Skip to content
Home » [Update] Grammar: หลักการใช้ Present Simple Tense : เรื่องจริงในชีวิตประจำวัน | สรุป future simple tense – NATAVIGUIDES

[Update] Grammar: หลักการใช้ Present Simple Tense : เรื่องจริงในชีวิตประจำวัน | สรุป future simple tense – NATAVIGUIDES

สรุป future simple tense: นี่คือโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้

Table of Contents

การศึกษาเรื่องโครงสร้างประโยคของ Tense ต่าง ๆ ทำให้สามารถเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่าเหตุการณ์ที่กำลังกล่าวถึงอยู่นั้นเกิดขึ้นในช่วงเวลาใด ซึ่งช่วยป้องกันการสื่อสารที่ผิดพลาด วันนี้เราจะเริ่มเรียน Tense พื้นฐานอย่าง Present Simple Tense กันก่อน ไปลุยกันเลย!

ลักษณะการใช้ Present Simple Tense

Present แปลว่า ปัจจุบัน ดังนั้น Present Simple Tense จึงเป็นประโยคที่มีโครงสร้างแบบง่าย ๆ เพื่อใช้พูดถึงเหตุการณ์ในปัจจุบันนั่นเอง โดยมีลักษณะต่าง ๆ ดังนี้

1. ใช้เพื่อพูดถึงความเป็นจริงในชีวิตประจำวัน หรือความเป็นจริงตามธรรมชาติ ถึงแม้ว่าเหตุการณ์นั้นจะเป็นอดีตหรืออนาคตก็ตาม เช่น

    When the earth moves around itself, it makes Day and Night.
    (เมื่อโลกหมุนรอบตัวเอง มันทำให้เกิดกลางวันกลางคืน)

    Durian is the king of fruit.
    (ทุเรียนเป็นราชาผลไม้)

2. ใช้เพื่อพูดถึงเหตุการณ์ นิสัย หรือการกระทำที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ บ่อย ๆ เป็นประจำทุกวัน เช่น

    I walk to school every day.
    (ฉันเดินไปโรงเรียนทุกวัน)

    Nuda always help other people so everyone loves her.
    (นุดาช่วยเหลือคนอื่นเป็นประจำ ดังนั้นทุกคนจึงรักหล่อน)

3. ใช้เพื่อให้คำแนะนำหรือการบอกทิศทาง เช่น

    Turn off the television before going to bed.
    (ปิดโทรทัศน์ก่อนเข้านอน)

    You go straight for 300 meters, then the destination is on your left.
    (คุณเดินตรงไป 300 เมตรและจุดหมายปลายทางจะอยู่ทางซ้ายมือของคุณ)

รูปประโยคของ Present Simple Tense

ดังที่ได้กล่าวข้างต้นว่า Present Simple Tense คือประโยคที่บอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ เช่น ฉันว่ายน้ำทุก ๆ วัน โดยรูปประโยคของ Present Simple Tense มีรูปแบบดังต่อไปนี้

1. ประโยคบอกเล่า

โครงสร้างของประโยคบอกเล่า :  Subject + Verb.1 + Object + (คำบอกเวลา)
ทั้งนี้คำกริยาช่องที่ 1 นั้นจะมีการเติม s หรือ es ถ้าหากประธานของประโยคเป็นเอกพจน์ (He, She, It) แต่ถ้าประธานเป็น I, You หรือประธานพหูพจน์ (You (หลายคน), We, They) ให้คงรูปคำกริยานั้น ๆ ไว้เช่นเดิม เช่น

I go to university by bus every morning.
(ฉันไปมหาวิทยาลัยโดยรถโดยสารประจำทางทุกเช้า)
**ประโยคนี้ประธานคือ I แม้จะเป็นเอกพจน์แต่เป็นข้อยกเว้น ดังกริยา go จึงไม่ต้องเติม s หรือ es

He plays guitar very well.
(เขาเล่นกีตาร์เก่งมาก)
**ประโยคนี้ประธานคือ He เป็นเอกพจน์ กริยาคือ play จึงต้องเติม s

They enjoy playing the football.
(พวกเขาสนุกกับการเล่นฟุตบอล)
**ประโยคนี้ประธานคือ They เป็นพหูพจน์ กริยาคือ enjoy จึงไม่ต้องเติม s หรือ es

ความรู้เพิ่มเติม : หลักการเติม s,es นั้นง่ายนิดเดียว คือ คำกริยาที่ลงท้ายด้วย ch, o, s, ss, sh, x ให้เติม es เมื่อประธานของประโยคเป็นเอกพจน์ (He, She, It) เช่น

She washes her car.
ประธานของประโยคคือ She ซึ่งเป็นเอกพจน์ คำกริยาคือ wash ที่ลงท้ายด้วย sh จึงต้องเติม es ต่อท้าย

ส่วนคำกริยาอื่น ๆ ที่ไม่ได้ลงท้ายด้วยพยัญชนะทั้ง 6 ตัวนั้น ให้เติม s หลังคำกริยาในประโยคที่มีประธานเป็นเอกพจน์ได้เลย เช่น

My mom cooks some food for me.
ประธานของประโยคคือ My mom ซึ่งเป็นเอกพจน์ เราใช้ She แทน My mom ได้ คำกริยาคือ cook ที่ไม่ได้ลงท้ายด้วยพยัญชนะตามกฎ จึงเติม s ได้ทันที

และถ้าหากคำกริยานั้นลงท้ายด้วย y ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม es ท้ายคำกริยานั้น เช่น study – studies, fly – flies, carry – carries เป็นต้น แต่มีข้อยกเว้นคือ ถ้าหากหน้า y เป็นสระ (A, E, I, O, U) ให้เติม s ได้ทันที เช่น play – plays, buy – buys, stay – stays

2. ประโยคคำถาม

โครงสร้างของประโยคคำถามใน Present Simple Tense มีสองรูปแบบคือ

แบบที่ 1 : Verb to be + Subject + Object/ส่วนขยาย + (คำบอกเวลา) ?
ใช้เมื่อในประโยคนั้นมี V. to be (Is, Am, Are) ปรากฎอยู่ เช่น

She is my sister.   —>   Is she your sister ? (หล่อนเป็นน้องสาวคุณหรือเปล่า?)
เมื่อเห็น V. to be ในประโยคให้นำ V. to be ขึ้นต้นประโยคนำหน้าประธานได้เลย เพียงเท่านี้ก็จะกลายเป็นประโยคคำถาม (และอย่าลืมเปลี่ยนคำสรรพนามด้วยนะคะ จาก my เป็น your)

แบบที่ 2 : Verb to do + Subject + Verb.1 + Object + (คำบอกเวลา)?
ใช้เมื่อประโยคนั้นไม่มี V. to be จึงต้องนำ V. to do ได้แก่ do กับ does เข้ามาช่วย โดยขึ้นต้นประโยคนำหน้าประธาน ซึ่งมีวิธีการใช้ที่แตกต่างกันคือ Do ใช้นำหน้า I, You และประธานที่เป็นพหูพจน์ (You, We, They) ส่วน Does ใช้นำหน้าประธานที่เป็นเอกพจน์ (He, She, It) และคำกริยาคงรูปช่องที่ 1 เหมือนเดิมโดยไม่ต้องเติม s, es เช่น

They play football every evening.   —>   Do they play football every evening? (พวกเขาเล่นฟุตบอลทุกเย็นหรือเปล่า?)
ประโยคนี้ไม่มี V. to be อยู่ในประโยค จึงนำ V. to do มาใช้ขึ้นต้นประโยคนำหน้า they ซึ่งเป็นประธานพหูพจน์

That cat eats fish.   —>   Does that cat eat fish ? (แมวตัวนั้นกินปลาหรือเปล่า?)
ประโยคนี้ไม่มี V. to be อยู่ในประโยค จึงนำ V. to do นั่นก็คือ does มาใช้ขึ้นต้นประโยคนำหน้า that cat หรือก็คือ it ซึ่งเป็นประธานเอกพจน์ โดยคำกริยาคือ eat มีการตัด s ออกในประโยคคำถาม

3. ประโยคปฏิเสธ

รูปแบบประโยคปฏิเสธใน Present Simple Tense มีสองรูปแบบคล้ายกับรูปแบบประโยคคำถามคือ

แบบที่ 1 : Subject + Verb to be + not + Object/ส่วนขยาย + (คำบอกเวลา)
ใช้เมื่อในประโยคนั้นมี V. to be (Is, Am, Are) ปรากฎอยู่ เช่น

I am your servant.   —>   I am not your servant. (ฉันไม่ได้เป็นคนรับใช้ของคุณ)
เมื่อเห็น V. to be ในประโยคให้เติม not ไว้หลัง V. to be ได้ทันที เพียงเท่านี้ก็จะกลายเป็นประโยคปฏิเสธ

แบบที่ 2 : Subject + Verb to do + not + Verb.1 + Object + (คำบอกเวลา)
แบบที่สองใช้เมื่อประโยคนั้นไม่มี V. to be จึงต้องนำ V. to do ได้แก่ do กับ does เข้ามาช่วยแล้วตามหลังด้วย not เพื่อบอกความปฏิเสธ ส่วนคำกริยาให้คงรูปช่องที่ 1 เหมือนเดิมโดยไม่ต้องเติม s,es เช่น

He watches television at home.   —>   He does not watch television at home. (เขาไม่ได้ดูโทรทัศน์อยู่ที่บ้าน)
ประโยคนี้ไม่มี V. to be อยู่ในประโยค จึงนำ V. to do นั่นก็คือ does มาเป็นกริยาช่วยและตามด้วย not เพื่อบอกรูปปฏิเสธ ส่วนคำกริยาเมื่ออยู่ในรูปปฏิเสธแล้วให้ตัด s,es ทิ้งคงเหลือคำกริยาช่องที่ 1 รูปเดิม

คำบอกเวลาใน Present Simple Tense

ในประโยค Present Simple Tense มักจะมีคำบอกเวลาซึ่งเป็น Adverbs of Frequency ปรากฎอยู่ในประโยคเพื่อบอกความถี่ของเหตุการณ์หรือการกระทำนั้น ๆ ได้แก่
 

Adverbs of Frequency

คำบอกเวลา

Always

สม่ำเสมอ, เป็นประจำ

Frequently

บ่อย ๆ

Often

บ่อย ๆ

Usually

โดยปกติ

Hardly

แทบจะไม่เคย

Never

ไม่เคย

Rarely

แทบจะไม่เคย

Seldom

นาน ๆ ครั้ง

Sometimes

บางครั้ง

 

และนอกจากตัวอย่างคำบอกเวลาที่พบบ่อยใน Present Simple Tense แล้ว ยังอาจพบคำว่า every + … เช่น every month, every morning, every Saturday เพื่อบอกความถี่ของเหตุการณ์หรือการกระทำก็ได้ เช่น

My teacher always drinks coffee in the morning.
(ครูของฉันดื่มกาแฟในตอนเช้าเป็นประจำ)

Nadech usually gets up at 7 o’clock.
(โดยปกติณเดชตื่นนอนตอนเจ็ดโมง)

Narong hardly reads books so he doesn’t pass the exam.
(ณรงค์แทบจะไม่เคยอ่านหนังสือ ดังนั้นเขาจึงสอบตก)

It seldom rains in this part of the country.
(ฝนตกนาน ๆ ครั้งในพื้นที่นี้ของประเทศ)

I feel like she’s selfish sometimes.
(ฉันรู้สึกว่าหล่อนเห็นแก่ตัวในบางครั้ง)

Kimmy hangs out with her friends every Saturday night.
(คิมมี่ออกไปเที่ยวกับเพื่อนของเธอทุกคืนวันเสาร์)

เป็นอย่างไรบ้างคะสำหรับสรุปหลักการใช้ Present Simple Tense แบบง่าย ๆ ที่นำมาฝากกัน อย่าลืมลองนำหลักการและทริคต่าง ๆ ที่นำมาฝากไปใช้กันดูนะคะ ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถสื่อสารได้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ และสามารถนำไปใช้เป็นจุดสังเกตเมื่อต้องเจอข้อสอบหรือแบบฝึกหัดได้อีกด้วย Please often review this lesson everyday กันนะคะ ^^

 

 

 

[NEW] การใช้ Future simple “be going to”ในภาษาอังกฤษ | สรุป future simple tense – NATAVIGUIDES

นอกจากรูปแสดงอนาคตกาลโดยใช้ will หรือ shall ใน future simple แล้ว ยังมีรูป future simple โดยใช้ be going to ด้วยเช่นกัน รูปดังกล่าวนี้มีการใช้บ่อยๆ ในสถานการณ์หรือเหตุการณ่ในอนาคต ฉะนั้นผู้เขียนจะขอกล่าวถึงเรื่องนี้ โดยละเอียดตามลำดับดังนี้
รูปของ be going to
(1) Statement form (สเตทเม้นทฺ ฟอม) หรือในภาษาไทยเรียกว่า “รูปบอกเล่า” ประกอบด้วย
ภาคประธาน + is/am/are + going to + กริยาแท้ช่อง 1 + ภาคกรรมหรือส่วนขยาย
อธิบาย
going to เป็นส่วนที่แสดงเหตุการณ์หรือการกระทำในอนาคต กริยาแท้ช่อง 1 หมายความเช่นเดียวกับ infinitive without to หรือกริยาแท้ช่อง 1 ที่ไม่มี to
ตัวอย่าง
Look at the clouds. It is going to rain soon.
ดูเมฆสิ ฝนจะตกในไม่ช้า
Look out! That boy is going to fall down.
ระวัง เด็กชายคนนั้นจะตกลงมาแล้ว
(2) Negative form (เนเกอทิฟวฺ ฟอม) หรือในภาษาไทยเรียกว่า “รูป ปฏิเสธ” ประกอบด้วย
ภาคประธาน + is/am/are not + going to + กริยาแท้ช่อง 1 + ภาคกรรมหรือส่วนขยาย
อธิบาย รูปย่อของ is not = isn’t หรือ ’s not
am not = ’m not
are not = aren’t หรือ ’re not
ตัวอย่าง
The machine is quite old. I’m afraid it’s not going to work. เครื่องจักรค่อนข้างเก่า ผมเกรงว่ามันจะไม่ทำงาน
If we hurry, I’m sure we’re not going to miss the train.
ถ้าเรารีบ ผมแน่ใจว่าเราจะไม่พลาดรถไฟ
(3) Yes-No question (เยส โน เควสเชิ่น) หรือในภาษาไทยคือ “คำถาม ที่ผู้ตอบจะตอบว่า Yes/No” ประกอบด้วย
Is/Am/Are + ภาคประธาน + going to + กริยาแท้ช่อง 1 + ภาคกรรม
หรือส่วนขยาย
ตัวอย่าง
A : Is it going to rain?
B : Yes, if there is no wind.
ก – ฝนจะตกหรือ
ข – ใช่ ถ้าไม่มีลม
A : Are we going to tell him when he asks us?
B : No. We won’t let him know.
ก – เราจะบอกเขาไหมหากเขาถามเรา
ข – ไม่เราจะไม่ให้เขารู้
(4) Wh-word question (ดับเบิลยู เอช เวิด เควสเชิ่น) หรือในภาษา ไทยคือ “คำถามที่ขึ้นต้นประโยคด้วย Wh-words ได้แก่ What, When, Where, Why, How long, … ฯลฯ’’ ประกอบด้วย
Wh-word + is/am/are + ภาคประธาน + going to + กริยาแท้ช่อง 1 + ภาคกรรมหรือส่วนขยาย
แต่ถ้าหากใช้คำถาม Who โครงสร้างที่ใช้จะประกอบด้วย
Who + is/am/are + going to + กริยาแท้ช่อง 1 + ภาคกรรมหรือส่วนขยาย
เมื่อคำตอบอยู่ในภาคประธานของประโยค
Who + is/am/are + ภาคประธาน + going to + กริยาแท้ช่อง 1 +
ภาคกรรมหรือส่วนขยาย
เมื่อคำตอบอยู่ในภาคกรรมของประโยค
Who + is/am/are + going to + กริยาแท้ช่อง 1 + ภาคกรรมหรือส่วนขยาย
เมื่อคำตอบอยู่ในภาคประธานของประโยค
ตัวอย่าง
A : When are you going to return my book?
B : Tomorrow.
ก – เมื่อไรคุณจะคืนหนังสือของดิฉัน
ข – พรุ่งนี้
A : Where are we going to stay tonight?
B : In a temple, perhaps.
ก – คืนนี้เราจะพักกันที่ไหน
ข – บางทีอาจจะพักที่วัด
John is going to tell Mary the truth.
A : Who is going to tell Mary the truth?
B : John.
ก – ใครจะเล่าความจริงให้แมรี่ฟัง
ข – จอห์น
We are going to give Susan a ring.
A : Who are we going to give a ring?
B : Susan.
ก – เราจะให้แหวนแก่ใคร
ข – ซูซาน
การใช้ be going to
1. ใช้ be going to เพื่อกล่าวถึงเหตุการณ์หรือสถานการณ์บางอย่างใน อนาคตที่มีเหตุบ่งบอกให้เห็นชัดเจนในขณะปัจจุบัน ลักษณะดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกมั่นใจของผู้พูดเกี่ยวกับเหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นตามมา จากสาเหตุปัจจุบัน ในอนาคตอันใกล้
ตัวอย่าง
Look at those black clouds in the sky. It’s going to rain. Those people are going to get wet.
ดูเมฆดำทะมึนในท้องฟ้าเหล่านั้นสิ ฝนกำลังจะตก คนเหล่านั้นกำลังจะเปียก
แต่ ถ้าใช้ will จะหมายถึง เราคิดหรือเชื่อว่าจะเกิดเหตุการณ์นั้นในอนาคต ซึ่งภาวะของการเกิดเหตุการณ์ยังห่างไกลกว่าการใช้ be going to
ตัวอย่าง
That boat doesn’t look very safe.
It’ll sink in that heavy sea.
เรือลำนั้นดูไม่ค่อยปลอดภัย
มันอาจจะจมในทะเลที่คลื่นลมแรง
Look at that boat! It’s going to sink.
มองดูเรือลำนั้นสิ มันกำลังจะจม

future
อธิบายในภาพที่ 1 ชายคนนี้ยังไม่ได้เอาเรือลงทะเล เขาอาจจะเปลี่ยนใจไม่เอาเรือลงทะเลก็ได้ เพราะแลเห็นคลื่นลมที่แรงจัด ภาวะของการเกิดอันตรายต่อเรือและชายคนนี้ยังอยู่ไกลตัว

future1
แต่ในภาพที่ 2 เรือและชายคนนี้กำลังเผชิญกับคลื่นลมแรงในทะเลที่บ้าคลั่ง ภาวะของการเกิดอันตรายอยู่ใกล้ตัว โอกาสของการนำเรือเข้าฝั่งเพื่อให้ชีวิตรอด แทบไม่มีเลย
Don’t climb up that tree.
You’ll fall and hurt yourself.
อย่าปีนขึ้นต้นไม้ต้นนั้น
ลูกอาจจะตกลงมาได้รับบาดเจ็บ
Look out! You’re going to fall!
ระวัง ลูกกำลังจะตกลงมา

future2
อธิบาย ในภาพที่ 1 แม่บอกลูกที่กำลังทำท่าจะปีนขึ้นต้นไม้ แต่ยังไม่ได้ ปีนขึ้น เพื่อจะเอาลูกบอลที่ค้างอยู่ลงมา แม่ทำนายในสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นแต่ยังอยู่ไกลตัวเพราะลูกยังไม่ได้ปีน

future3
แต่ในภาพที่ 2 ลูกปีนขึ้นไปแล้ว และกำลังเกาะอยู่บนกิ่งไม้ที่กำลังหัก แม่ร้องเตือน (warning วอนิ่ง) ลูกเพราะภาวะของการเกิดอันตรายอยู่ใกล้ตัว เลี่ยงที่จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์นั้นได้ยากแล้ว
จะเห็นได้ว่าทั้งสองภาพเป็นการทำนาย (prediction) เหมือนกัน แต่ ต่างกันตรงที่ความมากน้อยของโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์นั้น
2. ใช้ be going to เพื่อกล่าวถึงสิ่งที่เราตั้งใจและตัดสินใจไว้แล้วล่วงหน้า ว่าจะทำ แสดงถึงการกระทำที่ได้มีการวางแผนไว้แล้วว่าจะทำในอนาคตอันใกล้หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือเป็นการวางแผนไว้ก่อนแล้ว (prior plan ไพรเออะ แพลน) นั่นเอง
ตัวอย่าง
I’m going to have a shower.
ผมกำลังจะอาบน้ำ (ชายคนนี้กำลังเปิดประตูเข้ามา มีผ้าเช็ดตัวพร้อมที่จะอาบน้ำ)
แต่ ถ้าใช้ will จะหมายถึง การตัดสินใจว่าจะทำสิ่งหนึ่งๆ ในขณะที่พูด เป็นการตัดสินใจที่เกิดขึ้นฉับพลันโดยไม่ได้มีการเตรียมการมาก่อนล่วงหน้า
ตัวอย่าง
A : I’m sorry. I’ve spilt some wine on my jacket.
B : Don’t worry. I’ll clean it for you.
ก – ผมขอโทษ ผมทำไวน์หกรดเสื้อแจ็กเก็ตของคุณ
ข – ไม่ต้องกังวล ดิฉันจะซักให้
อธิบาย คำพูดของภรรยา (B) เป็นการเอ่ยขึ้นทันที หลังจากที่สามี (A) บอกว่าทำไวน์หกรดเสื้อแจ็กเก็ต จึงเห็นได้ว่าภรรยาตัดสินใจทันทีเมื่อสามีพูดจบ โดยที่ภรรยาไม่ได้เตรียมการที่จะพูดมาล่วงหน้าแต่อย่างใด เป็นการเอ่ยว่าจะซักเสื้อให้เมื่อสามีบอกถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
A : Why have you moved all the furniture out of this room?
B : I’m going to clean the carpet.
ก – ทำไมคุณจึงเคลื่อนย้ายเครื่องเรือนทุกชิ้นออกจากห้องนี้
ข – ดิฉันจะทำความสะอาดพรมค่ะ
อธิบาย คำพูดของ A ที่ถามว่า “ทำไมคุณจึงเคลื่อนย้ายเครื่องเรือนทุกชิ้นออกจากห้องนี้’’ แสดงให้เห็นชัดว่า A แลเห็นเครื่องเรือนวางอยู่นอกห้องนั้นมากมาย จึงเกิดความสงสัยและซักถามถึงเหตุผล ซึ่ง B ได้ตอบให้ทราบถึงความตั้งใจว่า “ดิฉัน จะทำความสะอาดพรม’’ คำตอบของ B แสดงถึงการเตรียมการว่าจะทำความสะอาดพรมมาล่วงหน้า จึงได้ทำการเคลื่อนย้ายเครื่องเรือนเหล่านั้นออกมาจากห้อง
3. ในการแสดงความเต็มใจ (willingness วิลลิงเนส) ว่าจะทำสิ่งหนึ่งๆ ให้ จะใช้ will เท่านั้น ไม่ใช้ be going to
ตัวอย่าง
A : The phone’s ringing.
B : I’ll get it.
ก – โทรศัพท์กำลังดัง
ข – ผมจะช่วยรับสายให้
A : I don’t understand this math problem.
B : Ask your teacher about it. She’ll help you.
ก – ผมไม่เข้าใจปัญหาคณิตศาสตร์ข้อนี้
ข – ถามคุณครูของคุณสิ เธอจะช่วยคุณได้
ที่มา:รองศาสตราจารย์ทณุ  เตียวรัตนกุล

(Visited 58,307 times, 15 visits today)


หลักการใช้ future simple tense


ขอบคุณมากค่ะที่ติดตามครูมา สนใจเรียนรู้ภาษาอังกฤษฟรีเพิ่มเติมกับครูพิมได้ทาง:
🍇Instagram : ค้นหาคำว่า pim_pimolwan :เรียนรู้ประโยคสำเร็จรูปจากวิดีโอและรูปภาพ ที่ใช้บ่อยและนำไปใช้พูดได้ทันที พร้อมฝึกออกเสียง ครูพิมเขียนคำอ่านให้ด้วยค่ะ เพื่อง่ายต่อการออกเสียง
🍊Twitter: ค้นหาคำว่า \”ฝึกพูดภาษาอังกฤษกับครูพิม\” :เรียนรู้ประโยคสำเร็จรูปจากรูปภาพ ที่ใช้บ่อยและนำไปใช้พูดได้ทันที
🍄 Youtube:ช่อง \”ฝึกพูดภาษาอังกฤษกับครูพิม\” : วิดีโอการสอนที่ละเอียด เน้นให้ผู้เรียนเข้าใจง่ายสุดๆ พร้อมมีคำอ่านและภาพประกอบค่ะ
🌽Facebook: ชื่อว่า \”LearningTree\” : ชมการสอนถ่ายทอดสดกับครูพิมฟรีพร้อมรับข่าวสารและโปรโมชั่นส่วนลดคอร์สเรียน
🍎Line: แอ้ดมาได้ที่เบอร์ 0954855364 : สอบถามรายละเอียดคอร์สเรียนและโปรโมชั่นส่วนลดคอร์สเรียน

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูความรู้เพิ่มเติมที่นี่

หลักการใช้ future simple tense

Future Simple Tense – Will Won’t: Creative ESL Whiteboard Animation Video (Fun for the whole class!)


Use this creative ESL whiteboard animation video to teach future simple tense (will / won’t) to preintermediate learners in a fun \u0026 engaging manner!
If you love our videos, please support us at Patreon: https://www.patreon.com/oomongzu
WEBSITE: http://oomongzu.com
For more creative, engaging and interactive animated grammar teaching videos, please visit our website.
For the “No Music” version of this video, please go here: https://www.youtube.com/watch?v=cNtCCC7PcE8
Title of English / ESL Video:
Whiteboard Animation
Target English Grammar:
Future simple tense (will / won’t)
Also known as: the simple future.
\”be going to\” is not explained in this video.
Student Proficiency Level:
Preintermediate level grammar
Suggested Courses:
General English
Instructions:
– Play the video in class after delivering a warmup activity first.
– Pause the video whenever the narrator asks students a question to give students time to answer. For example, after elicitations and concept checking questions (CCQs).
Summary of English Grammar: Future Simple Tense – Will / Won’t
Approximate chronological order:
Functions and Uses:
– Promises: I will love you forever.
– Offers: I‘ll help you eat it!
– Spontaneous or quick decisions: I‘ll get help…
– Spontaneous threats: I‘ll make you sorry!
– Predictions about the future: In the future… you will die!
Form:
Positive: will
Contractions: I’ll, you’ll, we’ll…
Negative: will not
Contraction: won’t
– Use contractions when speaking.
Summary of Functions and Uses
Other Important Information: \”will\” and \”won’t\” vs. \”be going to\”
The simple future tense comes in two variations:
\”Will\” and \”won’t\”
\”be going to\”
These two variations can have different meanings and cannot always be used interchangeably. be going to is used for talking about future plans and also for making predictions. While will and won’t can also be used to make predictions, we do not use them to talk about future plans. Hence, only in the case of making predictions, may we use will and won’t and be going to interchangeably. Take for example:
Speaker A: Can you wash the car today?
Speaker B: I’ll do it tomorrow.
Speaker B did not plan on washing the car tomorrow. Rather, it was a spontaneous decision caused by speaker A’s request. Had speaker B said I’m going to do it tomorrow, it would suggest that speaker B already planned on washing the car tomorrow prior to speaker A asking.
This video only focuses on will and won’t. We will explore be going to in other videos.

Future Simple Tense - Will Won’t: Creative ESL Whiteboard Animation Video (Fun for the whole class!)

สรุป Future Tense ง่ายๆ เข้าใจได้ภายใน 5 นาที ✌️


หลังจากที่ดองไว้นานน่ะค่ะ มาแล้วสำหรับวิดีโอสรุป Future Tense
ลองฟังดูน้าค้่า หวังว่าจะไม่งงกัน อิๆ
สำหรับใครที่ยังไม่ได้ดู Present Tense และ Past Tense
คลิกตามลิงค์ได้เลยน้าค้า
Present Tense: http://www.youtube.com/watch?v=4tzLehSRfFo
Past Tense: https://www.youtube.com/watch?v=8KcKnVsgZM8

✔ Facebook: http://www.facebook.com/TalkAmerican
☀ SocialCam: http://www.socialcam.com/u/3zgXfHoX
❤ Email: [email protected]
✿ IG: Ms_LingLing
♫ YouTube: http://www.Youtube.com/user/MsLingLin…
☁ Twitter: http://www.twitter.com/MsLing2

สรุป Future Tense ง่ายๆ เข้าใจได้ภายใน 5 นาที ✌️

WILL vs. GOING TO: The Difference Between Will and Going to | Future Tense in English Grammar


Difference Between Will and Going to!
https://7esl.com/willvsgoingto/
In English grammar, both \”Will\” and \”Be Going to\” are used to express future tense but they do not have the same meaning.

WATCH MORE:
★ Grammar: https://goo.gl/7n226T
★ Vocabulary: https://goo.gl/E5Ty4T
★ Expressions: https://goo.gl/JBpgCF
★ Phrasal Verbs: https://goo.gl/Ux3fip
★ Idioms: https://goo.gl/y7wNjN
★ Conversations: https://goo.gl/pmdpQT
★ English Writing: https://goo.gl/46gmY7
★ IELTS: https://goo.gl/Tg2U4v
★ TOEFL: https://goo.gl/8Zwvic
★ British vs. American English: https://goo.gl/VHa5W8
★ Pronunciation: https://goo.gl/P4eR39
★ Business English: https://goo.gl/r7jqtB

OUR SOCIAL MEDIA:
Pinterest: https://www.pinterest.com/7english/
Facebook: https://www.fb.com/7ESLLearningEnglish/

For more videos and lessons visit:
https://7esl.com/

WILL vs. GOING TO: The Difference Between Will and Going to | Future Tense in English Grammar

สรุป Future Continuous Tense by Muenfun


สรุป Future Continuous Tense by Muenfun

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูบทความเพิ่มเติมในหมวดหมู่LEARN FOREIGN LANGUAGE

ขอบคุณมากสำหรับการดูหัวข้อโพสต์ สรุป future simple tense

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *