tense ต่างๆ: นี่คือโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้
Post on 16 / 02 / 20
2.8K viewed
Tense คือ รูปแบบของประโยคที่มีคำกริยา แสดงระบุเวลากำกับการกระทำในขณะที่พูดหรือเรียกสั้น ๆ ในการเรียนหลักภาษาว่า Tense คือ กาล (เวลา) และเรื่อง tense มีความสำคัญอย่างมาก โดยเห็นได้บ่อยๆ คือการนำไปใช้ควบคู่กับเรื่อง กริยา 3 ช่อง
Table of Contents
โครงสร้างของ 12 Tense และหลักการใช้
Tense ใหญ่ๆจริงๆมีแค่ 3 Tense เท่านั้นเอง แต่แยกย่อยออกอีก 4 จึงรวมกันได้ 12 tense
- Present Tense (ปัจจุบันกาล) กล่าวถึงเรื่องราวในปัจจุบัน
- Past Tense (อดีตกาล)กล่าวถึงเรื่องราวในอดีต
- Future Tense (อนาคตกาล)กล่าวถึงเรื่องราวในอนาคต
1. Present Tense
1.1 Present Simple Tense
โครงสร้าง: S. + V.1(s/es)
หลักการใช้: บอกเล่าข้อเท็จจริงทั่วไป ของคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ …
ตัวอย่างประโยค:
- I eat rice everyday. ฉันกินข้าวทุกวัน
- A dog has four leg. สุนัขมีสี่ขา
- Bangkok is the capital city of Thailand. กรุงเทพเป็นเมืองหลวงของประเทศไทย
- My class statrs at 9.00 ชั่วโมงเรียนของฉันเริ่มเวลา 9 นาฬิกา
1.2 Present Continuous Tense
Tense นี้อีกชื่อหนึ่งคือ Present Progressive Tense
โครงสร้าง: S. + is, am, are + Ving
หลักการใช้:
- บอกเล่าเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นขณะนี้
- บอกเล่าเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดในอนาคตแน่ๆ
ตัวอย่างประโยค:
- I am eating rice now. ฉันกำลังกินข้าวอยู่ตอนนี้
- A dog is walking. สุนัขกำลังเดิน
- I’m going to London next week. ฉันกำลังจะไปลอนดอนสัปดาห์หน้า
- We are visiting our granddad tomorrow. พวกเรากำลังจะไปเยี่ยมปู่พรุ่งนี้
1.3 Present Perfect Tense
โครงสร้าง: S. + has, have + V3
หลักการใช้:
- บอกเล่าเหตุการณ์ที่ดำเนินเสร็จแล้ว
- บอกเล่าเหตุการณ์ที่ดำเนินมาได้ในระยะเวลาหนึ่งจนถึงปัจจุบัน
ตัวอย่างประโยค:
- I have eaten rice. ผมกินข้าวแล้ว (กินเสร็จแล้ว)
- She has finished her homework. หล่อนทำการบ้านเสร็จแล้ว
- I have eaten rice for 20 minutes. ผมกินข้าวมาแล้ว 20 นาที
- He has lived here since 2000. เขาอาศัยอยู่ที่นี่ตั้งแต่ปี 2000
1.4 Present Perfect Continuous Tense
โครงสร้าง: S. + has, have +been+ Ving
หลักการใช้: บอกเล่าเหตุการณ์ที่ดำเนินมาได้ในระยะเวลาหนึ่งจนถึงปัจจุบันคล้าย present perfect tense แต่เป็นการเน้นย้ำว่าทำอย่างต่อเนื่อง
ตัวอย่างประโยค:
- I have been playing foootball since ฉันเล่นฟุตบอล (อย่างต่อเนื่อง) ตั้งแต่ 8 โมง
- She has been walking for 30 munites. หล่อนวิ่ง (อย่างต่อเนื่อง) เป็นเวลา 30 นาที
- Toon has been running for 4 hours. ตูนวิ่ง (อย่างต่อเนื่อง) เป็นเวลา 4 ชั่วโมง)
- He has been working here since 1999 . เขาทำงานที่นี่ (อย่างต่อเนื่อง)ตั้งแต่ปี 1999 (ไม่เคยย้ายไปไหน)
2. Past Tense
2.1 Past Simple Tense
โครงสร้าง: S. + V2
หลักการใช้: บอกเล่าเหตุการณ์ในอดีต ที่เกิดขึ้น ณ จุดเวลาใดเวลาหนึ่ง
ตัวอย่างประโยค:
- I went to school yesterday. ฉันไปโรงเรียนเมื่อวานนี้
- I ate bananas last week. ฉันกินกล้วยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
- My dad washed his car last Sunday. พ่อของผมล้างรถของเขาเมื่อวันอาทิตย์ที่แล้ว
- She watched this movie last year. หล่อนดูหนังเรื่องนี้ปีที่แล้ว
- Sam visited his parents five years ago. แซมไปเยี่ยมพ่อแม่ของเขาเมื่อห้าปีที่แล้ว
2.2 Past Continuous Tense
โครงสร้าง: S. + was, were + Ving
หลักการใช้: บอกเล่าเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในอดีต แล้วมีอีกเหตุการณ์หนึ่งแทรกขึ้นมา
ตัวอย่างประโยค:
- I saw a big elephant while I was waling to school . ฉันเห็นช้างตัวหนึ่งขณะที่ฉันกำลังเดินไปโรงเรียน
- We were eating dinner when dad came home. พวกเรากำลังกินข้าวเย็นอยู่ ตอนที่พ่อมาถึงบ้าน
- The light went out when they were watching TV. ไฟดับตอนที่พวกเขากำลังดูทีวีอยู่
- She was taking a bath when I called her. หล่อนกำลังอาบน้ำอยู่ ตอนที่ผมโทรหาหล่อน
- Sam was driving home when it stated to rain. แซมกำลังขับรถกลับบ้าน ตอนที่ฝนเริมตก
2.3 Past Perfect Tense
โครงสร้าง: S. + had + V3
หลักการใช้: บอกเล่าเหตุการณ์ที่สิ้นสุดแล้วในอดีต ก่อนจะมีอีกเหตุการณ์ตามมา
ตัวอย่างประโยค:
- I had eaten a pizza before I went to bed.ฉันได้กินพิซซ่า ก่อนที่ฉันเข้านอน (กินก่อน )
- John called me after I had left. จอห์นโทรหาฉัน หลังจากที่ฉันได้ออกจากบ้านแล้ว
- All people had gone home when we reached the cinema. คนได้กลับบ้านหมดแล้ว เมือเราไปถึงโรงหนัง
- They had had dinner before they did homework. พวกเขาได้เขากินข้าว ก่อนพวกเขาทำการบ้าน
- The train had left when we got to the station. รถไฟออกไปแล้ว ตอนที่เราไปถึงสถานี
2.4 Past Perfect Continuous Tense
โครงสร้าง: S. + had + been + V3
หลักการใช้: บอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต และดำเนินมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง เน้นการบอกเวลามากกว่าการกระทำ
ตัวอย่างประโยค:
- I had been waiting for the train for three hours before it arrived. ฉันได้รอคอยรถไฟเป็นเวลา(ตั้ง) 3 ชั่วโมง (นะ) ก่อนที่มันจะมาถึง
- We had been walking for one hour when we saw that bird.
พวกเราได้เดิน (ตั้ง) 1 ชั่วโมง (แน่ะ) ตอนที่พวกเราเห็นนกตัวนั้น - They had been playing football for four hours when it started to rain.
พวกเขาได้เล่นฟุตบอล (ตั้ง) 4 ชั่วโมง ก่อนที่ฝนเริ่มตก (วันนี้เล่นได้นาน ปกติไม่เกินชั่วโมงก็ตกแล้ว)
3 Future Tense
3.1 Future Simple Tense
โครงสร้าง: S. + will + V1
หลักการใช้: บอกเล่า คาดการณ์เหตุการที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ตัวอย่างประโยค:
- I will go to school tomorrow. ฉันจะไปโรงเรียนพรุ่งนี้ (คิดว่าต้องไป เดี๋ยวหมดสิทธิ์สอบ)
- I will watch Chin Jang this evening. ฉันจะดูชินจังเย็นนี้ (เพื่อนบอกว่าสนุก จะลองดูหน่อย)
- You will eat papaya salad tonight. คุณจะกินส้มตำคืนนี้ (รู้สึกอยากๆ กะจะตำกินสักหน่อย)
- He will clean the car next week. เขาจะล้างรถสัปดาห์หน้า (เขาบอกมา ว่าจะล้าง)
- She will buy a bike next month. หล่อนจะซื้อจักรยานเดือนหน้า (หล่อนว่าเดือนไปเรียนแล้วเหนี่อย)
3.2 Future Continuous Tense
โครงสร้าง: S. + will + be + Ving
หลักการใช้: บอกเล่าเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในอนาคต
ตัวอย่างประโยค:
- I will be reading books at 8 o’clock tomorrow. ฉันจะกำลังอ่านหนังสือเวลา 8 นาฬิกา วันพรุ่งนี้
- At nine o’clock tomorrow, we will be working on farm.พรุ่งนี้เวลา 9 นาฬิกา พวกเราจะกำลังทำงานในฟาร์ม
- At six oclock, we will be eating dinner with our granddad. เวลา 6 นาฬิกา พวกเราจะกำลังกินข้าวกับปู่ของพวกเรา
- She will be waiting when you arrive. หล่อนจะกำลังรอคอย เมื่อคุณมาถึง
3.3 Future Perfect Tense
โครงสร้าง: S. + will + have + V3
หลักการใช้: บอกเล่าเหตุการณ์ที่สิ้นสุดแล้วในอนาคต
ตัวอย่างประโยค:
- I will have eaten breakfast at 8 o’clock tomorrow. ฉันจะกินข้าวเช้าเรียบร้อยแล้ว เวลา 8 นาฬิกา วันพรุ่งนี้
- Tomorrow morning, we will have finished our project. พรุ่งนี้เช้า พวกเราจะดำเนินโครงการของพวกเราเสร็จแล้ว
- She will have gone when you arrive. หล่อน(คง)จะไปแล้ว เมื่อคุณมาถึง
- I will have cleaned the floor when my mom gets home. ฉัน(คง)จะทำความสะอาดพื้นเรียบร้อยแล้ว ตอนที่แม่มาถึง
3.4 Future Perfect Continuous Tense
โครงสร้าง: S. + will + have + been + V3
หลักการใช้: บอกเล่าเหตุการณ์ที่ดำเนิมมาได้ระยะเวลาหนึ่งในอนาคต ก่อนมีอีกเหตุการณ์หนึ่งแทรกเข้ามา
ตัวอย่างประโยค
- I will have been eating breakfast for 30 minutes at 8 o’clock tomorrow.
ฉันจะได้กำลังกินข้าวเช้าเป็นเวลา 30 นาทีแล้ว ณ เวลา 8 นาฬิกา วันพรุ่งนี้ - At 10 o’clock tomorrow, we will have been working on farm for two hours.
เวลา 10 นาฬิกาพรุ่งนี้ พวกเราจะได้กำลังทำงานในฟาร์ม เป็นเวลา 2 ชั่วโมงแล้ว - You will have been waiting for two hours when the plane arrives.
คุณจะได้กำลังรอ เป็นเวลาสองชั่วโมง กว่าเครื่องบินจะมา
[NEW] การใช้ประโยคอธิบายเหตุการณ์ในอดีต (Past simple tense) | tense ต่างๆ – NATAVIGUIDES
เนื้อหาเรื่อง การใช้ประโยคอธิบายเหตุการณ์ในอดีต
(Past simple tense)
Past Simple Tense คือประโยคที่ใช้อธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้ว และจบลงแล้ว ขอให้สังเกตความแตกต่างระหว่างประโยคที่ที่ใช้อธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปัจจุบันกับประโยคที่ใช้อธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นและจบลงแล้ว ในอดีต
ประโยค present tense : I get up at 6.30 am. everyday.
(ฉันตื่นนอนเวลาหกโมงครึ่งทุกวัน)
ประโยค past tense : I got up at 8.00 am. yesterday.
(เมื่อวานนี้ ฉันตื่นนอนแปดโมงเช้า)
จากประโยคสองประโยคข้างบน จะเห็นว่า มีความแตกต่างกันสองส่วนคือ
ประโยค
Present tense
Past tense
คำกริยา
get
got
คำที่บอกเวลา
everyday
yesterday
โครงสร้าง S + V2 +ส่วนขยาย
I
went out last night.
We
cooked yesterday.
He/she it
moved out two weeks ago
You
worked late last week.
They
left the day before yesterday.
คำหรือวลีที่ใช้ใน past tense
คำบอกเวลา เช่น
yesterday (เมื่อวานนี้) the day before yesterday (เมื่อวานซืนนี้)
last week (หรือคำอื่นๆที่ ใช้ last นำหน้า เช่น last year, last month, etc.)
four weeks ago (หรือคำอื่นๆที่ ใช้ ago ลงท้าย เช่น ten years ago, two
hours ago, etc.)
คำเหล่านี้มักจะวางไว้ท้ายประโยค หรืออาจ วางไว้หน้าประโยคก็ได้ เช่น
I washed my car two weeks ago.หรือ Two weeks ago,I washed my car .
(ฉันล้างรถเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว)
She went to Korea last month. หรือ Last month, She went to Korea.
(หล่อนไปเกาหลีเมื่อเดือนที่แล้ว)
หลักการใช้
1. ใช้อธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต และสิ้นสุดแล้ว มี คำหรือวลีที่
บอกเวลาในอดีตกำกับด้วย เช่น
I saw you yesterday. (ฉันเห็นคุณเมื่อวานนี้) ประธาน – I กริยา – saw คำหรือวลีที่ บอกเวลา – yesterday.
He worked in Paris last year. (เขาทำงานที่ปารีสเมื่อปีที่แล้ว) ประธาน – He กริยา – worked คำหรือวลีที่ บอกเวลา – last year
2. ใช้อธิบายเหตุการณ์หนึ่งซึ่งกระทำเป็นประจำในอดีต แต่บัดนี้ไม่ได้ทำอีก เช่น
When I was young, I walked to school everyday.
(เมื่อฉันยังยังเด็ก ฉันเดินไปโรงเรียนทุกวัน) ปัจจุบันนี้เขาไม่ได้เดินไปโรงเรียนแล้ว When I was young – เป็นข้อความที่บอกเวลาในอดีต ข้อความนี้เรียกว่า dependent clause ซึ่งเป็นประโยคที่ไม่สมบูรณ์ในตัวเองต้องพึ่งพาประโยคอื่น จึงจะมีความหมายสมบูรณ์ ไม่สามารถใช้เพียงลำพังได้ คำกริยาที่ใช้ในข้อความนี้ ต้องอยู่ในรูปของ อดีต (“was” เป็น รูป อดีต ของ “is”) ส่วน ประโยคหลัก “I walked to school everyday” – I ทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค walked to (เดินไปยัง) เป็นกริยาที่บอกการกระทำในอดีต school (โรงเรียน) ทำหน้าที่เป็นกรรม everyday (ทุกวันในอดีต) ทราบจากข้อความที่บอกว่า When I was young.
การกระทำที่เกิดขึ้นในอดีต คือในเวลาที่ล่วงเลยมาแล้ว โดยปกติเราจะพบ Adverbs of Time ที่บอกเวลาอดีตกำกับไว้เสมอ เช่น
yesterday (เมื่อวานนี้) this morning (เมื่อเช้านี้) the day before yesterday (เมื่อวานซืนนี้)
คำที่ขึ้นต้นด้วย “last” เช่น last night ( เมื่อคืนที่แล้ว) last week (สัปดาห์ที่แล้ว) last month (เดือนที่แล้ว) last Saturday (วันเสาร์ที่แล้ว) last January (เดือนมกราคมที่แล้ว)
คำที่ลงท้ายด้วย “ago” เช่น a month ago (เมื่อเดือนที่ผ่านมาแล้ว) two years ago (สองเดือนที่ผ่านมาแล้ว) five hours ago (ห้าชั่วโมงที่ผ่านมาแล้ว) six weeks ago (หกสัปดาห์ที่ผ่านมาแล้ว) a moment ago (เมื่อสักครู่นี้) เวลาซึ่งเป็นปี ค.ศ. ในอดีต ขึ้นต้นด้วย “in” เช่น in 1999
รูปประโยคบอกเล่า (Affirmative Sentence)
ประธาน + กริยาช่องที่ 2 (โดยการเปลี่ยนรูป หรือ เติม ed)
Present Simple
Past Simple
He plays football every day
He played football yesterday.
I walk to work every day.
I walked to work ten years ago.
She washes her clothes herself every day.
She washed her clothes herself last year.
หลักการเติม ed ที่คำกริยา
1. กริยาที่ลงท้ายด้วย e ให้เติม d ได้เลย เช่น
love – loved = รัก move – moved= เคลื่อน
hope – hoped = หวัง
2. กริยาที่ลงท้าย ด้วย y และหน้า y เป็นพยัญชนะ ให้เปลี่ยน y เป็น I แล้วเติม ed เช่น
cry – cried = ร้องไห้ try – tried = พยายาม
marry – married = แต่งงาน
ข้อยกเว้น ถ้าหน้า y เป็นสระ ให้เติม ed ได้เลย เช่น
play – played = เล่น stay – stayed = พัก , อาศัย
enjoy – enjoyed = สนุก obey – obeyed = เชื่อฟัง
3. กริยาที่มีพยางค์เดียว มีสระตัวเดียว และลงท้ายด้วยพยัญชนะที่เป็นตัวสะกดตัวเดียวให้เพิ่มพยัญชนะที่ลงท้ายอีก 1 ตัว แล้วเติม ed เช่น
plan – planned = วางแผน stop – stopped = หยุด
beg – begged = ขอร้อง
4. กริยาที่มี 2 พยางค์ แต่ลงเสียงหนักพยางค์หลัง และพยางค์หลังนั้น มีสระตัวเดียว และลงท้ายด้วยพยัญชนะที่เป็นตัวสะกดตัวเดียว ให้เพิ่มพยัญชนะที่ลงท้ายอีก 1 ตัว แล้วเติม ed เช่น
concur – concurred = ตกลง, เห็นด้วย occur – occurred = เกิดขึ้น
refer – referred = อ้างถึง permit – permitted = อนุญาต
ถ้าออกเสียงหนักที่พยางค์แรก ไม่ต้องเติมพยัญชนะตัวสุดท้ายเข้ามา เช่น
cover – covered = ปกคลุม open – opened = เปิด
5. นอกจากกฏที่กล่าวมาแล้วข้างต้น เมื่อต้องการให้เป็นช่อง 2 ให้เติม ed ได้เลย เช่น
walk – walked = เดิน start – started = เริ่ม
worked – worked = ทำงาน
ประโยคคำถาม (Interrogative)
1. ประโยคที่มีกริยา verb to be ( was, were ) เมื่อต้องการเปลี่ยนประโยคประเภทนี้ให้เป็น คำถาม ให้ย้าย verb to beมาวางไว้หน้า แล้วใส่เครื่องหมาย “?” ท้ายประโยค เช่น
ประโยคบอกเล่า
ประโยคคำถาม
He was at school yesterday.
Was he at school yesterday?
They were at home yesterday.
Were they were at home yesterday ?
2. ประโยคประเภทอื่นๆที่ไม่อยู่ในกฎข้อ 1 เมื่อต้องการทำเป็น past tense ให้ใช้กริยา “Did” มาช่วย และเมื่อใช้กริยา “Did” มาช่วยแล้ว กริยาเดิมในประโยคคำถามต้องเปลี่ยนรูปให้เป็นกริยาช่องที่ 1 ด้วย
Did + ประธาน + กริยารูปเดิม+ ส่วนขยาย
ประโยคบอกเล่า
ประโยคคำถาม
He walked to work yesterday.
Did he walk to work yesterday?
They worked late last night.
Did they work late last night?
Rob did the exercise last week.
Did Rob do the exercise last week?
สำหรับตัวอย่างในประโยคสุดท้าย คำกริยา “ did ” เป็นกิริยาช่วย ในการเปลี่ยนประโยคให้เป็น past tense นั้น ไม่มีคำแปล แต่ “ did ” ซึ่ง เป็นกริยาแท้ในประโยคบอกเล่า มีความหมายว่า “ ทำ ” เมื่อใช้ “ did ” มาช่วยแล้ว ” “ did ” ซึ่ง เป็นกริยาแท้ต้องเปลี่ยนกลับไปเป็น “ do”
ประโยคปฏิเสธ (Negative)
สำหรับประโยคแบบที่ 1 ให้เติม “not” หลังกริยาได้เลย เช่น
ประโยคบอกเล่า
ประโยคปฏิเสธ
He was at work yesterday.
He was not at work yesterday.
They were at the party last night.
They were not at the party last night.
ในประโยคปฏิเสธ, was not หรือ were not สามารถเขียนแบบย่อได้
was not เขียนย่อได้ เป็น wasn’t were not เขียนย่อได้ เป็น weren’t
ส่วนประโยคแบบที่ 2 ให้ใช้กริยา “ did ” เข้ามาช่วย แล้วเติม “not” ท้ายคำว่า “ did ” (หรือใช้รูปย่อ : didn’t ก็ได้)
ประธาน + didn’t + กริยารูปเดิม+ ส่วนขยาย
ประโยคบอกเล่า
ประโยคปฏิเสธ
ประโยคคำถาม
He walked to work yesterday.
He didn’t walk to work yesterday.
Did he walk to work yesterday?
They worked late last night.
They didn’t work late last night.
Did they work late last night?
What were you doing? – Past Continuous
Learn how to use Past Continuous/Progressive through a short story in this video. We use this tense 1. for a continuous action in the past which was interrupted by another action \”I was reading the label, when the jar slipped out of my hands\”; 2. to describe the atmosphere \”The sun was shining\”; 3. for two actions which happened in the same time in the past \”I was sitting in the living room and she was taking a shower\”
นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูความรู้เพิ่มเติมที่นี่
1.5 HOUR English Conversation Lesson
Join Dan and I (both American English speakers) in this 1.5 hour English conversation lesson!
Download my free ebook: \”5 Steps To Becoming A Confident English Speaker\” http://www.speakenglishwithvanessa.com/freeebook
Become my student by joining a course: http://www.speakenglishwithvanessa.com/fluency
Click on the timestamps below to jump to different categories:
0:39 Family
5:29 Childhood
10:31 Jobs
18:01 Travel
26:27 Food
33:36 Housing
40:53 Nature
50:51 Holidays
56:30 Relaxation
1:03:55 Sports/Exercise
1:09:07 Electronics
1:14:07 Money
English book recommendations: https://www.amazon.com/shop/speakenglishwithvanessa
Subscribe and follow on social media! I’d love to meet you!
YouTube: https://www.youtube.com/user/theteachervanessa
Instagram: http://www.instagram.com/englishwithvanessa/
Facebook: http://www.facebook.com/speakenglishwithvanessa
Send us a postcard from your country:
Speak English With Vanessa
825 C Merrimon Ave PMB 278
Asheville, NC 28804
USA
Speak English With Vanessa helps English learners to speak American English fluently, naturally, and confidently. To become a fluent English speaker and have English conversations with a native English speaker, go to http://www.speakenglishwithvanessa.com
Tense ตอน 2 Present Simple vs Present Continuous ภาษาอังกฤษ ป.4 – ม.6
Tense ตอน 2 Present Simple vs Present Continuous
ภาษาอังกฤษ ป.4 ม.6
มาตราฐาน ต 2.2
มาดูหลักการใช้และความแตกต่างระหว่าง Present Simple และ Present Continuous
โครงการพัฒนาคุณภาพการศึกษาด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ DLIT (Distance Learning Information Technology)
http://www.dlit.ac.th
สรุป English Tenses ง่ายๆเข้าใจใน 30 นาที!
ฝากกดติดตามช่องด้วยนะคะ
Past Perfect Tense
Learn how to use correctly the past perfect tense in this video. You’re going to see several situations where we need to use this tense. Words like already, when, after, before, never can indicate that Past Perfect could be used.
นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูบทความเพิ่มเติมในหมวดหมู่LEARN FOREIGN LANGUAGE
ขอบคุณที่รับชมกระทู้ครับ tense ต่างๆ