Skip to content
Home » [Update] Noun คืออะไร มีการใช้อย่างไร | คำ นาม noun – NATAVIGUIDES

[Update] Noun คืออะไร มีการใช้อย่างไร | คำ นาม noun – NATAVIGUIDES

คำ นาม noun: คุณกำลังดูกระทู้

Noun หรือที่แปลเป็นไทยว่า “คำนาม” ถือเป็นหนึ่งในหัวข้อแกรมม่าพื้นฐานภาษาอังกฤษที่สำคัญ

สำหรับใครที่ยังไม่ค่อยแม่นเรื่อง noun ในบทความนี้ ชิววี่ก็ได้เรียบเรียงเนื้อหามาให้แล้ว ทั้งนิยามของ noun ประเภทของ noun การใช้ noun รวมไปถึงวิธีการดู noun จาก noun suffix เอาล่ะ ถ้าเพื่อนๆพร้อมแล้ว เราไปดูกันเลย

Noun คืออะไร

Noun (คำนาม) คือคำที่ใช้เรียกสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ กิจกรรม เหตุการณ์ หรือสิ่งที่เป็นนามธรรม ยกตัวอย่างเช่น

ชื่อคน ชื่อสัตว์ ชื่อสถานที่

  • John – จอห์น
  • Garfield – การ์ฟีลด์
  • Chiang Mai – จังหวัดเชียงใหม่
  • Doi Inthanon – ดอยอินทนนท์
  • Siam Paragon – ห้างสยามพารากอน
  • Suvarnabhumi Airport – สนามบินสุวรรณภูมิ

คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ กิจกรรม เหตุการณ์

  • Boy – เด็กผู้ชาย
  • Dog – สุนัข
  • Pen – ปากกา
  • School – โรงเรียน
  • Tennis – กีฬาเทนนิส
  • Wedding – งานแต่งงาน

สิ่งที่เป็นนามธรรม

  • Idea – ความคิด
  • Danger – อันตราย
  • Feeling – ความรู้สึก
  • Sadness – ความเศร้า
  • Happiness – ความสุข
  • Relationship – ความสัมพันธ์

เราจะรู้ได้ยังไงว่าคำไหนเป็น noun

นอกจากการเรียนรู้คำศัพท์แบบตรงๆแล้ว ยังมีอีกวิธีที่จะช่วยให้เรารู้ได้ว่าคำไหนเป็น noun ซึ่งก็คือการดู noun suffix

ทบทวนความรู้
Suffix คือรากศัพท์ที่ใช้วางหลังคำอื่น เพื่อให้เกิดเป็นคำใหม่ อย่างเช่น คำว่า teach ซึ่งแปลว่า “สอน” เมื่อใช้ร่วมกับ suffix -er จะเกิดเป็นคำใหม่คือ teacher ซึ่งแปลว่า “ครู”

Noun suffix คืออะไร

Noun suffix คือรากศัพท์ที่ใช้ลงท้าย noun อย่างเช่น -er ใน teacher, runner, writer หรือ -ee ใน employee, trainee, interviewee

การรู้ noun suffix ที่ใช้บ่อย จะทำให้เราสามารถเดาศัพท์ ว่าคำไหนเป็น noun ได้ถูกต้องมากขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีเวลาเราเจอศัพท์ที่ไม่รู้ความหมายหรือเวลาทำข้อสอบ

ตัวอย่าง noun suffix ที่ใช้บ่อย

Noun suffixตัวอย่าง noun-anceDistance – ระยะทาง
Insurance – ประกัน
Substance – สาร-domFreedom – อิสรภาพ
Kingdom – ราชอาณาจักร
Wisdom – ปัญญา-eeEmployee – ลูกจ้าง
Interviewee – ผู้ถูกสัมภาษณ์
Trainee – ผู้ได้รับการฝึก-eerEngineer – วิศวกร
Puppeteer – นักเชิดหุ่น
Volunteer – อาสาสมัคร-enceConfidence – ความมั่นใจ
Difference – ความต่าง
Silence – ความเงียบ-erReader – ผู้อ่าน
Teacher – ครู
Writer – นักเขียน-hoodChildhood – ช่วงวัยเด็ก
Motherhood – ความเป็นแม่
Neighborhood – ย่านใกล้เคียง-ionCelebration – การฉลอง
Decision – การตัดสินใจ
Option – ทางเลือก-ismCapitalism – ระบบทุนนิยม
Nationalism – ความเป็นชาตินิยม
Tourism – การท่องเที่ยว-istJournalist – นักข่าว
Psychologist – นักจิตวิทยา
Tourist – นักท่องเที่ยว-ityNationality – สัญชาติ
Possibility – ความเป็นไปได้
Responsibility – ความรับผิดชอบ-mentAdvertisement – โฆษณา
Entertainment – ความบันเทิง
Payment – การจ่ายเงิน, ค่าตอบแทน-nessBusiness – ธุรกิจ
Happiness – ความสุข
Thickness – ความหนา-orAuthor – นักเขียน
Doctor – หมอ
Director – ผู้กำกับ, ผู้อำนวยการ-ryDelivery – การส่งของ
Forestry – การป่าไม้
Laboratory – ห้องปฏิบัติการ-tyProperty – ที่ดิน, ทรัพย์สมบัติ
Society – สังคม
Warranty – การรับประกัน-shipFriendship – มิตรภาพ
Leadership – ความเป็นผู้นำ
Membership – ความเป็นสมาชิก

อย่างไรก็ตาม แม้ noun suffix จะช่วยให้เราเดาว่าคำไหนเป็น noun ได้ แต่ก็ไม่ได้แม่นยำ 100% เพราะคำบางคำก็ทำได้หลายหน้าที่ เช่น เป็นได้ทั้ง noun และ adjective เราต้องดูรูปประโยคประกอบ ว่าในประโยคนั้นมันทำหน้าที่อะไร

(เช่น คำว่า “military” ที่สามารถใช้เป็น noun แปลว่า “ทหาร” หรือ “การทหาร” และยังสามารถใช้เป็น adjective ได้อีกด้วย ซึ่งจะแปลว่า “ที่เกี่ยวข้องกับการทหาร”)

หรือคำบางคำที่ดูเหมือนจะลงท้ายด้วย noun suffix แต่จริงๆแล้วเป็นคำประเภทอื่น ก็พอมีอยู่บ้างเช่นกัน (เช่น คำว่า wary ที่ดูเหมือนจะลงท้ายด้วย noun suffix -ry แต่จริงๆแล้วเป็น adjective แปลว่า “ระมัดระวัง”)

Noun มีกี่ประเภท

หลักๆแล้ว เราสามารถแบ่งประเภทของ noun โดยใช้เกณฑ์ได้ 3 แบบ คือ

  • แบ่งตามปริมาณ แบ่งได้ 2 ประเภท (เอกพจน์และพหูพจน์)
  • แบ่งตามความนับได้หรือนับไม่ได้ แบ่งได้ 2 ประเภท (คำนามนับได้และคำนามนับไม่ได้)
  • แบ่งตามหมวดหมู่คำ แบ่งได้ 5 ประเภท (common noun, proper noun, concrete noun, abstract noun, collective noun)

เอกพจน์และพหูพจน์

ในด้านปริมาณ noun จะแบ่งได้เป็นคำนามเอกพจน์และคำนามพหูพจน์

คำนามเอกพจน์ (singular noun) คือคำนามที่แสดงถึงสิ่งที่มีจำนวนหนึ่งหน่วย ซึ่งก็คือคำนามรูปปกติทั่วไป เช่น student, pen, dish, foot, child

คำนามพหูพจน์ (plural noun) คือคำนามที่แสดงถึงสิ่งที่มีจำนวนตั้งแต่สองหน่วยขึ้นไป คำนามพหูพจน์จะเป็นคำนามที่เปลี่ยนรูปมาจากเอกพจน์ด้วยการเติม s หรือ es ต่อท้าย เช่น students, pens, dishes หรือบางคำก็ใช้การเปลี่ยนหรือเติมตัวอักษรอื่นแทน เช่น feet, children

ตัวอย่างคำนามเอกพจน์และพหูพจน์ก็อย่างเช่น

เอกพจน์ความหมายพหูพจน์ความหมายA studentนักเรียนหนึ่งคนTwo studentsนักเรียนสองคนA penปากกาหนึ่งด้ามFour pensปากกาสี่ด้ามThis dishจานใบนี้ (หนึ่งใบ)These dishesจานเหล่านี้ (หลายใบ)This footเท้าข้างนี้ (ข้างเดียว)My feetเท้าของฉัน (สองข้าง)A childเด็กหนึ่งคนAll childrenเด็กทุกคน

พจน์ของ noun จะมีผลต่อการเลือกใช้รูปคำกริยาในประโยค โดยเราจะใช้คำนามเอกพจน์กับคำกริยารูปเอกพจน์ (เช่น is, has, does, คำกริยารูปที่เติม s/es) และจะใช้คำนามพหูพจน์กับคำกริยารูปพหูพจน์ (เช่น are, have, do, คำกริยารูปที่ไม่ได้เติม s/es)

คำนามนับได้และคำนามนับไม่ได้

ในภาษาอังกฤษ noun จะแบ่งออกเป็นคำนามนับได้และคำนามนับไม่ได้

คำนามนับได้ (countable noun) คือคำนามที่นับจำนวนเป็นชิ้นเป็นอันได้ อย่างเช่น

  • Man (ผู้ชาย) – นับได้ว่ากี่คน
  • Cat (แมว) – นับได้ว่ากี่ตัว
  • Pen (ปากกา) – นับได้ว่ากี่ด้าม

คำนามนับไม่ได้ (uncountable noun) คือคำนามที่ตามธรรมชาติแล้วนับจำนวนเป็นชิ้นเป็นอันได้ยาก เรามักจะมองเป็นภาพรวมหรือเป็นกลุ่มก้อนมากกว่า อย่างเช่น

  • Water (น้ำ) – เราจะไม่นับน้ำว่ามีกี่หยด
  • Sugar (น้ำตาล) – เราจะไม่นับน้ำตาลว่ามีกี่เม็ด
  • Happiness (ความสุข) – ไม่สามารถนับเป็นชิ้นเป็นอันได้

เราสามารถทำคำนามนับไม่ได้ให้กลายเป็นคำนามนับได้ด้วยการกำหนดหน่วยเฉพาะให้มัน อย่างเช่น A glass of water (น้ำหนึ่งแก้ว), two teaspoons of sugar (น้ำตาลสองช้อนชา)

คำนามนับได้และนับไม่ได้จะมีความเกี่ยวข้องกับเอกพจน์และพหูพจน์คือ

  • คำนามนับได้จะมีทั้งรูปเอกพจน์และพหูพจน์ เช่น คำว่า cat เป็นเอกพจน์ มีรูปพหูพจน์คือ cats
  • คำนามนับไม่ได้จะมีแค่รูปเอกพจน์เท่านั้น (ยกเว้นเมื่อเรากำหนดหน่วยเฉพาะให้มัน) เช่น คำว่า water เป็นเอกพจน์ แต่จะไม่มีรูปพหูพจน์ (เราจะไม่ใช้ waters)

แบ่งตามหมวดหมู่คำ

Noun จะแบ่งตามหมวดหมู่คำได้เป็น 5 ประเภท คือ

  1. Common noun คือคำนามที่ใช้เรียกสิ่งทั่วไปแบบไม่เจาะจง เช่น child, student, pen, house, happiness, sadness, group, family
  2. Proper noun คือคำนามที่ใช้เรียกสิ่งต่างๆแบบเจาะจงระบุชื่อ เช่น John, Anne, Bangkok, Japan, Monday, Microsoft การใช้ proper noun เราจะใช้ตัวอักษรตัวแรกเป็นตัวใหญ่เสมอ
  3. Concrete noun คือคำนามที่เป็นรูปธรรม จับต้องได้ เช่น child, student, pen, house (concrete noun ถือเป็นส่วนหนึ่งของ common noun)
  4. Abstract noun คือคำนามที่เป็นนามธรรม จับต้องไม่ได้ เช่น happiness, sadness, love, relationship (abstract noun ถือเป็นส่วนหนึ่งของ common noun)
  5. Collective noun คือคำนามที่ใช้เรียกกลุ่มของสิ่งต่างๆ เช่น group, family, team, government (collective noun ถือเป็นส่วนหนึ่งของ common noun)

การใช้ noun ในประโยค

การใช้ noun จะใช้ได้ 4 แบบหลักๆ คือ

1. Noun ทำหน้าที่เป็นประธาน (subject)

Noun ที่ทำหน้าที่เป็นประธาน มักจะอยู่ต้นๆประโยค ตัวอย่างเช่น

Tim lives in Bangkok.
ทิมอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ

This bag is very heavy.
กระเป๋าใบนี้หนักมาก

2. Noun ทำหน้าที่เป็นกรรม (object)

กรรมคือผู้ถูกกระทำ noun ที่ทำหน้าที่เป็นกรรม มักจะอยู่หลัง verb ตัวอย่างเช่น

I play with my cat every day.
ฉันเล่นกับแมวของฉันทุกวัน

She gave me a book yesterday.
เธอให้หนังสือหนึ่งเล่มแก่ฉันเมื่อวานนี้

ตัวอย่างประโยคที่ 2 นี้ จะมีกรรม 2 ตัว โดย book จะถือเป็นกรรมตรง (direct object) เพราะเป็นสิ่งที่ถูกกระทำโดยตรง ส่วน me จะถือเป็นกรรมรอง (indirect object) เพราะเป็นผู้ที่ได้รับผลของการกระทำ

3. Noun ทำหน้าที่เป็นส่วนเติมเต็ม (complement)

ข้อแตกต่างระหว่างกรรมและส่วนเติมเต็มก็คือ กรรมเป็นผู้ถูกกระทำ แต่ส่วนเติมเต็มเป็นคำที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประธาน ซึ่งมักจะตามหลัง linking verb อย่างเช่น is, am, are, was, were, feel, seem, sound, taste เป็นต้น

Anne is a writer.
แอนเป็นนักเขียน

We are Thai.
พวกเราเป็นคนไทย

4. Noun ที่ทำหน้าที่อื่นๆ

Noun ยังสามารถทำหน้าที่อย่างอื่นนอกเหนือจากที่กล่าวมาได้อีกด้วย ซึ่งก็คือ

ทำหน้าที่ขยายความ noun ที่อยู่ข้างหน้า (appositive noun)

My friend, Joe, lives in the same town with me.
เพื่อนของฉัน ซึ่งก็คือโจ อาศัยอยู่ในเมืองเดียวกับฉัน
(คำว่า Joe ทำหน้าที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ my friend เป็นการระบุว่าคือเพื่อนคนไหน)

ทำหน้าที่เป็นคำขยาย (modifier) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ noun ที่ตามหลัง

I love leather bags.
ฉันชอบกระเป๋าหนัง
(คำว่า leather จริงๆแล้วเป็น noun แต่ในประโยคนี้จะทำหน้าที่เหมือน adjective ขยายคำว่า bags การที่ noun 2 ตัวอยู่ติดกันโดยไม่มีคอมม่าคั่น noun ตัวหน้าจะทำหน้าที่เหมือน adjective ขยาย noun ตัวหลัง)

ทำหน้าที่แสดงความเป็นเจ้าของ (possessive noun) โดยจะต้องใส่ ’s หลัง noun ที่เป็นเจ้าของ

Susan’s cat is very cute.
แมวของซูซานนั้นน่ารักมาก

แต่ถ้า noun นั้นเป็นคำนามพหูพจน์ที่ลงท้ายด้วย s เราจะใส่แค่เครื่องหมาย ’ เฉยๆ

My friends’ houses are far from school.
บ้านของเพื่อนๆฉันนั้นอยู่ไกลจากโรงเรียน

จบแล้วนะครับกับเรื่อง noun ในภาษาอังกฤษ ทีนี้เพื่อนๆก็คงจะเข้าใจกันแล้วว่า noun คืออะไร และมีการใช้อย่างไร ถ้ายังไงก็อย่าลืมทบทวนและฝึกใช้บ่อยๆนะครับ

อย่าลืมนะครับ ภาษาอังกฤษยิ่งเรียนรู้ ยิ่งฝึก ก็ยิ่งเก่ง สำหรับบทความนี้ ชิววี่ต้องขอตัวลาไปก่อน See you next time

[NEW] เรียนภาษาอังกฤษ เรื่อง หน้าที่ของนาม (Function of Noun) | คำ นาม noun – NATAVIGUIDES

 noun คือ, คํา noun, ชนิดของคำ, คำ noun
เรียนภาษาอังกฤษ เรื่อง หน้าที่ของนาม (Function of Noun)

เราได้ทราบกันมาแล้วว่า นามหรือ Noun ในภาษาอังกฤษมอยู่ด้วยกัน 8 ชนิด และก็ยังมีการแบ่ง Noun ออกเป็น 2 อย่างอีก นั้นก็คือ นับได้ และ นับไม่ได้

นั่นมิได้หมายความว่าเรา รู้เรื่องของ นาม (Noun) หมดทุกอย่างแล้วน่ะ ยังมีเรื่องที่ต้องเรียนรู้เกี่ยวกับ Noun อีก นั่นคือ เรียนรู้หน้าที่ (Function) หรือ วิธีการใช้ นามอีก จึงจะก่อให้เกิดประโยชน์ได้

ดังนั้น เรามาเรียนรู้ถึงหน้าที่ของนามเสียก่อนว่า เมื่อนำไปพูดหรือเขียนแล้ว นามนั้นจะทำหน้าที่เป็นอะไรได้บ้างในประโยค

ซึ่งรายละเอียดของหน้าที่ของ Noun นั้นมีอยู่หลายข้ออยู่เหมือนกัน เราจะต้องอดทนเรียนรู้ ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้จึงจำสำเร็จ

ถาม : Noun ในภาษาอังกฤษทำหน้าที่เป็นอะไรได้บ้าง จงบอกมาพร้อมยกตัวอย่างประกอบด้วย

ตอบ : Noun ในภาษาอังกฤษเมื่อนำมาเขียนหรือพูด ทำหน้าที่ได้ดังต่อไปนี้

1. ทำหน้าที่เป็นประธานของกริยาในประโยคได้ (Subject of a Verb) เช่น

Somsak is a student of the English language.

สมศักดิ์เป็นนักศึกษาภาษาอังกฤษ

Mary loves her parents very much

แมรี่รักพ่อแม่ของเธอมากๆ

This boy likes to have dinner at six in the evening.

เด็กคนนี้ชอบทานอาหารค่ำเวลา 6 โมงเย็น

(Somsak, mary และ boy เป็นนามมาทำหน้าที่เป็นประธานของกริยา is, loves และ likes ในประโยค)

ข้อสังเกต : การใช้นามที่ทำหน้าที่เป็นประธาน จะวางไว้หน้ากริยาเสมอ

2. ทำหน้าที่เป็นกรรมของกริยา (Object of a Verb) ในประโยคได้ เช่น

Jack loves Jane. แจ็ครักเจน

We respect the teacher. เรานับถือคุณครู

I ate mongoes. ฉันทานมะม่วง

(Jane, teacher และ Mangoes เป็นนามมาทำหน้าที่เป็นกรรมของกริยา loves, respect และ ate ในประโยค)

ข้อสังเกต : นามที่ทำหน้าที่เป็นกรรมของกริยา จะวางไว้หลังกริยาเสมอ

3. ทำหน้าที่เป็นกรรมของบุรพบท (Object of a preposition) ในประโยคได้ เช่น

We think of the teacher when we leave school.

เราคิดถึงคุณครูเมื่อเราออกจากโรงเรียน (เรียนจบแล้ว)

He speaks to his girl-friend every day.

เขาพูดถึงคนรักของเขาทุกวัน

John has waited for Anne long time.

จอห์นได้รอคอยแอนนานานแล้ว

(teacher, girl-friend และ Anne เป็นนามมาทำหน้าที่เป็นกรรมของบุรพบท of, to, และ for ตามลำดับ)

ข้อสังเกต : นามที่ทำหน้าที่เป็นกรรมของบุรพบทใด ให้เรียงไว้หลังบุรพบทตัวนั้น

4. ทำหน้าที่เป็นส่วนสมบูรณ์ของกริยาเพื่อขยายให้ประธานได้ความชัดเจนขึ้น (Subjective Complement) โดยส่วนมากนามที่นำมาใช้ตามข้อ 4 นี้ มักจะเรียกตามหลัง Verb to be, become, เช่น

Siri is a student. Amnat becomes a doctor.

ศิริเป็นนักศึกษา อำนาจเป็นนายแพทย์

She was a nurse two years ago.

หล่อนเป็นนางพยาบาลเมื่อ 2 ปีก่อน

(Student, doctor, และ Nurse เป็นนาม นำมาใช้ทำหน้าที่เป็นส่วนสมบูรณ์ของกริยา is, becomes, และ was ในประโยค)

5. ทำหน้าที่เป็นส่วนขยายกรรม เพื่อให้กรรมตัวนั้นมีเนื้อความกระจ่างขึ้น (Objective Complement) หรือ อีกนัยหนึ่งจะเรียกว่า ทำหน้าที่เป็นทั้งกรรม (Object) และส่วนสมบูรณ์ (Complement) พร้อมกันทีเดียวก็ได้ เช่น

We elected Mr. sombat leader.

เราเลือกนายสมบัติเป็นหัวหน้า (หรือผู้นำ)

His parents named him Henry.

บิดามารดาของเขาตั้งชื่อเขาว่าเฮนรี่

Everyone called him a coward.

ทุกๆ คนเรียกเขาว่าคนขี้ขลาด

(Leader, Henry, และ Coward เป็นคำนาม แต่ในประโยคทั้ง 3 นี้นำมาใช้ทำหน้าที่เป็นตัวขยายกรรม (Object) ที่อยู่ข้างหน้ามันคือ Sombat, him, และ him)

ข้อสังเกต : นามที่ไปทำหน้าที่ขยายกรรมใด ให้เรียงไว้หลังกรรมนั้นทุกครั้งไป

6. ทำหน้าที่เป็นนามซ้อนนามที่อยู่ข้างหน้า (in apposition) ได้ และ ระหว่างนามข้างหน้ากับนามที่ไปซ้อนตามหลังจะต้องใส่เครื่องหมาย Comma (,) คั่นเอาไว้ทุกครั้ง และการไปซ้อนนั้นแยกออกเป็น 2 กรณีคือ

ก. ซ้อนในส่วนที่เป็นประธานของประโยค (noun in subjective apposition) ให้วางไว้หลังประธานตัวนั้น เช่น

Reagan, the president of the U.S.A., visited Thailand.

รีแกนประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาได้มาเยือนประเทศไทย

Smai, my friend, can’t go to school as usual.

สมัยเพื่อนของฉันไม่สามารถไปเรียนหนังสือได้ตามปกติ

Our country, Thailand, is the land of peace.

ประเทศของเราคือประเทศไทยเป็นดินแดนแห่งสันติสุข

(president, friend, และ Thailand เป็นคำนามทั้งนั้น แต่ในที่นี้ทำหน้าที่ซ้อนนามที่อยู่ข้างหน้าคือ Reagan, Smai และ Country)

ข. ซ้อนในส่วนที่เป็นกรรมของกริยาในประโยค (Noun in Objective apposition) ให้วางไว้หลังกรรมตัวนั้น เช่น

We admire our teacher, Mr. Jackson.

เรายกย่องครูของเรา มร. แจ็คสัน

Now I am reading Advance English Grammar, my book.

เดี๋ยวนี้ฉันกำลังอ่าน Advance English Grammar หนังสือของฉัน

Do you want to see Samran, the writer of this book?

ท่านต้องการพบสำราญผู้เขียนหนังสือเรื่องนี้ไหม?

(Mr.Jackson, book, และ Writer ทั้ง 3 คำเป็นคำนาม แต่ในที่นี้นำมาใช้ทำหน้าที่เป็นนามซ้อนตัวกรรมที่อยู่ข้างหน้า ได้แก่ teacher, Advance English Grammar, และ Samran)

7. ทำหน้าที่เป็นนามเรียกขาน (An address) ในประโยคได้ (ตำราบางเล่มเรียกว่าเป็นนาม เรียกชื่อ (Vocative) ก็มี) เช่น

Robert, please close the door.

โรเบิร์ต กรุณาเปิดประตูหน่อยครับ

You are right, Jimy.

คุณถูกแล้วะจิมมี่

Teacher, explain it slowly.

ครูครับ อธิบายช้าๆ หน่อย

Is it true, Jim, that he will come tomorrow?

จริงหรือจิมที่เขาจะมาวันพรุ่งนี้?

(Robert, Jimy, Teacher, และ Jim ทั้งหมดเป็นนาม แต่ในประโยคเหล่านี้ นำมาใช้ทำหน้าที่เป็นนามเรียกขาน)

ข้อสังเกต : นามที่ทำหน้าที่เป็นนามเรียกขาน จะวางไว้ตรงไหนของประโยคก็ได้ ต้น กลาง ท้าย และให้สังเกตการณ์ใช้เครื่องหมาย Comma (,) กับนามที่ทำหน้าที่เรียกขานไว้ให้แม่นยำด้วยสำหรับการวางแต่ละอย่าง

8. ทำหน้าที่แสดงความเป็นเจ้าของ (Possessive Case) ของนามทั่วไปได้ ทั้งนี้โดยอาศัยเครื่องหมาย Apostrophe’s ทุกครั้ง เพื่อเชื่อมความเป็นเจ้าของ เช่น

The teacher’s table is standing in front of the class.
โต๊ะของคุณครูตั้งอยู่หน้าชั้น

This is the lady’s handbag which is very dear.

นี้คือกระเป๋าถือของสุภาพสตรีซึ่งมีราคาแพงมาก

Do you know my principal’s house?
คุณรู้จักบ้านอาจารย์ใหญ่ของผมไหม?

(teacher’s, lady’s, และ Principal’s เป็นนาม แต่ในประโยคทั้ง 3 นี้ นำมาใช้ทำหน้าที่เป็นนามแสดงความเป็นเจ้าของ ของอะไร? ก็ของนามที่ตามหลังนั่นแหละครับ)

ข้อสังเกต : นามที่ทำหน้าที่แสดงความเป็นเจ้าของนามใด ให้วางไว้หน้านามตัวนั้นทุกครั้งไป

9. ทำหน้าที่เป็นคุณศัพท์ (Adjectival Noun) ประกอบนามด้วยกันได้ โดยให้วางไว้หน้านามนั้น เช่น

The football match for today is every interesting.

การแข่งขันฟุตบอลสำหรับวันนี้น่าสนใจมาก

Sompong is waiting for you at the bus stop.
สมพงษ์กำลังรอคุณอยู่ที่หยุดรถประจำทาง

There is my relative living in New York City.
มีญาติของฉันคนหนึ่งอาศัยอยู่ที่เมืองนิวยอร์ค

(Football, bus, และ New York เป็นคำนาม แต่ในประโยคทั้ง 3 นี้ ทำหน้าที่ขยายนามหรือเป็นคุณศัพท์ของนาม Match (การแข่งขัน) stop (ที่หยุด, ที่จอด) และ City (เมือง) ที่ตามหลัง)

ข้อสังเกต : นามที่ทำหน้าที่เป็นคุณศัพท์ประกอบนามกับนามใด ให้เรียงไว้หน้านามนั้น

10. ทำหน้าที่เป็นกรรมซึ่งมีลักษณะและความหมายเดียวกันกับกริยาที่อยู่ข้างหน้า (Cognate Object) เช่น

Dr. Boonsanong died an accident death.

ดร. บุญสนองตายเพราะอุบัติเหตุ

Mali dreamt a good dream last night.

เมื่อคืนนี้มะลิฝันดี

She smiled a sweet smile.

หล่อนยิ้มหวาน

These boys laughed a merry laugh.

เด็กเหล่านี้หัวเราะอย่างมีความสุข

They ran a lively race.

พวกเขาวิ่งแข่งกันอย่างสนุกสนาน

Mary slept the sleep of the just.

(คำว่า death, dream, smile, laugh, race, และ sleep ในประโยคเหล่านี้เป็นนาม คือ อาการนาม (Abstract Noun) แต่นำมาใช้ทำหน้าที่เป็นกรรมของกริยาที่มีลักษณะและความหมายเดียวกัน)

11. ทำหน้าที่เป็นประธานอิสระของกลุ่มคำที่เป็นส่วนของกริยาวิลี (Absolute Subject of Participial phrase) แล้วไปทำหน้าที่ขยาย Subject ในประโยค Main Clause อีกทีหนึ่ง เช่น

Dinner being over, we all sat and talked.

เมื่อ (ทาน) อาหารมื้อเย็นเสร็จแล้ว พรกเราทุกคนก็นั่งคุยกัน

(Dinner เป็นประธานอิสระของกลุ่มคำ being over และ Dinner being over ไปขยาย we ในประโยค Main Clause)

Uthai having been elected the chairman of the parliament, I am sure the meeting will have outstanding results.

เมื่อคุณอุทัยได้รับเลือกให้เป็นประธานรัฐสภา ผมก็แน่ใจได้ว่า การประชุมจีผลเป็นที่น่าพอใจ (ดีเด่นขึ้น)

(Uthai เป็นคำนาม นำมาใช้เป็นประธานอิสระ (Absolute Subject) ของกลุ่มคำ Participle Phrase)

The sun having set, the farmers walked home.

เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน ชาวนาทั้งหลายก็กลับบ้าน

(sun เป็นคำนามนำมาใช้เป็นประธานอิสระ ของกลุ่มคำ Participle Phrase)

เกือบลืมไปเลยครับ ลืมอะไรนะหรือ ก็ลืมบอกว่าตัวประธานของประโยค Main Clause กับประธานอิสระ (Absolute Subject) ของกลุ่มคำ Participle Phrase นั้นต้องเป็นคนละคนกัน และคำที่จะมาเป็นประธานอิสระนั้นเป็นสรรพนาม (Pronoun) ก็ได้ ไม่จำเป็ฯต้องเป็นแต่นามอย่างเดียว เช่น

He having finished his work, we left the office together.

เมื่อเขาทำงานเสร็จแล้ว เราก็ออกจากสำนักงานไปด้วยกัน เป็นต้น

คำค้นหาสำหรับบทความนี้ :noun คือ, คํา noun, ชนิดของคำ, เรียนภาษาอังกฤษ, ศัพท์ภาษาอังกฤษ,
เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์, สอนภาษาอังกฤษออนไลน์, บทเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์, ติวภาษาอังกฤษออนไลน์, แชทภาษาอังกฤษออนไลน์, เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ด้วยตนเอง, บทเรียนออนไลน์ภาษาอังกฤษ, เรียนภาษาอังกฤษด้วยตนเองออนไลน์, สอบภาษาอังกฤษออนไลน์, อ่านภาษาอังกฤษออนไลน์, การเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์, เรียนภาษาออนไลน์, ภาษาอังกฤษออนไลน์, ออนไลน์ภาษาอังกฤษ


ภาษาอังกฤษ : Nouns (Ver.1)︱Click for Clever


ดูคอร์สอื่นในวิชาภาษาอังกฤษ ได้ที่ https://goo.gl/vNbV3S

สำหรับน้องๆ ที่อยากเจาะลึกเนื้อหาเข้มข้น ติดตามกันต่อที่นี่เลย
Official website: http://www.clickforclever.com

สนใจสั่งซื้อคอร์สสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/clickforclever/
Line : @clickforclever หรือคลิก http://line.me/ti/p/%40drl4457d

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูเพิ่มเติม

ภาษาอังกฤษ : Nouns (Ver.1)︱Click for Clever

วิเคราะห์จุดเริ่มต้นของจักรวาล OM, HU จนถึงการมีโลกและมนุษย์ เป้าหมายของชาวแสงคือ รับผัสสะบริสุทธิ์


10/11/2021 สถาบันพาตัวใจกลับบ้าน ศาลายา
ซื้อหนังสือทุกเล่ม เช่น ก่อนอวิชชา ติดต่อคุณทราย โทร 086 610 0001
เรื่องมาเยี่ยมชมสถาบันฯ ถุงยังชีพ ติดต่อคุณคิม โทร 094 880 8932
ประสงค์จะบริจาคเพื่อโครงการหยอดกระปุก
ธนาคารกรุงเทพ ศุภวรรณ กรีน เลขบัญชี 1720858297
ช่วยสถาบันฯ สร้างสวนสวรรค์ให้เสร็จสมบูรณ์เพื่อทำประโยชน์แก่คนหมู่มาก
ธนาคารกรุงเทพ ศุภวรรณ กรีน เลขบัญชี 8600044815
ขอขอบคุณและอนุโมทนาบุญกับทุกท่านค่ะ
https://www.supawangreen.com
[email protected]

วิเคราะห์จุดเริ่มต้นของจักรวาล OM, HU จนถึงการมีโลกและมนุษย์ เป้าหมายของชาวแสงคือ รับผัสสะบริสุทธิ์

📚 Bài tập Luyện Nghe Tiếng Anh trong 5 phút #13 | Study with me ❤


luyệnnghetiếnganh studywithme english
📚 Bài tập Luyện Nghe Tiếng Anh trong 5 phút 13 | Study with me ❤
“Don’t stop when you are tired. Stop when you are done.” – Marilyn Monroe
[Đừng ngừng cố gắng khi bạn mệt, hãy dừng lại khi bạn đã hoàn thành.]
❤ Cuộc sống không yêu cầu chúng ta phải là người đỉnh nhất, chỉ cần chúng ta cố gắng hết sức. Thất bại thật sự không phải là khi chúng ta vấp ngã, mà là khi chúng ta không muốn đứng lên và cố gắng thêm lần nữa.
❤ Cùng Mary làm những bài tập luyện nghe nhỏ qua những video ngắn này nhé. Mary mong bạn luôn cố gắng học tập và đạt được những điều mà bạn hằng mong ước.
❤ Đừng quên ủng hộ kênh Youtube của Mary nhé. Love all ❤
File PDF: https://drive.google.com/file/d/1tuQ9xBYwDUzI3NEtKCl35STY5osRvPkT/view?usp=sharing
[00:00] Exercise 1
[02:06] Exercise 2
[05:27] Exercise 3
Cre: Listening Strategies for the IELTS Test
Edit: by me

📚 Bài tập Luyện Nghe Tiếng Anh trong 5 phút #13 | Study with me ❤

คำนามนับได้ vs คำนามนับไม่ได้ (countable nouns vs uncountable nouns)


เนื้อหาจาก : Gust Dii Channel
Music : Happy Kids
Music produced by OrangeHead
Watch : https://youtu.be/rTKYWeaS1s4
Website : http://www.orangehead.net

คำนามนับได้ vs คำนามนับไม่ได้ (countable nouns vs uncountable nouns)

เรียนภาษาอังกฤษ parts of speech คำนาม Noun คืออะไร ใช้อย่างไร


PartofSpeech​ คืออะไร ?
วันนี้ขอเสนอหัวข้อที่ถือว่าเป็นหัวใจของภาษาอังกฤษเลยก็ว่าได้ คือ Part of Speech
1. ทำไมเราต้องทำความรู้จัก Part of Speech
2. Part of Speech คืออะไร ?
3. Part of Speech มีกี่ชนิด
4. แต่ละชนิดคืออะไร พร้อมตัวอย่าง
CR.Ajarn Suparada
ภาษาอังกฤษออนไลน์ฟรี!
📌 ฝึกพูดภาษาอังกฤษ ถามตอบ ประโยคพื้นฐานใช้บ่อยในชีวิตประจำวัน
👉 https://www.youtube.com/watch?v=IHuKZYgki4\u0026t=5s
📌 ฝึกอ่านแปลภาษาอังกฤษ เข้าใจง่าย เรียนภาษาอังกฤษพื้นฐาน
👉 https://www.youtube.com/watch?v=URCUv47gnc8
📌 ฝึกพูดภาษาอังกฤษ ตั้งปณิธานเรื่องที่จะทำในปีใหม่ New Year’s Resolutions
👉 https://www.youtube.com/watch?v=AWo2r51ZLFA\u0026t=10s
📌 เรียนภาษาอังกฤษฟรี ดูโครงสร้างภาษาอังกฤษ ฝึกพูดพร้อมตัวอย่างประโยค
👉 https://www.youtube.com/watch?v=UgGf1QS7O6s
📌 5 โครงสร้างประโยคพื้นฐานในภาษาอังกฤษ (English sentence structures)
👉 https://www.youtube.com/watch?v=iGS5sPRefdA\u0026t=82s
📌 ประโยคอวยพรปีใหม่ ภาษาอังกฤษ พร้อมคำอ่านและแปลภาษาไทย
👉 https://www.youtube.com/watch?v=BYqot65xu6k
📌วิธีใช้ Used to, Be used to และ Get used to (เคย และ เคยชิน)
👉https://www.youtube.com/watch?v=in1gK2AAi9Q\u0026t=3s
📌 Whenever, Whatever, Whoever, However, Whichever | ใช้ยังไง
👉 https://www.youtube.com/watch?v=AnATbRFCE
📌 How far/How much/How many/How long/ ใช้อย่างไร และแปลว่าอย่างไร ภาษาอังกฤษ
👉 https://www.youtube.com/watch?v=AnATbRFCE
📌 เรียนภาษาอังกฤษ Do, Does, Did, Done | แปลว่าอย่างไร เข้าใจง่ายพร้อมตัวอย่าง
👉 https://www.youtube.com/watch?v=JrNKYd2YFzg\u0026t=2s

เรียนภาษาอังกฤษ parts of speech คำนาม Noun คืออะไร ใช้อย่างไร

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูบทความเพิ่มเติมในหมวดหมู่MAKE MONEY ONLINE

ขอบคุณที่รับชมกระทู้ครับ คำ นาม noun

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *