[Update] Central Park ปอดสีเขียวกลางมหานครนิวยอร์ก | มหานคร นิวยอร์ก – NATAVIGUIDES

อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในนครนิวยอร์กที่นักท่องเที่ยวทั้งจากสหรัฐฯ และต่างชาติ รวมถึงทั้งชาวนิวยอร์กเองที่นิยมไปพักผ่อนหย่อนใจทำกิจกรรมต่างๆ เปรียบเสมือนโอเอซิสของชาวแมนฮัตตัน ก็คือ เซนทรัลพาร์คที่ทางเข้าเชื่อมต่อกับถนนสุดหรูย่านช้อปปิ้งเลื่องชื่อของนครนิวยอร์กอย่างฟิฟธ์อะเวนิว

เมื่อตะวันตกพบตะวันออก

เซนทรัลพาร์คเป็นสวนสาธารณะที่เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่าง Upper East กับ Upper West Manhattan มีพื้นที่ 3.41 ตารางกิโลเมตร หรือ 1.317 ตารางไมล์ โดยความยาวแนวนอนตั้งแต่ถนน 59 ถึง 110 และแนวตั้งจาก Fifth Avenue ถึง Eighth Avenue สร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 1857-1876 ซึ่งถือนับว่าเก่าแก่หลักร้อยปีขึ้นไปทีเดียว

โดยที่เซนทรัลพาร์คมีทำเลใจกลางมหานครนิวยอร์ก ทำให้เป็นสวนสาธารณะที่มีผู้คนมาเยี่ยมชมมากที่สุดในสหรัฐฯ คาดว่าไม่ต่ำกว่า 38 ล้านคนต่อปี แต่เห็นใหญ่ขนาดนี้ เซนทรัลพาร์คกลับไม่ใช่สวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดของนครนิวยอร์ก กลับตกเป็นอันดับที่ 5 รองจาก (1) Pelham Bay Park ในเขต Bronx (2) Green Belt Park ในเขต Staten Island (3) Van Cortlandt Park ในเขต Bronx และ (4) Flushing Meadows-Corona Park ในเขต Queens

ความเป็นมาโดยสังเขป

เซนทรัลพาร์คเกิดจากแนวคิดริเริ่มที่จะสร้างสวนสาธารณะขนาดใหญ่ในเกาะ Manhattan ในช่วงทศวรรษ 1940 เนื่องจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วของชุมชนเมืองทำให้ประชาชนต้องการพื้นที่สาธารณะและพื้นที่สีเขียวเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1857 นาย Frederick Law Olmsted นักวางผังเมือง และนาย Calvert Vaux นักออกแบบภูมิสถาปัตย์ ได้ชนะการแข่งขันออกแบบสวนสาธารณะจากผลงานที่ชื่อว่า ‘Greensward Plan’ และได้เริ่มก่อสร้างในปีเดียวกัน โดยได้เริ่มรื้อถอนและทำลายโครงสร้างที่มีอยู่เดิม รวมถึงการตั้งถิ่นฐานของชาวผิวสีใน Seneca Village

เซนทรัลพาร์คได้เปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1958 และได้มีการซื้อที่ดินเพิ่มเติมทางตอนเหนือสุดของสวนเมื่อปี ค.ศ. 1859 และต่อเติมจนแล้วเสร็จเมื่อปี ค.ศ. 1876 รวมทั้งมีการสร้าง Central Park Conservancy เมื่อปี ค.ศ. 1980

ที่ใดบ้างที่ควรไปชมในเซนทรัลพาร์ค

เซนทรัลพาร์คขึ้นชื่อด้านความหลากหลายของสถานที่ต่างๆ ที่รวมเข้าไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร สวนสนุก สวนสัตว์ อ่างเก็บน้ำ โรงละครกลางแจ้ง สนามเบสบอล ลานสเกตน้ำแข็ง และอีกมากมาย ล้วนแต่เป็นสีสันของนครนิวยอร์ก

ขนาดเราไปมาหลายครั้งแล้ว มีทั้งแบบไปตั้งใจไป มีแบบ MET ไม่เปิด เลยไปเดินแทนก็มี ยังไม่ทั่วพื้นที่ ชมไม่ครบสักที

หมวดชมธรรมชาติ

The Ramble and Lake อยู่ระหว่างถนน 66 กับ 79 เป็นพื้นที่ป่าที่มีความหลากหลายทางภูมิศาสตร์ และเป็นที่แรกๆ ที่มีการสร้างในสวนสาธารณะแห่งนี้ เคยเป็นแหล่งจ่ายน้ำชั่วคราวให้กับชาวนิวยอร์กในอดีตด้วย เหมาะสำหรับการเดินเล่นชมวิวเพลินๆ ชมนกชมไม้สวยๆ

Halette Nature Sanctuary คอธรรมชาติน่าจะชอบความร่มรื่นของสระน้ำที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของสวน และใกล้กับ Grand Army Plaza

Jacqueline Kennedy Onassis Reservior หรือ Central Park Reservoir อยู่ระหว่างถนน 86 กับ 96 ได้รับชื่อตาม Jacqueline Kennedy Oanassis เมื่อปี ค.ศ. 1994 เพื่ออุทิศให้กับสิ่งที่เธอได้ทำให้กับนครนิวยอร์ก อีกทั้งเธอเองก็เคยอาศัยอยู่ใกล้บริเวณนี้

Belvedere Castle ตั้งอยู่บนยอดเขา Vista เป็นชื่อภาษาอิตาลี แปลว่า “ทิวทัศน์ที่งดงาม” เมื่อชมวิวจากตัวปราสาท จะมองเห็น The Great Lawn ทางตอนเหนือ และ The Ramble ทางตอนใต้ ในชั้นแรก สร้างขึ้นโดยไม่มีหน้าต่างหรือประตู มีวัตถุประสงค์เพื่อชมทัศนียภาพเป็นหลัก ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1919 National Weather Services ได้ทำการเก็บค่าตัวอย่างทางอุตุนิยมวิทยาจากตัวปราสาท อาทิ อุณหภูมิ ความชื้น

Bethesda Fountain เป็นหนึ่งในน้ำพุที่ใหญ่ที่สุดในนครนิวยอร์ก ออกแบบโดย Ms. Emma Stebbins และก่อสร้างในปี ค.ศ. 1868 มีความสูง 26 ฟุต และความกว้าง 96 ฟุต มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “เทพธิดาแห่งสายน้ำ (angel of the waters)” ซึ่งยืนอยู่เหนือเทวดาตัวน้อย 4 องค์ ซึ่งแสดงถึงสุขภาพดี ความบริสุทธิ์ ความสมดุล และสันติภาพ โดยรูปปั้นเทพธิดานี้อ้างอิงถึงสารของนักบุญจอร์หนที่ว่ามีเทพธิดามาประสาทพรที่น้ำพุแห่งนี้เพื่อเป็นพลังรักษาโรค โดยมือซ้ายถือดอกลิลลี่ และมือขวาเหยียดยาวออกมาเพื่อให้พรกับน้ำที่ผ่านการทำให้บริสุทธิ์และกำลังไหลลงมา อนึ่ง สมัยที่รูปปั้นสร้าง เกิดภาวะโรคระบาดหนัก จึงต้องสร้างขวัญกำลังใจให้กับประชาชน

Bethesda Terrace เป็นโถงทางเดินที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1860 มีบันไดเชื่อมต่อขนาดใหญ่ระหว่างชั้นบนกับชั้นล่าง และเพดานที่ถูกตกแต่งสวยงาม จุดเด่นที่สำคัญคือ เพดาน Minton Tile ที่ออกแบบโดยนาย Jacob Wrey Mould

หมวดพักผ่อนหย่อนใจ

Alice in Wonderland อยู่ทางตอนเหนือของบ่อน้ำ (conservatory water) แถวถนน 74 เป็นรูปปั้นทองแดงสำริด ความสูง 11 นิ้ว โดย Alice ถูกรายล้อมด้วยผองเพื่อน อาทิ Mad Hatter, White Rabbit, Cheshire Cat รูปปั้นนี้ก่อสร้างเมื่อปี ค.ศ. 1959 โดยนาย Jose de Creeft ภายใต้การอุปถัมภ์ทางการเงินจากนาย George Delacorte เพื่อระลึกถึงภรรยาของเขาที่ชื่อ Magarita ที่ชอบเล่านิทานเรื่อง ‘Alice in Wonderland’ ให้กับลูก ๆ ฟัง ทั้งนี้ เด็กๆ สามารถปีนป่าย จับ หรือคลานรอบตัวอลิซและเพื่อนๆ ได้

มีข้อสนเทศอีกอย่างคือต้นแบบใบหน้าของอลิซก็ไม่ใช่อื่นไกลเป็นการจำลองใบหน้าจาก Donna ลูกสาวของนาย Creeft ประติมากรนั่นเอง

Central Park Zoo อยู่ทางมุมตะวันออกเฉียงใต้ของเซนทรัลพาร์ค เป็นระบบบูรณาการที่นำเอาสวนสัตว์สี่แห่งและพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเข้าไว้ด้วยกัน แถมยังมีโปรแกรมสำหรับเด็กให้ผู้ปกครองพาบุตรหลานไปเข้าร่วมด้วย

Central Park Carousel หรือ Michael Friedsam Memorial Carousel อยู่ทางตอนใต้ของเซนทรัลพาร์ค ใกล้กับถนน 65 เคยถูกเอ่ยชื่อในซีรีส์ Punisher ของ Marvel (แต่ไม่ได้ถ่ายทำในสถานที่จริง) และในนิยาย “The Catcher in the Rye”

Carousel หรือม้าหมุน เป็นที่นิยมนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1871 ในตอนแรก ไม่ได้รับการยอมรับมากนักจากคณะกรรมาธิการสวนสาธารณะเนื่องจากไม่อยากให้มีเครื่องเล่นที่เก็บเงินเชิงพาณิชย์ในเซนทรัลพาร์ค แต่ตอนหลัง ก็ยอมรับว่ารายได้ที่ได้มีประโยชน์ในการทำนุบำรุงเซนทรัลพาร์ค

(หมายเหตุ: ม้าหมุนปิดให้บริการไปตั้งแต่ที่มีไวรัสโควิด-19 ระบาด)

เซนทรัลพาร์คมีม้าหมุน 4 ตัวที่แตกต่างกัน โดยม้าหมุนตัวแรกได้ให้บริการจนถึงปี ค.ศ. 1924 ใช้แรงลากจากม้าและลาที่ถูกฝึกอย่างดีและซ่อนตัวในช่องด้านล่างของตัวม้าหมุน ขณะที่อีก 2 ตัวที่ใช้พลังงานไอน้ำเป็นแรงหมุนได้ถูกไฟไหม้เสียหายใช้การไม่ได้ ส่วนตัวสุดท้ายเป็นการไปเอาม้าหมุนที่ถูกทิ้งจาก Coney Island มาทดแทน

จากสถิติที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวที่เล่นเครื่องเล่นม้าหมุนไม่ต่ำกว่า 250,000 คนต่อปี

เซนทรัลพาร์คในแผ่นฟิล์ม

ความสวย หลากหลาย และเป็นธรรมชาติของพื้นที่สีเขียวแห่งนี้ทำให้ไปปรากฎในภาพยนตร์และละครโทรทัศน์หลายเรื่องที่เราคุ้นหน้าคุ้นตา อาทิ Home Alone 2, Spider Man III, Avenger, Maid in Manhattan, Night at the Museum, when Harry met Sally, Love Story, Serendipity, Enchanted รวมถึงภาพยนตร์ไทยเรื่องกุมภาพันธ์

มีแถมนิดนึง รู้ไหมคะว่า เซนทรัลพาร์คนี่แหละที่ถูกใช้เป็นต้นแบบในการสร้างอุทยานจตุจักร สวนสาธารณะสำหรับประชาชนทั่วไปในกรุงเทพฯ อีกด้วย

แหล่งอ้างอิง

1. https://www.centralparktoursnyc.com/central-park-movie/

2. https://www.centralpark.com/things-to-do/attractions/bethesda-fountain/

3. https://www.nycgovparks.org/parks/central-park

4. https://www.nycgovparks.org/parks/central-park

เมืองนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา แค่พูดชื่อนี้ขึ้นมาภาพในหัวของหลายคนคงเห็นเป็นแสงสีเสียงตระการตา เพราะนิวยอร์กเปรียบเสมือนนครแห่งสีสัน เป็นเมืองใหญ่แห่งความทันสมัยที่เต็มไปด้วยตึกสูงมากมาย รับรองเลยว่าใครที่ชอบถ่ายรูปกับตึกสวยๆ รักการเที่ยวแบบสบายๆ สไตล์คนเมืองชิคๆ จะต้องหลงรักมหานครนิวยอร์กอย่างแน่นอน หากใครกำลังวางแผนไปเที่ยวนิวยอร์กบอกเลยว่าต้องรีบตามเอ็กซ์พีเดียมา เพราะเรามี 7 ย่านนิวยอร์กที่เพื่อนๆ ต้องไปเที่ยวให้ได้มาฝากกัน

นิวยอร์กซิตี้ มหานครแห่งแฟชั่น

อัพเพอร์ อีสต์ ไซด์
(Upper East Side)

ภาพจาก : iStockPhoto

ขอเริ่มกันที่อัพเพอร์ อีสต์ ไซด์บนเกาะแมนฮัตตันของนิวยอร์ก ใครเป็นแฟนซีรีส์เรื่อง Gossip Girl คงจะรู้จักอย่างดีว่าย่านนี้เป็นย่านของเหล่าไฮโซทั้งหลาย อาคารบ้านเรือนแต่ละหลังนั้นก็แพงๆ ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเมื่อเราไปเที่ยวนิวยอร์กทั้งทีก็ต้องแวะไปกันสัมผัสบรรยากาศกันสักหน่อย นอกจากเพื่อนๆ จะสามารถเดินเล่นชมอาคารสวยๆ ได้แล้ว บริเวณอัพเพอร์ อีสต์ ไซด์ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจมากมาย ทั้งฟิฟธ์อเวนิว (Fifth Avenue) ถนนแฟชั่นสำหรับเหล่านักช้อปที่มีร้านค้าแบรนด์เนมจำนวนมากให้เพื่อนๆ ได้ไปเดินเลือกซื้อกัน ส่วนใครที่รักงานอาร์ตก็อย่าลืมไปเที่ยวที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโปลิตัน (Metropolitan Museum of Art) หรือ The Met ที่จัดงาน Met Gala อันโด่งดังของสหรัฐอเมริกานั่นเอง ภายในมีงานศิลปะกว่าสองล้านชิ้นจากทั่วทุกมุมโลกให้เพื่อนๆ ได้ชม

อัพเพอร์ เวสต์ ไซด์
(Upper West Side)

ภาพจาก : iStockPhoto

ย่านถัดมาที่ต้องไปเมื่อไปเที่ยวนิวยอร์กคือ อัพเพอร์ เวสต์ ไซด์ ที่ตั้งอยู่ติดแม่น้ำฮัดสัน เป็นอีกหนึ่งย่านที่อยู่อาศัยสุดไฮโซ บริเวณนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจ ได้แก่ มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย (Columbia University) หนึ่งในมหาวิทยาลัยในกลุ่มไอวีลีก (Ivy League) อันโด่งดังที่มีชื่อเสียงระดับโลก แม้กระทั่งอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา ก็จบการศึกษามาจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียแห่งนี้ หลังจากนั้นให้แวะไปศูนย์แสดงศิลปะ ลินคอล์น เซ็นเตอร์ (Lincoln Center) ที่ภายในมีสถาบันศิลปะชื่อดังระดับโลกของนิวยอร์กมากมาย เช่น สถาบันจูลิอาร์ด (The Juilliard School) ซึ่งเป็นโรงเรียนการแสดงชื่อดัง ใครที่ชื่นชอบการชมงานศิลปะต้องประทับใจอย่างแน่นอน นอกจากนี้ บริเวณด้านนอกช่วงตอนกลางคืนยังมีการเปิดไฟ มีการแสดงน้ำพุที่สวยงาม เหมาะกับการไปเดินเล่นเป็นอย่างมาก แล้วไปปิดท้ายการเที่ยวนิวยอร์กย่านอัพเพอร์ เวสต์ ไซด์ด้วยพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอเมริกา (American Museum of Natural History) หนึ่งในพิพิธภัณฑ์ยอดนิยมของนิวยอร์กที่เป็นแรงบันดาลใจของภาพยนตร์เรื่อง Night at the Museum นั่นเอง

เซ็นทรัลพาร์ค
(Central Park)

ภาพจาก : iStockPhoto

คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเซ็นทรัลพาร์คเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คสำคัญของนิวยอร์ก สวนสาธารณะขนาดใหญ่แห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางนิวยอร์ก เปรียบเสมือนปอดและโอเอซิสของชาวนิวยอร์กนั่นเอง ที่นี่เป็นสถานที่ที่ชาวนิวยอร์กจะมาทำกิจกรรมต่างๆ เมื่อมีเวลาว่าง ทั้งเดินเล่น ออกกำลังกาย อาบแดด เดท และอีกมากมาย เซ็นทรัลพาร์คมีขนาดใหญ่ถึง 3.4 ตารางกิโลเมตร มีจุดไปท่องเที่ยวหลายจุด เช่น Sheep Meadow บริเวณลานกว้างสีเขียวที่มีฉากหลังเป็นตึกสูงมากมายของนิวยอร์ก หรือจะเป็น Bethesda Terrace กับ Bethesda Fountain จุดถ่ายภาพยนตร์ไทยชื่อดังเรื่องกุมภาพันธ์ นอกจากนี้หากใครไปเที่ยวนิวยอร์กกับเด็กๆ แล้วอยากพาไปเที่ยวสวนสัตว์ ที่เซ็นทรัลพาร์คก็มี Central Park Zoo ตั้งอยู่ภายในสวนอีกด้วย

มิดทาวน์ แมนฮัตตัน
(Midtown Manhattan)

ภาพจาก : iStockPhoto

ใครที่ตกหลุมรักแสงสีเสียงต้องไปเที่ยวที่ย่านมิดทาวน์ แมนฮัตตัน เพราะเป็นย่านการค้าที่พลุกพล่านมากที่สุดของสหรัฐอเมริกาและของโลก ไม่ว่าเพื่อนๆ จะอยู่มุมไหนของมิดทาวน์ก็จะพบเจอแต่ความครึกครื้น โดยเฉพาะที่ไทม์สแควร์ (Times Square) จุดสำคัญของแมนฮัตตันและศูนย์กลางของนิวยอร์ก รอบๆ ไทม์สแควร์นั้นเต็มไปด้วยร้านค้าและป้ายโฆษณาใหญ่โตสีสันสดใสมากมาย สะกดสายตาเราให้จับจ้องอยู่กับป้ายบนตึกสูง แหงนหน้ามองกันจนเมื่อยคอเลยทีเดียว นอกจากนี้หากใครอยากชมละครบรอดเวย์ ไม่ไกลจากไทม์สแควร์นั้นก็เป็นที่ตั้งของย่านโรงละคร (Theatre District) ที่เพื่อนๆ สามารถเดินหาละครบรอดเวย์ที่อยากชมกันได้เลย ส่วนใครอยากจะชมนิวยอร์กจากมุมสูง ขอแนะนำให้ไปที่ร็อคกี้เฟลเลอร์ เซ็นเตอร์ (Rockefeller Centre) เพราะเพื่อนๆ จะได้ชมเมืองนิวยอร์กจากชั้น 70 มองเห็นตึกเอ็มไพร์สเตต (Empire State) กันแบบชัดๆ เลย

เชลซี
(Chelsea)

ภาพจาก : iStockPhoto

เชลซีเป็นอีกย่านน่ารักของนิวยอร์ก ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกติดกับแม่น้ำฮัดสัน มีจุดเด่นอยู่ที่สวนสาธารณะไฮไลน์ (The High Line) สวนสาธารณะที่ได้รับการฟื้นฟูจากรางรถไฟร้างให้กลายเป็นสวนสาธารณะลอยฟ้าสุดอาร์ตริมแม่น้ำ หากใครมาเที่ยวนิวยอร์ก เราแนะนำให้ไปย่านนี้เพื่อชมวิถีชีวิตผู้คน ชมหนุ่มสาวชาวนิวยอร์กมาพักผ่อนหย่อนใจกันในสวนสาธารณะ จากนั้นห้ามพลาดไปเดินตลาดสุดเก๋ของนิวยอร์กที่มีชื่อว่าตลาดเชลซี (Chelsea Market) ที่ตั้งอยู่ในโรงงานโอรีโอเก่า ปัจจุบันได้รับการปรับปรุงมาเป็นตลาดเก๋ๆ มีทั้งเสื้อผ้า ของใช้ และของกินมากมายให้เพื่อนๆ ได้ไปเลือกซื้อกัน

โลเวอร์ แมนฮัตตัน
(Lower Manhattan)

ภาพจาก : iStockPhoto

ไปต่อกันที่ย่านโลเวอร์ แมนฮัตตันที่เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวนิวยอร์กมากมายเอาใจนักท่องเที่ยวหลายสาย ไม่ว่าจะเป็นสายช้อปที่โซโห (Soho) ย่านฮิปๆ ที่เต็มไปด้วยร้านอาหารน่าทาน ร้านเสื้อผ้าสวยๆ ก็มีให้เลือกซื้อมากมาย หลังจากนั้นไปต่อกันที่ย่านการเงินระดับโลกอย่างวอลล์สตรีท (Wall Street) ที่ตั้งของบริษัทการเงินชั้นนำของนิวยอร์ก รวมไปถึงตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก มีไฮไลท์เด็ดคือรูปปั้นกระทิง (Charging Bull) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของตลาดหุ้น เพื่อนๆ ยังสามารถขึ้นเรือไปชมเทพีเสรีภาพ (Statue of Liberty) ได้จากจุดนี้เช่นกัน จุดสุดท้ายคือบริเวณตึกวันเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ (One World Trade Center) ตึกที่สร้างขึ้นใหม่หลังจากตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์เดิมถูกทำลายลงไปนั่นเอง ใครที่ชื่นชอบการถ่ายภาพกับตึกสวยๆ แนะนำให้ไปเที่ยวที่ย่านโลเวอร์ แมนฮัตตันนี้ แล้วไปครีเอทท่าสวยๆ รอถ่ายรูปได้เลย

บรูคลิน
(Brooklyn)

ภาพจาก : iStockPhoto

สำหรับย่านสุดท้ายขอข้ามมานอกเกาะแมนฮัตตันไปที่บรูคลินกันบ้าง บรูคลินเป็นย่านที่มีประชากรค่อนข้างหนาแน่น เป็นที่ตั้งของสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นแลนด์มาร์กสำคัญของนิวยอร์กด้วย ซึ่งก็คือสะพานบรูคลิน (Brooklyn Bridge) นั่นเอง สะพานบรูคลินเป็นสะพานแขวนที่เก่าแก่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาที่นักท่องเที่ยวและคนในท้องถิ่นมักจะไปเดินเล่นเพื่อชมวิว ถ่ายรูป และนั่งซึมซับบรรยากาศอยู่ตลอดทั้งวัน นอกจากนี้บริเวณใกล้เคียงยังมีสวนสาธารณะสะพานบรูคลิน (Brooklyn ฺBridge Park) ให้เพื่อนๆ ได้ไปนั่งชมวิวชิลๆ ของแมนฮัตตันกันอีกด้วย บอกได้เลยว่าเวลาพระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้านั้นสวยสุดๆ ไปเลย เพราะไฟจากหลากหลายอาคารในแมนฮัตตันจะค่อยๆ เปิด จากเมืองที่มีตึกสูงสะท้อนกับแสงอาทิตย์ก็จะกลายเป็นเมืองที่ประดับประดาไปด้วยแสงไฟสวยงาม