Skip to content
Home » [Update] Bootstrapping วิธีสร้าง startup ที่โตแบบเต่าคลาน | ทํา อย่างไร ให้ ประสบ ความ สํา เร็ จ – NATAVIGUIDES

[Update] Bootstrapping วิธีสร้าง startup ที่โตแบบเต่าคลาน | ทํา อย่างไร ให้ ประสบ ความ สํา เร็ จ – NATAVIGUIDES

ทํา อย่างไร ให้ ประสบ ความ สํา เร็ จ: คุณกำลังดูกระทู้

ตุลาคม 1, 2019 | By Channarong Jansoe

การสร้าง startup ก็เหมือนกับการขี่จักรยาน คุณต้องใช้ความเร็วระดับหนึ่งเพื่อทำให้มันไปข้างหน้า แต่เมื่อใดก็ตามที่คุณรับเงินทุนจากนักลงทุน เมื่อนั้นจะมีนาฬิกามาคอยกดดันคุณ

Venture Capital เป็นหนึ่งในกลุ่มทุนที่ลงทุนในสตาร์ทอัพ ธุรกิจของพวกเขาคือนำเงินของนักลงทุนมาทำให้เติบโตโดยการลงทุนในธุรกิจตั้งใหม่ที่มีแนวโน้มไปได้สวย

Productivity ของพวกเขาคือการตัดสินใจ พวกเขาต้องทำทุกวิธีเพื่อให้แน่ใจว่าการลงทุนของเขาไม่ใช่สิ่งผิดพลาด ดังนั้นจึงไม่แปลกที่บางครั้ง VC จะคอยกดดันเหล่าผู้ก่อตั้งให้ทำตามที่พวกเขาต้องการ ไม่ว่าจะเป็นเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ เร่งขยายทีม เร่งขยายกิจการ นั่นก็เพราะพวกเขาเองก็โดนกดดันจากนักลงทุนเช่นกัน

โดยปกติสตาร์ทอัพจะยอมรับความกดดันเหล่านั้นเพื่อให้เข้าถึงเงินทุน คำแนะนำดีๆในการทำธุรกิจ คอนเนคชั่นเจ๋งๆที่สามารถต่อยอด แต่ก็มีผู้ก่อตั้งบางพวกที่ไม่สนใจจะขอทุนจาก VC

เราจะเรียกพวกนี้ว่า Bootstrapper 

Bootstrapper คือผู้ก่อตั้งที่สร้างสตาร์ทอัพโดยไม่อาศัยเงินทุนภายนอก (หรือใช้นิดเดียว) พวกเขาใช้ทุนตัวเองสร้างธุรกิจขึ้นมาและบริหารมัน การหาโมเดลธุรกิจที่ได้ผลเป็นงานแรกๆที่ต้องทำเพราะมันคือหนทางที่ทำให้มีกระแสเงินสดไหลเข้ามา นั่นหมายความว่าแหล่งเงินทุนหลักของพวกเขามาจาก “ลูกค้า”

ดังนั้นสำหรับ Bootstrapper ลูกค้าก็คือนักลงทุน

———-

ทุกคนสามารถใช้แนวทาง Bootstrapping ในการสร้างสตาร์ทอัพ แต่ Gennaro Cuofano ผู้สร้าง FourweekMBA บอกว่าไม่ใช่ทุกตลาดที่เหมาะกับ Bootstrapper 

ข้อจำกัดของพวกเขาคือเงินทุน พวกเขาจึงต้องโฟกัสไปยังตลาดที่เห็นชัดว่ามีลูกค้า การสร้างเทคโนโลยีขึ้นใหม่แล้วพยายามสร้างตลาดขึ้นมาเองอาจจะเหมาะกับสตาร์ทอัพที่ VC หนุนหลัง แต่ไม่ใช่กับ Bootstrapper

Cuofano แนะนำให้ใช้ตลาด 4 ประเภทของ Steve Blank เพื่อให้รู้ว่าตนเองควรโฟกัสไปที่ไหน

ตลาดแรกคือ Existing market ตลาดนี้มีลูกค้าที่ชัดเจนแต่ก็มีคู่แข่งมากมาย ลักษณะของตลาดนี้จะไม่มีเล่นรายใดที่โดดเด่นกว่าคนอื่นและไม่มีผู้ผูกขาด

Re-segmented market คือตลาดที่มีผู้เล่นรายใหญ่ผูกขาดอยู่ อาจจะ 1-2 ราย แต่ไม่ใช่ลูกค้าทุกคนที่พอใจกับบริการของรายใหญ่ ดังนั้นจึงมีช่องว่างให้เจาะ อย่างเช่น DuckDuckGo ที่ลงเล่นในตลาด Search Engine ที่มี Google คุมอยู่ พวกเขาสร้างจุดเด่นที่ Google ไม่มี โดยการเสนอ search engine ที่รักษาความเป็นส่วนตัว (Privacy) 

Clone market คือการก็อปปี้โมเดลธุรกิจที่ใช้ในตลาดหนึ่งไปใช้กับอีกตลาดหนึ่ง อย่างเช่นการก็อปปี้โมเดลของ Uber ไปใช้กับอุตสาหกรรมอื่น

New market จะเรียกว่า Blue Ocean ก็ได้เช่นกัน คุณอาจจะมีทางเลือกใหม่ในการแก้ปัญหา คุณอาจจะไม่มีคู่แข่งในตลาดนี้ แต่ขณะเดียวกันคุณก็มีปัญหาในการหาลูกค้า (นักลงทุน) ที่จะจ่ายเงินให้คุณอยู่รอด

Cuofano เห็นว่า New market และ Clone market ไม่เหมาะกับ Bootstrapper เพราะใน New market ลูกค้าอาจจะยังไม่มากพอที่จะจ่ายเงินให้คุณ ส่วน Clone market คุณอาจจะเจอกฎระเบียบในอีกอุตสาหกรรมเป็นอุปสรรคทำให้ต้องใช้เงินจำนวนมากในการแก้ปัญหา

เมื่อตัดสองตลาดนี้ไป โอกาสของ Bootstrapper จึงอยู่ใน Existing market และ Re-segmented market 

———-

-เรื่องราวการโตช้าๆของ JotForm-

สมมติว่าคุณจะเดินมาทางสาย Bootrapping สิ่งที่คุณต้องลืมไปเลยก็คือ “การโตอย่างรวดเร็ว” สตาร์ทอัพที่มี VC สนับสนุนสามารถที่จะพูดถึงการโตแบบ Hockey Stick Growth (คือการที่มีรายได้คงที่มาตลอดแล้วจู่ๆมันก็พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว)

แต่การโตของ Bootstrapper จะทำให้รู้สึกเหมือนเต่าคลาน

อย่างไรก็ตาม Aytekin Tank ผู้ก่อตั้ง JotForm บอกว่าตรงนี้แหละที่เป็นข้อดี 

JotForm เป็นสตาร์ทอัพสาย Bootstrapping ที่ให้บริการสร้างแบบฟอร์มบนเว็บไซต์ มีเทมเพลตให้เลือกเป็นร้อยแบบและมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ตลอดเวลา จุดเด่นที่ใครๆก็พูดถึงคือ ใช้งานง่ายสุดๆ

การบริการสร้างแบบฟอร์มบนเว็บไซต์ไม่ใช่ธุรกิจที่ต้องใช้ทุนเยอะ คู่แข่งสามารถเข้ามาในตลาดนี้ได้ง่าย ยักษ์ใหญ่อย่าง Google เองก็อยู่ในตลาดนี้ อย่างไรก็ตาม JotForm ก็ยังเติบโตมาตลอด

Tank ใช้แนวทาง Bootstrapping ก่อตั้ง JotForm มาตั้งแต่ปี 2006 มีจำนวนผู้ใช้โตขึ้นเรื่อยๆ จนปี 2018 มีผู้ใช้ถึง 4.2 ล้านคน มีพนักงานทั้งหมด 130 คน 

และเป็นสตาร์ทอัพที่มีกำไร 

นี่คือข้อดีข้อแรกของการโตแบบค่อยเป็นค่อยไป สตาร์ทอัพที่มี VC หนุนจะไม่สามารถวางแผนโตช้าได้ พวกเขาต้องลืมเรื่องการทำกำไรไปก่อนแล้วหันมาโฟกัสที่การขยายตัวอย่างรวดเร็ว แต่ชาว Bootstrapper ยังใช้หลักการธรรมดาๆ คือ “ใช้จ่ายให้น้อยกว่าที่หาได้” ด้วยวิธีนี้สตาร์ทอัพจะสามารถโตไปตามความเร็วที่ต้องการและผู้ก่อตั้งรวมถึงทีมงานก็นอนหลับสบาย

ความรู้สึกว่ามีเงินเหลือในมือทำให้ Tank ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน แม้แต่เรื่องการจ้างคนเข้ามาทำงาน Tank บอกว่าเขาจะจ้างคนเพิ่มต่อเมื่อบริษัทมีเงินในธนาคารพอจ่ายเป็นเงินเดือนทั้งปีให้กับพนักงานใหม่ การได้เงินจาก VC แล้วเร่งขยายทีมมีโอกาสที่จะเลือกคนผิดเข้ามาทำงานจนสุดท้ายต้องไล่ออกไป วงการสตาร์ทอัพถึงมีคำกล่าวที่ว่า “จ้างเร็ว ไล่ออกเร็วกว่า” สิ่งที่เขาต้องการคือ Right team ไม่ใช่ Right now team เขาต้องแน่ใจว่าคนที่เลือกเข้ามาต้องมีใจบริการลูกค้าและเป็นคนเก่ง

การบริหารคนเป็นงานที่ยาก ดังนั้นจึงเป็นการดีที่จะค่อยๆขยายทีม Tank บอกว่าการโตแบบช้าๆจะทำให้คุณรู้จักพนักงานทุกคน คุณจะเรียนรู้การจัดการและการกระตุ้นคนไปพร้อมพวกเขา

และสิ่งที่ชาว Bootstrapper ต้องการที่จะโตช้าคือ มันทำให้ลูกค้ามีความสุข การมี VC เข้ามาทำให้สตาร์ทอัพมีความรู้เชิงลึกต่อตัวลูกค้า แต่เมื่อเวลาผ่านไปพวกเขาอาจจะสับสนว่าสิ่งที่ทำอยู่เป็นความต้องการของลูกค้าหรือนักลงทุนกันแน่ แต่สำหรับ Bootstrapper แล้ว ลูกค้ากับนักลงทุนก็คือคนๆเดียวกัน การโฟกัสของพวกเขาจึงไม่เบี่ยงเบน

———-

ก่อนสร้างสตาร์ทอัพ Tank ทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์ 5 ปีในบริษัทสื่อแห่งหนึ่งในนิวยอร์ก เขาได้เรียนรู้มากมายจากที่นั่น ไม่ว่าจะเป็นการทำตามเป้า การทำงานร่วมกับผู้อื่น และยังเห็นปัญหาของการบริหารแบบจุกจิก (Micromanagement) เขานำประสบการณ์ทำงานทั้งหมดมาใช้ในการสร้าง JotForm

และนี่คือคำแนะนำของเขา

1) ทำงานประจำของคุณไปก่อน 

Tank บอกว่าอย่าประเมินประโยชน์ของการทำงานประจำต่ำไป คุณสามารถพัฒนาความสามารถและยังได้รับค่าตอบแทนจากงานนี้ มันจะสร้างประโยชน์ให้กับคุณเมื่อถึงเวลาที่คุณสร้างธุรกิจ Bootstrapper ส่วนมากก็ทดลองไอเดียของตัวเองระหว่างที่ทำงานประจำ พวกเขาจะออกจากงานเมื่อแน่ใจว่าไอเดียของพวกเขาใช้ได้ผลและไปได้ในระยะยาว

บิ๊กเนมอย่าง SpaceX, Apple, Product Hunt, Trello, WeWork, Craigslist และ Twitter ต่างก็ใช้แนวทางนี้เช่นกัน

2) เริ่มโปรเจ็คเล็กๆ 

Google มีนโยบายให้พนักงานใช้เวลาทำงาน 20% ไปกับการค้นหาและพัฒนาไอเดียใหม่ๆ นโยบายแบบนี้เราก็ควรเอามาปรับใช้เช่นกัน

Tank บอกว่าการทำโปรเจ็คเล็กๆสามารถช่วยเร่งจินตนาการของเรา เราจะไม่รู้สึกถึงแรงกดดันเพราะมันไม่มีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง เรามีอิสระเต็มที่ในการที่จะเล่น ค้นหา และเรียนรู้ สิ่งที่เราทำมันอาจจะดูบ้าๆ แต่บางครั้งความบ้าก็สามารถกลายเป็นธุรกิจได้

เราไม่ควรกลัวที่จะลงทุนเวลาและพลังงานกับสิ่งที่ทำให้เราตื่นเต้น เดินตามความอยากรู้อยากเห็นไปเรื่อยๆ และดูว่ามันจะพาไปจุดไหน อย่าเพิ่งไปโฟกัสถึงผลลัพธ์หรือว่าเราจะได้อะไรจากการทำสิ่งนี้ 

แค่เริ่มทำก็พอ

3) แบ่งปันสิ่งที่คุณสร้างให้คนอื่นได้เห็น

แม้สิ่งนั้นยังไม่เสร็จหรือยังอีกนานกว่าจะพร้อมเปิดตัว คุณก็ยังจำเป็นต้องแชร์ไอเดียของคุณ ทำให้ผู้คนเห็นว่ามันทำงานยังไง พาพวกเขาให้เข้ามาเห็นการเบื้องหลังการทำงานของคุณ นี่เป็นกลยุทธ์ที่ Tank ใช้ในการหาลูกค้า 1,000 คนแรก

มีวิธีแบ่งปันไอเดียหลายแบบที่ไม่แพง ลองเลือกแพลตฟอร์มที่คุณชอบ มันอาจจะเป็น Youtube, Instragram, Podcast ส่วน Tank ใช้วิธีเขียนบล็อกใน Medium

การแบ่งปันจะช่วยให้คุณมี “ผู้ชม” มันเป็นวิธีที่ทำให้คนเดินเข้ามาหาคุณเอง นี่คือกลุ่มลูกค้าที่เปิดรับคุณอย่างเต็มที่ รวมทั้งเป็นลูกค้าที่มีศักยภาพที่สุดของคุณด้วย การแบ่งปันยังช่วยให้คุณกลั่นกรองไอเดียของคุณ การอธิบายสิ่งที่ทำเป็นเหมือนการทบทวนไปในตัว มันเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการอุดช่องว่างความรู้ของคุณ และการแบ่งปันยังทำให้เกิดความเชื่อใจ เมื่อคุณพาผู้คนไปเห็นสิ่งที่คุณทำ พวกเขาจะรู้จักคุณ พวกเขาจะรู้สึกว่าได้ลงทุนลงแรงไปกับคุณ พวกเขาจะเห็นประโยชน์ที่คุณสร้างและติดตามคุณไปเรื่อยๆ

4) โฟกัสที่ปัญหา ไม่ใช่ Passion 

Tank เห็นตรงข้ามกับคำพูดส่วนใหญ่ที่ว่า Passion สำคัญที่สุด เขาเห็นว่าสิ่งที่ผลักดันสตาร์ทอัพคือ การแก้ปัญหาต่างหาก

Paul Graham กล่าวว่า ไอเดียธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดมี 3 องค์ประกอบคือ “มันเป็นสิ่งที่ผู้ก่อตั้งต้องการสร้าง” “มันเป็นสิ่งที่ผู้ก่อตั้งสามารถสร้างได้” และ “มีคนไม่กี่คนที่เห็นว่ามันมีค่าที่จะทำ”

Tank สร้าง JotForm เพื่อกำจัดปัญหาจุกจิกในช่วงที่ทำงานในบริษัทสื่อ ย้อนกลับไปช่วงปลายปี 90 การสร้างฟอร์มบนเว็บไซต์เป็นเรื่องน่ารำคาญและใช้เวลานาน ดังนั้นเขาเลยนึกเครื่องมือที่สามารถ “ลากแล้ววาง” ที่ใครๆก็สามารถใช้ได้ เขารู้ว่าผู้คนต้องการสิ่งๆนั้น เพราะมันแก้ปัญหาที่เผชิญอยู่ทุกวันได้

5) ดูแลผลิตภัณฑ์อย่างใกล้ชิด 

การใช้สิ่งที่คุณสร้างสามารถที่จะเป็นตัวเปลี่ยนเกมการแข่งขัน เมื่อผลิตภัณฑ์หรือบริการถูกส่งออกไป มันเป็นเรื่องสำคัญมากที่จะต้องดูแลอย่างใกล้ชิด ไม่ใช่แค่ให้ลูกค้าใช้เท่านั้น คุณเองก็ต้องใช้มัน บริโภคมัน สั่งมัน และขุดลงไปให้ลึกถึงรายละเอียด

เมื่อคุณใช้ของที่คุณสร้าง คุณก็จะได้รับประสบการณ์แบบเดียวกับที่ลูกค้าได้รับ มีปัญหาไม่กี่อย่างเท่านั้นที่ได้รับการแก้ปัญหาครั้งเดียวแล้วหายเป็นปลิดทิ้ง สตาร์ทอัพจึงไม่สามารถอยู่เฉยๆ ได้ พวกเขาต้องพัฒนาตัวเองไปตามความต้องการ วัฒนธรรม และตลาด

การที่คุณลงลึกถึงปัญหาตลอดเวลาจะทำให้ธุรกิจของคุณดูสดใหม่และมีชีวิตชีวาเสมอ

———-

แม้เรื่องราวของ JotForm จะทำให้รู้สึกว่าสตาร์ทอัพสายนี้ไม่จำเป็นต้องรับเงินทุนจาก VC แต่ใช่ว่า Bootstrapper จะไม่รับเงินจาก VC เด็ดขาด

ข้อจำกัดของ Bootstrapper คือไม่สามารถโตแบบก้าวกระโดด (Scale) แต่เงินและเครือข่ายของ VC สามารถทำได้ 

และจุดที่เหมาะที่สุดที่จะร่วมมือกับ VC ก็คือตอนที่ต้องการขยายตัวอย่างรวดเร็วนี่แหละ 

แน่นอนว่าการรับเงินทุนจาก VC ต้องยอมเสียอำนาจบริหารไปบางส่วน แต่การที่คุณใช้แนวทาง Bootstrapping มาถึงจุดที่เรียกว่ามีสินค้าตอบโจทย์และมีตลาดรองรับ (Product/Market Fit) ก็ถือว่าผ่านบททดสอบที่ยากที่สุดในฐานะผู้ประกอบการมาแล้ว ดังนั้นคุณจึงมีโอกาสที่จะได้รับข้อเสนอที่ดี่ที่สุดที่สามารถรักษาทุนและอำนาจบริหารในแบบที่คุณต้องการได้

มันขึ้นอยูกับการประเมินสถานการณ์ของคุณว่าคุณมองตลาดแบบไหน ถ้าการแข่งขันยังเป็นแบบเดิม คุณก็ยังใช้แนวทาง Bootstrapping ต่อไปได้

แต่ถ้าตลาดเปลี่ยนไป มันก็อาจจะถึงเวลาที่จะต้องร่วมมือกับ VC เพื่อรักษาตำแหน่งและฉีกหนีคู่แข่ง

หรือ

คุณก็ยังไม่สนใจ VC เหมือนเดิมแล้วมองหาตลาดใหม่ที่มีความเฉพาะทางที่ยังไม่มีใครสนใจต่อไป

———-

ข้อมูลอ้างอิง

https://fourweekmba.com/bootstrapping-business/

https://www.jotform.com/bootstrapping/

[Update] สรุปหนังสือ “ลงทุนเปลี่ยนชีวิต” | ทํา อย่างไร ให้ ประสบ ความ สํา เร็ จ – NATAVIGUIDES

หนังสือเล่มล่าสุดของคุณวิบูลย์ พึงประเสริฐ ที่บอกเล่าแนวคิดการลงทุนพื้นฐาน วิธีการลงทุนให้รวยได้แม้ไม่ได้มีมรดก รวมไปถึงแนะนำหนังสือที่นักลงทุน VI ควรอ่านกัน เป็นหนังสือที่อ่านง่าย ให้เราได้คิดตามถึงวิธีการลงทุน เพื่อเอาไปปรับใช้ แต่จะไม่ได้ลงรายละเอียดเชิงลึกของการลงทุนแต่ละแบบมากนัก หนังสือเล่มนี้จะแบ่งเป็น 5 ภาค คือ

ภาค 1 เคล็ดลับเซียนหุ้น
ภาค 2 รวยได้ไม่ง้อมรดก
ภาค 3 ลงทุนเปลี่ยนชีวิต
ภาค 4 อาหารสมองของนักลงทุน
ภาค 5 ข้อคิดส่งท้าย
.
อยากจะแชร์ข้อคิดที่ผมได้จากหนังสือเล่มนี้นะครับ ถึงแม้ว่าฟังดูง่ายแต่เวลาทำจริงมันกลับยาก และเป็นเรื่องแปลกเพราะแค่เราทำเรื่องง่าย ๆ เหล่านี้แบบสม่ำเสมอ ก็จะทำให้เราประสบความสำเร็จในการลงทุนและมีความสุขกับชีวิตได้มากขึ้น ถ้าพร้อมแล้ว ผมจะเล่าให้ฟัง
.
1) อย่าถามเซียนว่า ช่วงนี้ซื้อหุ้นอะไรดี เพื่อที่จะได้ซื้อตาม แต่ควรถามว่า หุ้น xxx ดีไหม เป็นอย่างไร มีหลักการคิดอย่างไร
.
2) ควรเลิกให้ความสำคัญกับทิศทางตลาดหุ้น แต่ให้หันมาสนใจกับทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทที่เราสนใจจะดีกว่า มีเซียนบางคนกล่าวว่า ผมจะรู้ว่าตลาดหุ้นจะขึ้นหรือลงก็ต่อเมื่อมันเปิดตลาดในตอนเช้าแล้วเท่านั้น
.
3) สรุปหลักการลงทุนแบบเน้นคุณค่าในประโยคเดียว คือ “ซื้อหุ้นในธุรกิจที่เข้าใจ ราคาต่ำกว่ามูลค่า ผู้บริหารไว้ใจได้ และถือไว้ตราบเท่าที่บริษัทมีผลประกอบการที่ดี”
.
4) ถ้าคิดผิดในการลงทุน การขายหุ้นออกไป ไม่ว่าจะขาดทุนเท่าไหร่ ก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดี หลายครั้งที่คนส่วนใหญ่มักไม่อยากขายขาดทุน มักจะอยากรอให้กลับมาเท่าทุนก่อนถึงจะทำใจได้ แต่ในความเป็นจริงราคามันไม่กลับมาถ้าพื้นฐานเปลี่ยนไปอย่างถาวร
.
5) การเปลี่ยนจากหุ้นไม่มีอนาคตไปเป็นบริษัทที่ดีกว่าเป็นทางเลือกหนึ่งของคนติดหุ้น แต่ต้องมั่นใจว่าดีกว่าไม่งั้นจะขายหมูไปซื้อควายแทน
.
6) แม้เราจะทำกำไรได้จากตลาดหุ้น แต่เรากลับเสียใจเมื่อเห็นคนอื่นได้กำไรมากกว่า เพราะเราติดกับดักของความโลภ จนทำให้เราเข้าไปซื้อเพิ่มด้วยความมั่นใจในจุดที่สูงสุด แล้วสุดท้ายเราก็จะพบกับหายนะเมื่อฟองสบู่ก้อนนั้นแตกออกมา เหมือนกับที่เซอร์ ไอแซคนิวตัน ได้ประสบมา โดยเขาถึงกับพูดว่า “ข้าพเจ้าสามารถคำนวณการเคลื่อนที่ของเทหวัตถุในท้องฟ้าได้ แต่ไม่สามารถพยากรณ์ความบ้าคลั่งของฝูงชนได้”
.
7) นักลงทุนสามารถทำผิดพลาดได้ แต่ต้องนำมาเป็นบทเรียนไม่ให้ผิดซ้ำสอง แม้แต่บัฟเฟตเองก็ยอมรับว่าเคยทำผิดพลาด (เช่น การลงทุนในเทสโก้) และก็ไม่อายที่จะเขียนเรื่องความผิดพลาดในรายงานประจำปี เพื่อให้ทุกคนได้เรียนรู้กัน
.
8) บัฟเฟตไม่เคยทำผลตอบแทนได้ปีละ 100% แต่เค้าทำได้ปีละประมาณ 20% ต่อเนื่องเป็นระยะเวลาหลายสิบปีเท่านั้นเอง
..
===========================
.
** หลักการรวยได้ ไม่ง้อมรดก **
.
ข้อ 1 ทำงานเก็บเงินอย่างมีวินัย
.
1.1 ได้เงินเดือนมาให้หักเข้าบัญชี เก็บไว้ก่อนที่จะใช้จ่าย เป็นหลักจิตวิทยาที่ว่า ถ้าเราไม่รู้ว่ามีเงิน เราจะไม่ใช้เงิน (เหมือนที่เราโดนหักภาษี หรือประกันสังคม) ถ้าจะให้ดีเก็บให้ได้ 50% ของเงินเดือน
.
1.2 ตัดลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ทำบันทึกไว้ว่าแต่ละวันใช้จ่ายอะไรบ้าง แยกให้ออกระหว่างของที่จำเป็นกับของที่ไม่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็น ค่ากาแฟแก้วละร้อย ค่าเสื้อผ้าแพง ๆ ค่ารองเท้า ค่ากระเป๋า เราควรหยุดความอยากได้ในระยะสั้น เพื่อบรรลุเป้าหมายในระยะยาว
.
ให้ยึดหลักการของโรเบิร์ต คิโยซากิ ผู้แต่งหนังสือพ่อรวยสอนลูก ที่บอกว่า บ้านหรือรถยนต์เป็น “หนี้สิน” ไม่ใช่ “ทรัพย์สิน” เพราะเราต้องจ่ายเงินออกไปทุกเดือนเพื่อผ่อนหรือซ่อมบำรุง ทรัพย์สินที่แท้จริงต้องนำเงินเข้ากระเป๋าเรา ไม่ใช่ไหลออก
.
1.3 ตั้งเป้าหมายการออม ให้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรแล้วคอยตรวจสอบว่าทำได้แค่ไหนแล้ว
..
ข้อ 2 หาความรู้ในการลงทุนระหว่างที่เก็บเงิน ไม่ว่าจะเป็นอ่านหนังสือ เข้าอบรม เข้ากลุ่มนักลงทุน
..
ข้อ 3 นำเงินไปลงทุนระยะยาว เพื่อผลตอบแทนชนะเงินฝาก อาจจะผ่านการลงทุนด้วยตัวเอง หรือผ่านมืออาชีพอย่างกองทุนรวมก็ได้
.
หัวใจสำคัญก็คือ ความอดทนให้เห็นผลลัพธ์จากการลงทุนที่ต้องใช้เวลาพอสมควร
.
** 10 หนังสือที่ VI ต้องอ่าน **
.
เล่มที่ 1 : The Intelligent Investor
เล่มที่ 2 : Common Stocks and Uncommon Profits
เล่มที่ 3 : Once Up on Wall Street
เล่มที่ 4 : Berkshire Hathaway Letters to Shareholders
เล่มที่ 5 : The Warren Buffett Way
เล่มที่ 6 : Value Investing : From Graham to Buffett and Beyond
เล่มที่ 7 : Buffettology
เล่มที่ 8 : The Alchemy of Finance
เล่มที่ 9 : The Most Important Thing Illuminated
เล่มที่ 10 : The Little Book of Value Investing
.
** ข้อคิดส่งท้าย **
.
พี่วิบูลย์บอกว่า นักลงทุนจำนวนมากเข้ามาในตลาดหุ้นเพราะต้องการ “ร่ำรวย” แต่ในชีวิตของคนเรามันมีสิ่งที่สำคัญมากกว่า “เงิน” นั่นก็คือ “สุขภาพ ครอบครัว มิตรภาพ และความสงบในจิตใจ”
.
ทราบมั้ยครับว่าทำไม ปีเตอร์ ลินซ์ ผู้จัดการกองทุนที่ทำผลตอบแทนได้อย่างยอดเยี่ยมถึงปีละกว่า 30% อย่างต่อเนื่องเป็นสิบปี ถึงได้เกษียณตัวเองตั้งแต่ยังไม่แก่ เพราะว่าเค้าทำงานหนักมาก ตื่นเช้ากลับบ้านดึกดื่น บินไปต่างประเทศเป็นเวลานาน ๆ
.
จนวันนึงเมื่อเขากลับมาถึงบ้าน ลูกสาวได้ถามแม่ว่า
“แม่คะ ผู้ชายคนนั้นคือใครคะ”
.
เพราะฉะนั้นอย่ามัวแต่มุ่งหาเงินพียงอย่างเดียว ถ้าคุณต้องสูญเสียสิ่งอื่น ๆ ไป เงินที่คุณหามาได้ ถึงมันจะมากแค่ไหน ก็คงไม่คุ้มกัน 


ตั้งเป้าหมายด้านการเรียนยังไงให้สำเร็จ


วิธีการตั้งเป้าหมายด้านการเรียนให้ประสบควาสำเร็จ และเรียนเก่งมากขึ้น 🏆
ทุกการสอบทุกเกรดที่มายด์ได้มาจากการตั้งเป้าหมาย
ไม่มีเกรด 4.00 หรือสอบได้ที่ 1 อันไหนที่มายด์ไม่ได้ตั้งเป้าเอาไว้ 🥇
เหตุผลที่มายด์ได้ก็เพราะมายด์ตั้งใจจริง ๆ และตั้งเป้าหมายที่วัดผลได้เท่านั้น
ไม่มีความบังเอิญแค่อ่านหนังสือหนักไปวัน ๆ แล้วจู่ ๆ ก็จะได้มา
\”ทุกอย่างต้องตั้งเป้าหมายก่อนเสมอ\” 🎯
“All successful people have a goal. No one can get anywhere unless he knows where he wants to go and what he wants to be or do. ” —Norman Vincent Peale
ทุกคนที่ประสบความสำเร็จล้วนมีเป้าหมาย ไม่มีใครที่ไปถึงไหนยกเว้นว่าเขารู้ว่าเขาต้องการไปที่ไหน เขาต้องการเป็นหรือทำอะไร
ตั้งเป้าหมายในการเรียน เป้าหมาย ตั้งเป้าหมาย MadeMindDay
= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =
⭐️ รวมเครื่องมือช่วยพัฒนาตัวเอง https://bit.ly/34p9i1f
📖 ติดตามเทคนิคการเรียน และการเรียนหมอได้ที่ http://bit.ly/2GXFuNn
📚 ติดตามคอร์สเรียนออนไลน์ แนะนำแอปได้ที่ https://mademindday.com
🥰 ปรึกษาปัญหาการเรียนหรืออื่น ๆ [email protected]
💼 For work: [email protected]

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูเพิ่มเติม

ตั้งเป้าหมายด้านการเรียนยังไงให้สำเร็จ

วิธีคิดที่ทำให้ชีวิตของท่านประสบความสำเร็จยอดเยี่ยมแตกต่างจากคนอื่น


http://Kamolwech.com/mab
กมลเวชถ่ายทอดหลักการที่มนุษย์ทุกคนควรจะได้เรียนรู้ เพื่อสร้างความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ระยะยาวให้กับชีวิตของเขา
~~~~~~~~~
ดูวีดีโอนี้ดีสุดๆ: \”(3) 5 เคล็ดลับจับธุรกิจอะไรก็สำเร็จ [ขั้นตอน\u0026amp;แรงบันดาลใจความสำเร็จ] \”
https://www.youtube.com/watch?v=mwvR80MQHic
~~~~~~~~~

วิธีคิดที่ทำให้ชีวิตของท่านประสบความสำเร็จยอดเยี่ยมแตกต่างจากคนอื่น

เป้าหมายชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ทำอย่างไรให้ไปถึงเป้าหมายนั้น AD


หลายคนอยากจะประสบความสำเร็จในชีวิต แต่จะมีซักกี่คนที่สามารถบอกได้ว่า “ประสบความสำเร็จ” ในชีวิตของตัวเองนั้นมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร…??? เพื่อให้ทุกคนเข้าใจความหมาย คลิปนี้ผมเลยอยากจะอธิบายเรื่องเป้าหมายชีวิตครับ
BT50ProThunder MazdaThailand Mazda

เป้าหมายชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ทำอย่างไรให้ไปถึงเป้าหมายนั้น AD

หากคุณอยาก ประสบความสำเร็จ…


มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับนักกีฬาระดับโลก
It’s about a world champion athlete

FOLLOW ME ON:
Facebook: https://www.facebook.com/SeanBuranahiran
Instagram: https://www.instagram.com/sean_buranahiran

หากคุณอยาก ประสบความสำเร็จ...

ธุรกิจเครือข่าย : 7 ความลับเทคนิคทำธุรกิจเครือข่ายให้ประสบความสำเร็จ


http://MLMOnlineSchool.com กมลเวชแบ่งปัน 7 ความลับ เทคนิคทำธุรกิจเครือข่ายให้สำเร็จ
~~~~~~~~~
ดูวีดีโอนี้ดีสุดๆ: \”(3) 5 เคล็ดลับจับธุรกิจอะไรก็สำเร็จ [ขั้นตอน\u0026amp;แรงบันดาลใจความสำเร็จ] \”
https://www.youtube.com/watch?v=mwvR80MQHic
~~~~~~~~~

ธุรกิจเครือข่าย : 7 ความลับเทคนิคทำธุรกิจเครือข่ายให้ประสบความสำเร็จ

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูบทความเพิ่มเติมในหมวดหมู่LEARN TO MAKE A WEBSITE

ขอบคุณที่รับชมกระทู้ครับ ทํา อย่างไร ให้ ประสบ ความ สํา เร็ จ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *