Skip to content
Home » [Update] 5 วิธีที่จะทำให้คุณ “รวยเร็ว” แบบก้าวกระโดด | คุณจะทําอะไรให้บริษัท – NATAVIGUIDES

[Update] 5 วิธีที่จะทำให้คุณ “รวยเร็ว” แบบก้าวกระโดด | คุณจะทําอะไรให้บริษัท – NATAVIGUIDES

คุณจะทําอะไรให้บริษัท: คุณกำลังดูกระทู้

ไม่มีใครเป็นลูกจ้างกินเงินเดือนแล้วจะรวย ต่อให้เป็นลูกจ้างมืออาชีพ (อย่างเช่นผู้บริหารมืออาชีพ) ก็ต้องเสี่ยงและสู้กับ “เป้า” หรือ “ยอดขาย” ที่ถูกเพิ่มมาให้ทุกปี จนกว่าคุณจะทำไม่ไหวแล้วถูกเปลี่ยนตัว

ส่วนเรื่องการออกมาทำธุรกิจส่วนตัวนั้น ก็เป็นหนทางหนึ่ง แต่นั่นก็เป็นความรวยแบบ “ธรรมดา”

ที่ท่านกำลังจะได้อ่านต่อไปนี้ ผมกำลังหมายถึงวิธี “รวยเร็ว” แบบก้าวกระโดด ด้วยวิธีสุจริต ไม่ใช้โชค แต่น้อยคนจะทำได้ ไม่ว่าวันหนึ่งท่านจะเป็นคนกลุ่มน้อยนั้นหรือเปล่า แต่รู้ไว้ก็ดีกว่าไม่รู้เนาะ

นี่เป็นอีกบทความหนึ่งที่ผมเอาประสบการณ์จริงมาแชร์ และวิธีการเหล่านี้ทำให้ผมมีทุกวันนี้ ข้างล่างนี้ผมผ่านมาเกือบหมดแล้ว และท่านผู้อ่านลองพิจารณาดูว่าอันไหนท่านมีศักยภาพที่จะทำตาม บางครั้งคนเราต้องการแค่ไอเดีย นึกเองไม่เคยออก พอมีคนบอก ก็ร้องอ๋อ..แล้วทำตามอย่างก็รวยได้

แต่ผมจะบอกไว้ก่อนนะครับว่ามันไม่ง่าย อย่าลืมว่า..ผมกำลังจะบอกวิธี “รวยเร็ว” แต่ไม่ได้บอกวิธี “รวยง่าย” มันคนละประเด็นกัน ต้องแยกแยะนะครับ มาว่ากันเลย

 

สร้างบริษัทขึ้นมาแล้วขาย1. สร้างบริษัทขึ้นมาแล้วขาย

แนวคิด: Begin with the end in mind (รู้ตั้งแต่เริ่มแล้วว่าจะจบยังไง) คือสิ่งสำคัญของเรื่องนี้ เรามีตัวอย่างให้เห็นมากมายที่นักธุรกิจก่อตั้งบริษัทขึ้นมา แล้วสร้าง Asset อะไรบางอย่าง (ไม่ว่าจะเป็นข้อได้เปรียบทางการค้า แนวคิด/ไอเดียแจ่มๆ ฐานลูกค้า สินค้าที่ขายดี ฯลฯ) ที่มีอนาคตดีมากๆ เสร็จแล้วก็หาหุ้นส่วนใหม่, นักลงทุน, Venture Capital หรือคู่ค้าที่สามารถเสริมกันได้ (Synergy) มาซื้อกิจการไป หรือมาซื้อหุ้นเพิ่มทุนในราคาที่ไม่ธรรมดา แทนที่เราจะต้องคอยรับเงินปันผลจากธุรกิจไปเรื่อยๆ เราก็ขายหุ้นเดิมหรือหุ้นเพิ่มทุนในราคาแพงพิเศษให้กับผู้ที่สนใจ (เรียกว่า ‘ราคาพรีเมี่ยม’ จะเพราะกว่าเนาะ) แล้วทำไมเขายอมซื้อที่ราคาแพงพิเศษเหรอ ไม่หรอก..มันไม่ได้แพงพิเศษหรอก มันมีอนาคตและคุ้มค่ากับการลงทุนต่างหากล่ะ

ตัวอย่างสมการ: เปิดบริษัทด้วยเงินลงทุน 1 ล้านบาท (ราคาพาร์หุ้นละ 1 บาทจำนวน 1 ล้านหุ้น) กิจการดีมาก มีกำไรปีละ 300,000 บาททุกปี และมีแนวโน้มจะกำไรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

เสร็จแล้วหาผู้ลงทุน เสนอขายหุ้นเพิ่มทุนอีก 1 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 3 บาท เท่ากับคนซื้อ จ่ายเงินมา 3 ล้านบาท ได้หุ้นเพิ่มทุนไป 1 ล้านหุ้น (รวมแล้วบริษัทมี 2 ล้านหุ้น ผู้ซื้อคนใหม่ถือหุ้น 50% สัดส่วนของเราลดลงเหลือ 50%)

แต่เงิน 3 ล้านที่เขาจ่ายมา เอาเข้าบริษัท 1 ล้านบาท ที่เหลือ 2 ล้านบาทถือว่าเป็นพรีเมี่ยมให้ผู้ถือหุ้นเดิม (ท่านได้เงิน 2,000,000 แล้วนะ ไม่ต้องนั่งทำงานแบบเดิมแล้วรอรับปันผลไป 7 ปี แถมเงินลงทุน ณ วันแรกก็ถือว่าได้ทุนคืนแล้ว และยังได้ถือหุ้นในบริษัทต่อไปอีก 50%)

แล้วผู้ซื้อได้อะไร ก็พอปลายปีบริษัทมีกำไร 300,000 บาท เขาได้ส่วนแบ่งเงินปันผล 50% = 150,000 บาทจากเงินลงทุน 3,000,000 บาท เทียบเท่ากับ 5% ดีออก..ผลตอบแทนมากกว่าฝากแบงค์ตั้งเยอะแน่ะ

สำหรับท่านๆ ที่รวยล้นฟ้า ก็ใช้สูตรคล้ายๆ กัน เพียงแค่เติมเลขศูนย์ไปข้างหลังหลายตัวเท่านั้นเอง ตัวอย่างที่เห็นนี่คือราคา 3 เท่า สำหรับบริษัทที่อนาคตดีมากๆ ผมเคยเห็น 30 เท่ามาแล้วครับ

ตัวอย่างจริง: มีตัวอย่างบริษัทในต่างประเทศมากมาย พวก Start-up Company ที่มีไอเดียเจ๋ง พอสร้างสินค้า prototype ขึ้นมาได้แล้ว ดูดีมีอนาคต ก็ทำ projection กำไร แล้วเสนอขาย Venture Capital ให้มาเพิ่มทุนในราคาพรีเมี่ยม เอาเงินเข้ากระเป๋าส่วนหนึ่ง และเอาเงินไว้ในบริษัทอีกส่วนหนึ่งไว้สำหรับเป็นเงินลงทุนเพื่อขยายกิจการ

เดี๋ยวจะหาว่ามีแต่ตัวอย่างในต่างประเทศ ถ้าเป็นในประเทศก็ยกตัวอย่าง Ookbee, วงใน.com, tarad.com ก็แนวนี้ทั้งนั้นครับ เพียงแต่ว่า ณ วันแรกได้คิดเรื่อง ‘ขาย’ ไว้ก่อนหรือเปล่าก็ไม่รู้ บางทีก็นึกไม่ถึงแล้วมาขายได้ทีหลังก็มีครับ ส่วนตัวอย่างของผมเองก็เคยลงทุนในบริษัทแห่งหนึ่ง แล้วขายให้ผู้ลงทุนในราคา 5 เท่าของราคาพาร์มาแล้ว (ไม่รวมว่าก่อนหน้านั้นก็รับเงินปันผลไปจนคืนทุนเรียบร้อยไปก่อนแล้ว)

 

เข้าเทรดในตลาดหุ้นวันแรก2. เอาบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์

แนวคิด: วิธีนี้คล้ายวิธีแรก เพียงแต่ไม่ใช่เอาบุคคลหรือบริษัทมาซื้อหุ้นเรา แต่เป็นการเอาบางส่วนของหุ้นบริษัทเราไปซื้อ-ขายในตลาดหลักทรัพย์ ราคาที่ปรากฎอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ก็สะท้อนถึงราคาหุ้นเดิมที่เราถืออยู่ในมือด้วย เราก็สามารถขายหุ้นของเราในตลาดฯ ได้เช่นกันในราคาตลาด

ตัวอย่างสมการ: บริษัทมีทุนจดทะเบียน 40 ล้านบาท (เอาสมการง่ายๆ ว่าราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท จำนวน 40 ล้านหุ้น) บริษัทมีกำไรปีละ 10 ล้านบาท จึงปันผล = 0.25 บาท/หุ้น

บริษัทแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน และจดทะเบียนเพิ่มทุนอีก 10 ล้านหุ้น เข้าซื้อ-ขายในตลาดหลักทรัพย์ เรียก FA (Financial Advisor) มาทำ valuation (ประเมินราคา) …รายละเอียดขั้นตอนมีมากกว่านี้นะครับ แต่ไม่ใช่จุดประสงค์ของบทความนี้… เสนอขายประชาชนในราคา IPO (Initial Public Offering) = 2.00 บาท/หุ้น เมื่อเข้าตลาดไปแล้ว สมมุติว่าราคาในตลาดฯ คือ 2.00 บาท หุ้นเดิมที่เราถืออยู่ก็สามารถขายได้ในราคา 2.00 บาทเช่นกัน (แน่นอน ตลาดฯ มีมาตรการกำกับไม่ให้ผู้ถือหุ้นเดิมพากันขายหุ้นเอาเงินแล้วทิ้งบริษัทไปโดยฉับพลัน)

ทำไมประชาชนหรือนักลงทุนในตลาดหุ้นยอมซื้อหุ้นเราในราคา 2.00 บาท เพราะเมื่อเทียบกับผลตอบแทนแล้ว ปลายปีบริษัทมีกำไร 10 ล้านบาท ปันผลให้ผู้ถือหุ้น (หลังเพิ่มทุนมี 50 ล้านหุ้น) = 0.20 บาท/หุ้น เทียบเท่ากับผลตอบแทน 10% หรูมากๆ โดยทั่วไป 5% เค้าก็เอากันแล้ว แปลว่า..ราคาหุ้นก็อาจพุ่งไปถึงหุ้นละ 4.00 บาทง่ายๆ เลย ก็เท่ากับว่าหุ้นในมือเรามีมูลค่าเพิ่มขึ้น 4 เท่าทันที มูลค่าหุ้นในมือเจ้าของเดิม 40 ล้านหุ้น (เงินลงทุน 40 ล้านบาท) กลายเป็น 160 ล้านบาทในบันดล

ตัวอย่างจริง: ไม่ต้องยกตัวอย่างอะไรมาก ก็บริษัทมหาชนทั้งหลายในตลาดหลักทรัพย์ทั้งหมดแหละครับ ตอนที่บริษัทของผมเข้าตลาดหลักทรัพย์เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ราคาซื้อขายในวันแรกเปิดที่ 8 เท่าของราคาพาร์ และทะยานไปถึง 13 เท่าในไม่กี่วันต่อมา และผมขอทักท่านผู้อ่านแบบเพื่อนคำหนึ่งนะครับ… เฮ้ย..นี่คือวิธีที่รวยเร็วที่สุดแล้ว

3. เชี่ยวชาญสักอย่าง แล้วขายความเชี่ยวชาญนั้น

ฟังดูงงๆ ลองนึกตามตัวอย่างนี้นะครับ

  • โปรกอล์ฟ สอนคนเล่นกอล์ฟ
  • คนเสียงดี ฝึกฝน แล้วไปเป็นนักร้อง
  • คนหน้าตาดี บุคลิกดี ฝึกฝนแล้วไปเป็นนักแสดง
  • หม่ำ จ๊กม๊ก เป็นคนอารมณ์ขัน ก็เอาดีทางด้านการแสดงแนวตลกขบขัน

คือรู้หรือเชี่ยวชาญสิ่งใด ก็ฝึกฝนให้สุดๆ ไปเลยด้านนั้น แล้วใช้เป็น “สินค้า” ของตัวเอง จะเห็นว่าสินค้าตามตัวอย่างทั้งหมดนี้เป็น “สินค้าที่ไม่มีตัวตน” คือสิ่งที่ส่งมอบให้กับลูกค้านั้นจับต้องไม่ได้ ข้อดีของมันก็คือ ขายเท่าไหร่ก็ไม่มีต้นทุนสินค้าเกิดขึ้นเป็นเงาตามตัว

คนทำธุรกิจส่วนใหญ่มักคุ้นชินกับสินค้าที่มีตัวตน ซื้อมา-ขายไป หรือไม่ก็ลงทุนตั้งโรงงานผลิตสินค้าเอง บางที R&D สินค้าเองด้วยซ้ำ แบบนี้ทุกชิ้นที่ขายออกไปต้องมีต้นทุนของสินค้าติดไปเป็นเงาตามตัวเสมอ ขายมาก..ก็ต้องผลิตมาก..ต้นทุนก็เพิ่มขึ้นตามสัดส่วน (ต้นทุนผันแปร) ไม่นับ ‘ต้นทุนคงที่’ เช่นเงินลงทุนต่างๆ ในการ R&D สินค้า, สร้างโรงงาน, ที่ดิน แล้วยังมี Operating Expense (ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน) อีกด้วยอย่างเช่น เงินเดือนพนักงาน, ค่าน้ำ/ค่าไฟ ฯลฯ

ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ในต่างประเทศฮิตมากในเรื่องของ Info Product หรือสินค้าที่เป็นประเภท Content ข้อมูล อยู่ในรูปแบบ Audio Book, e-Book, Training Course/Class ใครมีความรู้เป็นทุนเดิม หรือศึกษาหาความรู้บางเรื่องให้ลึกสักหน่อย แล้วทำตัวเป็น “ผู้รู้” หรือ Guru ผลิตสินค้าประเภทนี้มาขาย ไล่มาตั้งแต่ Basic อย่างเช่นการเขียนหนังสือ, การเป็นที่ปรึกษา, การเขียน e-Book ไปจนถึงการจัดสัมมนา หรือ Advance หน่อยอย่างเช่น คอร์สออนไลน์, Subscription Program ฯลฯ

ผมเองเคยผลิตคอร์สออนไลน์ สารพันธุรกิจรายได้ต่อเนื่อง..ตลอดชีพ ขนาดขายเล่นๆ ยังทำได้ “1 คอร์ส 1 ปี 1 ล้าน” คิดง่ายๆ ว่าขายราคา 2,000 บาท มีคนซื้อ 500 คน ก็หาเงินได้ 1 ล้านแล้ว โดยที่ลงมือลงแรงผลิตสื่อวีดีโอครั้งเดียว ทำเว็บสมาชิก และ sales page หลังจากนั้นก็ไม่ต้องลงแรง/เวลาอีกเลย ปล่อยให้การตลาดทำหน้าที่ของมันไป ทุก copy ที่ขายได้ผมไม่มีต้นทุนอีกแล้ว

คอร์สออนไลน์ สารพันวิธีสร้างรายได้ต่อเนื่องตลอดชีพ Passive Incomesสนใจ..คลิกที่นี่

ตัวอย่างของผมเองยังถือว่า “กระจอก” อยู่มาก เมื่อเทียบกับคนดังๆ อย่างคุณบอย (วิสูตร แสงอรุณเลิศ) หรือท่านอื่นๆ ผมยกตัวอย่างอีกคนคือ คุณโน้ส-อุดม ก็อยู่ในหมวดนี้เหมือนกัน จัด Talk Show เดี่ยวไมโครโฟน คาดเดาคร่าวๆ ครั้งละ 20 รอบ รอบละ 4,000 คน ขายบัตรราคาเฉลี่ย 2,000 บาท ลองคูณดูได้เงิน 160 ล้านบาท มีต้นทุนค่าเช่าสถานที่และทีมงาน Production ใช่ไหม ไม่ต้องห่วงเขาครับ ยังมี Sponsor อีกกลุ่มหนึ่งจ่ายเงินให้เขา คุ้มค่าต้นทุนพอดี ไม่ต้องเจียด 160 ล้านออกมาสักบาทด้วยซ้ำ อย่างเราๆ ท่านๆ ต้องลงทุนหรือทำธุรกิจอีกกี่ปีถึงจะมีเงิน 160 ล้าน? แล้วนั่น..เดี่ยวเดียวนะครับ..วันนี้กำลังจะมี เดี่ยว 11 แล้ว

 

ลงทุนกับอสังหาริมทรัพย์4. ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ (หรือสินค้าใดๆ ที่มูลค่าเพิ่มตลอดเวลา)

ก็แล้วแต่ช่วงเวลาเหมือนกัน ท่านผู้อ่านจะเห็นว่ามีบางยุคที่คนซื้ออสังหาฯ แล้วปล่อยขายทีหลัง รวยเอาๆ มันอยู่ที่ว่าท่านซื้อได้ถูกจังหวะเวลาหรือเปล่า ถ้าซื้อในช่วงเศรษฐกิจยังไม่เฟื่องฟูมาก พอเศรษฐกิจเติบโต ราคาที่ดินและอสังหาฯ อื่นๆ ก็ขยับขึ้นพรวดๆ ในอดีตก็มีหลายคนกลายเป็นคนรวยภายในไม่กี่ปีก็เพราะ “ซื้อของได้ราคาถูก” ในเวลาที่ถูกต้องนั้นเอง

อ้อ..ย้ำว่าต้องดูจังหวะเวลาของเศรษฐกิจให้ถูกด้วยนะครับ ไม่งั้นอสังหาริมทรัพย์ จะกลายเป็น อสังหาริบทรัพย์

ถ้าจะเอาสินค้าที่ไม่ต้องเก็งกำไรกันขนาดนั้น ก็เล่นกับ “ธาตุ” ก็ได้ครับ อย่างเช่น ทอง เพชร นั้นเลอค่า และมีแต่จะขยับขึ้น (เมื่อมองภาพรวมยาวๆ) สมัยผมเรียนจบใหม่ๆ เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว ทองบาทละ 4,000 เดี๋ยวนี้ปาเข้าไป 4-5 เท่าแล้ว ถ้าเทียบกับการลงทุนอื่นๆ ต้องได้ผลตอบแทน 7.5-8.0% ต่อปีเลยทีเดียว

เรื่องของการ “ซื้อของได้ราคาถูก” เนี่ย ผมขอส่งสัญญาณไว้ตอนนี้เลย (24 ส.ค. 58) ว่า เรากำลังเข้าใกล้ “ช่วงเวลาทอง” เช่นนั้นในอีกไม่นาน ณ เวลานี้คนที่ได้เปรียบที่สุดคือคนที่มีเงินสดอยู่ในมือ เมื่อใดที่เศรษฐกิจถึงจุดต่ำสุด เราจะได้ “ซื้อของถูก” กันอีกรอบ แต่อย่าถามผมออกอากาศเลยว่าเมื่อไหร่ บางอย่างพูดหรือเขียนในที่สาธารณะไม่ได้ แต่ถ้าใครเจอหน้าผม ผมจะบอกให้ฟังว่าคิดยังไง

เรียนวิธีทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์

 

กิติชัย เตชะงามเลิศ5. เล่นหุ้น

เป็นอีกวิธีที่ผมทำเงินมาในอดีต ผมไม่ได้เป็นนักเล่นหุ้น แต่ลงทุนในระยะยาวมากกว่า หรือหุ้นบางตัวก็เป็นเพราะผมเห็นโอกาส โดยวิเคราะห์จากพื้นฐานว่าราคาที่แท้จริงมันควรอยู่ที่ใด และ ณ เวลานั้นผู้คนยังมองไม่เห็นจุดนี้ ราคาจึงต่ำกว่าความเป็นจริงมาก ผมจะรีบตัดสินใจทันที เข้า/ไม่เข้า เป็นเรื่องการฉกฉวยโอกาสที่คนยังมองไม่เห็นค่าที่แท้จริง อย่างหุ้นบริษัทหนึ่ง เมื่อปลายปี 2556 ผมซื้อตั้งแต่ราคา 7 บาท ไปขายเอากลางๆ ปี 2557 ที่ราคาเกือบ 20 บาท

เรื่องการทำเงินจากการเล่นหุ้นนี่ มีคนอื่นเจ๋งกว่าผมเยอะ ผมไม่ได้มีรายได้จากเรื่องนี้มากหรอกครับ แค่เคยมีประสบการณ์นิดหน่อยเท่านั้น และไม่ใช่ว่าผมไม่เคยขาดทุนมาก่อน มันก็มีทั้งได้และเสีย (ประเมินผิด) ผมไม่แนะนำให้ซื้อ-ขายหุ้นแบบเก็งกำไร วิ่งไล่ซื้อ-ขายตามคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่โบรกฯ หรือ marketing เชียร์

แม้กระทั่งเล่นแบบ Technical (แบบที่เขาดูกราฟกัน) ก็ไม่แนะนำ เพราะถือว่าไม่ได้อิงกับ “พื้นฐานความเป็นจริง” และ “ความสามารถในการประกอบการ” สุดท้ายแล้วทุกอย่างจะกลับมาอยู่ใน ‘จุดสมดุล’ ของมันเสมอ ก็คือราคาจะสะท้อนจากความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจนั้นๆ ผมแนะนำว่าควรลงทุนในหุ้นแบบมีคุณค่า (เป็น Value Investor) ซึ่งใช้พื้นฐานของบริษัทเป็นหลัก ถ้าอะไรมันดี ระยะยาวมันก็จะดีเอง

ผมเคยไปฟังสัมมนาของคุณกิ๊ด (กิติชัย เตชะงามเลิศ) ที่ทำเงินจาก 1 ล้านกลายเป็น 500 ล้าน สรุปแล้วเขา “อ่านขาด” ว่าธุรกิจประกันจะเติบโต แล้วเขาก็มีโอกาสลงทุนในหุ้น SCB Life ตั้งแต่ราคา 70 กว่าบาท ปัจจุบันราคาประมาณ 1,200 บาท/หุ้น คงนึกภาพออกนะครับว่า ชีวิตนี้ต้องการการ “อ่านขาด” เพียงแค่ครั้งเดียวก็เกินพอ (แต่ที่จริงคุณกิ๊ดมีความรู้ในเรื่องการลงทุนเป็นอย่างดี และลงทุนในเรื่องอื่นมากกว่านั้น อย่างเช่นอสังหาฯ ตามข้อ 4 อีกด้วย)

พอจะเห็นภาพไหมครับว่ามีวิธีการไหนบ้างที่ทำให้ “รวยเร็ว” และย้ำอีกครั้งนะครับ มันไม่ใช่ “รวยง่าย” แต่มันก็ไม่ได้ยากเกินทน หากใครรู้แนวทางเหล่านี้ และศึกษา วางแผน ลงมือปฏิบัติอย่างเป็นแบบแผน ผมก็คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ไกลเกินเอื้อม

เมื่อรู้แล้วก็เริ่มสำรวจตัวเองนะครับ ว่าพอจะทำตามแนวทางไหนได้บ้าง หวังว่าพอจะเป็นแรงบันดาลใจให้ท่านได้ไม่มากก็น้อย อ้อ..แล้วก็อย่าลืมแชร์ให้เพื่อนๆ ท่านทราบด้วย อย่างน้อยก็เป็นวิทยาทานให้กับคนรอบตัวท่านนะครับ

 

ธนกร – ผู้ก่อตั้งตลาดปัญญา

ธนกร ชาลี ตลาดปัญญา โค้ช มาร์เก็ตติ้ง

ความเห็น

[NEW] 10 คำถามปราบเซียน สัมภาษณ์งานภาษาอังกฤษ (PART II) | คุณจะทําอะไรให้บริษัท – NATAVIGUIDES

10 คำถามปราบเซียน สัมภาษณ์งานภาษาอังกฤษ (PART II)

 

– Why do you want this job? –

– ทำไมถึงอยากได้งานนี้ –

 

คำแนะนำ : คุณควรรู้จักบริษัทที่คุณสมัคร และรู้ถึงข่าวสารล่าสุดที่บอกถึงทิศทางที่บริษัทกำลังจะไป และที่สำคัญคุณต้องรู้ว่าตำแหน่งคุณต้องเข้ามาแก้ปัญหาในด้านไหน

 

สำหรับการตอบคำถามให้ตอบว่า “ทำไมคุณถึงเป็นผู้สมัครที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตำแหน่งนี้” คุณจะเข้ามาช่วยสร้างอะไรให้กับบริษัท และคุณจะได้อะไรตอบแทนที่นอกเหนือจากตัวเงิน เช่น ความต้องการพิสูจน์ตัวเอง เป็นต้น

 

“I want this job because it emphasizes sales and marketing, two of my greatest skill sets. I know I could bring my ten years of sales and marketing experience to this company, and help you continue your years of growth.”

 

ดิฉันต้องการงานตำแหน่งนี้เพราะมันจะช่วยต่อยอดทักษะด้ายการขายและการตลาดซึ่งเป็นสองทักษะที่ดีที่สุดของดิฉัน ดิฉันเชื่อว่าดิฉันสามารถนำเอาประสบการณ์การขายและการตลาดกว่า 10 ปีที่ดิฉันมีมาใช้กับที่นี่ได้ และช่วยให้บริษัทของคุณมียอดขายเติบโตในทุกๆปีค่ะ

 

“I understand that this is a company on the rise. As I’ve read on your website and in various press releases, you are planning to launch several new products in the coming months. I want ​to be a part of this business as it grows, and I know my experience in product development would help your company as you roll out these products.”

 

ดิฉันเชื่อว่าบริษัทอยู่ในช่วงขาขึ้นนะคะ จากที่ดิฉันได้อ่านข้อมูลจากเว็บไซต์และข่าวต่างๆ ทางบริษัทของคุณมีแผนที่จะออกผลิตภัณฑ์ใหม่หลากหลายรายการในเดือนที่จะมาถึงนี้ ดิฉันอยากเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตของบริษัทค่ะ และดิฉันรู้ว่าประสบการณ์ทางด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ดิฉันมี จะช่วยบริษัทของคุณในเรื่องของการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ว่านี้ได้ค่ะ

 

“This job is a good fit for what I’ve been doing and enjoying throughout my career. It offers a mix of short-term projects and long-term goals. My organizational skills allow me to successfully multitask and complete both kinds of projects.”

 

งานนี้เหมาะเจาะกับสิ่งที่ดิฉันทำและดิฉันสนุกกับมันในอาชีพของดิฉันค่ะ มันสร้างโอกาสให้ดิฉันได้ทำโปรเจ็คระยะสั้นและระยะยาวผสมผสานกัน ทักษะการจัดการที่ดิฉันมีนั้นจะช่วยให้ดิฉันสามารถทำทั้งสองอย่างได้สำเร็จลุล่วงค่ะ

 

ข้อควรระวัง : ถึงแม้การตอบว่าเงินเดือนดี สวัสดิการดี หรือบ้านใกล้จะเป็นคำตอบที่แท้จริงในใจคุณ แต่มันไม่ได้สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้ตัวคุณ อย่าลืมว่าผู้สัมภาษณ์ต้องการวัดทัศนคติในการเรียนรู้ และความมุ่งมั่นในการทำงานของคุณด้วย ฉะนั้นอย่าลืมตอบให้ดู “มีไฟ” ด้วยนะครับ

 

– Why are you leaving or have left your job? –

– ทำไมคุณถึงลาออกหรือกำลังจะลาออกจากงานเก่า –

 

คำแนะนำ : หลายๆบริษัทมักจะถามคุณอยู่แล้วว่าทำไมคุณกำลังจะออกจากงาน หรือคุณออกจากที่เก่าเพราะอะไร ทั้งนี้เพื่อที่จะได้รู้ว่าคุณลาออกมาเองหรือถูกให้ออกจากงานเนื่องจากความผิดพลาดในการทำงานบางอย่างหรือเปล่า อย่างไรก็ตาม คำตอบของคุณควรจะทำให้คุณดูดีอยู่ดี ไม่ว่าจะมาจากเหตุผลอะไรก็ตามนะครับ

 

“จงโฟกัสที่ปัจจุบันและอนาคต มากกว่าประสบการณ์ในอดีต”

 

สิ่งที่คุณสามารถใช้เป็นตัวช่วยในการหลีกเลี่ยงคำตอบตรงๆ ในเรื่องประสบการณ์การทำงานที่เก่าก็คือการพูดถึง “แพสชั่น” หรือความคาดหวังส่วนตัวของคุณที่มีต่อชีวิตการทำงาน โดยโฟกัสว่างานใหม่นี้จะมอบโอกาสทางการทำงานให้คุณอย่างไรได้บ้างนั่นเอง

 

มาดูตัวอย่างคำตอบกันนะครับ

 

คุณกำลังมองหาความท้าทาย — “I found myself bored with the work and looking for more challenges. I am an excellent employee, and I didn’t want my unhappiness to have any impact on the job I was doing for my employer.” ผมพบว่าผมเบื่องานเดิมและต้องการมองหาความท้าทายใหม่ๆ ผมเป็นลูกจ้างที่ดีนะครับ และผมไม่ต้องการให้ “ความรู้สึกไม่มีความสุข” ของผมนั้นมากระทบกับงานที่ทำที่บริษัทเดิมครับ

 

คุณกำลังมองหาความก้าวหน้า — “There isn’t room for growth with my current employer, and I’m ready to move on to a new challenge.” ผมไม่มีโอกาสได้ก้าวหน้าในที่ทำงานเดิมเลยครับ และผมเองพร้อมแล้วที่จะเจอความท้าทายใหม่ๆ

 

คุณโดนเลย์ออฟมา — “I was laid off from my last position when our department was eliminated due to corporate restructuring.” ผมถูกให้ออกเพราะแผนกที่ผมทำงานอยู่ถูกยุบ เนื่องจากบริษัทนั้นได้ทำการปรับโครงสร้างองค์กรครับ

 

คุณมีเหตุผลส่วนตัว — “I’m relocating to this area due to family circumstances and left my previous position in order to make the move.” ผมย้ายมายังที่นี่เนื่องจากสถานการณ์ทางด้านครอบครัวของผมครับ ผมจึงต้องลาออกจากงานเดิมมา

 

คุณคิดว่างานเก่าไม่ใช่งานในฝัน — “I’ve decided that my current work role is not the direction I want to go in my career and my current employer has no opportunities in the direction I’d like to head.” ผมคิดว่างานเก่านั้นไม่ได้เป็นไปในทิศทางที่ผมต้องการจะเติบโต และนายจ้างก็ไม่ได้เปิดโอกาสให้กับทิศทางที่ผมต้องการจะไปครับ

 

คุณเพิ่งเรียนจบ — “I recently received my degree, and I want to utilize my educational background in my next position.” ผมเพิ่งได้รับปริญญามา และผมต้องการใช้ความสามารถจากพื้นฐานการศึกษาที่ผมมีกับงานใหม่นี้ครับ

 

คุณเบื่อการเดินทาง — “I was commuting to the city and spending a significant amount of time each day on travel. I would prefer to be closer to home.” ผมเคยต้องเดินทางเข้าเมืองและใช้เวลาอย่างมากมายในการเดินทาง ผมจึงอยากที่จะได้ทำงานใกล้บ้านมากขึ้นน่ะครับ

 

คุณโดนให้ออก — “The company was cutting back and, unfortunately, my job was one of those eliminated.” บริษัทเก่าลดต้นทุน และโชคร้ายที่งานของผมก็เป็นหนึ่งตำแหน่งที่โดนโละครับ

 

ข้อควรระวัง : อย่าด่าเจ้านายเก่า! เพราะโลกธุรกิจนั้นเชื่อมโยงกันไปหมด เผลอๆบริษัทเก่าที่คุณลาออกมา กลับกลายเป็นลูกค้าหรือพาร์ทเนอร์เจ้าสำคัญของบริษัทใหม่ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อนก็เป็นได้ ซึ่งผู้สัมภาษณ์คงไม่อยากจ้างคนที่ด่า “ลูกค้าคนสำคัญ” ของเขาอย่างเสียๆหายๆใช่ไหมล่ะครับ

 

– How do you handle stress and pressure? –

– คุณรับมือกับความเครียดและความกดดันอย่างไรบ้าง –

 

คำแนะนำ : คำถามข้อนี้ สิ่งที่ผู้สัมภาษณ์อยากรู้มากที่สุดคือ “ความเครียดปริมาณมากแค่ไหน ที่จะส่งผลต่อการทำงานของคุณ” และคุณจะจัดการมันได้อย่างไรโดยไม่กระทบกับการทำงานในแต่ละวัน คุณสามารถตอบโดยเล่าถึงสถานการณ์ในอดีตว่าคุณเคยจัดการกับปัญหาที่สร้างความเครียดให้คุณอย่างไรบ้าง คุณอาจบอกว่าเคสที่คุณเล่านั้นได้ทำให้คุณเครียด แต่ความเครียดปริมาณดังกล่าวทำให้คุณรู้สึกตั้งใจทำงานมากขึ้น และทำให้คุณรู้สึกท้าทาย เป็นต้น

 

ถ้าความเครียดที่เคยเกิดขึ้นกับคุณเป็นความเครียดที่เกิดขึ้นโดยปกติตามเนื้องาน (ซึ่งมักจะหลีกเลี่ยงไม่ได้) คุณไม่ควรกล่าวถึงมันนะครับ เช่น ถ้าคุณสมัครงานตำแหน่งพนักงานขาย แต่คุณบอกผู้สัมภาษณ์ว่าคุณเครียดเวลาต้องคุยกับคนเยอะๆ (อ้าว…) หรือคุณสมัครเป็นโปรเจ็คแมเนเจอร์ แต่ดันไปบอกว่าเครียดเวลาทำงานหลายๆอย่างพร้อมกัน (เอ๊ะ!) แบบนี้คงหมดโอกาสได้งานกันพอดีจริงไหมครับ

 

ตัวอย่างการตอบที่คุณสามารถนำไปใช้ได้ก็คือ…

 

“I actually work better under pressure, and I’ve found that I enjoy working in a challenging environment.” จริงๆแล้วดิฉันสามารถทำงานได้ดีขึ้นภายใต้ความกดดันนะคะ ดิฉันพบว่าดิฉันนั้นชอบทำงานในสภาวะที่ท้าทายความสามารถค่ะ”

 

“I find that when I’m under the pressure of a deadline, I can do some of my most creative work.” ดิฉันพบว่าเมื่อดิฉันอยู่ในสภาวะที่ถูกกดดันด้วยวันเด้ดไลน์ ดิฉันจะสามารถทำงานได้อย่างมีความคิดสร้างสรรค์มากที่สุด

 

หรือจะบอกว่า “I react to situations, rather than to stress. That way, the situation is handled and doesn’t become stressful.” ดิฉันเลือกที่จะจัดการกับสถานการณ์นั้นมากกว่าจะมานั่งเครียดกับมันนะคะ ด้วยวิธีนี้ทำให้ดิฉันควบคุมสถานการณ์นั้นไว้ได้และไม่เกิดเป็นความเครียดค่ะ

 

โดยคุณอาจยกตัวอย่างให้ผู้สัมภาษณ์ฟัง โดยใช้คำว่า “For example”

 

“For example, when I deal with an unsatisfied customer, rather than feeling stressed, I focus on the task at hand. I believe my ability to communicate effectively with customers during these moments helps reduce my own stress in these situations and also reduces any stress the customer may feel.”

 

เมื่อดิฉันต้องดูแลลูกค้าที่รู้สึกไม่พึงพอใจกับสินค้า แทนที่ดิฉันจะเครียด ดิฉันกลับมาโฟกัสที่งานที่ดิฉันต้องแก้ไขมากกว่า ซึ่งดิฉันเชื่อมั่นว่าความสามารถในการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพกับลูกค้าของดิฉันนั้น จะช่วยลดความเครียดในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ และยังทำให้ลูกค้าไม่รู้สึกเครียดไปด้วย

 

แชร์


ตลก 6 ฉาก | 6 พ.ย. 64 Full EP


ติดตาม ตลก 6 ฉาก
ทุกวันเสาร์ ตั้งแต่เวลา 11:30 เป็นต้นไป
=========================================
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่
Facebook: https://www.facebook.com/workpoint
Website: https://www.workpointtv.com
Instagram: https://www.instagram.com/workpoint
TikTok: https://vt.tiktok.com/ZS9GDwTY

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูความรู้เพิ่มเติมที่นี่

ตลก 6 ฉาก | 6 พ.ย. 64 Full EP

เป็นแค่ผู้จัดการ แต่…


เป็นแค่ผู้จัดการ แต่… ละครสะท้อนสังคม

เป็นแค่ผู้จัดการ แต่...

ร้องไห้ได้ไหม – แซ็ค ชุมแพ |【Official MV】


เพลง : ร้องไห้ได้ไหม
ศิลปิน : แซ็ค ชุมแพ
คำร้อง/ทำนอง : เอ๊ะ ต้นไม้มิวสิค
เรียบเรียง : ชินวุฒิ วัฒนาสัจจา (เดอะชิน)
Mix Master : อานนท์ เชื้อบุญมา
Graphic Director/Creative : น๊อตซิ่ง ต้นไม้มิวสิค
Assistant Photographer : แฮม ต้นไม้มิวสิค
………………………………………………………………
Producer : เอ๊ะ ต้นไม้มิวสิค
Manager : พี่ตั้ม สามารถ ทองขาว
ติดต่องานแสดง : 0818235155
……………………………………………………………..
เฮ็ดดีที่สุด พยายามทุกอย่าง
ยอมทุกทุกทาง เก็บเอาไว้คนเดียว
ไผกะบ่เห็นค่า ไผกะบ่เข้าใจ
คนฮักกะเหมิดใจ บ่เหลือไผเลยอิหลี
ขอร้องไห้ได้ไหม หัวใจมันเกินจะทน
เก็บอาการมาโดน เจ็บจนทนไม่ไหว
ขอร้องไห้ได้บ่ มาท้อมาแท้ แท้น้อหัวใจ
คือมองบ่เห็นทางไป ขอฮ้องไห้แน่เด้อ
โลกนี้ช่างว่างเปล่า เดียวดายแท้หัวใจ
มีคำถามที่เก็บไว้ ชีวิตเฮาทำไมต้องเป็นแบบนี้
() Solo:
ภาวนาให้ฟ้าในวันรุ่ง มอบกำลังใจให้ก้าวต่อ
มีใครสักคนบ้างไหมที่พอเข้าใจ โอบกอดปลอบโยนบ่ไปไส
อยู่เคียงข้างกันเป็นแฮงใจ…สิมีบ่
()
………………………………………………………………………
⏩ติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่
👉https://www.facebook.com/TonmaiMusic/
👉https://www.facebook.com/BigLoveMusicGroup
…………………………………………………………………

ร้องไห้ได้ไหม - แซ็ค ชุมแพ |【Official MV】

แล้วคุณล่ะ? มีเหตุผลไหม ทำไมไม่เริ่มลงทุน…


เปิดความคิดของคนที่ไม่คิดเริ่มลงทุน หลังจากได้รับคำแนะนำจาก KTAM แล้ว ความคิดของพวกเขาเปลี่ยนไปอย่างไร
มาฟังหลากหลายเหตุผลของคนที่ไม่คิดเริ่มลงทุน เมื่อปรับทิศชีวิตให้ติดลมบน แล้วคุณจะรู้ว่า ทำไมต้องถึงเวลาที่คุณต้องเริ่มลงทุน
ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
รายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.ktamthiswayup.com
ThisWayUp เรื่องลงทุนต้องKTAM แล้วคุณจะรักการลงทุน

แล้วคุณล่ะ? มีเหตุผลไหม ทำไมไม่เริ่มลงทุน...

อยากได้งานบริษัทญี่ปุ่น…ต้องดู : ดูให้รู้ Dohiru [CC] (2 ส.ค. 63)


หากคุณกำลังมองหางานใหม่ อยากเปลี่ยนงาน หรือต้องการไปทำงานกับบริษัทญี่ปุ่น ฟูจิเซ็นเซจะพาไปดูให้รู้ถึงเคล็ดลับของการสมัครงาน ซึ่งแนะนำโดยบริษัทจัดหางานที่ได้ชื่อว่าเป็นบริษัทอันดับ 1 ในการหางานที่ดีให้กับผู้สมัคร การทำงานในบริษัทญี่ปุ่นจะให้ความละเอียดทุกขั้นตอน ดังนั้นการเตรียมตัวสมัครงานต้องเตรียมตัวให้พร้อม
ประธานบริษัทจัดหางานให้บริษัทญี่ปุ่นในไทย จะมาบอกเคล็ดลับการสมัครงานกับบริษัทญี่ปุ่นต้องมีการเตรียมตัวอย่างไร ตั้งแต่วิธีการกรอกใบสมัครงาน เช่น ต้องเขียนให้ครบทุกช่อง และเขียนให้อ่านง่าย การแต่งกายอย่างไรให้สุภาพถูกใจนายจ้างญี่ปุ่น วิธีการให้สัมภาษณ์ ซึ่งการสัมภาษณ์งานนอกจากพื้นฐานเรื่องภาษาแล้วนายจ้างจะดูไหวพริบและบุคลิกภาพควบคู่ไปด้วย และที่สำคัญจะทำอย่างไรให้ใบสมัครของเราดูสมบูรณ์น่าเลือกที่สุด สิ่งที่ควรพัฒนาตัวเองในช่วงนี้คืออะไร ไม่ว่าท่านจะมีงาน หรือว่างงานในตอนนี้ ไม่ควรพลาด
ติดตามได้ในรายการดูให้รู้ ตอน อยากได้งานบริษัทญี่ปุ่น…ต้องดู วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม 2563 เวลา 17.30 18.00 น. ทางไทยพีบีเอส หรือรับชมย้อนหลังได้ทาง http://www.thaipbs.or.th/Dohiruและติดตามความเคลื่อนไหวของรายการได้ที่ http://www.facebook.com/Dohiru
บริษัทญี่ปุ่น dohiru ดูให้รู้
\r
\r
กด Subscribe \r
ติดตามรายการดีๆของช่อง ได้ที่ : http://goo.gl/hdy2ye\r
และ ติดตามไทยพีบีเอสออนไลน์ ได้ที่ \r
\r
Website : http://www.thaipbs.or.th \r
Facebook : http://www.fb.com/ThaiPBSFan \r
Twitter : http://www.twitter.com/ThaiPBS \r
Instagram : http://www.instagram.com/ThaiPBS \r
LINE : http://www.thaipbs.or.th/AddLINE\r
YouTube : http://www.youtube.com/ThaiPBS

อยากได้งานบริษัทญี่ปุ่น…ต้องดู : ดูให้รู้ Dohiru [CC] (2 ส.ค. 63)

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูวิธีอื่นๆMAKE MONEY ONLINE

ขอบคุณที่รับชมกระทู้ครับ คุณจะทําอะไรให้บริษัท

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *