Skip to content
Home » [Update] Adjectives(คำคุณศัพท์) | adjectives คำ คุณศัพท์ – NATAVIGUIDES

[Update] Adjectives(คำคุณศัพท์) | adjectives คำ คุณศัพท์ – NATAVIGUIDES

adjectives คำ คุณศัพท์: นี่คือโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้

Adjectives
Adjectives คือ คุณศัพท์ หมายถึง คำที่ไปทำหน้าที่ขยายนามหรือสรรพนาม (ขยายสรรพนามต้องอยู่หลังตลอดไป) เพื่อบอกให้รู้ลักษณะคุณภาพ หรือคุณสมบัติของนามหรือสรรพนามนั้นว่า เป็นอย่างไร ได้แก่คำว่า

good ดี
bad เลว
tall สูง
dirty สกปรก
wise ฉลาด
red แดง
fat อ้วน
thin ผอม
this นี้
those เหล่านั้น
short สั้น
white ขาว

ชนิดของ Adjective
Adjective ในภาษาอังกฤษแบ่งออกเป็น 11 ชนิด คือ
1. Descriptive Adjective คุณศัพท์บอกลักษณะ
2. Proper Adjective คุณศัพท์บอกสัญชาติ
3. Quantitative Adjective คุณศัพท์บอกปริมาณ
4. Numbearl Adjective คุณศัพท์บอกจำนวนแน่นอน
5. Demonstrative Adjective คุณศัพท์ชี้เฉพาะ
6. Interrogative Adjective คุณศัพท์บอกคำถาม
7. Possessive Adjective คุณศัพท์บอกเจ้าของ
8. Distributive Adjective คุณศัพท์แบ่งแยก
9. Emphaszing Adjective คุณศัพท์เน้นความ
10. Exclamatory Adjective คุณศัพท์บอกอุทาน
11. Relative Adjective คุณศัพท์สัมพันธ์
1. Descriptive Adjective คือ “คำคุณศัพท์บอกลักษณะ” หมายถึง คำที่ใช้ลักษณะหรือคุณภาพของคนสัตว์ สิ่งของและสถานที่เพื่อให้รู้ว่า นามนั้นมีลักษณะอย่างไร ได้แก่คำว่า
good, bad, tall, shot, black, fat, thin, fat, thin, clever, foolish, poor, rich, brave, cowardly, pretty, agly, happy, sorry, etc.
ตัวอย่างเช่น :
The rich man lives in the big house. (คนรวยอาศัยอยู่บ้านหลังใหญ่)
A clever pupil can answer the difficult problem. (นักเรียนที่ฉลาดสามารถตอบปัญหายากได้)
The black cat cuagh a smail bird. (แมวดำตัวนั้นจับนกได้)
ข้อสังเกต : rich, big, clever, difficult, black และ small เป็นคุณศัพท์บอกลักษณะ
2. Proper Adjective คือ “คุณศัพท์บอกสัญชาติ” หมายถึง คำที่ไปขยายนามเพื่อบอกสัญชาติ ซึ่งอันที่จริงมีรูปเปลี่ยนมาจาก Proper noun นั่นเอง ได้แก่
Proper Noun
(เป็นนามเฉพาะ) Proper Adjective
(เป็นคุณศัพท์บอกสัญชาติ) คำแปล

England English อังกฤษ, คนอังกฤษ
America American อเมริกา, คนอเมริกัน
Thailand Thai ไทย, คนไทย
India Indian อินเดีย, คนอินเดีย
Germany German เยอรมัน, คนเยอรมัน
Italy Italian อิตาลี, คนอิตาเลี่ยน
Japan Japanese ญี่ปุ่น, คนญี่ปุ่น
China Chinese จีน, คนจีน
ตัวอย่างเช่น :
John employs a chinese cook. (จอห์นจ้างพ่อครัวชาวจีนคนหนึ่ง)
Do you learn French literature? (คุณเรียนวรรณคดีฝรั่งเศสหรือ)
The English language is used by every nation. (ภาษาอังกฤษใช้ในทุกประเทศ)
ข้อสังเกต : Chinese, French, English เป็นคำคุณศัพท์บอกสัญชาติ
3. Quantitive Adjective คือ “คำคุณศัพท์บอกปริมาณ” หมายถึง คำที่ไปขยายนาม เพื่อบอกให้ทราบปริมาณของสิ่งเหล่านั้นว่า มีมากหรือน้อย (แต่ไม่บอกจำนวนแน่นอน)ได้แก่ much, many, little, some, any, enough, half, great, all, whole, sufficent, etc.

He ate much rice at school yesterday.
(เขากินข้าวมากที่โรงเรียนเมื่อวานนี้)
Linda did not give any money to her younger brother.
(ลินดาไม่ได้ให้เงินแก่น้องชายของหล่อน)
Take great care of your health.
(เอาใจใส่ต่อสุขภาพของคุณให้มากหน่อย)
ข้อสังเกต : much, any, great ในประโยชน์ทั้ง 3 เป็นคำคุณศัพท์บอกปริมาณ
4. Numberal Adjective คือ “คำคุณศัพท์บอกจำนวนแน่นอน” หมายถึง คำที่ไปขยายนาม เมื่อบอกจำนวนแน่นอนของนามว่ามีเท่าไหร่ แบ่งเป็นชื่อย่อยได้ 3 ชนิด คือ
4.1 Cardinal Numberal Adjective คือ คุณศัพท์ที่ใช้บอกจำนวนนับที่แน่นอนของนาม ได้แก่
one, two, three, four, five, six, seven, etc.
ตัวอย่างเช่น :
She gave me two apples and three organes.
(หล่อนให้แอปเปิ้ลสองผล และส้มสามผลแก่ฉัน)
Bill wants to buy seven pens.
(บิลต้องการซื้อปากกาเจ็ดด้าม)
ข้อสังเกต : two, three, seven เป็นคุณศัพท์บอกจำนวนแน่นอนวางไว้หน้านาม
4.2 Ordinanal Numberal Adjective คือ “คำคุณศัพท์ที่ใช้ขยายนามเพื่อบอกลำดับที่ของนามนั้นๆ ได้แก ่
first, second, third, fifth, sixt, seventh, etc.
ตัวอย่างเช่น :
Tom is the first boy to be rewarded in this school.
(ทอมเป็นเด็กคนแรกที่ได้รับรางวัลในโรงเรียนนี้)
Sam won the third prize last month and the second one last week.
(แซมได้รับรางวัลที่ 3 เมื่อเดือนที่แล้ว และสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้รับรางวัลที่ 2)
I am the seventh son of my family.
(ฉันเป็นลูกคนที่ 7 ของครอบครัว)
ข้อสังเกต : first, third, second, seventh เป็นคุณศัพท์บอกลำดับที่วางไว้หน้านาม
4.3 Mutiplicative Adjective คือ “คุณศัพท์บอกจำนวนทวีของนาม” ได้แก่ double, triple, fourfold
ตัวอย่างเช่น :
Some roses are double.
(ดอกกุหลาบบางดอกก็มีกลีบ 2 ชั้น)
Buddha, Dhamma, and Sangha are triple gems.
(พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ คือแก้ว 3 ประการ)
ข้อสังเกต : double, triple, เป็นคำคุณศัพท์บอกจำนวนทวีของนาม
5. Demonstrative adjective คือ คุณศัพท์ชี้เฉพาะหรือนิยมคุณศัพท์หมายถึง คําที่ชี้เฉพาะให้กับนามใดนามหนึ่ง ได้แก่ this, that (ใช้กับนามเอกพจน์), these ,those (ใช้กับนามพหูพจน์) such, same

ตัวอย่างเช่น:
I invited that man to come in.
(ฉันได้เชิญผู้ชายคนนั้นให้เข้ามาข้างใน)
Jan hated such things because they made her ill.
(แจนเกลียดสิ่งเหล่านั้นเพราะมันทําให้เธอไม่สบาย)
They said the same thing two or three times.
(พวกเขาพูดถึงสิ่งเดียวกันนี้2หรือ3ครั้งแล้ว)
ข้อสังเกต: that,such,same เป็นคุณศัพท์ชี้เฉพาะวางไว้หน้านาม
6.interrogative adjective คือ คุณศัพท์บอกคําถามหมายถึง คุณศัพท์ที่ใช้ขยายนามเพื่อให้เป็นคําถามโดยจะวางไว้ ต้นประโยคและมีนามตามหลังเสมอ ได้แก่ what, which, whose

ตัวอย่างเช่น:
What book is he reading in the room?
(เขากําลังอ่านหนังสืออะไรอยู่ในห้อง)
Which way shall we go?
(เราจะไปทางไหนกันนี่?)
Whose shoes are these?
(รองเท้านี้เป็นของใคร)
ข้อสังเกต: what,which,whose เป็นคุณศัพท์บอกคําถามอยู่หน้าประโยค
7. Possessive adjective คือ คุณศัพท์บอกเจ้าของหรือสามีคุณศัพท์ หมายถึง คําคุณศัพท์ที่ใช้ขยายนามเพื่อบอกความเป็นเจ้าของของนาม ได้แก่ my,our,your,his,her,itsและtheir
ตัวอย่างเช่น :
This is my table.
(นี่คือโต๊ะของฉัน)
Her pen is on my desk.
(ปากกาของหล่อนอยู่บนโต๊ะฉัน)
Our nation needs solidarity.
(ชาติของเราต้องการความสามัคคี)
Their parents work hard every day.
(พ่อแม่ของพวกเขาทํางานหนักทุกวัน)
ข้อสังเกต : my, her, our, their เป็นคุณศัพท์บอกเจ้าของวางไว้หน้านาม
8. Distributive คือ คุณศัพท์แบ่งแยก หมายถึง คําคุณศัพท์ที่ไปขยายนาม เพื่อแยกนามออกจากกันเป็น อันหนึ่ง หรือส่วนหนึ่งได้แก่ each(แต่ละ), every(ทุกๆ), either(ไม่อันใดก็อันหนึ่ง), neither(ไม่ทั้งสอง)
ตัวอย่างเช่น :
The two men had each a gun.
(ชายสองคนนี้มีปืนคนละกระบอก)
Every soldier is punctually in his place.
(ทหารทุกคนเข้าประจําที่ของตัวตรงเวลาดี)
Either side is a narrow lane.
(ไม่ข้างใดก็ข้างหนึ่งเป็นซอยแคบ)
Neither accusation is true.
(ข้อกล่าวหาทั้งสองข้อไม่เป็นความจริง)
ข้อสังเกต: each,every,either,neither เป็นคุณศัพท์แบ่งแยกมาขยายนาม
9. Emphasizing Adjective คือ คุณศัพท์เน้นความ หมายถึงคุณศัพท์ที่ใช้ขยายนามเพื่อเน้นความให้มีนำหนักขึ้น ได้แก่ own(เอง),very(ที่แปลว่า นั้น,นั้นเอง,นั้นจริงๆ)
ตัวอย่างเช่น:
Linda said that she had seen it with her own eyes.
(ลินดาพูดว่าหล่อนได้เห็นมันมากับตาเธอเอง)
He is the very man who stole my wrist watch last night.
(เขาคือชายคนนั้นผู้ซึ่งได้ขโมยนาฬิกาข้อมือของฉันไปเมื่อคืนนี้)
Jean is my own girl-friend.
(จีนคือแฟนผมเอง)
ข้อสังเกต : own,very เป็นคุณศัพท์เน้นความขยายนามที่ตามหลังให้มีนําหนักขึ้น
10. Exclamatory Adjective คือ คุณศัพท์บอกอุทาน หมายถึง คุณศัพท์ที่ใช้ขยายเพื่อให้เป็นคําอุทาน ได้แก่ what
ตัวอย่างเช่น:
What a man he is!
(เขาเป็นผู้ชายอะไรนะเนี่ย!)
What an idea it is!
(มันเป็นความคิดอะไรกันหนอ!)
What a piece of work he does!
(เขาทํางานได้เยี่ยมจริงๆ!)
ข้อสังเกต : what ทั้ง 3 คํา ในประโยคเหล่านี้เป็นคุณศัพท์บอกอุทาน
11. Relative Adjective คือ คุณศัพท์สัมพันธ์ หมายถึง คุณศัพท์ที่ใช้ขยายนามที่ตามหลังและในขณะเดียวกันก็ยังทําหน้าที่คล้ายส้นธาน
เชื่อมความในประโยคของตัวเองกับประโยคข้างหน้าให้สัมพันธ์กันอีกด้วย ได้แก่
what(อะไรก็ได้),whichever(อันไหนก็ได้)
ตัวอย่างเช่น:
Give me what money you have.
(จงให้เงินเท่าที่คุณมีอยู่แก่ฉัน)
I will take whichever horse you don t want.
(ฉันจะนําเอาม้าตัวที่คุณไม่ต้องการ)
He will read what book he wishes.
[ แซมจะอ่านหนังสืออะไรก็ได้ที่เขาปราถนา (จะอ่าน) ]
ข้อสังเกต : What, Whichever เป็นคุณศัพท์สัมพันธ์ ไปขยายนามที่ตามหลัง และในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่เชื่อมประโยคหน้าและประโยคหลังให้กลมกลืนกันอีกด้วย
Adjective เวลานำไปพูดหรือเขียนมีวิธีใช้อยู่ 4 อย่างคือ
1. เรียงไว้หน้าคำนามที่คุณศัพท์นั้นไปขยายโดยตรงได้ เช่น
* The thin man can run very quickly.
(คนผอมสามารถวิ่งได้เร็วมาก)
* A wise boy is able to answer a difficult problem.
(เด็กฉลาดสามารถตอบปัญหาที่ยากได้)
* The beautiful girl is wanted by a young boy.
(สาวสวยย่อมเป็นที่หมายตาของเด็กหนุ่ม)
ข้อสังเกต : thin , wise , difficult , beautiful ,young เป็น คุณศัพท์เรียงขยายไว้หน้านามโดยตรง

2. เรียงไว้หลัง Verb to be, look feel,seem,get,taste,smell,
turn,go,appear,keep,become,sound,grow,etc. ก็ได้ Adjective
ที่เรียงตามกริยาเหล่านี้ ถือว่าขยายประธาน แต่วางตามหลังกริยา
เพราะฉะนั้นจึงมีชื่อเรียกได้อีกอย่างหนึงว่า Subjective Complement เช่น
* I’m feeling a bit hungry.
(ฉันรู้สึกหิวนิดๆ)
* Sugar tastes sweet.
(น้ำตาลมีรสหวาน)
ข้อสังเกต: hungry และ sweet เป็น Adjective เรียงไว้หลัง
กริยา feeling และ tastes ทั้งนั้น
3. เรียงคำนามที่ไปทำหน้าที่เป็นกรรม (Object) ได้ ทั้งนี้เพื่อ
ช่วยขยายเนื้อความของกรรมนั้นให้สมบรูณ์ขึ้น Adjiective ที่ใช้ใน
ลักษณะเช่นนี้เรียกว่าเป็น Objiective Complement เช่น
* Sam made his wife happy.
(แซมทำภรรยาของเขาให้มีความสุข)
* I consider that man mad.
(ฉันพิจารนาดูแล้วว่า ชายคนนั้นเป็นบ้า)
*This matter made me foolish.
(เรื่องนี้ทำให้ฉันโกรธไปได้)
ข้อสังเกต: happy,mad และ foolish เป็น Adjective ให้เรียง
หลังนาม และสรรพนามที่เป็น Object คือ wife,man,me
4. เรียง Adjective ไว้หลังคำนามได้ ไม่ว่านามนั้นจะทำหน้าที่เป็นอะไรก็ตาม ถ้า Adjective ตัวนั้นมี
บุพบทวลี (Perpositional Phrase)มาขยายนามตามหลัง เช่น
* A parcel posted by mail today will reach him tomorrow.
(พัสดุที่ส่งทางไปรษณีย์วันนี้จะถึงเขาวันพรุ่งนี้)
ข้อสังเกต: posted เป็น Adjective เรียงตามหลังนาม parcal ได้เพราะมีบุพบทวลี by mail today มาขยายตามหลัง
* I have known the manager suitable for his position.
(ฉันได้รู้จักผู้จัดการซึ่งก็มีความเหมาะสมสำหรับตำแหน่งของเขา)
ข้อสังเกต: suitable เป็นคุณศัพท์ เรียงไว้หลังนาม manager ได้เพราะมีบุพบท วลี for his position มาขยายตามหลัง
* ข้อยกเว้น ในการใช้ Adjecive บางตัวเมื่อไปขยายนาม
การใช้ Adjecive ไปขยายนามหรือประกอบนามตามแบบตั้งแต่ ข้อ 1 ถึง 4 นั้น หมายถึง Adjecive ทั่วไปเท่านั้น แต่ถ้าเป็นAdjective ที่จะกล่าวต่อไปนี้แล้วให้มีวิธีใช้ขยายนามหรือประกอบนาม ได้เพียงข้อใดข้อหนึ่งเท่านั้น คือ ประกอบหน้านาม หรือเรียงหลังกริยา จะใช้ทั้ง 2 อย่างไม่ได้ นั้นคือ

Adjective – Equivalent
คือ “คำที่ใช้เสมือนเป็นคุณศัพท์” ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่า คำที่จะนำมาใช้เสมือนหนึ่ง
เป็นคุณศัพท์ที่จะกล่าวต่อไปนี้
1. คำนาม (Noun) นำมาใช้เป็น Adjective ขยายนามด้วยกันได้ แต่ให้วางไว้หน้านามที่มันไปขยายนั้นทุกครั้งไป เช่น
Yale University is the place for political studies.
(มหาวิทยาลัยเยลเป็นสถานที่สำหรับการศึกษาวิชาการเมือง)
ข้อสังเกต : Yale เป็นนามนำมาใช้เป็นคุณศัพท์ขยาย university ซึ่งเป็นนามด้วยกัน
My younger brother wishes to study at Suan Dusit College.
(น้องชายของฉันประสงค์จะเรียนที่วิทยาลัยสวนดุสิต)
ข้อสังเกต : Suan Dusit เป็นนาม แต่นำมาใช้เป็นคุณศัพท์ขยายนาม college ได้
They have worked in New York City for two years.
(พวกเขาได้ทำงานอยู่ที่เมืองนิวยอร์คเป็นเวลา 2 ปีแล้ว)
ข้อสังเกต : New York เป็นนามนำมาใช้เป็นคุณศัพท์ขยายนามที่ตามหลัง คือ City
2. คำนามที่ใช้แสดงความเป็นเจ้าของ โดยมี Apostrophe ( ‘s ) มาใช้ควบนั้น นำมาใช้เป็น Adjective
ขยายนามได้ และให้เรียงไว้หน้านามตัวนั้นตลอดไป เช่น
John’s house was built in Denver five years ago.
(บ้านของจอห์นได้สร้างไว้ที่เดนเวอร์ เมื่อ 5 ปีมาแล้ว)
ข้อสังเกต : เป็นคำนามที่นำมาใช้เป็นคุณศัพท์ขยายนาม house ได้
The teacher’s table is larger than the students.
(โต๊ะของครูมีขนาดใหญ่)
ข้อสังเกต : teacher’s เป็นนาม นำมาใช้บยายนาม table ทำหน้าที่เป็นคุณศัพท์ได้
3. Infinitive (กริยาสภาวมาลา ได้แก่ to + V.1) นำมาใช้เป็นคุณศัพท์ขยายนามหรือสรรพนามได้ แต่วางไว้หลังนามที่มันขยายเสมอ เช่น
He has no money to give me for buying a pen.
(เขาไม่มีเงินที่จะให้ฉันซื้อปากกา)
ข้อสังเกต : to give เป็น Infinitive นำมาใช้เป็น Adjective ขยายนาม money ได้
This book is good for you to read.
(หนังสือเล่มนี้ดีสำหรับคุณที่จะอ่าน)
ข้อสังเกต : to read เป็น Infinitive นำมาใช้เป็นคุณศัพท์ขยายสรรพนาม you ได้
4. Participle นำมาใช้เป็นคุณศัพท์ขยายนามได้ และให้วางไว้หน้านามที่มันไปขยายทุกครั้ง เช่น
The standing boy is afraid of the running dog.
(เด็กชายที่ยืนอยู่กลัวสุนัขที่วิ่งมา)
ข้อสังเกต : standing, running เป็น Participle นำมาใช้เป็นคุณศัพท์ขยายนามได้
5. Gerund (กริยานาม คือ Verb เติม ing แล้วนำมาใช้อย่างนามซึ่งจะได้กล่าวในบทต่อไปนี้เช่นกัน) นำมาใช้เป็น Adjective ขยายนามได้และวางไว้หน้านามนั้นตลอดไป เช่น
Now he is waiting for you in the meeting room.
(เดี๋ยวนี้เขากำลังรอคุณอยู่ที่ห้องประชุม)
ข้อสังเกต : meeting เป็น gerund นำมาใช้ทำหน้าที่เป็นคุณศัพท์ขยายนาม room
6. Phrase (วลีทุกชนิด) นำมาใช้เป็น Adjective ขยายนามหรือสรรพนามได้ ส่วนตำแหน่งวางของวลีคุณศัพท์นั้นอยู่หน้านามก็มี อยู่หลังนามก็มี เช่น
The man in this room is our guest.
(ผู้ชายที่อยู่ในห้องนี้เป็ฯแขกของเรา)
ข้อสังเกต : in this room เป็นวลีมาทำหน้าที่เป็นคุณศัพท์มาขยายนาม man ที่อยู่ข้างหน้า
He wants to buy the corner.
(เขาต้องการซื้อบ้านที่อยู่มุมถนนนั้น)
ข้อสังเกต : on the corner เป็นวลีมาทำหน้าที่เป็นคุณศัพท์ขยายนาม house ที่อยู่ข้างหน้า
7. Subordinate Clause (อนุประโยค) นำมาใช้เป็น Adjective ขยายนามได้ และให้วางไว้หลังนามที่ไปขยายทุกครั้ง เช่น
This is the house that Jack built.
(นี้คือบ้านที่แจ๊คสร้างเอาไว้)
ข้อสังเกต : that Jack built เป็น Subordinate Clause (ประเภทคุณานุประโยค) มาทำหน้าที่เป็นคุณศัพท์ขยายนามhouse ที่วางอยู่ข้างหน้า
I know Mr. Clinton whom you want to see.
(ฉันรู้จัก มิสเตอร์คลินตัน ผู้ซึ่งคุณต้องการพบ)
ข้อสังเกต : whom you want to see เป็น Subordinate Clause (ประเภทคุณานุประโยค) มาทำหน้าที่เป็นคุณศัพท์ขยายนามMr.Clinton ซึ่งวางอยู่ข้างหน้า

Share this:

Like this:

ถูกใจ

กำลังโหลด…

[NEW] หลักการใช้ ADJECTIVES และ VERB+ADJECTIVE | adjectives คำ คุณศัพท์ – NATAVIGUIDES

ADJECTIVES
adjective ออกเสียง แอ็ดจิกทิฟวฺ
*adjective คือ คำคุณศัพท์ ใช้เพื่อขยายหรือให้รายละเอียดเพิ่มเกี่ยวกับคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ ฯลฯ
หลักการใช้
1. ตำแหน่งของคุณศัพท์
ภายในประโยค คำคุณศัพท์มีตำแหน่งการวางได้ 3 จุดคือ
(1) คุณศัพท์ขยายนาม ในกรณีนี้คำคุณศัพท์วางไว้หน้าคำนาม แสดงว่าเป็นคำขยายคำนามนั่นเอง เช่น
adjective            noun
a young            reporter
an old            professor
the funniest        game
this narrow        canal
his fierce            dog
คุณศัพท์ขยายคำนามอาจจะมีมากกว่า 1 คำก็ได้ เช่น
Adjectives        noun
a thin young         reporter
a handsome old     professor
this very narrow     canal
ตัวอย่าง
“What happened to you last night ?”
เกิดอะไรขึ้นกับคุณเมื่อคืน
“I was bitten by a fierce dog.”
นมถูกสุนัขที่ดุร้ายกัด
“Whom did you talk to yesterday ?”
คุณคุยกับใครเมื่อวานนี้
“I talked to a thin young reporter.”
ผมคุยกับนักข่าวหนุ่มร่างผอม
2. คุณศัพท์อยู่หลังกริยา BE .ในกรณีนี้หน้าคุณศัพท์จะมี Verb to be เรียกหน้าที่ของคุณศัพท์แบบนี้ได้ว่า complement ซึ่งเป็นการบรรยายลักษณะของประธานของประโยค
ตัวอย่าง
“What’s your sister like?”
น้องสาวของคุณมีรูปร่างลักษณะอน่างไร
“She’s tall and slim.”
หล่อนรูปร่างสูงและเอวบางร่างน้อย
“Is she beautiful?”
หล่อนสวยหรือเปล่า
“No, but she’s clever.”
ไม่ แต่หล่อนฉลาด
“Is she married?”
หล่อนแต่งงานแล้วยัง
“No, she’s single.”
ยัง หล่อนเป็นโสด
3. คุณศัพท์อยู่หลัง LINKING VERBS ได้แก่ become, look, seem, feel, appear, stay, get (=become), sound, taste, remain
ตัวอย่าง
Our friends seem ready to help.
เพื่อนของเราดูเหมือนว่าพร้อมจะให้การช่วยเหลือ
The weather will stay fine for a few days.
อากาศจะยังคงแจ่มใสต่อไปอีก 2 – 3 วัน
He looks unhappy whenever he has to study.
เขาดูไม่มีความสุขเมื่อใดก็ตามที่เขาต้องเรียน
Bread is becoming expensive in this town.
ขนมปังกำลังมีราคาแพงขึ้นในเมืองนี้
This mango tastes sour.
มะม่วงผลนี้รสชาติเปรี้ยว
He still remains popular.
เขายังคงเป็นที่รู้จักของผู้คน
2. ตำแหน่งอื่นของคำคุณศัพท์
นอกจากตำแหน่งตามปกติของคำคุณศัพท์ตามที่กล่าวมาในข้อ 1 แล้ว ยังมีบางกรณีที่คำคุณศัพท์วางในตำแหน่งที่ต่างไปจากกฎเกณฑ์ข้างบนคือ
1. คุณศัพท์อยู่ท้าย the
ลักษณะนี้พบได้ไนคำคุณศัพท์ที่ใช้เพื่อหมายถืงระดับขึ้นของคน (a class of people) เช่น
the young         คนหนุ่มสาว
the rich        คนร่ำรวย
the old        คนชรา
the employed     คนที่ได้รับการว่าจ้าง
the unemployed     คนที่ไม่ได้รับการว่าจ้าง, คนว่างงาน
the privileged     คนที่ได้สิทธิพิเศษ
the poor        คนยากจน
the blind        คนตาบอด
the dumb        คนใบ้
the Japanese     คนญี่ปุ่น
the English     คนอังกฤษ
ตัวอย่าง
The rich should help the poor.
คนรวยควรจะช่วยเหลือคนจน
The young should look after the old.
คนหนุ่มสาวควรจะดูแลคนชรา
The employed are happier than the unemployed.
คนที่ได้รับการว่าจ้างมีความสุขกว่าคนที่ไม่ได้รับการว่าจ้าง
The English have a lot to learn from the Japanese.
คนอังกฤษต้องเรียนรู้อีกมากจากคนญี่ปุ่น
2. คุณศัพท์อยู่ท้ายกรรมของประโยค
คุณศัพท์ที่ใช้ในกรณีนี้จะอยู่ท้ายกรรม (object) ของประโยค เรียกว่า object complement คำกริยาที่เกี่ยวข้องกับหลักเกณฑ์ข้อนี้ด้แก่ get, keep, make, find, paint, set, turn, wish, like
ตัวอย่าง
I like my coffee black.
ผมซอบกาแฟดำ
Don’t get your clothes dirty.
อย่าทำให้เสื้อผ้าของคุณสกปรก
My sister keeps her room tidy.
น้องสาวรักษาห้องของเธอเป็นระเบียบเรียบร้อย
They set the prisoners free.
พวกเขาปลดปล่อยนักโทษเป็นอิสระ
The cold weather turned the leaves red.
อากาศหนาวทำให้ใบไม้เปลี่ยนเป็นสีแดง
He wished himself dead.
เขาอยากตาย
We painted the door white.
พวกเราทาสีประตูเป็นสีขาว
I found the box empty.
ผมพบกล่องว่างเปล่า
3. คุณศัพท์อยู่ท้ายนามหรือสรรพนามที่มันขยาย
สรรพนาม (pronouns) ที่ใช้ในกรณีนี้ได้จะต้องเป็น indefinite pronouns นั่นคือ สรรพนามที่ลงท้ายด้วย -body, -one, -thing
ตัวอย่าง
The chairman asked the people present at the meeting to express their views.
= The chairman asked the people who were present at the meeting to express their views.
ประธานได้ขอร้องให้ผู้เข้าประชุมแสดงความคิดเห็น
The boys involved in the fight were sent away to another
school.
=The boys who were involved in the fight were sent away to another school.
เด็กนักเรียนชายที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตีกันถูกส่งไปเรียนโรงเรียนอื่น Mary hopes to marry someone rich.
=Mary hopes to marry someone who is rich.
แมรี่หวังที่จะแต่งงานกับคนที่ร่ำรวย
Did you buy anything nice at the store?
=Did you buy anything which is nice at the store?
คุณซื้อสิ่งสวยๆ งามๆ ที่ร้านบ้างหรือเปล่า
3. ลำดับของคุณศัพท์
ท่านผู้อ่านอาจจะถามว่า ถ้าหากมีคุณศัพท์ที่ให้ข้อมูลต่างๆ นานาหลายคำ จะเรียงลำดับคุณศัพท์เหล่านี้ไว้หน้าคำนามอย่างไรจึงจะถูกต้อง อาทิ
คุณศัพท์บอก
ทัศนะความเห็น (opinion) เช่น beautiful, ugly
ขนาด (size)    เช่น big, large, small
รูปร่าง (shape)    เช่น thin, fat, slender
สี (colour)        เช่น black, white, red
อายุ (age)        เช่น old, new, ancient
จุดกำเนิด (origin) เช่น French, Siamese, English
จุดประสงค์ (purpose) เช่น shopping, running, jogging
วัสดุ (material)    เช่น silk, plastic, wooden
คำตอบ คือ ให้เรียงคุณศัพท์เหล่านี้ไว้หน้าคำนามดังนี้
opinion —> size —> age —> shape —> colour—> origin —> material —> purpose —> NOUN
ตัวอย่าง
A tall Thai medical worker went abroad yesterday by Thai Airways.
นักการแพทย์ชาวไทยร่างสูงคนหนึ่งได้เดินทางไปต่างประเทศเมื่อวานนี้ โดยสายการบินไทย
“Do you see my old brown Persian horse ?”
“No, I don’t.”
คุณเห็นม้าพันธุ์เปอร์เซียสีนํ้าตาลตัวแก่ๆ ของผมไหม
ไม่เห็นเลยครับ
Come and see my small brown Japanese car.
มาดูรถยนต์ญี่ปุ่นสีน้ำตาลคันเล็กของผมสิ
4. มีคำคุณศัพท์บางคำ อาทิ asleep, alone, awake, afraid, ill, well คำคุณศัพท์เหล่านี้วางไว้หลังคำกริยา ไม่วางไว้หน้าคำนาม ซึ่งขัดกับการใช้คุณศัพท์ดังกล่าวมาเบื้องต้น คือ Adjective + Noun ฉะนั้นโครงสร้างประโยคที่มีคุณศัพท์ที่เอ่ยมาทั้ง 6 คำนี้ จึงต้องเป็น
VERB + ADJECTIVE
(โครงสร้างนี้บังคับใช้เฉพาะกับคำคุณศัพท์ทั้ง 6 คำในข้อ 4 เท่านั้น)
ตัวอย่าง He is asleep.    เขานอนหลับ
X He is an asleep man.
We are alone.    เราอยู่กันตามลำพัง
X We are alone people.
These animals are alive.    สัตว์เหล่านี้ยังมีชีวิตอยู่
X They are alive animals.
หากจะนำเอาคำเหล่านี้มาวางไว้หน้าคำนาม (Adjective + Noun) จะต้องเปลี่ยนรูปคำเหล่านี้ใหม่กล่าวคือ ใช้
sleeping         แทน         asleep     living    แทน     alive
frightened     แทน         afraid     sick        แทน     ill
healthy         แทน         well
ตัวอย่าง Do you see that sleeping man?
คุณเห็นผู้ชายคนที่กำลังหลับนั่นไหม
Sick children cannot go to school.
เด็กที่ป่วยไม่สามารถไปโรงเรียนได้
Healthy people are happy.
คนที่สุขภาพดีมีความสุข
Easily frightened animals die young.
สัตว์ที่ขี้กลัวง่ายตายเร็ว
Living animals are fighting for survival.
สัตว์ที่มีชีวิตต่อสู้เพื่อความอยู่รอด
5. กรณีของหน่วยวัด
ในกรณีของหน่วยวัด (units of measurement) คำคุณศัพท์ผสม (compound adjectives คอมพาวดฺ แอ็ดเจ็กทิฟสฺ) ที่เป็นหน่วยวัดเหล่านี้ มักวางไว้หน้าคำนาม ได้แก่
อายุ (age)     เช่น a three-year-old building (อาคารอายุ 3 ปี)
ปริมาตร (volume) เช่น a two-litre car (รถยนต์จุน้ำมัน 2 ลิตร)
ความยาว (length) เช่น a twelve-inch ruler (ไม้บรรทัดความยาว 12 นิ้ว)
ราคา (price) เช่น a fifty-baht shirt (เสื้อเชิ้ต ราคา 50 บาท)
น้ำหนัก (weight) เช่น a five-kilo bag (ถุงบรรจุ 5 กิโล)
พื้นที่ (area)    เช่น a twenty-rai farm (ฟาร์ม เนื้อที่ 20 ไร่)
ระยะเวลา (duration) เช่น a four-hour meeting (การประชุม ที่ใช้เวลา 4 ชั่วโมง)
ความลึก (depth) เช่น a six-foot hole (หลุมลึก 6 ฟุต)
เวลา (time)    เช่น a five-hour walk
(การเดินที่ใช้เวลา 5 ชั่วโมง)
ระยะทาง (distance) เช่น a twenty-kilometre run (การวิ่งระยะทาง 20 กิโลเมตร)
ตัวอย่าง
She’s a seventyTyear-old woman. (1)
=The woman is seventy years old. (2)
หญิงคนนี้อายุ 70 ปี
It is a twelve-inch ruler.
=The ruler is twelve inches long.
ไม้บรรทัดยาว 12 นิ้ว
6. รูปของคำคุณศัพท์
การสังเกตว่าคำนั้นๆ จะเป็นคำคุณศัพท์หรือไม่ ให้คำนึงถึงหลักเกณฑ์ดังนี้
1. คำคุณศัพท์จำนวนมากสังเกตได้จากส่วนประกอบท้ายคำ (suffixes)
ได้แก่

Suffixes

Adjectives

 

-al

actual

physical

แท้จริง

ทางกายภาพ

Final

special

ท้ายสุด

พิเศษ

-ent

ancient

urgent

โบราณ

ด่วน

frequent

excellent

บ่อย

ดีเลิศ

-ous

famous

various

มีชื่อเสียง

หลายหลาย

serious

conscious

เคร่งเครียด

รู้สึกตัว

-ic

basic

electric

พื้นฐาน

ทางไฟฟ้า

atomic

heroic

ด้านอะตอม

เป็นวีรบุรุษ

-y

angry

hungry

โกรธ

หิว

dirty

funny

 

สกปรก

น่าขัน

-ive

active

attractive

กระฉับกระเฉง

มีเสน่ห์

expensive

sensitive

แพง

รู้สึกไว

-ed

excited

related

ตื่นเต้น

เกี่ยวพัน

limited

confused

จำกัด

สับสน

-ble

possible

sensible

เป็นไปได้

มีเหตุผล

probable

enjoyable

อาจเป็นได้

น่าสนุก

-ful

beautiful

skillful

สวย

ชำนาญการ

careful

faithful

ระมัดระวัง

ซื่อสัตย์

-an

American

Russian

เป็นอเมริกัน

เป็นรัสเซีย

human

German

เป็นมนุษย์

เป็นเยอรมัน

-ing

amusing

surprising

น่าขบขัน

น่าประหลาดใจ

willing

disappointing

เต็มอกเต็มใจ

น่าผิดหวัง

-less

careless

harmless

ประมาท

ไม่มีอันตราย

childless

senseless

ไม่มีบุตร

สมองทึบ

-ar

popular

familiar

เป็นที่นิยมรักใคร่

คุ้นเคย

regular

particular

สม่ำเสมอ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง

-like

childlike

ladylike

เหมือนเด็ก

อย่างสุภาพสตรี

womanlike

flowerlike

เหมือนผู้หญิง

เหมือนดอกไม้

-ish

childish

sheepish

ราวกับเด็ก

ขี้อาย

foolish

snobbish

โง่

วางโอ่ยะโส

(2) คำคุณศัพท์บางคำไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ในข้อ (1) โดยมากมักเป็นคำพยางค์เดียว ได้แก่
large      ใหญ่
small  เล็ก
old  ชรา
young  หนุ่มสาว
old    เก่า
new    ใหม่
long    ยาว
short    สั้น
hard    แข็ง
soft    อ่อน
rich    รวย
poor    จน
hot    ร้อน
cold    หนาว
black  สีดำ
white  สีขาว
good  ดี
bad    เลว
(3) คำนามที่เติมส่วนประกอบท้ายคำด้วย -ly ถือว่าเป็นคำคุณศัพท์ ได้แก่
นาม               คุณศัพท์
brother        brotherly    เป็นพี่น้อง
court             courtly    ประจบประแจงเอาใจ
earth             earthly    แห่งโลก
coward         cowardly    อย่างขลาดเขลา
father            fatherly    อย่างบิดา
friend            friendly    อย่างมิตร
heaven         heavenly    จากฟากฟ้า, จากสวรรค์
king               kingly    อย่างราชา
man              manly    อย่างลูกผู้ชาย
master         masterly    อย่างหลักแหลม
mother        motherly    อย่างมารดา
neighbor     neighborly    อย่างเพื่อนบ้าน
saint             saintly    ใจเมตตาแบบนักบุญ
scholar        scholarly    อย่างรอบรู้
woman        womanly    เหมือนผู้หญิง
world           worldly    แห่งโลก
knight          knightly    แบบขุนนางหรืออัศวิน
leisure         leisurely    อย่างสบายๆ
prince         princely    ราวกับเจ้านาย
queen         queenly    ราวกับราชินี
(4) คำต่อไปนี้ทำหน้าที่ได้ทั้งคำคุณศัพท์และคำวิเศษณ์ ได้แก่
fast เร็ว (adj.) อย่างเร็ว (adv.)
half ครึ่ง (adj., adv.)
hard ยาก, แข็ง, หนัก, ขยัน (adj.) อย่างหนัก (adv.)
late สาย (adj, adv.)
straight ตรง (adj., adv.)
ตัวอย่าง
(คำเน้นตัวหน้าเป็น adjective ส่วนตัวหลังเป็น adverb)
The plane made a fast trip because it went fast.
เครื่องบินเดินทางได้เร็วเพราะมันบินอย่างเร็ว
You get only half credit for a half-finished test.
คุณได้คะแนนเพียงครึ่งหนึ่งสำหรับการสอบที่สำเร็จเพียงครึ่งเดียว
A hard worker works hard.
คนงานที่ขยันทำงานอย่างหนัก
A late student arrives late.
นักเรียนที่มาเรียนสายก็มาถึงสาย
A straight path goes straight to its end.
เส้นทางตรงพุ่งตรงไปยังปลายทาง
หมายเหตุ คำว่า hardly และ lately เป็นคำวิเศษณ์ มีความหมายต่างไปจาก hard และ late ที่ยกมาข้างต้น กล่าวคือ hardly = แทบจะไม่, lately = เมื่อเร็วๆ นี้
ตัวอย่าง
If you study hard, you will learn.
But if you hardly study, you will not learn.
ถ้าคุณขยันเรียน คุณก็จะเรียนรู้
แต่ถ้าคุณไม่ยอมเรียน คุณก็จะไม่เรียนรู้
Laura often comes to class late.
She has moved here lately.
ลอร่ามาเข้าชั้นเรียนสาย
หล่อนได้ย้ายมาอยู่ที่นี่เมื่อเร็วๆ นี้
(5) คำว่า near เป็นได้ทั้งคำคุณศัพท์ และคำวิเศษณ์ และยังเป็นคำบุพบทด้วย แปลว่า “ใกล้” ส่วน nearly เป็นคำวิเศษณ์ แปลว่า “เกือบจะ” (almost)
ตัวอย่าง
John is a near neighbor of mine. He lives near me.
จอห์นเป็นเพื่อนบ้านข้างเคียงของผม เขาพักอาศัยอยู่ใกล้ผม
Mr.Brown nearly died of pneumonia.
นายบราวน์เกือบจะตายด้วยโรคปอดบวม
ที่มา:รองศาสตราจารย์ทณุ  เตียวรัตนกุล

(Visited 53,980 times, 1 visits today)


คำคุณศัพท์ ป 2 Adjective P 2


นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูเพิ่มเติม

คำคุณศัพท์ ป 2 Adjective P 2

250 คำคุณศัพท์ที่ใช้บ่อยที่สุด | คำศัพท์พื้นฐาน | เรียนง่ายภาษาอังกฤษ


รวมคำศัพท์คุณศัพท์หรือ adj 250 คำที่ใช้บ่อยที่สุด

250 คำคุณศัพท์ที่ใช้บ่อยที่สุด | คำศัพท์พื้นฐาน | เรียนง่ายภาษาอังกฤษ

ENG Basic #22 Adjective 1 เจาะลึกคำคุณศัพท์


ENG Basic 22 Adjective 1 เจาะลึกคำคุณศัพท์

ENG Basic #22 Adjective 1 เจาะลึกคำคุณศัพท์

วิธีคำคุณศัพท์ Adjective ง๊ายง่าย จำไปใช้ได้เลย | Tina Academy Ep.204


♡ดูตัวอย่างหนังสือของติน่า https://www.tinaacademy.com/books
♡ติดต่อซื้อหนังสือ @linetina (มี @ ด้วย)
♡ Subscribe จะได้ไม่พลาดคลิปทุกๆสัปดาห์
https://www.youtube.com/tinathanchannel/
♡ Instagram: https://www.instagram.com/tinathanchannel
♡ Facebook: https://www.facebook.com/tinathanchannel
♡ Line ID: @linetina https://line.me/R/ti/p/%40hxr4999x

วิธีคำคุณศัพท์ Adjective ง๊ายง่าย จำไปใช้ได้เลย | Tina Academy Ep.204

Adjectives คำคุณศัพท์


Adjectives คำคุณศัพท์ คือ คำที่มีหน้าที่ขยายคำนาม เพื่อให้เข้าใจคำนานั้นๆมากขึ้น เช่นคำว่า สวย สูง ใจดี

Adjectives คำคุณศัพท์

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูวิธีอื่นๆMAKE MONEY ONLINE

ขอบคุณที่รับชมกระทู้ครับ adjectives คำ คุณศัพท์

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *