.
=ข้าพเจ้าต้องการทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของจริง.
-everyone (เอฟเวรี่วัน) แปลว่า “ทุกคน” เป็นเอกพจน์ เป็นได้ทั้งประธานและกรรม
เช่น:-
-Everyone prepare hard in today.
=ทุกคนเตรียมพร้อมอย่างหนักในวันนี้.
-She favours everyone in this house.
=หล่อนชอบใจทุกคนในบ้านหลังนี้.
-everybody (เอฟเวรี่บอดี้) แปลว่า “ทุกคน” เป็นเอกพจน์ เป็นได้ทั้งประธานและกรรม
เช่น:-
-Everybody interests her a lot.
=ทุกคนสนใจเธอมาก.
-I love everybody in this world.
=ข้าพเจ้ารักทุกคนในโลกนี้.
-everything (เอฟเวรี่ซิง) แปลว่า “ทุกสิ่ง, ทุกอย่าง” เป็นเอกพจน์ เป็นได้ทั้งประธานและกรรม เช่น:-
-Everything in this world is transient.
=ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ไม่ยังยืน.
-I see everything in this world as thing deceive.
=ข้าพเจ้ามองเห็นทุกอย่างในโลกนี้เป็นสิ่งที่หลอกลวง.
-each (อีช) แปลว่า “แต่ละ, อันละ,คนละ” เป็นเอกพจน์ เป็นได้ทั้งประธานและกรรม
เช่น:-
-Each in this world is alive with deceiving themselves.
=แต่ละคนในโลกนี้มีชีวิตอยู่ด้วยการหลอกลวงตนเอง.
-She likes each in our office.
=หล่อนชอบแต่ละคนในสำนักงานของพวกเรา.
-other (อัธเธอะ) แปลว่า “คนอื่น, สิ่งอื่น, อันอื่น” เป็นเอกพจน์ เป็นได้ทั้งประธานและ
กรรม เช่น:-
-Other except you can not go to this village.
=คนอื่นนอกจากคุณไม่สามารถไปยังหมู่บ้านนี้ได้.
-I like other, not like this.
=ข้าพเจ้าชอบสิ่งอื่นไม่ชอบสิ่งนี้.
-another (อะนัธเธอะ) แปลว่า “อีก, อื่นอีก, อย่างอื่น, อีกหนึ่ง” เป็นเอกพจน์ เป็นได้ทั้งประธานและรรม เช่น:-
-Another except us in here not had.
=คนอื่นอีกนอกพวกเราในที่ตรงนี่ไม่มีอีกแล้ว.
-I don’t like another in today.
=ฉันไม่ชอบอย่างอื่นอีกในวันนี้.
-either (อีเธอะ) แปลว่า “อย่างใดอย่างหนึ่ง,แต่ละ, ทุก, อันละ, ชิ้นละ” เป็นเอกพจน์
เป็นได้ทั้งประธานและกรรม เช่น:-
-Either is correct.
=ทุกอย่างถูกต้อง.
-I don’t like either of the answers.
=ฉันไม่ชอบอย่างใดอย่างหนึ่งของคำตอบนั้นเลย.
สรรพนามที่มีรูปเป็นพหูพจน์
-All (ออล) แปลว่า “ “ทั้งหมด, ทั้งมวล” เป็นพหูพจน์ เป็นได้ทั้งประธานและกรรม เช่น:-
-All are welcome!
=ทั้งหมดยินดีต้อนรับ.
-All are congratulation.
=ทั้งหมดขอแสดงความยินดี.
-All do not stand still.
=ทั้งมวลยังไม่หยุดนิ่ง.
-All of this money will be yours when I die.
=เงินนี้ทั้งหมดจะเป็นของคุณเมื่อฉันตายไปแล้ว.
-I love all in my house.
=ฉันรักทั้งหมดในบ้านของฉัน.
-both (โบธ) แปลว่า “ทั้งสอง, ทั้งคู่” เป็นพหูพจน์ เป็นได้ทั้งประธานและกรรม เช่น:-
-Both of us were very tired.
=พวกเราทั้งสองเหนื่อยมาก.
-We both were tired.
=เราทั้งสองเหนื่อย.
-She read both of the books.
=หล่อนอ่านหนังสือทั้งสองเล่ม.
-many (เมนี่) แปลว่า “หลายคน, จำนวนมาก” เป็นพหูพจน์ เป็นได้ทั้งประธานและกรรม เช่น:-
-Some people will come, but many will not.
=บางคนจะมาแต่หลายคนจะไม่มา.
-Many of his friends never went to college.
=เพื่อนของเขาส่วนมากไม่เคยไปที่วิทยาลัยเลย.
-The medicine has helped many healed from disease
=แพทย์ได้ช่วยคนหลายคนให้หายจากโรค.
-few (ฟิว) แปลว่า “จำนวนน้อย” เป็นพหูพจน์ เป็นได้ทั้งประธานและกรรม เช่น:-
-Her stories may be entertaining, but few are true.
=เรื่องทั้งหลายของหล่อนอาจจะบันเทิงแต่จำน้วยที่เป็นจริง.
-She met few of my relatives.
=หล่อนพบญาติทั้งหลายของฉันจำนวนน้อย.
-some (ซัม) แปลว่า “บางส่วน, บางอัน, บางชิ้น, บางคน” เป็นพหูพจน์ เป็นได้ทั้งประธานและกรรม เช่น:-
-Some love their parents well.
=บางคนรักพ่อแม่ของพวกเขาดี.
-Some of the apples are bruised.
=แอปเปิ้ลบางส่วนบอบช้ำ.
-We shall share some of the best food to you.
=พวกเราจะแบ่งปันอาหารที่ดีที่สุดบางส่วนให้แก่พวกคุณ.
Possessive Pronoun
-Possessive pronoun (พอสเซสซีฟว์ โพรนาวน์) แปลว่า “สรรพนามแสดงความเป็นเจ้าของ” สรรพนามแสดงความเป็นเจ้าของแบ่งออกเป็น 7 ชนิด คือ:-
1.mine (ไมน์) แปลว่า “ ของฉัน”
2.yours (ยัวร์ซฺ) แปลว่า “ของคุณ”
3.his (ฮิส) แปลว่า “ของเขา”
4.hers (เฮอร์ซฺ) แปลว่า “ของหล่อน”
5.its (อิทซฺ) แปลว่า “ของมัน”
6.ours (อาวเออร์ซฺ) แปลว่า “ของพวกเรา”
7.theirs (แฑร์ซฺ) แปลว่า “ของพวกเขา”
หน้าที่ของสรรนามแสดงความเป็นเจ้าของ
-สรรพนามแสดงความเป็นเจ้าของมีหน้าที่ในประโยค 3 อย่าง คือ:-
1.ใช้เป็น subject คือเป็นประธานของประโยค
2.ใช้เป็น complement คือส่วนที่ขยายกิริยาทำให้ประโยคเกิดความสมบูรณ์
3.ใช้เป็น object คือเป็นกรรมของคำบุรพบท of
Possessive Pronoun ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค
-สรรพนามแสดงความเป็นเจ้าของทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค เช่น:-
-mine (ไมน์) แปลว่า “ของฉัน” เป็นเอกพจน์ ใช้เป็นประธานของประโยค เช่น:-
-That is your book,mine is this.
=เล่มนั้นเป็นหนังสือของคุณ,ของฉันคือเล่มนี้.
-yours (ยัร์ซฺ) แปลว่า “ของคุณ” เป็นเอกพจน์ ใช้เป็นประธานของประโยค เช่น:-
-This pillow is mine, yours is that.
=หมอนใบนี้เป็นของฉัน, ของคุณคือใบนั้น.
-his (ฮิส) แปลว่า “ของเขา” เป็นเอกพจน์ ใช้เป็นประธานของประโยค เช่น:-
-Her pen is this, his is that.
=ปากกาของหล่อนคือด้ามนี้, ของเขาคือด้ามนั้น.
-hers (เฮอร์ซฺ) แปลว่า “ของหล่อน” เป็นเอกพจน์ ใช้เป็นประธานของประโยค เช่น:-
-His cap is red, hers is white.
=หมวกของเขาเป็นสีแดง, ของหล่อนเป็นสีขาว.
-its (อิทซฺ) แปลว่า “ของมัน” เป็นเอกพจน์ ใช้เป็นประธานของประโยค เช่น:-
-These bananas are theirs, its is this.
=กล้วยเหล่านี้เป็นของเขา, ของมันคือใบนี้.
-ours (อาวเออร์ซฺ) แปลว่า “ของพวกเรา” เป็นเอกพจน์ ใช้เป็นประธานของประโยค
เช่น:-
-My car is this, ours is that.
=รถยนต์ของฉันคือคันนี้,ของพวกเราคือคันนั้น.
-Ours is the house on the left.
=ของพวกเราคือบ้านที่อยู่ทางซ้ายมือ.
-theirs (แฑร์ซฺ) แปลว่า “ของพวกเขา” เป็นเอกพจน์ ใช้เป็นประธานของประโยค เช่น:-
-Our food is bread, theirs is Thai food.
=อาหารของพวกเราเป็นขนมปัง, ของพวกเขาเป็นอาหารไทย.
Possessive Pronoun ทำหน้าที่เป็น complement
-สรรพนามแสดงความเป็นเจ้าของทำหน้าที่เป็นคอมพลีเมนท์คือการขยายกิริยาทำให้ประโยคเกิดความสมบูรณ์ เช่น:-
-mine เป็นเอกพจน์ ใช้เป็นคอมพลีเมนท์ เช่น:-
-The bird is mine.
=นกตัวนั้นเป็นของฉัน.
-The red cover book is yours.
=หนังสือปกสีแดงเล่มนั้นเป็นของคุณ.
-The house was his.
=บ้านหลังนั้นเป็นของเขา.
-These bags were hers.
=ถุงทั้งหลายเหล่านี้เป็นของเธอ.
-This tail was its.
=หางนี้เป็นของมัน.
-Those ten homes were ours.
=บ้านสิบหลังเหล่านั้นเป็นของพวกเรา.
-A thousand bath is theirs.
=เงินหนึ่งหมื่นบาทเป็นของพวกเขา.
Possessive Pronoun ทำหน้าที่เป็นกรรมของคำบุรพบท fo
-สรรพนามแสดงความเป็นเจ้าของทำหน้าที่เป็นกรรมของคำบุรพบท fo เช่น:-
-mine ทำหน้าที่เป็นกรรมของคำบุรพบท fo เช่น:-
-She is a friend fo mine.
=หล่อนเป็นเพื่อนคนหนึ่งของฉัน.
-yours ทำหน้าที่เป็นกรรมของคำบุรพบท fo เช่น:-
-He is a important person of yours.
=เขาเป็นบุคคลที่สำคัญของคุณ.
-his ทำหน้าที่เป็นกรรมของคำบุรพบท fo เช่น:-
-She is a girlfriend fo his.
=หล่อนเป็นแฟนคนหนึ่งของเขา.
-hers ทำหน้าที่เป็นกรรมของคำบุรพบท fo เช่น:-
-Theeratep is a boyfriend fo hers.
=ธีรเทพเป็นแฟนคนหนึ่งของเธอ.
-its ทำหน้าที่เป็นกรรมของคำบุรพบท fo เช่น:-
-I am an owner fo its.
=ข้าพเจ้าเป็นเจ้าของๆมัน.
-ours ทำหน้าที่เป็นกรรมของคำบุรพบท fo เช่น:-
-These fruits are food of ours.
=ผลไม้เหล่านี้เป็นของพวกเรา.
-theirs ทำหน้าที่เป็นกรรมของคำบุรพบท fo เช่น:-
-This action is action of theirs.
=กรรมนี้เป็นกรรมของพวกเขา.
Inpersonal Pronoun
-Inpersonal pronoun (อินเพอซะนัล โพรนาวน์) แปลว่า “สรรพนามที่ไม่เป็นส่วนบุคคล”
คือเป็นสรรพนามที่ไม่ได้ใช้แทนคำนามใดๆโดยเฉพาะเจาะจง เป็นคำที่กล่าวขึ้นมาลอยๆเกี่ยวกับ
-เวลา
-ระยะทาง
-ดินฟ้าอากาศ
-สำนวนต่างๆ
มีตัวเดียวคือ it
-ที่ใช้เกี่ยวกับเวลา เช่น:-
-It is time 10.oo o’clock.
=มันเป็นเวลา 10.00 นาฬิกา.
-What time is it?
=มันเป็นเวลาอะไร?
-It is time 09.00 o’clock.
=มันเป็นเวลา 09.00 นาฬิกา.
-ที่ใช้เกี่ยวกับระยะทาง เช่น:-
-It is short distance.
=มันเป็นระยะทางสั้นๆ.
-It is very far distance from my house.
=มันเป็นระยะทางที่ไกลมากจากบ้านของฉัน.
-ที่ใช้เกี่ยวกับดินฟ้าอากาศ เช่น:-
-It is very cold in this year.
=อากาศมันหนาวมากในปีนี้.
-Today it is very hot.
=วันนี้อากาศมันร้อนมาก.
-It rains very hard today.
=ฝนตกหนักมากในวันนี้.
-ที่ใช้เกี่ยวกับสำนวนต่างๆ เช่น:-
-It is a sin to say lie.
=มันเป็นบาปที่จะพูดเท็จ.
-Everything in this world, it is uncertain thing.
=ทุกสิ่งในโลกนี้มันเป็นของไม่แน่นอน.
Interrogative Pronoun
-Interrogative pronoun (อินเทอรอกกะทีฟว์ โพรนาวน์) แปลว่า “สรรพนามเกี่ยวกับคำถาม”
หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ปุจฉาสรรพนาม”
-ปุจฉาสรรพนาม คือสรรพนามที่ใช้แทนคำนามที่เกี่ยวกับการสอบถามมีหน้าที่ 2 อย่าง คือ:-
1.เป็นประธานของประโยค
2.เป็นกรรม
-ปุจฉาสรรพนามที่นำมาใช้มี 5 ตัว ได้แก่
1.who (ฮู) แปลว่า “ใคร, ผู้ใด, ผู้ซึ่ง, ผู้ที่, ซึ่ง, ที่”
2.whom (ฮูม) แปลว่า “ผู้ซึ่ง, บุคคลซึ่ง, บุคคลที่”
3.whose (ฮูซ) แปลว่า “ของใคร,
4.which (วิช) แปลว่า “อันไหน, อันซึ่ง, ส่วนไหน, ที่ซึ่ง”
5.what (วอท) แปลว่า “อะไร, เท่าไร, ใคร, สิ่งที่, คนที่, เท่าที่”
who
-who (ฮู) แปลว่า “ใคร” เป็นเอกพจน์และพหูพจน์ เป็นประธานได้อย่างเดียว
-who เป็นเอกพจน์ เช่น:-
-Who is in this house?
=ใครอยู่ในบ้านหลังนี้?
-Who is standing next to you in this photo?
=ใครยืนถัดจากคุณในภาพนี้?
-who เป็นพหูพจน์ เช่น:-
-Who will be the next prime minister?
=ใครจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป?
-Who are they to tell us what to do?
=พวกเขาเป็นใครที่บอกพวกเราถึงสิ่งที่จะกระทำ.
-Who do you think you’re talking to?
=คุณคิดว่าคุณกำลังพูดคุยกับใคร?
-Who do you say to?
=คุณพูดถึงใคร.
-who ทำหน้าที่เป็นกรรมของกิริยา เช่น:-
-I didn’t know who he was.
=ผมไม่รู้ว่าเขาคือใคร.
-I wonder who else came to sign up.
=ผมสงสัยว่าใครมาลงทะเบียนบ้าง.
-Follow who she was.
=จงติดตามดูว่าหล่อนเป็นใคร.
-who เป็นกรรมของคำบุรพบท เช่น:-
-Find out who they are.
=จงควานหาว่าพวกเขาเป็นใคร.
-Look for who get up early.
=จงมองหาดูว่าใครตื่นนอนแต่เช้าตรู่.
Whom
-whom (ฮูม) แปลว่า “ผู้ซึ่ง, บุคคลที่, บุคคลซึ่ง, ใคร, คนไหน, ผู้ใด” ใช้แทนบุคคล เป็นได้ทั้งเอกพจน์และพหูพจน์ เป็นรูปกรรมได้อย่างเดียว คือเป็นได้ทั้กรรมของกิริยาและกรรมของคำบุรพบท
-whom ทำหน้าที่เป็นกรรมของกิริยา เช่น:-
-Whom do you want to see?
=คุณต้องการพบใคร?
-whom เป็นกรรมของกิริยาคือ see
-Whom do you mean?
=คุณหมายถึงใคร?
-whom เป็นกรรมของกิริยาคือ mean
-We don’t sure whom to hire.
=พวกเราไม่แน่ใจถึงบุคคลที่จะว่าจ้าง.
-whom ทำหน้าที่เป็นกรรมของกิริยาคือ sure และแปลว่า “บุคคลที่” ไม่แปลว่า “ใคร”
-Her brother, whom I met last year, is an attorney.
=พี่ชายของเธอคือบุคคลที่ข้าพเจ้าได้พบเมื่อปีที่แล้วเป็นทนายความ.
-whom ทำหน้าที่เป็นกรรมของกิริยาคือ met และแปลว่า “บุคคลที่” ไม่แปลว่า “ใคร”
-whom ทำหน้าที่เป็นของคำบุรพบท เช่น:-
-The person to whom we spoke was very helpful.
=บุคคลผู้ที่พวกเราพูดถึงเป็นประโยชน์มาก.
-whom ทำหน้าที่เป็นกรรมของคำบุรพบทคือ to และแปลว่า”ผู้ที่” ไม่แปลว่า “ใคร”
-To whom are you speaking?
=คุณกำลังพูดกับใคร?
-whom ทำหน้าที่เป็นกรรมของคำบุรพบทคือ to
-To whom do you speak?
=คุณพูดกับใคร?
-whom ทำหน้าที่เป็นกรรมของคำบุรพบทคือ to
-Do you want to look for whom?
=คุณต้องการที่จะมองหาใคร?
-whom ทำหน้าที่เป็นกรรมของคำบุรพบทคือ for
-Do you want to speak with whom?
=คุณต้องการที่จะพูดคุยกับใคร์
-whom ทำหน้าที่เป็นกรรมของคำบุรพบทคือ with
whose
-whose (ฮูส) แปลว่า “ของใคร” เป็นได้ทั้งเอกพจน์และพหูพจน์ มีหน้าที่ 3 อย่าง คือ:-
1.เป็นประธาน
2.เป็นกรรม
3.เป็นอนุประโยคที่ทำหน้าที่เป็นคุณศัพท์
whose ทำหน้าที่เป็นประธาน
-whose ทำหน้าที่เป็นประทานของประโยค
-whose ทำหน้าที่เป็นเป็นเอกพจน์ เช่น:-
-Whose is this house?
=บ้านหลังนี้เป็นของใคร
-Whose is that bracelet?
=กำไลนั้นเป็นของใคร?
-Whose was the shirt?
=เสื้อชั้นในของใคร?
-whose ทำหน้าที่เป็นพหูพจน์ เช่น:-
-Whose are these books?
=หนังสือเหล่านี้เป็นของใคร?
-Whose are those bags?
=กระเป๋าเหล่านี้เป็นของใคร?
-Whose are the fruits?
=ผลไม้ของใคร?
-whose ทำหน้าที่เป็นกรรม เช่น:-
-It would be interesting to know whose idea it was.
=มันจะเป็นสิ่งที่น่าสนใจที่จะรู้ว่ามันเป็นความคิดของใคร.
-Let him know whose you will choose.
=จงให้เขารู้ว่าคุณจะเลือกของใคร.
-Do you know whose fault it is?
=คุณรู้ว่ามันเป็นความผิดของใครหรือ?
-I don’t know whose umbrella this is.
=ข้าพเจ้าไม่รู้ว่านี้คือร่มของใคร.
-Do not confuse whose pen it is.
=อย่าสับสนว่ามันเป็นปากกาของใคร.
-whose ทำหน้าที่เป็น adjective clause ขยายนาม แปลว่า “ที่มี” เช่น:-
-It is a story whose purpose is to entertain.
=มันเป็นเรื่องที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความบันเทิง.
-Sujitta is the girl whose brother is footballer.
=สุจิตราเป็นเด็กหญิงทีมีพี่ชายเป็นนักฟุตบอล.
-This is the boy whose name is Norachai.
=นี้คือเด็กชายที่มีชื่อคือนรชัย.
-That is the girl whose father is a doctor.
=นั้นคือเด็กหญิงที่มีพ่อเป็นหมอ.
Which
-which (วิช) แปลว่า “อันไหน, อันซึ่ง, ส่วนไหน, ที่ซึ่ง” ใช้แทนได้ทั้งคน,สัตว์,และสิ่งของ เป็นได้ทั้งเอกพจน์และพหูพจน์ เป็นได้ทั้งประธานและกรรม ถ้าเป็นประโยคให้เลือกจะต้องมีคำบุรพบท of ประกอบอยู่ข้างหลังเสมอ เช่น:-
ตัวอย่างประโยคที่เป็นคำถามว่าอันไหน?
-ถาม:-Which is your pen?
=ปากกาของคุณคือด้านไหน?
-ตอบ:The red one.
=ด้ามสีแดง.
-ถาม:Which shirt do you like?
=คุณชอบเสื้อชั้นในตัวไหน?
-ตอบ:The white one.
=ตัวสีขาว.
-ถาม:Which one is your book?
=หนังสือของคุณเล่มไหน?
-ตอบ:The green cover one.
=เล่มที่มีปกสีเขียว.
-ถาม:Which one is your son?
=ลูกชายของคุณคนไหน?
-ตอบ:The tall one.
=คนสูง
-Which do you prefer, tea or coffee?
=คุณชอบอย่างไหน, น้ำชาหรือกาแฟ?
-I prefer coffee.
=ผมชอบกาแฟ.
ตัวอย่างประโยคที่มี of อยู่ข้างหลัง
-which เป็นประธานในรูปของเอกพจน์ เช่น:-
-Which of those boooks is yours?
=บรรดาหนังสือเหล่านั้นเล่มไหนเป็นของคุณ?
-Which of those women is your wife?
=บรรดาผู้หญิงเหล่านั้นคนไหนเป็นภรรยาของคุณ?
-Which of those houses do you live in?
=บรรดาบ้านทั้งหลายเหล่านั้นบ้านหลังไหนที่คุณอาศัยอยู่?
-which เป็นประธานในรูปของพหูพจน์ เช่น:-
-Which of these fruits are yours?
=บรรดาผลไม้ทั้งหลายเหล่านี้อันไหนเป็นของคุณ?
-Which of those people which you most like?
=บรรดาประชาชนทั้งหลายเหล่านั้นพวกไหนที่คุณชอบมากที่สุด?
-Which of tea and lemonade which you want?
=น้ำชาและน้ำมะนาวอันไหนซึ่งคุณต้องการ?
-which เป็นกรรม เป็นได้ทั้งกรรมของกิริยาและกรรมของคำบุรพบท
-which ทำหน้าที่เป็นกรรมของกิริยา เช่น:-
-so it’s hard to remember which is importance story.
=ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากที่จะจำซึ่งส่วนที่เป็นเรื่องสำคัญ
-Food you eat which you don’t like it will not digest well.
=อาหารที่คุณกินอันไหนที่คุณไม่ชอบมันจะไม่ย่อยดี.
-Choose which you like best.
=จงเลือกส่วนไหนที่คุณชอบที่สุด.
-which ทำหน้าที่เป็นกรรมของคำบุรพบท เช่น:-
-There is one important fact of which you are unaware.
=มีความจริงที่สำคัญอย่างหนึ่งซึ่งคุณไม่รู้จัก.
-It began to rain at which is point we ran.
=ฝนจะเริ่มตกตรงที่ซึ่งเป็นจุดที่พวกเราวิ่ง.
-She is quality for which she is admired by so many people.
=หล่อนเป็นคนที่มีคุณภาพซึ่งหล่อนได้รับการยกย่องจากคนนวนมาก.
which ที่ใช้เป็นคำเชื่อมต่อ
-which ที่ใช้เป็นคำเชื่อมต่อที่เรียกว่า “Adjective Clause” คืออนุประโยคที่ทำหน้าที่เป็นคุณศัพท์ เช่น:-
-The pen, which I am using, is black.
=ปากกาที่ผมกำลังใช้มีสีดำ.
-The book, which you are reading, is about love.
=หนังสือที่คุณกำลังอ่าน เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความรัก.
-He is wearing a ring, which is expensive.
=เขากำลังสวมแหวนที่มีราคาแพง.
-The car, which you bought yesterday, is very cheap.
=รถยนต์ที่คุณซื้อเมื่อวานมีราคาถูกมาก.
What
-what (วอท) แปลว่า “อะไร, เท่าไหร่, ใด, สิ่งที่, คนที่, เท่าที่, ชนิดใด”
-what เป็นปุจฉาสรรพนาม ใช้แทนได้ทั้งคนและสิ่งของ ในความหมายทั่วไปโดยไม่จำกัด เป็นได้ทั้งประธานและกรรมในรูปเดียวกัน เป็นได้ทั้งเอกพจน์และพหูพจน์
-what ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค เช่น:-
-What can I do for you, sir?
=ผมสามารถทำอะไรให้คุณได้บ้างครับ.
-What is your name?
=ชื่อของคุณคืออะไร? หรือ อะไรคอชื่อของคุณ?
-What are those things on the table?
=สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นบนโต๊ะคืออะไร?
-What’s your family like?
=อะไรคือสิ่งที่ครอบครัวของคุณชอบ?
-What happened?
=อะไรเกิด? หรือ เกิดอะไรขึ้น?
-what ทำหน้าที่เป็นกรรมของกิริยา เช่น:-
-I want to know what she does.
=ผมอยากรู้สิ่งที่หล่อนกระทำ.
-She likes to do what I am unforeseen.
=หล่อนชอบทำในสิ่งที่ผมไม่คาดฝัน.
-Maliwan likes to think what is impractical.
=มะลิวัลย์ชอบคิดถึงสิ่งที่กระทำไม่ได้.
-what ทำหน้าที่เป็นกรรมของคำบุรพบท เช่น:-
-He has no income but what he gets from writing book.
=เขาไม่มีรายได้แต่สิ่งที่เขาได้รับจากการเขียนหนังสือ.
-I am pleased to what she speaks.
=ผมรู้สึกยินดีต่อสิ่งที่หล่อนพูด.
-He felt relaxed for what happened.
=เขารู้สึกผ่อนคลายสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น.
**หมายเหตุ:- ผู้ ศึกษาทั้งหลายโปรดจำไว้ให้ดี Interrogative pronoun คือสรรพนามที่เป็นคำถามนี้จะต้องวางว้ต้นประโยคและ ในประโยคคำถามต้องวางกิริยาช่วยไว้ข้างหลัง Interrogative pronoun เสมอ เช่น:-
-ประโยคบอกเล่า:- You went to see her.
=คุณไปพบเธอแล้ว.
-ประโยคคำถาม:- Whom did you go to see?
=คุณไปพบใคร?
-ประโยคบอกเล่า:- The teacher told you the story.
=ครูบอกเรื่องนั้นแก่คุณ.
-ประโยคคำถาม:- Who told you the story?
=ใครบอกเรื่องนั้นแก่คุณ?
-ประโยคบอกเล่า:-That book is mine.
=หนังสือเล่มนั้นเป็นของฉัน.
-ประโยคคำถาม:- Whose is that book?
=หนังสือเล่มนั้นเป็นของใคร?
-ประโยคบอกเล่า:- She is smaller of the two persons.
=หล่อนเล็กกว่าสองคนนั้น
-ประโยคคำถาม:- Which is smaller of the two persons?
=คนไหนเล็กกว่าสองคนนั้น
-ประโยคบอกเล่า:- My thinking is this.
=ความคิดของฉันเป็นเช่นนี้.
-ประโยคคำถาม: What do you think of my idea?
=คุณคิดเห็นเกี่ยวกับแนวคิดของฉันอย่างไร?
Reflexive Pronoun
-Reflexive pronoun (รีเฟลคซีฟว์ โพรนาวน์) แปลว่า “สรรพนามสะท้อนกลับ” เป็นได้ทั้งเอกพจน์และพหูพจน์ ทำหน้าที่เป็นกรรมของกิริยาและเป็นคุณศัพท์
-Reflexive pronoun ที่มีรูปเป็เอกพจน์มี 5 ตัว คือ:-
1.myself (มายเซลฟฺ) แปลว่า “ฉันเอง, ด้วยตนเอง, เอง”
2.yourself (ยัวร์เซลฟฺ) แปลว่า “ตัวคุณเอง,ด้วยตนเอง, เอง”
3.himself (ฮิมเซลฟฺ) แปลว่า “ตัวเขาเอง, ด้วยตนเอง, เอง”
4.herself (เฮอเซลฟฺ) แปลว่า “ตัวเธอเอง, ด้วยเธอเอง, เอง”
5.itself (อิทเซลฟฺ) แปลว่า “ด้วยตนเอง, ด้วยมันเอง, เอง”
-Reflexive pronoun ที่มีรูปเป็นพหูพจน์มี 3 ตัว คือ:-
1.ourselves (อาวเออเซลฟฺ) แปลว่า “ตัวเราเอง, ด้วยตนเอง”
2.yourselves (ยัวร์เซลฟฺซฺ) แปลว่า “ด้วยตัวคุณเอง”
3.themselves (เฑมเซลฟฺซฺ) แปลว่า “ด้วยตัวพวกเขาเอง”
หน้าที่ของ Reflexive Pronoun
-Reflexive pronoun มีหน้าที่ 4 อย่างในประโยค คือ:-
1.ใช้ในกรณีที่เป็นกรรมของกิริยา ให้วางไว้หลังกิริยา เช่น:-
-She cuts herself while cooking.
=เธอทำมีดบาดตัวเองขณะปรุงอาาหาร.
-I see myself in a mirror.
=ฉันมองเห็นตัวเองในกระจก.
-She loves herself more than others.
=หล่อนรักตัวเองมากกว่าคนอื่น.
2. ใช้เมื่อต้องการเน้นตัวประธาน ให้วางไว้หลังตัวประธาน เช่น:-
-Peter himself cuts the glass once a week.
=ปีเตอร์ตัดหญ้าเองสัปดาห์ละครั้ง
-We ourselves build rest home.
=พวกเราสร้างบ้านพักด้วยตนเอง.
-They themselves make a road in the village.
=พวกเขาทำถนนในหมู่บ้านด้วยตนเอง.
3.ใช้เมื่อต้องการเน้นตัวกรรมต้องวางไว้หลังตัวกรรมนั้นเสมอ เช่น:-
-I met Ann myself yesterday.
=ฉันได้พบแอนน์ด้วยตนเองเมื่อวานนี้.
-She helps a friend herself today.
=หล่อนช่วยเหลือเพื่อนคนหนึ่งด้วยตัวเองวันนี้.
-John asked Mary himself to send him a messenger.
=จอห์นขอร้องให้แมรี่ส่งข่าวถึงเขาด้วยตัวเอง.
4.ใช้วางไว้หลังคำบุรพบท by เพื่อให้รู้ว่าประธานเป็นผู้กระทำเองไม่มีคนอื่นช่วยเหลือ เช่น:-
-He built his house by himself.
=เขาสร้างบ้านด้วยตนเอง.
-They make sandwiches by themselves.
=พวกเขาทำแซนด์วิชด้วยตนเอง.
-Olivia Newton-John sends a letter to her friend by herself.
=โอลิเวีย นิวตันจอห์น ส่งจดหมายถึงเพื่อนของเธอด้วยตนเอง.
Emphatic Pronoun
-Emphatic pronoun (เอ็มฟาทิค โพรนาวน์) แปลว่า “สรรพนามที่เกี่ยวกับการเน้น” คือทำการเน้นทั้งตัวประธานและตัวกรรมให้เกิดความเด่นชัดขึ้นมา เอ็มฟาทิค โพรนาวน์นี้มีรูปเหมือนกับ Reflexive pronoun ทุกประการ เช่น:-
-myself
-yourself, yourselves
-ourselves
-himself
-herself
-itself
-themselves
ประโยคตัวอย่างของเอ็มฟาทิค โพรนาวน์ ที่เน้นประธาน
-I made it myself. Or I myself made it.
=ฉันทำมันด้วยตนเอง. หรือ ฉันเองทำมัน.
-Have you yourself seen it? Or Have you seen it yourself?
=คุณเองได้เห็นมันเองหรือ? หรือ คุณได้เห็นมันด้วยตนเองหรือ?
-The President himself promised to stop the war.
=ประธานาธิบดีทำสัญญาสงบศึกด้วยตนเอง.
-She spoke to me herself. Or She herself spoke to me.
=หล่อนพูดกับฉันด้วยตนเอง. หรือ หล่อนเองพูดกับฉัน.
-The exam itself wasn’t difficult, but exam room was horrible.
=ข้อสอบตัวมันเองไม่ยาก, แต่ห้องสอบน่ากลัวจัง.
-Never mind. We’ll do it ourselves.
=ไม่เป็นไร. พวกเราจะทำมันเอง
-You yourselves asked us to do it.
=พวกคุณเองขอร้องพวกเราที่จะทำมัน.
-They recommend this book even though they themselves have never read it. Or They ecommend this book even though they have never read it themselves.
=พวกเขาแนะนำหนังสือเล่มนี้ถึงแม้ว่าพวกเขายังไม่เคยอ่านมันด้วยตนเองก็ตาม.
ประโยคตัวอย่างของเอ็มฟาทิค โพรนาวน์ที่เน้นกรรม
-I saw Wilawan Sagooldee myself at her office yesterday.
=ข้าพเจ้าพบ วิลาวรรณ สกุลดี ด้วยตนเองที่สำนักงานของเธอเมื่อวานนี้.
-Do you tell her yourself?
=คุณบอกเธอด้วยตนเองหรือ?
-You buy the food yourselves.
=พวกคุณซื้ออาหารนั้นเอง.
-We build it ourselves.
=พวกเราสร้างมันเอง.
-He talks with Thanisa himself.
=เขาพูดกับธนิสาเอง.
-She goes at the market herself.
=หล่อนไปที่ตลาดนั้นเอง.
-It bites him itself.
=มันกัดเขาเอง.
-They help her themselves.
=พวกเขาช่วยเหลือเธอเอง.
-Check it out here for yourself. (ประโยคนี้เป็นกรรมของคำบุรพบท)
=จงตรวจสอบมันตรงนี้สำหรับคุณ.
Distributive Pronoun
-distributive pronoun (ดิสทริบบิวทีฟว์ โพรนาวน์) แปลว่า “สรรพนามเกี่ยวกับการแจกจ่าย”
สรรพนาม นี้เป็นสรรพนามนี้ใช้แทนคนและสิ่งของที่แยกออกเป็นอย่างๆ เป็นรูปเอกพจน์อย่างเดียว เป็นได้ทั้งประธานและกรรม มีด้วยกัน 3 ตัว คือ:-
1.each (อีช) แปลว่า “แต่ละ, คนละ, อันละ, สิ่งละ,คันละ, เล่มละ”
2.either (อีเธอะ) แปลว่า “คนใดคนหนึ่ง, สิ่งใดสิ่งหนึ่ง”
3.neither (ไนเธอะ) แปลว่า “คนใดคนหนึ่งก็ไม่ได้, สิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ไม่ได้”
Each
-each (อีช) แปลว่า “แต่ละคน, แต่ละอัน, แต่ละสิ่ง, แต่ละอย่าง” เป็นเอกพจน์ได้อย่างเดียว ทำหน้าที่ได้ 3 อย่างในประโยค คือ:-
1.ทำหน้าที่เป็นประธาน
2.ทำหน้าที่เป็นกรรมของกิริยา
3.ทำหน้าที่เป็นกรรมของคำบุรพบท
-each ทำหน้าเป็นประธานของประโยค แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ:-
1.เป็นประธานโดยไม่ต้องมีคำบุรพบท of ประกอบ เช่น:-
-Each gave according to his ability.
=แต่ละคนให้เป็นไปตามความสามารถของเขา.
-Each is equally sad.
=แต่ละคนก็เศร้าใจพอๆกัน.
-Each is good all.
=แต่ละอย่างก็ดีทั้งนั้น.
2.เป็นประธานโดยมีคำบุรพบท of ประกอบ เช่น:-
-Each of us looks for the passenger lists.
=พวกเราแต่ละคนมองหารายชื่อผู้โดยสาร.
-Each of them loves themselves fear dead.
=พวกเขาแต่ละคนก็รักตัวกลัวตาย.
-Each of things in this world is not certain all.
=แต่ละสิ่งในโลกนี้ล้วนไม่แน่นอน.
-each ทำหน้าที่เป็นกรรมของกิริยา เช่น:-
-I will make each one achieve a success.
=ผมจะทำแต่ละคนให้บรรลุความสำเร็จ.
-She likes each of people a lot.
=หล่อนชอบแต่ละคนมาก.
-He keeps each of things is not damaged.
=เขาเก็บรักษาแต่ละสิ่งไม่ให้ได้รับความเสียหายเลย.
-each ทำหน้าที่เป็นกรรมของคำบุรพบท เช่่น:-
-Her mother gives twenty bath to each of us.
=แม่ของเธอให้เงินคนละยี่สิบบาทแก่พวกเราแต่ละคน.
-This is a success for each of us.
=นี้คือความสำเร็จสำหรับพวกเราแต่ละคน.
-It went away after each of them returns.
=มันหนีไปแล้วหลังจากนั้นพวกเขาแต่ละคนก็กลับมา.
Either
-either (อีเธอะ) แปลว่า “อย่างใดอย่างหนึ่ง” หมายความว่าหนึ่งในระหว่างสองให้เลือกเอาอย่างเดียว ถ้ามีความหมายให้เลือกเช่นนี้เวลาเขียนเป็นประโยคต้องมี of เข้ามาประกอบด้วย มีรูปเป็นเอกพจน์อย่างเดียว เป็นได้ทั้งประธาน, กรรม, และกรรมของคำบุรพบท
-either ทำหน้าที่เป็นประธาน เช่น:-
-Either of the two girls is beautiful.
=บรรดาหญิงสาวทั้งสองคนนั้นคนใดคนหนึ่งสวย. หรือจะแปลอย่างนี้ก็ได้ คนใดคนหนึ่งในจำนวนหญิงสองคนนั้นสวย.
-Either of the three persons must be a good person.
=คนใดคนหนึ่งในจำนวนสามนั้นคนหนึ่งต้องเป็นคนดี. หรือจะแปลอย่างนี้ก็ได้ ทั้งสามคนนั้นจะต้องมีคนดีอยู่คนหนึ่ง.
-Either of the four teachers teaches English very well.
=ครูทั้งสี่คนนั้นครูคนหนึ่งสอนภาษาอังกฤษดีมาก.
-either ทำหน้าที่เป็นกรรมของกิริยา เช่น:-
-I don’t like either of those answers.
=ฉันไม่ชอบคำใดคำหนึ่งของคำตอบเหล่านั้น.
-She loves either of the two men.
=หล่อนรักชายทั้งสองคนนั้นคนใดคนหนึ่ง.
-He wants either of the three foods.
=เขาต้องการอาหารทั้งสามอย่างนั้นอย่างใดอย่างหนึ่ง.
-either ทำหน้าที่เป็นกรรมของคำบุรพบท เช่่น:
-She has written to either of her parents.
=เธอได้เขียนจดหมายถึงพ่อแม่ของเธอคนใดคนหนึ่ง.
-She wear into either of the two shirts.
= หล่อนสวมใส่สื้อชั้นในทั้งสองตัวนั้นตัวใดตัวหนึ่ง.
-We look for either of those people.
=พวกเราค้นหาคนทั้งหลายเหล่านั้นคนใดคนหนึ่ง.
Neither
-neither (ไนเธอะ) แปลว่า “ไม่,ไม่มีใคร, ไม่มีคนไหน, ไม่มีคนใด, ไม่มีสิ่งใด” เป็นเอกพจน์ ใช้ในประโยคปฏิเสธ เป็นได้ทั้งประธาน, กรรมของกิริยา, และกรรมของคำบุรพบท
-neither ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค เช่น:-
-Neither of the two girls is beautiful.
=บรรดาหญิงสาวทั้งสองคนนั้นไม่มีคนใดสวยเลย.
-Neither of those people is good person.
=บรรดาคนทั้งหลายเหล่านั้นไม่มีคนไหนดีเลย.
-Neither of us is good.
=บรรดาพวกเราไม่มีใครดีเลย.
-neither ทำหน้าที่เป็นกรรมของกิริยา เช่น:-
-I love neither of those people.
=ฉันไม่รักใครเลยบรรดาคนทั้งหลายเหล่านั้น.
-We want neither of those cars.
=พวกเราไม่ต้องการรถยนต์คันไหนเลยบรรดารถยนต์ทั้งหลายเหล่านั้น.
-She likes neither of all us.
=หล่อนไม่ชอบใครเลยในบรรดาพวกเราทั้งหมด.
-neither ทำหน้าที่เป็นกรรมของคำบุรพบท เช่น:-
-I tried twice, but neither try worked.
=ผมพยายามสองครั้งแต่ไม่มีใครพยายามทำงานเลย.
-I have went home after neither comes.
=ผมได้กลับบ้านหลังจากไม่มีใครมา.
-I got up after neither wake up.
=ฉันลุกขึ้นหลังจากไม่มีใครตื่น.
-The bout appeared out neither wins.
=การแข่งขันปรากฏผลออกมาไม่มีใครชนะ.
Relative Pronoun
-Relative pronoun (รีเลทีฟว์ โพรนาวน์) แปลว่า “สรรพนามที่สัมพันธ์ถึงกันได้, หรือ ประพันธสรรพนาม” ใช้แทนคน, สัตว์, และสิ่งของ ใช้แทนได้ทั้งนามเอกพจน์และพหูพจน์ ประพันธสรรพนามที่นำมาใช้มี 7 ตัว คือ:-
1.who
2.whom
3.whose
4.which
5.what
6.when
7.that
Who
-who (ฮู) แปลว่า “ผู้ซึ่ง, ผู้ที่, ซึ่ง, ที่” who ที่นำมาใช้ในประพันธสรรพนามไม่ได้แปลว่า “ใคร” แต่แปลว่า “ผู้ซึ่ง, ผู้ที่” เช่น:-
-Mr.William is a teacher who teaches English to us as well.
=นายวิลเลียมเป็นครูที่สอนภาษาอังกฤษให้แก่พวกเราได้เป็นอย่างดี.
-Miss Anny who is loved of us has died.
=นางสาวแอนนี่ผู้ซึ่งเป็นที่รักของพวกเราได้เสียชีวิตแล้ว.
-They who live in the house are our relative.
=พวกเขาผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นเป็นญาติของพวกเรา.
-who ในประโยคแรกทำหน้าที่ได้ 3 อย่าง คือ:-
1.เป็นคำที่ใช้แทนนามคือ teacher
2.เป็นประธานของกิริยาคือ teaches
3.เป็น conjunction คือคำเชื่อมต่อระหว่างประโยค คือได้ทำการเชื่อมต่อประโยค
Mr.William is a teacher. กับประโยค Who teaches English to us as well.
เข้าด้วยกัน who ในประโยคที่สองและที่สามก็มีหน้าที่เหมือนกัน
**ข้อควรจำ:- ขอให้ผู้ศึกษาทั้งหลายจำไว้ให้ดีว่า “who whom whose” เป็นประพันธสรรพนามที่ใช้แทนนามเท่านั้น จะใช้แทนสัตว์และสิ่งของไม่ได้
Whom
-whom (ฮูม) แปลว่า “ผู้ซึ่ง, ผู้ที่, ซึ่ง, ที่” เช่น:-
-I like Miss Nancy whom is a singer.
=ผมชอบนางสาวแนนซี่ผู้ที่เป็นนักร้อง.
-We know Mrs.Maneerat whom is Chuleewan’s aunt.
=พวกเรารู้จักนางมณีรัตน์ผู้ที่เป็นป้าของชุลีวรรณ.
-I see people whom are good hospitable.
=ฉันเห็นคนที่มีอัธยาศัยดี.
Whose
-whose (ฮูส) แปลว่า “ผู้ซึ่ง…..ของเขา, ผู้ซึ่ง…..ของเธอ” whose เป็นสรรพนามแสดงความเป็นเจ้าของ เพราะฉะนั้นข้างหลัง whose จะต้องมีนามเสมอ เช่น:-
-Surapan is the boy whose father died in the battlefield.
=สุรพันธ์เป็นเด็กชายผู้ซึ่งพ่อของเขาตายในสนามรบ.
-Naree is Chuleewan’s daughter whose husband is a famous football.
=นารีเป็นลูกสาวของชุลีวรรณผู้ซึ่งสามีของเธอเป็นนักฟุตบอลที่มีชื่อเสียง.
-whose ในประโยคนี้เป็นประพันธสรรพนามที่ทำหน้าที่ 3 อย่าง คือ:-
1.เป็นคำสรรพนามที่ใช้แทนนามที่อยู่ข้างหน้าของมันคือ daughter
2.เป็นคำสรรพนามแสดงความเป็นเจ้าของๆคำนามที่อยู่ข้างหลังคือ husband
3.เป็นคำเชื่อมต่อข้อความของประโยคหน้าและประโยคหลังให้มีความสันพันธ์กัน
-ตัวอย่างคำนามที่อยู่ข้างหลังของ whose ที่เป็นพหูพจน์ เช่น:-
-Thanida is a beautiful girl whose friends are good persons.
=ธนิดาเป็นสาวสวยผู้ซึ่งเพื่อนทั้งหลายของเธอเป็นคนดี.
Which
-which (วิช) แปลว่า “ที่, ซึ่ง” ใช้แทนสัตว์และสิ่งของ เป็นได้ทั้งเอกพจน์และพหูพจน์
เป็นได้ทั้งตัวประธานและตัวกรรม เช่น:-
-The animal which has wings is a hen.
=สัตว์ที่มีปีกคือแม่ไก่.
-หน้าที่ของ which ในประโยคนี้มี 3 อย่าง คือ:-
1.เป็นสรรพนามที่ใช้แทนคำนามคือ animal
2.เป็นประธานของประโยคในรูปของเอกพจน์คือ Which has wings.
3.เป็นคำเชื่อมต่อข้อความของประโยคทั้งสองให้เกิดความสัมพันธ์กัน ประโยคอื่นๆที่เขียนขึ้นมาในทำนองเดียวกันนี้ก็ให้อธิบายเหมือนกัน เช่น:-
-The pen which I use regularly is a red handle.
=ปากกาที่ข้าพเจ้าใช้เป็นประจำมีด้ามสีแดง.
-ตัวอย่างประโยคที่เป็นพหูพจน์ เช่น:-
-Chava doves are animals which are expensive.
=นกเขาชวาทั้งหลายเป็นสัตว์ที่มีราคาแพง.
-ตัวอย่างประโยคที่เป็นกรรม เช่น:-
-This is a newspaper which she brings for you.
=นี้คือหนังสือพิมพ์ที่หล่อนนำมาให้คุณ.
-I have a Chava Dove which I bought from Indonesia.
=ผมมีนกเขาชวาตัวหนึ่งที่ผมซื้อมาจากประเทศอินโดนิเสีย.
What
-what (วอท) แปลว่า “อะไร, สิ่งที่” เป็นได้ทั้งเอกพจน์และพหูพจน์ เป็นได้ทั้งประธานและกรรม ใช้แทนสิ่งของอย่างเดียว
-what ใช้เป็นประธาน ในรูปเอกพจน์ เช่น:-
-What is this?
=นี้คืออะไร?
-What happened?
=เกิดอะไรขึ้น?
-What is in this box.
=อะไรอยู่ในกล่องนี้.
-What makes you cry.
=อะไรทำให้คุณร้องไห้.
-What makes her has to love him.
=อะไรทำให้เธอต้องรักเขา.
**หมายเหตุ:- ประโยค ที่ 3, 4, 5 ข้างบนนี้เป็นประโยคบอกเล่าที่ใช้เป็นคำถาม ไม่ต้องมี Question mark (?) เพราะมันเป็นรูปของประโยคบอกเล่า ขอให้นักศึกษาโปรดจำเอาไว้ให้ดี
-what ใช้ทำหน้าที่เป็นกรรม เช่น:-
-I know what you say.
=ฉันรู้สิ่งที่คุณพูด.
-What She likes, I will do it.
=สิ่งที่เธอชอบผมจะทำมัน.
-Tell me what makes her cry.
=จงบอกสิ่งที่ทำให้เธอร้องไห้ร้องไห้แก่ผม.
-what ในประโยคนี้เป็นกรรมตรง ส่วน me เป็นกรรมรอง เวลาแปลเป็นไทยกรรมรองให้แปลทีหลังสุด
-what ใช้ในรูปของพหูพจน์ เช่น:-
-What are these?
=เหล่านี้คืออะไร?
-What are those things on the table?
=สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นอยู่บนโต๊ะคืออะไ?
When
-when (เวน) แปลว่า “เวลาซึ่ง, เวลาที่” ใช้แทนวันเวลา ทำหน้าที่เชื่อมประโยคทั้งสองเข้าด้วยกัน เช่น:-
-The spring will start, when the snow melts.
=ฤดูใบไม้ผลิจะเริ่มขึ้นในเวลาที่หิมะละลาย.
-They have married when they were still young.
=พวกเขาได้แต่งงานกันในเวลาที่พวกเขายังเด็กอยู่.
-When died he can not bring what to stick body goes .
=เวลาที่ตายเขาไม่สามารถนำสิ่งใดติดตัวไปได้.
-He was Prime Minister when I went abroad.
=เขาเป็นนายกรัฐมนตรีในเวลาที่ผมไปต่างประเทศแล้ว.
That
-that (แฑ๊ท) แปลว่า “คนที่, สิ่งที่, ที่, ซึ่ง” เป็นเอกพจน์อย่างเดียว ใช้แทนคน, สัตว์, และสิ่งของ เป็นได้ทั้งประธานและกรรม
-that ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค เช่น:-
-That is mine.
=สิ่งที่เป็นของฉัน.
-Wanchai is the boy that learns book quickly.
=วันชัยเป็นเด็กชายคนที่เรียนหนังสือได้อย่างรวดเร็ว.
-Thanida is the girl that is very diligent.
=ธนิดาเป็นเด็กหญิงที่ขยันมาก.
-That is where I went to school.
=นั่นคือสถานที่ๆฉันไปโรงเรียน.
-that ทำหน้าที่เป็นกรรม เช่น:-
-I like that has in the box.
=ฉันชอบสิ่งที่มีในกล่อง.
-She loves that does diligent work.
=หล่อนรักคนที่ทำงานอย่างขยันขันแข็ง.
-We congratulate with that wins in this sport.
=พวกเราขอแสดงความยินดีกับคนที่ชนะในกีฬาชนิดนี้.
-that ในประโยคนี้ทำหน้าที่เป็นกรรมของคำบุรพบทคือ with
หลักเกณฑ์การใช้ that เป็น relative pronoun
-การใช้ that เป็น ประพันธสรรพนามมีหลักเกณฑ์ 4 ข้อดังต่อไปนี้
1.นามตัวนั้นจะต้องมีคุณศัพท์ขั้นสูงสุดคือ most ขยายอยู่ข้างหน้า เช่น:-
-Sutep Wongkamhaeng is most famous singer that I have talked too.
-สุเทพ วงศ์กำแหง เป็นนักร้องที่มีชื่อเสียงมากที่สุดที่ข้าพเจ้าได้พูดคุยด้วย.
2.นามตัวนั้นมีตัวเลขลำดับที่ขยายอยู่ข้างหน้า เช่น:-
-China is the first country that I have traveled to tour.
=ประเทศจีนเป็นประเทศแรกที่ผมได้เดินทางไปท่องเที่ยว.
-Tevee was the second person that I loved.
=เทวีเป็นคนที่สองที่ผมรัก.
3.นามตัวนั้นต้องมีคุณศัพท์บอกปริมาณคือ many, much, little ขยายอยู่ข้างหน้า เช่น:-
-Maneewan have many books that will give me.
=มณีวรรณมีหนังสือสิบเล่มที่จะให้ฉัน.
-There is little money that I will give you.
=มีเงินเล็กน้อยที่ฉันจะให้คุณ.
4.ใช้ในกรณีที่คำสรรพนามผสมเหล่านี้คือ someone, somebody, something, somewhere,
anyone, anybody, anything, anywhere, everyone, everythig, no one, nothing เป้นต้นอยู่ข้างหน้า เช่น:-
-Someone is in the room that has not came.
=มีบางคนอยู่ในห้องนั้นที่ไม่ได้มา.
-I have nothing that will give you.
=ฉันไม่มีอะไรที่จะให้คุณ.
5.ใช้เน้นนามตัวที่อยู่ข้างหน้าของมันให้เด่นชัดเป็นที่รู้จักและเป็นที่ชื่นชอบของผู้อื่น เช่น:-
-She has food that probably eat.
=เธอมีอาหารที่น่ากิน.
-She has the face that is beautiful.
=หล่อนมีใบหน้าที่สวยงาม.
วิธีใช้ Pronoun จาก Youtube จงคลิกเปิดล้งค์ข้างล่างนี้ขึ้นมาฟังดู
https://www.youtube.com/watch?v=OI1Gc3BAP2k
กรุณาคลิกหน้าที่ 5 ที่เมนูข้างล่างนี้
แบ่งปันสิ่งนี้:
Like this:
ถูกใจ
กำลังโหลด…
Related
[Update] Pronoun หรือ คําสรรพนาม คืออะไร พร้อมตัวอย่างประโยค | anybody แปลว่า – NATAVIGUIDES
ในบทความนี้ เราจะมาอธิบายเกี่ยวกับ pronoun คืออะไร พร้อมตัวอย่างประโยค และชนิตต่างๆ ของ คําสรรพนามถ้าเพื่อนๆพร้อมแล้ว เราไปดูกันเลย
Pronoun คืออะไร ??
Pronoun (คำสรรพนาม) คือคำที่ใช้แทนคำนาม เพื่อความสะดวกและความกระชับในการใช้ภาษา อย่างเช่นคำว่า I, you, he, she, it, we, they, everyone, someone เป็นต้น ในภาษาอังกฤษ เมื่อเรากล่าวซ้ำถึงคำนามใด หรือเมื่อเรากล่าวถึงสิ่งที่ทั้งผู้พูดและผู้ฟังรู้กันอยู่แล้วว่าหมายถึงสิ่งไหน เราจะเปลี่ยนไปใช้ pronoun แทน
Pronoun พื้นฐาน 7 ตัวคือ I, you, he, she, it, we, they โดยทั้ง 7 ตัวนี้จะมีความพิเศษตรงที่ว่ามันมีหลายรูป เราจะต้องเลือกใช้รูปให้ตรงกับหน้าที่ในประโยค
ตัวอย่างประโยคการใช้สรรพนาม
*I: I am a teacher. แปลว่า ฉันเป็นครู
*You: You are the teacher. แปลว่า คุณเป็นครู
*She: She is the teacher. แปลว่า หล่อนเป็นครู ใช้ She ทำหน้าที่เป็นประธาน วางไว้หน้าสุดของประโยค ตามด้วยคำกริยา
*It: It’s your turn แปลว่า มันถึงคราวของคุณแล้ว หรือ ถึงตาคุณแล้ว
*We: We come from Thailand. แปลว่า พวกเรามาจากประเทศไทย
*They: They have two kids แปลว่า พวกเขา มี ลูก สองคน สรรพนาม They/เดย์ ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยควางไว้หน้าคำกริยา
ตัวอย่างความหมายของคําสรรพนามในภาษาอังกฤษ
Pronoun มีอะไรบ้าง??
คําสรรพนาม หรือ Pronoun มี 7 ชนิด ประกอบด้วย
- บุรุษสรรพนาม(Personal pronouns)
- สรรพนามแสดงตนเอง (Reflexive pronouns)
- สรรพนามบ่งชี้ (Demonstrative pronouns)
- สรรพนามเจ้าของ(Possessive pronoun)
- สรรพนามที่ใช้เชื่อมประโยค (Relative pronouns)
- สรรพนามไม่เจาะจง (Indefinite pronouns)
- และ Intensive pronouns
รายละเอียดวิธีการใช้งานของคําสรรพนาม แต่ละชนิดดังต่อไปนี้
1. Personal Pronouns
หรือบุรุษสรรพนาม คือ สรรพนามที่ใช้แทนบุคคล ปกติจะได้แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ สรรพนามบุรุษที่ 1 หรือเรียกได้ว่า The first person ที่จะอยู่ในรูปแบบของ I (ฉัน, ข้าพเจ้า), We (พวกเรา→หลายคน) สองคือ สรรพนามบุรุษที่ 2 หรือได้เรียกว่า The second person ที่อยู่ในรูปแบบของ You (คุณ, พวกคุณ→หลายคน) ประเภคที่สามคือ สรรพนามบุรุษที่ 3 หรือได้เรียกว่า The third person ที่อยู่ในรูปแบบของ He (เขา→ผู้ชาย), She (เธอ,หล่อน→ผู้หญิง), It (มัน), They (พวกเขา→หลายคน)
เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้น เรื่องของ Personal Pronouns สามารถสรุปสั้นๆในตารางข้างล่างนี้
Personal
pronoun ที่เป็นประธานPersonal
pronoun ที่เป็นกรรมความหมายรายละเอียดการใช้IMeผม, ฉัน, ดิฉันใช้แทนตัวผู้พูดYouYouคุณ, พวกคุณใช้แทนตัวคู่สนทนา ใช้ได้ทั้งคู่สนทนาคนเดียวและหลายคนHeHimเขาใช้แทนบุคคลอื่นที่เป็นเพศชายSheHerเธอใช้แทนบุคคลอื่นที่เป็นเพศหญิงItItมันใช้แทนสัตว์ สิ่งของ สิ่งที่เป็นนามธรรมWeUsพวกเราใช้แทนกลุ่มของผู้พูดTheyThemพวกเขา, พวกมันใช้แทนกลุ่มบุคคลอื่น กลุ่มสัตว์ กลุ่มสิ่งของ กลุ่มของสิ่งที่เป็นนามธรรม
2. Reflexive pronoun
ได้แก่ myself, yourself, yourselves, himself, herself, itself, ourselves, themselves ที่ใช้เพื่อแทนประธานในประโยคหรือวลีเดียวกัน เข้าใจได้ง่ายคือคำว่า reflexive แปลว่า “สะท้อน” ส่วนคำว่า pronoun นั้นแปลว่า “คำสรรพนาม”
Reflexive pronoun นี้สามารถใช้ในกรณี
1.ใช้เมื่อประธานและกรรมเป็นบุคคลหรือสิ่งเดียวกัน
2. ใช้ “by + reflexive pronoun” เพื่อสื่อความหมายว่า “คนเดียว”
ตัวอย่างเช่น I did all the housework by myself แปลว่า ฉันทำงานบ้านทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว
3. ใช้เพื่อเน้น เราสามารถใช้ reflexive pronoun เพื่อเน้นว่าใครบางคนได้ทำสิ่งใดด้วยตัวเขาเอง
4. ใช้เพื่อความสุภาพ บางครั้งเราอาจใช้ reflexive pronoun แทน pronoun ที่เป็นกรรม เพื่อให้สุภาพมากขึ้น ตัวอย่างเช่น We are grateful for the support of people like yourself แปลว่า พวกเรารู้สึกยินดีกับการสนับสนุนของผู้คนอย่างคุณ
เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้น เรื่องของ Reflexive pronoun สามารถสรุปสั้นๆในตารางข้างล่างนี้
Subject pronounความหมายReflexive pronounความหมายIฉันMyselfตนเอง, ฉันเองYou (เอกพจน์)คุณYourself (เอกพจน์)คุณเองHeเขาHimselfเขาเองSheเธอHerselfเธอเองItมันItselfมันเองWeพวกเราOurselvesพวกเราเองTheyพวกเขาThemselvesพวกเขาเอง
3. Demonstrative pronouns
คือ สรรพนามชี้เฉพาะ หมายถึง สรรพนามที่ใช้แทนคำนาม (Noun) เพื่อแสดงการชี้เฉพาะเจาะจงว่าเป็นสิ่งไหน อันไหน หรือว่าคนไหน โดย Demonstrative Pronoun สามารถเป็นได้ทั้งประธานและกรรมของประโยค โดยคำสรรพนามในกลุ่มนี้ที่ผู้เรียนภาษาอังกฤษมักจะพบเห็นบ่อยๆ มี 4 ตัว ได้แก่ this that these those ซึ่งมีการใช้ง่ายๆ ดังต่อไปนี้
Demonstrative pronounความหมายเอกพจน์/พหูพจน์ระยะห่างจากผู้พูดThisนี่เอกพจน์ใกล้Thatนั่นเอกพจน์ไกลTheseนี่
พวกนี้
เหล่านี้พหูพจน์ใกล้Thoseนั่น
พวกนั้น
เหล่านั้นพหูพจน์ไกล
ยกตัวอย่างเช่น
This is my pen. แปลว่า นี่คือปากกาของฉัน
Those are my pens. แปลว่า พวกนั้นคือปากกาของฉัน
4. Possessive pronoun
คือคำสรรพนามที่แสดงความเป็นเจ้าของ ซึ่งหลักๆได้แก่ mine, yours, his, hers, its, ours, theirs possessive pronoun ทำหน้าที่เป็นคำสรรพนาม เวลาใช้ไม่ต้องมีคำนามตามหลัง
เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้น เรื่องของ Possessive pronoun สามารถสรุปสั้นๆในตารางข้างล่างนี้
Possessive adjectivePossessive pronounความหมายความหมายรายละเอียดการใช้MyMineของฉันใช้กับสิ่งที่เป็นของตัวผู้พูดYourYourของคุณ, ของพวกคุณใช้กับสิ่งที่เป็นของตัวคู่สนทนา ใช้ได้ทั้งคู่สนทนาคนเดียวและหลายคนHisHisของเขาใช้กับสิ่งที่เป็นของบุคคลอื่นที่เป็นเพศชายHerHerของเธอ
ใช้กับสิ่งที่เป็นของบุคคลอื่นที่เป็นเพศหญิงItsItsของมันใช้กับสิ่งที่เป็นของสัตว์หรือสิ่งของOurOurของพวกเราใช้กับสิ่งที่เป็นของกลุ่มผู้พูดTheirTheirของพวกเขา, ของพวกมันใช้กับสิ่งที่เป็นของกลุ่มบุคคลอื่น กลุ่มสัตว์ หรือกลุ่มสิ่งของ
ยกตัวอย่างเช่น
These books are mine. แปลว่า หนังสือพวกนี้เป็นของฉัน
My shoes are more dirty than yours.แปลว่า รองเท้าของฉันสกปรกกว่าของคุณ
เรียนรู้วิธีการใช้ Pronoun หรือคําสรรพนามในภาษาอังกฤษ
5. Relative pronouns
ได้แก่คำว่า who, whom, whose, which, that, where, when, why
who : ใช้กับคน (อาจใช้กับสัตว์เลี้ยงด้วย) whom: ใช้กับคน (ที่ทำหน้าที่เป็นกรรม มักใช้ในภาษาที่เป็นทางการ) whose: ใช้กับคน สัตว์ สิ่งของ (เกี่ยวกับความเป็นเจ้าของ) which: ใช้กับสัตว์และสิ่งของ that:ใช้กับคน สัตว์ สิ่งของ (มักใช้ในภาษาที่ไม่เป็นทางการ) where: ใช้กับสถานที่ when: ใช้กับเวลา why: ใช้กับเหตุผล Relative pronouns นี้จะเป็นคำสรรพนามที่ใช้เชื่อมประโยคและให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิ่งใดๆ
ตัวอย่างประโยค:
This is Anne, whom you met at the seminar last week. แปลว่านี่คือแอน คนที่คุณเจอที่งานสัมมนาเมื่อสัปดาห์ก่อน
This is the same bag that my mom has. แปลว่า นี่เป็นกระเป๋าใบเดียวกันกับที่แม่ฉันมีเลย
Do you recognise the girl who sat next to me in cinema yesterday ? แปลว่า คุณจำผู้หญิงที่นั่งข้างฉันในโรงหนังเมื่อวานนี้ได้ไหม?
Did she take my computer which I put on the table ? แปลว่า เธอเอาคอมพิวเตอร์ของฉันที่วางไว้บนโต๊ะหรือเปล่า
I love the kinds of flower that smell gentle. แปลว่า ฉันชอบดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมเบาๆ
6. Indefinite pronouns
Indefinite แปลว่า “ไม่เจาะจง” ส่วน pronoun แปลว่า “คำสรรพนาม” ซึ่งก็คือคำที่ใช้แทนคำนามนั่นเองคือคำสรรพนามที่ไม่ได้ระบุเจาะจงว่าเป็นคนไหน สิ่งไหน หรือสถานที่ไหน อย่างเช่น anybody, anyone, anything, anywhere, everybody, somebody, both, all, none เป็นต้น
วิธีการใช้งานของ Indefinite pronouns Indefinite ขึ้นอยู่กับสภานณการและยกตัวอย่างให้เห็นภำพง่ายๆ คือ ถ้าจะใช้กล่าวรวมทั้งหมด: Everyone/everybody is checking their phones. แปลว่า ทุกคนกำลังเช็คโทรศัพท์ของตัวเอง
– ใช้กล่าวถึงแค่บางสิ่ง: Someone/somebody is waiting for you. แปลว่า มีใครบางคนรอคุณอยู่
– ใช้สื่อว่าสิ่งใดก็ได้: Anyone/anybody is welcome.แปลว่า ไม่ว่าจะเป็นใครก็ยินดีต้อนรับ
– ใช้บอกว่าไม่มี: Nobody want to be lonely.แปลว่า ไม่มีใครอยากโดดเดี่ยว
7.Intensive pronouns
คำสรรพนามที่ใช้เมื่อประธานและกรรม เป็นคนเดียวกัน หรือสิ่งเดียวกัน ได้แก่ myself, yourself, himself, herself, itself, ourselves, yourselves, themselves ( รูป –self /-selves ของคำสรรพนามที่ใช้แทนบุคคล)
Pronoun ชนิดอื่นๆ
นอกจาก pronoun พื้นฐานเหล่านี้แล้ว ยังมี pronoun ชนิดอื่นๆอีก อย่างเช่น คำสรรพนามที่ใช้ในคำถาม, คำสรรพนามที่ไม่ชี้เฉพาะ, คำสรรพนามที่ใช้เชื่อมประโยคหรือขยายคำนาม/คำสรรพนาม Pronoun เหล่านี้แต่ละตัวก็จะมีวิธีการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป เราควรเรียนรู้วิธีการใช้เสียก่อน เพื่อที่จะได้นำไปใช้ได้อย่างถูกต้อง
– Interrogative pronoun (คำสรรพนามที่ใช้ในคำถาม) เช่น what, which, who, whom, whose
– Indefinite pronoun (คำสรรพนามที่ไม่ชี้เฉพาะ) เช่น everybody, everyone, everything, somebody, someone, something, some, anybody, anyone, anything, any, nobody, no one, nothing, neither, none
– Relative pronoun (คำสรรพนามที่ใช้เชื่อมประโยคหรือขยายคำนาม/คำสรรพนาม) เช่น who, whom, whose, which, that, where, when, why
ในข้อสอบต่างๆ คุณอาจจะเจอคำถามเกี่ยวกับวิธีการใช้ Pronoun แล้ววิธีที่ช่วยคุณได้คะแนนเต็มสำหรับหัวข้อนั้นก็คือต้องใช้เวลาทำแบบฝึกหัดให้เยอะขึ้น ทำข้อไหนต้องสามารถอธิบายทำไมคุณถึงจะเลือกคำตอบนั้น มันจะช่วยคุณเข้าใจลึกๆ เกี่ยวกับไวยากรณ์ภาษาอังกฤษและมีความรู้ได้แนน
ว่าอย่างไรคะกับบทความรวบรวม A-Z ความรู้เกี่ยวกับ Pronoun คืออะไร พร้อมตัวอย่างประโยคและวิธีการใช้งานของ Pronoun นี่เป็นส่วนเนื้อหาที่สำคัญเป็นอย่างมากเมื่อพูดถึงไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ ดังนั้นผู้เรียนอย่ามองข้ามส่วนเนื้อหานี้นะคะ เรียนไปแล้วต้องเอามาใช้งานจริงด้วยการทำแบบฝึกหัดหรือตั้งประโยคด้วย จะช่วยให้คุณจำได้นานขึ้นและมีความรู้แน่นขึ้นนะคะ
i need somebody (อยากขอสักคน) – บี้ สุกฤษฎิ์【OFFICIAL MV】
INeedSomebody บี้สุกฤษฎิ์ GMMGrammy
BieSukrit
Digital Download : 123 1007791 3
iTunes Download : https://goo.gl/7Q2Agg
KKBOX :http://kkbox.fm/6d0BTC
เพลง : I Need Somebody (อยากขอสักคน)
ศิลปิน : บี้ สุกฤษฏิ์ วิเศษแก้ว
เนื้อร้อง : บรรเจิด สินธุ
ทำนอง : กันธุรักษ์ โนบาง
เรียบเรียง : กันธุรักษ์ โนบาง
อัพเดทผลงานศิลปินที่คุณชื่นชอบได้ที่
https://www.facebook.com/gmmgrammyofficial?fref=nf
http://www.youtube.com/user/gmmgrammyofficial
https://plus.google.com/+GmmgrammyofficialBlogspot2014/posts
http://www.gmmgrammyofficial.blogspot…
นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูความรู้เพิ่มเติมที่นี่
I think so ไม่ได้แปลว่าเห็นด้วย !! ภาษาอังกฤษกับอดัม #อดัมไลฟ์
สอบถามเรื่องคอร์สได้ที่ไลน์ @ajarnadam หรือโทร 02 612 9300
รายละเอียดคอร์ส http://www.ajarnadam.tv/
FB: http://www.facebook.com/AjarnAdamBradshaw
IG: https://www.instagram.com/ajarnadam
Twitter: http://twitter.com/AjarnAdam
อดัมไลฟ์
K E S H I Greatest hits 2021 – Best Songs Of K E S H I full album 2021
K E S H I Greatest hits 2021 Best Songs Of K E S H I full album 2021
K E S H I Greatest hits 2021 Best Songs Of K E S H I full album 2021
K E S H I Greatest hits 2021 Best Songs Of K E S H I full album 2021
https://youtu.be/kxDTjLKCTYY
Thanks for watching! Don’t forget to SUBCRIBE, Like \u0026 Share my video if you enjoy it! Have a nice day!
[ THAISUB ] At My Worst – Pink Sweat$ แปลเพลง
♡♡♡เพลงนี้สำหรับคนแอบชอบ แต่ก็ยังกล้ากลัวๆ ว่าเขาจะรับสิ่งที่เราเป็นได้หรือเปล่า แต่ก็แอบหวังว่าเขาจะรับเราได้ในแบบที่เราเป็น ~
แก้ไขคำแปลช่วง 1:02 นะคะ And for you girl
I swear I’ll do the worst จริงๆแล้วคือ ผมสาบาน หรือผมรับรองเลยว่าผมจะทำให้เต็มที่ที่สุด
Official Audio : https://youtu.be/VXzAJd8UJl8
Follow Pink Sweat$ : https://instagram.com/pinksweats
สามารถคอมเมนท์ติชม แนะนำ ได้เลยนะฮะ ยังแปลไม่ค่อยเก่งเท่าไร
ขอบคุณที่ติดตามกันนะค้าบ//ไหว้งามๆ
someone, somebody, anyone, anybody anything, ง่ายๆ ใช้พูด \u0026ใช้สอบ ตามครูมาจะพาพูดได้126 ครูโจ
ถ้าต้องการเรียนพื้นฐานเริ่มจาก 0 ให้กดเรียนฟรีได้ ที่ลิ้งก์ หลังประโยคนี้ได้เลยครับhttps://www.youtube.com/playlist?list=PLtIYgIxknWWcMfV8SWEJAHqPy12ur3bo หรือถ้าต้องการเห็นวีดีโอเพลย์ลิสทั้งหมดของครูโจก่อนก็สามารถทำได้ ให้กดไปที่รูปหน้าครูโจ 1 ครั้งแล้วกด เพลย์ลิสต์ 1ครั้ง แล้วเลื่อนลงไปเลือกกดดูคลิปที่เราสนใจฝึกฟรีได้เลยครับ เพราะวีดีโอจะเล่นให้เราเองโดยอัตโนมัติ สามารถเปิดฟังยาวๆแล้วก็ทำงานบ้าน หรือทำงานอื่นๆในกิจวัตรประจำวันของเราได้เลย เพราะวีดีโอจะเล่นยาวๆไปเองครับ ฟังบ่อยๆ เพื่อให้เราได้มีประสบการณ์ฟังภาษาอังกฤษที่ใช้บ่อย เฉพาะประโยคที่ใช้ใชชีวิตจริง เพื่อให้หูของเราได้คุ้นชินกับภาษาอังกฤษที่ใช้พูดจริง ทุกวัน และฟังให้เกิดความถี่ในการฟังบ่อยๆ และสุดท้ายเราก็จะรู้สึกได้เองว่า เราแปลได้นะ เราเข้าใจประโยคที่ครูได้พูดออกไปเมื่อกี้นะ และเราก็จะพูดประโยคนั้นออกมาเองได้ หลังจากที่ครูได้พูดภาษาไทยจบ เราจะพูดภาษาอังกฤษประโยคนั้นๆ ได้ทันทีเลย โดยอัติโนมัติ และถ้าผู้เรียนท่านใด ต้องกาจะฝึกเฉพาะเรื่องที่เราสนใจ ก็สามารถ กดเข้าไปที่ลิ้งก์ ที่ครูโจได้จัดทำไว้ให้พวกเราเรียบร้อยแล้ว
เพื่อฝึกภาษาอังกฤษฟรี ด้านล่างที่ครูได้จัดไว้ให้ตามหัวข้อต่างๆ ที่ผู้เรียนต้องการได้เลยครับ เรามาดูหัวข้อต่างๆ กันครับ
…………………………………………………………………..
ฝึกพูดประโยคบอกเล่า และปฏิเสธ จะมีให้ฝึกในคลิปที่ 17 ถึง 24
ครูได้จัดเรียงไว้ให้เรียบร้อยแล้ว จะดีที่สุดและ ง่ายที่สุดเลยครับ
ให้กดที่ลิ้งก์นี้ได้เลยครับเพราะวีดีโอที่ 1724 จะเล่นเองโดยอัตโนมัติครับ
https://www.youtube.com/playlist?list=PLtIYgIxknWWfqwEaDT36Ac29bPqPSl2gZ
ตามครูมาจะพาพูดได้ 17 ถึง 24
…………………………………………………………………..
การฝึกพูดประโยคคำถามที่ใช้บ่อยๆ ในชีวิตจริงแตั้งแต่เช้าถึงเข้านอน
เช่น คุณ …………..ไหม?จะมีให้ฝึกอยู่ในคลิป
ตามครูมาจะพาพูดได้คลิป25 ถึง 38 การแต่งประโยคคำถามที่ใช้ถามบ่อยที่สุดในชีวิตจริง
https://www.youtube.com/playlist?list=PLtIYgIxknWWd8dbI0Z3Py_peBym5U1r2
………………………………………………………………….
ต่อไปเป็นการฝึกพูดประโยคคำถามพิเศษ What Where When Why จะมีให้ฝึกอยู่ในคลิป
ตามครูมาจะพาพูดได้คลิป39 ถึง 48 คำถาพิเศษ 15 คำที่ใช้บ่อย กดที่ลิ้งก์นี้เพื่อเรียนฟรีได้เลยครับ
https://www.youtube.com/playlist?list=PLtIYgIxknWWfgjRaHU_iHwNyNjcKA57
………………………………………………………………….
ต่อไปเป็นการฝึกพูดประโยคบอกเล่า การเติม s , es , ies , มีให้ฝึกอยู่ในคลิป
คามครูมาจะพาพูดได้ 49 ถึง 62 การเติม s, es ies
https://www.youtube.com/playlist?list=PLtIYgIxknWWf2Sm6fbR_n83cqRaZtAX_w
………………………………………………………………..
การใช้ Do และ Does มาขึ้นต้นในการแต่งประโยคคำถาม มีให้ฝึกในคลิป
ตามครูมาจะพาพูดได้ 63 ถึง 74 การใช้ Do และ Does มาแต่งประโยคคำถาม
https://www.youtube.com/playlist?list=PLtIYgIxknWWep608Cm4xysOUUV1jQApql
……………………………………………………………….
การใช้ would , would like to อยาก อยากจะ เป็นคำสุภาพกว่า
want และ want to
มีให้ฝึกในคลิป
ตามครูมาจะพาพูดได้ 75 ถึง 82 การใช้ Would = อยาก
https://www.youtube.com/playlist?list=PLtIYgIxknWWezhQjjHTG9QAKNbpP0r5
……………………………………………………………..
การใช้ สำนวนที่ควรจำ : ฉัน ต้องการให้คุณ…: ฉัน ไม่ต้องการให้คุณ… : คุณ ต้องการให้ฉัน…ไหม?
มีให้ฝึกในคลิป
ตามครูมาจะพาพูดได้83 ถึง 84 สำนวน ที่ควรจะ ในภาษาอังกฤษ
https://www.youtube.com/playlist?list=PLtIYgIxknWWeh_Dqx1devHZ14ymPMMVC
…………………………………………………………….
ตามครูมาจะพาพูดได้ 85 การใช้ Should = ควรจะ
ตามครูมาจะพาพูดได้ 86 การใช้ Let’s…= …กันเถอะ
ตามครูมาจะพาพูดได้ 87 การใช้ Don’t…= อย่า …
……………………………………………………………
รวมการใช้ can คลิปที่ 8891
https://www.youtube.com/playlist?list=PLtIYgIxknWWdM1XYSlqFi_e6FOtO5lMy
ตามครูมาจะพาพูดได้ 88 การใช้ Can= สามารถ…ได้
ตามครูมาจะพาพูดได้ 89 การใช้ cannot…= ไม่สามารถ…ได้
ตามครูมาจะพาพูดได้ 90 การใช้ Can you ….? คุณ …ได้ไหม?
ตามครูมาจะพาพูดได้ 91 การใช้ คำถามพิเศษ Wh + can +กริยา …?
………………………………………………………
รวมการใช้will
https://www.youtube.com/playlist?list=PLtIYgIxknWWdCGpFETjnj_cgi_hs_436L
ตามครูมาจะพาพูดได้ 92 การใช้ will = จะ
ตามครูมาจะพาพูดได้ 93 การใช้ will not = จะไม่
ตามครูมาจะพาพูดได้ 94 การใช้ Will you….? คุณ จะ…ไหม?
ตามครูมาจะพาพูดได้ 95 การใช้ Will you…? คุณ จะ…ไหม?
ตามครูมาจะพาพูดได้ 96 การใช้ คำถามพิเศษ + will + you……?
………………………………………………………..
รวมการใช้Am Are Is มีอยู่ในคลิปที่57 , 97107
https://www.youtube.com/playlist?list=PLtIYgIxknWWek2G6y8t7Kxs1BdOw4DmZM
ตามครูมาจะพาพูดได้ 97103 การใช้ Are you…..? บอกอารมณ์ ความรู้สึกต่างๆทั้งภายในและภายนอก บอกลักษณะต่างๆของคำนาม คน สัตว์ สิ่งของสถานที่ อาชีพ สถานะ วัน เดือน ปี สี เวลา ตัวเลขต่างๆ ราคาสินค้า อายุ กริยาเติม ing
นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูบทความเพิ่มเติมในหมวดหมู่MAKE MONEY ONLINE
ขอบคุณที่รับชมกระทู้ครับ anybody แปลว่า