Skip to content
Home » [Update] Verb (คำกริยา) คืออะไร มีกี่ประเภท ตัวอย่าง | ได้แก่ ภาษาอังกฤษ – NATAVIGUIDES

[Update] Verb (คำกริยา) คืออะไร มีกี่ประเภท ตัวอย่าง | ได้แก่ ภาษาอังกฤษ – NATAVIGUIDES

ได้แก่ ภาษาอังกฤษ: คุณกำลังดูกระทู้

Verb (คำกริยา) คืออะไร มีกี่ประเภท ตัวอย่าง

ในบทเรียนนี้ เราจะพูดถึงคำกริยา (verb) ในภาษาอังกฤษ โดยผู้เรียนภาษาอังกฤษจะต้องเข้าใจสิ่งต่อไปนี้

Verb คือ อะไร?

Verb (กริยา) เป็นคำ หรือ กลุ่มคำที่เป็นการแสดงออก การเคลื่อนไหวของประธาน หรือแสดงสภาวะของประธาน เช่น eat กิน, run วิ่ง, walk เดิน, see เห็น, go ไป

คำกริยาภาษาอังกฤษ มีอะไรบ้าง

คำกริยาภาษาอังกฤษประกอบด้วย Finite Verb และ Non-finite Verb

Finite Verb คือ

กริยาแท้ ซึ่งถือเป็นกริยาที่สำคัญของประโยค

Non-finite Verb คือ

กริยาไม่แท้ และจะไม่มีการผันตาม Tense หรือ ประธานที่อยู่ข้างหน้า

คำกริยา ถือว่าเป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดส่วนหนึ่งของประโยคภาษาอังกฤษ เพราะถ้าไม่มีคำกริยาก็จะไม่สามารถสร้างประโยคได้

ประเภทของ Verb
Finite > Action, Linking, Auxiliary
Non-finite > Infinite, Gerund, Participle

Finite Verb
คือกริยาแท้ ถือเป็นกริยาที่สำคัญของประโยค (กริยาแท้หรือกริยาหลัก Main Verb) เป็นกริยาที่แสดงถึงกาลเวลา (Tense) หรือกริยาที่ถูกกำหนดโดยส่วนประธาน (Subject-Verb Agreement) ซึ่งอาจจะเป็นพจน์ (Number) ของนาม คือเอกพจน์หรือพหูพจน์, สรรพนามบุรุษที่ 1, 2, หรือ 3 (Person) หรือประธานอื่นๆ โดย Finite Verb แบ่งออกเป็นสามประเภท ได้แก่ Action Verb, Linking Verb และ Auxiliary Verb

Action Verb
เป็นคำกริยาที่แสดงอาการ การกระทำ มีการขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว (Movement) เช่น run, eat, read, jump, walk, swim, sing เป็นต้น

ตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษ
John eats snack. (eats เป็น Action Verb ทำหน้าที่เป็น Main Verb ของประโยค)
The girl cried at morning. (cried เป็น Action Verb ซึ่งทำหน้าที่เป็น Main Verb ของประโยค)

Linking Verb
เป็นกริยาที่ใช้เชื่อม Subject กับคำอื่นเพื่อขยายประธานของประโยคให้ได้ใจความสมบูรณ์ Linking Verb ที่ผู้เรียนภาษาอังกฤษเจอบ่อยๆ ได้แก่ Verb to be (be, is, am, are, was, were, being, been) นอกจากนี้ยังรวมถึงคำกริยาบางตัว เช่น feel, small, taste, sound, become เป็นต้น ทั้งนี้คำที่อยู่หลัง Linking Verb จะถูกเรียกว่า Subjective Complement คือ ส่วนขยายประธาน ซึ่งสามารถเป็นได้ทั้ง Adjective (คำคุณศัพท์) หรือ Noun (คำนาม) โดยมีหน้าที่เสริมความให้ประธานชัดเจนยิ่งขึ้น

ตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษ

The sky looked grey. (The sky – subject, looked – linking verb, grey – subjective complement)
ประโยคนี้ looked ไม่ได้เป็น Action Verb ที่แปลว่า มองดู ไม่ได้แปลว่า ท้องฟ้ามองดูเป็นสีเทา แต่เป็น Linking Verb ที่บอกสภาพของท้องฟ้า The sky ว่า ดูเป็นสีเทา หรือมีลักษณะสีเทา

Tukky is a comedian. (Tukky – subject, is – linking verb, comedian – subjective complement)
ประโยคนี้ comedian วางอยู่หลัง is ทำหน้าที่ขยายประธาน ทำให้รู้ว่า Tukky นั้นเป็นนักแสดงตลก

หลัง Linking Verb ต่อไปนี้ จะต้องตามด้วย Adjective เสมอ

คำกริยากลุ่มที่หมายความว่า กลายเป็น ได้แก่ get, go, grow, become ,fall, turn
คำกริยากลุ่มที่แปลว่า ดูเหมือนว่า ได้แก่ look, appear, seem
คำกริยากลุ่มที่บอกความรู้สึก กลิ่น รส และ ความไพเราะของเสียง ได้แก่ feel, smell, taste, sound
คำกริยากลุ่มที่หมายความว่า เป็นอยู่ในสภาพนั้นๆ ได้แก่ keep, remain, stay

ตัวอย่างประโยค The steak doesn’t taste nice. (taste – linking verb, nice – subjective complement/ adjective)

Auxiliary Verb
หมายถึง กริยาช่วย กลุ่ม be (am, are is, was, were, being, been), do (does, did) และ have (has, had, having) ซึ่งจะตามด้วยกริยาแท้ (Main Verb) เพื่อสร้างประโยคคำถามคำถาม (Question) ประโยคปฏิเสธ (Negative Sentence) กาล (Tense) หรือประโยคที่ประธานถูกกระทำ (Passive Voice) สามารถเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Helping Verb

ตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษ

I gave the matter a great deal of thought. (gave – main verb)
I have given the matter a great deal of thought. (have – auxiliary verb, given – main verb)
I have been giving the matter a great deal of thought. (have been – auxiliary verb, giving – main verb)
Do they drive safely? (Do – auxiliary verb, drive – main verb)
We don’t want anything. (don’t – auxiliary verb, want – main verb)

นอกจากนี้ ตำราไวยากรณ์ภาษาอังกฤษบางเล่ม ก็ยังจัดให้ Modal Verb (กริยาช่วยชนิดพิเศษ) อยู่ในกลุ่มของกริยาช่วยประเภทหนึ่งเรียกว่า Modal Auxiliary Verb มีหน้าที่ทำให้กริยาแท้มีความหมายแตกต่างกันไป เช่น can, could, shall, should, will, would, may, might, must, ought to, need, needn’t โดย Modal Auxiliary Verb เหล่านี้จะใช้นำหน้าคำกริยาแท้หรือกริยาหลัก (Main Verb) ซึ่งอยู่ในรูป Verb Base Form (กริยาพื้นฐาน คือรูปลักษณะที่ยังไม่ได้ฝัน ไม่มีการเติม -s, -es, -ed, – ing) หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า verb 1 นั่นเอง
ตัวอย่างเช่น People should choose friends wisely. (should – modal verb, choose – main verb)

หน้าที่ของ Modal Verb

ไม่จำเป็นต้อง = don’t have to
แนะนำ = should, ought to, had better
บังคับหรือห้าม = must, have to, mustn’t
แสดงความสามารถ = can, could, be able to
ขออนุญาต = can, could, may
ขอร้อง = can, could, will
แสดงความเป็นไปได้ = may, might
แสดงการคาดการณ์ล่วงหน้า = must, can’t
เสนอแนะ = shall
เสนอหรือแนะนำ = can, could, shall

ตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษ

May can ride a horse (แสดงความสามารถ)
You should eat more fruit. (แนะนำ)
You don’t have to call taxi. (ไม่จำเป็นต้อง)

หากในประโยคภาษาอังกฤษนั้นมีทั้งคำกริยาแบบ Auxiliary Verb และคำกริยาแบบ Modal Auxiliary Verb อยู่ด้วยกัน ผู้เรียนภาษาอังกฤษจะต้องวาง Modal Auxiliary Verb ไว้หน้า Auxiliary Verb เท่านั้น แล้วจึงตามด้วยกริยาแท้ หรือ Main Verb ของประโยค

ตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษ

The computer could have made an error. (could – modal auxiliary, have – have auxiliary, made – main verb)
หากมี Adverb of Frequency ได้แก่ always, usually, frequency, often, sometimes, occasionally, hardly, barely, rarely, scarcely, seldom และ never มาอยู่ในประโยคด้วย จะต้องวางอยู่ตรงกลางระหว่าง Modal Auxiliary Verb และ Main Verb

ตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษ

I will always love you. (will – modal verb, always – adverb of frequency, love – main verb)
Finite Verb นี้ถือว่าเป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดของประโยค เพราะถ้าประโยคใดก็ตามขาดกริยาแท้ไป ก็จะทำให้ความหมายของประโยคนั้นไม่สมบูรณ์ พูดง่ายๆ ก็คือ Finite Verb คือ กริยาแท้ที่มีประธานเป็นของตัวเองและเปลี่ยนรูป (ผันได้ 3 ช่อง) ตาม Tense ในประโยค

John and Jim sing a song.
They sing a song.
Jack will sing a song.
He sings a song.
You are singing a song.
May is singing a song.
She was singing a song.

จากตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษข้างบนจะสังเกตเกี่ยวกับกริยาแท้ (Finite Verb) ได้ดังนี้

กริยาแต่ละตัวจะมีประธานของมันเอง รูปของกริยาจะผันตามประธานที่อยู่ข้างหน้า กริยาแต่ละตัวเวลานำมาใช้ถูกกำหนดโดยพจน์ (Number) ของนาม คือเอกพจน์ หรือ พหูพจน์, สรรพนามบุรุษที่ 1,2,3 (Peron) และ กาล (Tense)

การใช้ Finite Verb ให้ถูกต้อง
อันดับแรก ดูที่ Tense ในประโยคนั้นว่าเป็น ปัจจุบัน(Present) อดีต(Past) หรือ อนาคต(Future) โดยสังเกตจากคำบอกเวลา (Adverb of time) และต่อมา ให้ดูที่ Subject-Verb Agreement คือ ความสัมพันธ์ระหว่างประธานกับกริยา ถ้าประธานเอกพจน์ต้องใช้กริยาเอกพจน์ ถ้าประธานพหูพจน์ก็ต้องใช้กริยาในรูปพหูพจน์ และสุดท้าย Active/ Passive โดยปกติแล้วประธานของประโยคจะอยู่ในรูป Active คือประธานจะเป็นคนกระทำกริยานั้นเอง แต่ถ้าอยู่ในรูป Passive ประธานนั้นจะเป็นฝ่ายถูกกระทำ

Non-finite Verb
เป็นกริยาไม่แท้ และจะไม่มีการผันตาม Tense หรือ ประธานที่อยู่ข้างหน้า (รูปเอกพจน์ / พหูพจน์) มีเพียงรูปเดียว ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนก็ตามของประโยค กริยากลุ่มนี้ ได้แก่ Gerund, Infinitive และ Participle และกริยากลุ่มนี้ จะไม่ถูกนำมาใช้เป็นกริยาแท้ของประโยค แต่จะถูกนำมาใช้ทำหน้าที่อื่นๆ โดยเป็นคำนามบ้าง เป็นคำคุณศัพท์บ้าง

ตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษ

I certainly do enjoy cooking (cooking – gerund)
I tell them to build the house at Bangkok. (to build the house – to infinitive)
The boiling water on the stove is hot. (boiling – present participle)

อ่านต่อที่เนื้อหา เรียนภาษาอังกฤษ คลิก >> Verb

[NEW] อนุประโยค Relative Clause ใช้อย่างไรในภาษาอังกฤษ | ได้แก่ ภาษาอังกฤษ – NATAVIGUIDES

Relative Clause คืออะไร?

 

สวัสดีค่ะนักเรียนม. 3 ที่รักทุกคน วันนี้เราจะไปดู Relative clause หรือ อนุประโยคในภาษาอังกฤษ ที่ทำหน้าที่เหมือนกันกับคำคุณศัพท์ (Adjective) ซึ่งมีหน้าที่ขยายคำนามที่อยู่ข้างหน้า  และจะใช้ตามหลัง Relative Pronoun เช่น  who, whom, which, that, และ whose แต่สงสัยมั้ยคะว่าทำไมต้องเรียนเรื่องนี้ ลองดูตัวอย่างประโยคด้านล่างแล้วจะร้องอ๋อ

 

Relative Clause

 

ตัวอย่างประโยค

A girl is talking to Daniel. Do you know the girl?

ผู้หญิงกำลังคุยกับแดเนียล คุณรู้จักผู้หญิงมั้ย หากถามแบบนี้จะดูยาวและทะแม่งๆ ไม่คุ้นหูฝรั่งสักเท่าไหร่ โดยปกติเวลาเราจะเปลี่ยนประโยค 2 ประโยคให้เป็น Relative Clause โดยการดึงเอาส่วนที่เป็นประโยคหลักมาก่อนในที่นี้ก็คือ เราอยากรู้ว่าผู้ชายคือใคร คุณแดเนียลนั่นน่ะ

ขั้นตอนที่1 คือ แยกประโยคหลัก Do you know the girl? จากประโยคข้างต้น เราไม่มีทางรู้เลยว่าผู้หญิงที่พูดถึงเป็นใคร ดังนั้นเราจึงต้องใส่ข้อมูลเพิ่มเติม A girl is talking to Daniel. ใช้ A girl is talking to Daniel. เฉพาะในส่วนประโยคแรก และในส่วนที่สองเราแทนที่ด้วย relative pronoun
(ใช้ who ในกรณีอ้างถึงบุคคล) ดังนั้นประโยคจะเปลี่ยนเป็น

” Do you know the girl who is talking to Daniel? “

Example-What-is-relative-clause

คุณรู้จักผู้หญิงที่กำลังคุยกับแดเนียลมั้ย เป็นอย่างไรกันบ้างคะ พอจะเห็นภาพของการใช้งาน Relative Clause แล้วใช่มั้ยคะ? อย่าพึ่งท้อนะคะ ไปลุยกันต่อกับประเภทของ Relative Clause เห็นข้อดีของการใช้ Relative pronoun หรือยังล่ะทีนี้ วันนี้ยังเหลืออีกเพียบไปดูกันเลยค่ะ

ประเภทของ Relative Clause

Types-What-is-relative-clause

Relative Clause สามารถแบ่งออกได้เป็นสองประเภทคือ Defining Relative Clause และ Non-defining Relative Clause  ขอเกริ่นก่อนว่าเราจะใช้ defining relative clause เพื่อบอกถึงสิ่งที่เรากำลังพูดถึง (หากขาดไปก็จะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าพูดถึงอะไร)
เช่น I like the handsome man who sits next to me.
(ถ้าเราไม่บอกว่า “who sits next to me” ก็จะไม่ทราบเลยว่าหมายถึงผู้ชายคนไหน)

เราใช้ non-defining relative clause บอกถึงข้อมูลเพิ่มเติมของสิ่งที่เรากำลังพูดถึง (เราไม่จำเป็นต้องมีข้อมูลนี้เพื่อที่จะเข้าใจว่าพูดถึงอะไร) เช่น

I live in Thailand, which has beautiful tourist attractions.
(ประเทศไทยมีหลายสิ่งหลายอย่างน่าสนใจดังนั้น “which has beautiful tourist attractions.”  ถือเป็นข้อมูลเพิ่มเติม จะมีหรือไม่มีก็ได้)

 

สรุปการใช้ Defining Relative Clauses

 

Defining relative clause

1. ทำหน้าที่คล้ายคำคุณศัพท์ (Adjective) เพื่อไปขยายนามที่อยู่ข้างหน้า ให้ได้ใจความสมบูรณ์และชัดเจนว่า หมายถึง ใคร สิ่งไหน หรือ ของใคร เป็นต้น
2. ไม่มีเครื่องหมาย comma (,) คั่นระหว่างนามกับ Defining Relative Clause
3. จะขึ้นต้นด้วยคำสรรพนาม (Relative Pronoun) ซึ่งจะต้องสอดคล้องกับนามที่ขยาย เช่น ถ้าขยายนามที่เป็นคน Relative Pronoun ก็ต้องเป็นคำที่ใช้แทนคน ฯลฯ

หน้าที่ของ Relative Pronoun จะมีหน้าที่อยู่ 3 ประการหลัก คือ

ทำหน้าที่เป็นประธาน มี 2 แบบ คือ

1.1  ถ้าเป็นคนใช้ who เช่น

I’m looking for a teacher who can teach me well.

ฉันกำลังมองหาครูที่สามารถสอนได้ดี

1.2 ถ้าเป็นสัตว์หรือสิ่งของใช้ which หรือ that เช่น

The mobile phone which / that is on the yellow shelf is mine.

มือถือที่วางอยู่บนชั้นวางของสีเหลืองเป็นของฉัน

  1. ทำหน้าที่เป็นกรรม มี 2 แบบ ได้แก่

2.1 ถ้าเป็นคนใช้ whom เช่น

The woman whom I talked to yesterday is Liza from Black Pink band.

ผู้หญิงที่ผมคุยด้วยเมื่อวานคือลิซ่าจากวงแบล็คพิงค์

2.2 ถ้าเป็นสัตว์หรือสิ่งของ ใช้ which หรือ that เช่น

I like the notebook that Jenny used yesterday.

ฉันชอบสมุดจดบันทึกที่เจนนี่ใช้เมื่อวานนี้

  1. 3. ทำหน้าที่เป็น “เจ้าของ” มี 2 แบบ คือ

3.1 เป็นคน ใช้ whose เช่น

The beautiful girl whose wallet is made from leather is Angelina.

ผู้หญิงคนสวยที่ถือกระเป๋าหนังใบนั้นชื่อแองเจลลิน่า

3.2 หากเป็นสัตว์หรือ สิ่งของให้ใช้ of which เช่น

The motorbike of which hand-break is broken has already been fixed last week.

รถมอเตอร์ไซค์คันที่เบรกมันเสียถูกซ่อมแล้วนะตั้งแต่อาทิตย์ก่อน

 

การใช้ Non-defining Relative Clauses

N0n-Defining relative clause NokAcademy

เป็นอย่างไรกันบ้างคะทุกคนสำหรับการใช้  Defining relative clauses  ซึ่งจะต่างจาก Non-defining relative Clause ลองไปดูลักษณะที่สำคัญ อยู่ 3 ประการกันค่ะ
1. ลักษณะจะเป็น clause ที่เพิ่มเข้ามา ไม่มีความจำเป็นกับใจความหลักในประโยคแค่เราเพิ่มเข้ามาเพื่อให้ได้ความละเอียดมากขึ้นเฉยๆ
2. ต้องมีเครื่องหมาย Comma ข้างหน้าและข้างหลัง clause เสมอนะคะ ย้ำว่าเสมอ
3. ใช้กับ Relative pronouns ซึ่งไม่ชี้เฉพาะเจาะจง ได้แก่ who, whom, whose หรือ which เท่านั้น จะใช้ that ไม่ได้เลย

ตัวอย่างเช่น

My boyfriend, who is very handsome, lives in Korea.

แฟนของฉัน คนที่หล่อๆนั่นน่ะ อยู่ที่เกาหลี

Relative pronouns:

 

Relative Pron.

 

Relative pronoun ได้แก่คำว่า who, whom, whose, which, that, where, when, why เราจะใช้ relative pronoun ในการเชื่อมประโยคหรือให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิ่งใดๆ

ถาม: ถ้าตัด relative clause ทิ้งไป แล้วประโยคหลักไม่ได้มีใจความสำคัญเปลี่ยนไปมั้ยคะ
ตอบ: ไม่จำเป็นค่ะ เราจะใช้คอมม่าคั่นระหว่าง relative clause กับประโยคหลักแค่นั้น
Relative pronoun ส่วนใหญ่จะเป็นได้ทั้งประธานและกรรม ยกเว้น whom ที่จะเป็นได้แค่กรรมเท่านั้นนะคะ ส่วนการใช้ relative pronoun เป็นกรรม เราสามารถละ relative pronoun ได้ เช่น The person (who/whom/that) I met yesterday is Tim.

ถามอีก: การใช้ relative pronoun แทนสิ่งต่างๆ จะมีข้อกำหนดว่าเราจะใช้ตัวไหนแทนสิ่งใดได้กันบ้างล่ะ

ตอบ: ใช้กับสิ่งต่างๆเหล่านี้ค่ะ

คน – who, whom (กรรม), whose, that

สัตว์ – who (สัตว์เลี้ยง), whose, which, that

สิ่งของ, สิ่งไม่มีชีวิต, สิ่งที่เป็นนามธรรม – whose, which, that

ถาม: แล้วการใช้ Where, when, why

ตอบ: เราจะใช้ where แทนสถานที่ ใช้ when แทนเวลา และใช้ why แทนเหตุผล

เมื่อใช้เชื่อม relative pronoun เป็นกรรม การใช้ preposition ใน relative clause กับ whose และ which นั้นเราสามารถนำ preposition มาไว้ข้างหน้า whose กับ which ได้ แต่ส่วนใหญ่เราจะเจอในการเขียนที่เป็นทางการ academic writing และเมื่อใช้ whom การใช้ preposition ใน relative clause เราจะนำ preposition มาไว้ข้างหน้า whom

 

 ตัวอย่างและรูปแบบการใช้งาน Relative Adverbs 

Relative adverbs

 

Relative adverb คือคำกริยาวิเศษณ์ที่ทำหน้าที่เชื่อมคำ กับอนุประโยค หรือ ประโยครองเพื่อขยายความเพิ่มเติมให้รู้ว่า เมื่อไหร่ ที่ไหน ทำไม ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 3 คำ ได้แก่ when where และ why

 

1) Relative Adverb ที่ใช้แทนสถานที่

where ใช้เป็นกรรมของประโยค แปลว่า สถานที่ซึ่ง ที่

The house where adopted children  live is very far.

บ้านหลังที่เด็กกำพร้าอาศัยอยู่ อยู่ไกลมาก

2) Relative Adverb ที่ใช้แทนเวลา

when ใช้เป็นกรรมของประโยค แปลว่า ที่

The time when I was ten years old, my mother passed away.

ตอนที่ฉันอายุได้สิบขวบ แม่ก็ได้จากไปแล้ว

3) Relative Adverb ที่ใช้แทนเหตุผล

why ใช้เป็นกรรมของประโยค แปลว่า ที่

I have no idea why Tina dumped Adwerd.

ฉันไม่รู้เหตุผลที่ตีน่าทิ้งแอดเวิร์ดเลย

เป็นยังไงกันบ้างคะอย่าลืมฝึกเขียนกันเยอะๆนะคะ เพื่อที่เราจะได้ฝึกแต่ง Relative Clause ให้เจ๋งๆ ถ้าเกิดว่าเรายังไม่เข้าใจจุดไหนสามารถโพสต์ถามได้ที่ด้านล่างเลยนะคะ ครูยินดีตอบเสมอ อย่าลืมทบทวนบทเรียนผ่านวีดีโอด้านล่างเด้อ เลิฟๆ

+1


FRUITS in ENGLISH for kids


Fruits in english for kids with images of the different and most usual kind of fruits, including the name writing and pronunciation of each one.
fruits fruitsinenglish englishforkids englishforchildren englishpronunciation englishwriting fruitnames
Follow us on Google+: https://plus.google.com/+Babynenes
This is a funny way to learn the names of the fruits with images specially designed for children as a great resource for english students, after school, english courses, etc…
Check our other videos of english or bilingual learning:
VEGETABLES in ENGLISH for kids: https://www.youtube.com/watch?v=KTsSLric_ww
GEOMETRIC SHAPES in english for kids: https://www.youtube.com/watch?v=51aaWhfnzNQ
The COLORS in english with cartoon for kids: https://www.youtube.com/watch?v=DL0mEKN9N78
The ANIMALS for kids Wild animals english vocabulary: https://www.youtube.com/watch?v=v5aVK0APPkU
The WEATHER vocabulary for kids: https://www.youtube.com/watch?v=rcWAhNrpC5I
And dont forget to subscribe our channel: https://www.youtube.com/c/babynenes

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูความรู้เพิ่มเติมที่นี่

FRUITS in ENGLISH for kids

Ep.1 เรียนภาษาอังกฤษ is am are ในความหมาย เป็น/คือ


is am are ในความหมาย เป็น/คือ ใช้ง่ายนิดเดียวนะคะ คนเดียวเป็นก็ is หลายคนเป็นก็ are ส่วนฉันเป็นใช้ am เท่านี้เองค่ะ หวังว่าทุกคนจะเข้าใจได้ง่ายขึ้นนะคะ

Ep.1 เรียนภาษาอังกฤษ is am are ในความหมาย เป็น/คือ

เรียนภาษาอังกฤษ parts of speech คำนาม Noun คืออะไร ใช้อย่างไร


PartofSpeech​ คืออะไร ?
วันนี้ขอเสนอหัวข้อที่ถือว่าเป็นหัวใจของภาษาอังกฤษเลยก็ว่าได้ คือ Part of Speech
1. ทำไมเราต้องทำความรู้จัก Part of Speech
2. Part of Speech คืออะไร ?
3. Part of Speech มีกี่ชนิด
4. แต่ละชนิดคืออะไร พร้อมตัวอย่าง
CR.Ajarn Suparada
ภาษาอังกฤษออนไลน์ฟรี!
📌 ฝึกพูดภาษาอังกฤษ ถามตอบ ประโยคพื้นฐานใช้บ่อยในชีวิตประจำวัน
👉 https://www.youtube.com/watch?v=IHuKZYgki4\u0026t=5s
📌 ฝึกอ่านแปลภาษาอังกฤษ เข้าใจง่าย เรียนภาษาอังกฤษพื้นฐาน
👉 https://www.youtube.com/watch?v=URCUv47gnc8
📌 ฝึกพูดภาษาอังกฤษ ตั้งปณิธานเรื่องที่จะทำในปีใหม่ New Year’s Resolutions
👉 https://www.youtube.com/watch?v=AWo2r51ZLFA\u0026t=10s
📌 เรียนภาษาอังกฤษฟรี ดูโครงสร้างภาษาอังกฤษ ฝึกพูดพร้อมตัวอย่างประโยค
👉 https://www.youtube.com/watch?v=UgGf1QS7O6s
📌 5 โครงสร้างประโยคพื้นฐานในภาษาอังกฤษ (English sentence structures)
👉 https://www.youtube.com/watch?v=iGS5sPRefdA\u0026t=82s
📌 ประโยคอวยพรปีใหม่ ภาษาอังกฤษ พร้อมคำอ่านและแปลภาษาไทย
👉 https://www.youtube.com/watch?v=BYqot65xu6k
📌วิธีใช้ Used to, Be used to และ Get used to (เคย และ เคยชิน)
👉https://www.youtube.com/watch?v=in1gK2AAi9Q\u0026t=3s
📌 Whenever, Whatever, Whoever, However, Whichever | ใช้ยังไง
👉 https://www.youtube.com/watch?v=AnATbRFCE
📌 How far/How much/How many/How long/ ใช้อย่างไร และแปลว่าอย่างไร ภาษาอังกฤษ
👉 https://www.youtube.com/watch?v=AnATbRFCE
📌 เรียนภาษาอังกฤษ Do, Does, Did, Done | แปลว่าอย่างไร เข้าใจง่ายพร้อมตัวอย่าง
👉 https://www.youtube.com/watch?v=JrNKYd2YFzg\u0026t=2s

เรียนภาษาอังกฤษ parts of speech คำนาม Noun คืออะไร ใช้อย่างไร

เคลียร์ให้จบเรื่องแกรมม่าร์ จะได้ไม่งงกันอีกต่อไป Grammar


ใครๆก็รู้ว่า Grammar เป็นเรื่องที่น่าปวดหัวที่สุดของการเรียนภาษาอังกฤษ แต่เคยคิดกันมั้ยว่า เราจำเป็นต้องเรียนแกรมมาร์จริงๆหรือ? เก่งแกรมมาร์แล้วจะพูดอังกฤษได้? มาทำความเข้าใจเรื่องแกรมมาร์กันให้ชัดๆ แล้วเรียนภาษาอังกฤษแบบไม่ต้องมีอุปสรรค์เรื่องนี้อีกต่อไป
อยากฝึกพูดภาษาอังกฤษตัวต่อตัว หรือเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์แบบบุฟเฟ่ต์
สมัครได้เลย ​https://www.unfoxenglish.com/
สอบถามแอดไลน์ ​https://lin.ee/5uEdKb7h
ติดตามช่อง YouTube ส่วนตัว
ช่องยูทูปของแล็คต้า https://www.youtube.com/lactawarakorn
ช่องยูทูปของเบล https://www.youtube.com/bellvittawut
ติดตามช่องทางอื่นๆ และพูดคุยกันได้ที่
ชุมชนคนรักภาษาอังกฤษ https://www.unfoxenglish.com
FB: https://www.facebook.com/unfoxenglish
Twitter: https://www.twitter.com/unfoxenglish
Lacta’s IG: https://www.instagram.com/lactawarakorn
Bell’s IG: https://www.instagram.com/toshiroz
ติดต่องาน
Email: [email protected]
Line: http://nav.cx/oOH1Q6T

เคลียร์ให้จบเรื่องแกรมม่าร์ จะได้ไม่งงกันอีกต่อไป Grammar

คำเชื่อมประโยคภาษาอังกฤษ พื้นฐาน FANBOYS คืออะไร


fanboys มีอะไรบ้าง ในภาษาอังกฤษมีคำสันธานที่ใช้กันบ่อยๆอยู่ 7 ตัว ซึ่งมันเรียกรวมกันว่า FANBOYS คำสันธานทั้ง 7 นี้ และวิธีใช้ คำสันธานเป็นที่รู้จักกันดีในชื่อว่า FANBOYS. ประกอบไปด้วย For, And, Nor, But, Or, Yet, So.
เรียนภาษาอังกฤษฟรี
📌 ฝึกพูดภาษาอังกฤษ ถามตอบ ประโยคพื้นฐานใช้บ่อยในชีวิตประจำวัน
👉 https://www.youtube.com/watch?v=IHuK…
📌 ฝึกอ่านแปลภาษาอังกฤษ เข้าใจง่าย เรียนภาษาอังกฤษพื้นฐาน
👉 https://www.youtube.com/watch?v=URCUv…
📌 ฝึกพูดภาษาอังกฤษ ตั้งปณิธานเรื่องที่จะทำในปีใหม่ New Year’s Resolutions
👉 https://www.youtube.com/watch?v=AWo2r…
📌 เรียนภาษาอังกฤษฟรี ดูโครงสร้างภาษาอังกฤษ ฝึกพูดพร้อมตัวอย่างประโยค
👉 https://www.youtube.com/watch?v=UgGf1…
📌 5 โครงสร้างประโยคพื้นฐานในภาษาอังกฤษ (English sentence structures)
👉 https://www.youtube.com/watch?v=iGS5s…
📌 ประโยคอวยพรปีใหม่ ภาษาอังกฤษ พร้อมคำอ่านและแปลภาษาไทย
👉 https://www.youtube.com/watch?v=BYqot…
📌วิธีใช้ Used to, Be used to และ Get used to (เคย และ เคยชิน)
👉https://www.youtube.com/watch?v=in1gK…
📌 Whenever, Whatever, Whoever, However, Whichever | ใช้ยังไง
👉 https://www.youtube.com/watch?v=AnAT…
📌 How far/How much/How many/How long/ ใช้อย่างไร และแปลว่าอย่างไร ภาษาอังกฤษ
👉 https://www.youtube.com/watch?v=AnAT…
📌 เรียนภาษาอังกฤษ Do, Does, Did, Done | แปลว่าอย่างไร เข้าใจง่ายพร้อมตัวอย่าง
👉 https://www.youtube.com/watch?v=JrNKY…
📌 คำเชื่อมประโยคภาษาอังกฤษ พื้นฐาน FANBOYS คืออะไร
👉 https://www.youtube.com/watch?v=6g8MlhZhBcE

คำเชื่อมประโยคภาษาอังกฤษ พื้นฐาน FANBOYS คืออะไร

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูบทความเพิ่มเติมในหมวดหมู่LEARN FOREIGN LANGUAGE

ขอบคุณมากสำหรับการดูหัวข้อโพสต์ ได้แก่ ภาษาอังกฤษ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *