Skip to content
Home » [Update] 10 วรรณกรรมต้องอ่าน เพื่อพัฒนาภาษาอังกฤษ | ของ ฟรี ไม่มี ใน โลก ภาษา อังกฤษ – NATAVIGUIDES

[Update] 10 วรรณกรรมต้องอ่าน เพื่อพัฒนาภาษาอังกฤษ | ของ ฟรี ไม่มี ใน โลก ภาษา อังกฤษ – NATAVIGUIDES

ของ ฟรี ไม่มี ใน โลก ภาษา อังกฤษ: นี่คือโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้

     สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว

Dek-D.com

น้องๆ เคยสงสัยกันมั้ยคะว่าเด็กอเมริกันเรียนอะไรกันบ้างในวิชาภาษาอังกฤษ อย่างบ้านเราเวลาเรียนวิชาภาษาไทยก็จะได้เรียนทั้งหลักภาษา การเขียนเรียงความ เขียนจดหมายราชการ รวมไปถึงการอ่านวรรณคดีอย่างรามเกียรติ์ หรืออ่านหนังสือนอกเวลาเป็นวรรณกรรมน่ารักๆ อย่างนิกกับพิม เด็กฝรั่งเองก็มีเรียนแบบนี้เหมือนกันค่ะ มาดูกันดีกว่าว่าเด็กนักเรียนที่นั่นต้องอ่านวรรณกรรมเรื่องใดกันบ้าง

     อันที่จริงจำนวนหนังสือที่ต้องอ่าน ไม่ว่าจะเป็นเล่มบังคับหรือเล่มแนะนำเพิ่มเติมมีเยอะมากกกกกกกก แถมแต่ละโรงเรียนไม่จำเป็นต้องอ่านให้เหมือนกันในแต่ละเทอมด้วย พี่พิซซ่าจะดึงเรื่องเด่นๆ แบบนักเขียนไม่ซ้ำมาให้ละกันนะคะ

www.amazon.com

1. To Kill a Mockingbird โดย Harper Lee

     เรื่องนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1960 และประสบความสำเร็จในทันที ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ด้วย แถมยังกลายเป็นวรรณกรรมคลาสสิกของอเมริกันในยุคใหม่อีกด้วย เป็นหนึ่งในหนังสือขึ้นหิ้งที่ชาวอเมริกันต้องอ่านเลยค่ะ

     หนังสือเล่มนี้บอกเล่าเรื่องราวผ่าน Scout (สเก๊าต์) เด็กผู้หญิงวัย 6 ปีที่อาศัยอยู่กับพี่ชายชื่อ Jem (เจ็ม) และคุณพ่อที่เป็นพ่อหม้ายและเป็นทนายชื่อ Atticus Finch (แอตติคัส ฟินช์) นอกจากนี้สเก๊าต์ก็มีเพื่อนแถวบ้านที่สนิทกันอีกคนชื่อ Dill (ดิล) เด็กๆ ทั้งสามมักจะคุยกันเรื่องของผู้ชายที่ชื่อ Boo (บู) ที่ไม่มีใครเคยเห็นและไม่มีใครในเมืองอยากพูดถึงซักเท่าไหร่ ทั้งสามมักแอบไปดูบูบ่อยๆ และมักจะมโนต่างๆ นานาเกี่ยวกับบูไปตามที่ได้ยินคนอื่นเล่ามา แต่บางครั้งที่ไปแอบดูก็จะเจอของขวัญเล็กๆ ทิ้งไว้ให้เด็กๆ ในต้นไม้หน้าบ้านบู

     นอกจากเรื่องราวของเด็กๆ แล้ว สเก๊าต์ยังเล่าเรื่องงานของพ่อด้วย นั่นคือพ่อถูกให้ไปว่าความให้ชายผิวดำที่โดนกล่าวหาว่าไปข่มขืนเด็กผู้หญิงผิวขาว นั่นทำให้เด็กคนอื่นมาล้อสเก๊าต์และเจ็มว่ามีพ่อที่เป็นพวกรักคนดำ เพราะเหตุการณ์ในเรื่องนี้เกิดที่มลรัฐอลาบาม่าในช่วง Great Depression (ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างรุนแรง) ซึ่งบริเวณนั้นในยุคนั้นยังไม่ค่อยมองคนผิวสีอย่างเท่าเทียมซักเท่าไหร่

     ถ้าอยากรู้ว่าตกลงชายผิวดำคนนั้นทำผิดจริงมั้ย แล้วเด็กๆ จะใช้ชีวิตแบบที่โดนคนอื่นแกล้งอย่างไร หรือตกลงบูเป็นใครและมีความสำคัญยังไงกับเรื่องก็ต้องตามไปอ่านเองค่ะ เนื้อเรื่องอาจจะดูหนักเพราะพูดถึงเรื่องสีผิวและคดีข่มขืน แต่จริงๆ แล้วเรื่องนี้ก็สอดแทรกความขบขันของเด็กๆ อยู่ มีความอบอุ่นในครอบครัว แถมยังสะท้อนแนวคิดสังคมอเมริกันในรัฐทางภาคใต้ยุคนั้นด้วย เป็นตำนานอีกเรื่องหนึ่งเลยแหละ

2. 1984 โดย George Orwell

     เป็นนิยายดิสโทเปียที่ตีพิมพ์ในปี 1949 โดยนักเขียนชาวอังกฤษ เป็นเรื่องราวในโลกที่มีสงครามตลอดกาล มีการสอดส่องของรัฐบาลอยู่ทุกที่ และยังทำให้การคิดอย่างอิสระกลายเป็น “อาชญากรรมทางความคิด” โดยมี Big Brother คอยดูอยู่

     ตัวเอกของเรื่องคือ Winston Smith (วินสตัน สมิธ) เขาเป็นสมาชิกพรรคนอกและทำงานให้กับกระทรวงความจริง หน้าที่ของเขาคือการเปลี่ยนประวัติศาสตร์ในหนังสือพิมพ์เก่าๆ ให้มีเนื้อหาสนับสนุนแนวคิดพรรคในปัจจุบันแทน ซึ่งงานอื่นของกระทรวงนี้ก็คือการทำลายเอกสารต่างๆ ที่จะเป็นหลักฐานว่ารัฐบาลกำลังโกหกอยู่ออกไปให้หมด วินสตันเป็นพนักงานที่ขยันขันแข็งแม้ว่าจริงๆ จะเกลียดพรรคของเขา และฝันว่าจะได้ก่อกบฏกับ Big Brother

     แค่นี้ก็น่าจะเดาได้แล้วว่านิยายเรื่องนี้เป็นนิยายที่ผสานทั้งการเมืองและวิทยาศาสตร์ไว้ด้วยกัน นอกจากนี้คำศัพท์หลายๆ คำจากเรื่องนี้ก็กลายมาเป็นคำที่ใช้ปกติกันเวลาพูดเรื่องการเมืองในชีวิตจริงอีกด้วย เรื่องนี้เคยได้รับเลือกจากนิตยสาร Time ให้เป็น 1 ใน 100 นิยายภาษาอังกฤษที่ดีที่สุดระหว่างปี 1923-2005 และยังได้รับเลือกเป็นนิยายที่ดีที่สุด 100 เรื่องในห้องสมุดอีกต่างหาก

     ถ้าชอบนิยายการเมืองและอยากอ่านผลงานของจอร์จ ออร์เวลล์อีกล่ะก็ พี่พิซซ่าแนะนำเรื่อง Animal Farm ให้อีกเรื่องค่ะ

www.amazon.com

3. Pygmalion โดย George Bernard Shaw

     พิกเมเลียนเป็นบทละครที่แสดงครั้งแรกในปี 1913 เป็นเรื่องราวของศาตราจารย์ด้านสัทศาสตร์ Henry Higgins (เฮนรี่ ฮิกกิ้นส์) ที่พนันว่าเขาจะเปลี่ยนสาวขายดอกไม้จากบ้านนอก Eliza Doolittle (เอไลซ่า ดูลิตเติล) ผู้พูดภาษาอังกฤษสำเนียงค็อกนี่ย์ ให้กลายเป็นสุภาพสตรีชั้นสูง โดนจะสอนทั้งเรื่องการพูดและมารยาทต่างๆ ให้กับเธอ

     บทละครเรื่องนี้ถูกดัดแปลงเป็นภาพยนตร์อีกมากมายหลายเรื่องเช่น She’s All That และ The Duff เรื่องที่โด่งดังที่สุดคือเรื่อง My Fair Lady นอกจากนี้ยังเป็นต้นแบบให้กับนิยายอีกหลายเรื่องที่ใช้พล็อตพระเอกพนันกับเพื่อนว่าจะเปลี่ยนสาวเฉิ่มให้เป็นสาวสวยให้ได้ ถ้าอยากรู้ว่าสุดท้ายแล้วเฮนรี่กับเอไลซ่าได้ลงเอยกันมั้ย ก็ต้องลองอ่านดูเองค่ะ แม้โดยรวมเรื่องนี้ดูจะค่อนไปทางคอเมดี้แต่ก็สอดแทรกแนวคิดเรื่องชนชั้นสูงของอังกฤษและบทบาทของผู้หญิงในสังคมยุคนั้นไว้ด้วยเช่นกัน นอกจากอ่านสนุกแล้ว ยังได้เกร็ดประวัติศาสตร์อีกด้วยนะ

4. Emma โดย Jane Austen

     เอ็มม่าเป็นนิยายคลาสสิกอีกเรื่องที่อ่านง่ายและเพลินมากเลยค่ะ เรื่องนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1815 แต่เนื้อหาไม่ได้ดูเชยเลย อ่านยุคนี้ก็ยังสนุกมากอยู่ค่ะ เรื่องราวว่าด้วย Emma (เอ็มม่า) สาวสวยสดใส ฉลาด หัวดื้อ ผู้ชอบจับคู่ให้คนนั้นคนนี้แต่ตัวเองสาบานว่าจะไม่แต่งงานเด็ดขาด แต่เธอก็มักทำผิดพลาดกับชีวิตคนอื่นอยู่เสมอ แถมยังค่อนข้างขี้มโน บางครั้งเธอก็ขัดขวางความรักคนอื่นเพราะมองว่าคู่นั้นไม่สมกันแบบในจินตนาการของเธอ ส่วนพระเอกของเรื่องคือ Mr. Knightley (คุณไนท์ลีย์) หนุ่มข้างบ้านที่เป็นคนเดียวที่กล้าวิจารณ์และขัดเอ็มม่าอยู่เสมอ มาดูกันว่าสุดท้ายแล้วทั้งคู่ลงเอยกันยังไง และคู่รักคู่อื่นในเรื่องที่เอ็มม่าไปยุ่งกับเขาเนี่ย จะสมหวังกันหมดมั้ย

     ใครชอบนิยายแนวโรแมนติกคอเมดี้ไม่ควรพลาดเรื่องนี้เลยค่ะ นิยายเรื่องนี้ถูกนำไปดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ ละคร และละครเวทีมากมายหลายครั้ง ถ้าใครอยากลองดูเวอร์ชันภาพยนตร์ละก็ พี่แนะนำเรื่อง Clueless ที่อลิเซีย ซิลเวอร์สโดนเล่น และเรื่อง Emma ที่กวินเน็ธ พัลโธรว์เล่น สนุกมากๆ เลยค่ะ

     ผลงานอื่นๆ ของเจน ออสเต็น ก็เป็นนิยายคลาสสิกที่ควรอ่านในโรงเรียนเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น Sense and Sensibility, Pride and Prejudice หรือ Northanger Abbey ลองหาอ่านกันดูนะคะ

www.amazon.com

5. The Great Gatsby โดย F. Scott Fitzgerald

     เอฟ สก๊อต ฟิตซ์เจอรัลด์ เป็นนักเขียนชาวอเมริกันที่เป็นตัวพ่อของยุคแจ๊ซหรือช่องทศวรรษที่ 20 ที่ดนตรีแจ๊ซ ท่าเต้นมันๆ และแฟชั่นชุดปาร์ตี้วิบวับกำลังเป็นที่นิยม นิยายเรื่องนี้ก็เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของยุคนั้นเช่นกัน ทุกวันนี้เวลามีงานปาร์ตี้เรายังเรียกธีมงานที่แต่งตัวเป็นยุค 20 ว่าธีมแกตส์บี้เลยใช่มั้ยล่ะ แต่จริงๆ แล้วตอนนี้เรื่องนี้ถูกตีพิมพ์ออกมากลับเป็นเรื่องที่ไม่ดัง ขายไม่ค่อยออก คำวิจารณ์ก็ย่ำแย่ ตัวฟิตซ์เจอรัลด์เองยังเสียชีวิตไปโดยคิดว่าตัวเองเป็นนักเขียนที่ไม่ได้เรื่องเลย แต่เรื่องนี้กลับมาอีกครั้งช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และกลายเป็นหนังสือเรียนในหลักสูตรภาคบังคับของอเมริกาในตอนนั้น จากนั้นก็ถูกดัดแปลงเป็นละครเวทีและภาพยนตร์อีกหลายต่อหลายเรื่อง

     เรื่องนี้บอกเล่าผ่าน Nick Carraway (นิค คาร์ราเวย์) บัณฑิตหนุ่มจากเยลที่เพิ่งได้งานในนิวยอร์ก เขาจึงมาเช่าบ้านบนเกาะสมมติแห่งหนึ่งในหมู่บ้านสมมติชื่อเวสต์เอ้ก เพื่อนข้างบ้านของเขาคือเศรษฐีหนุ่มผู้ลึกลับนามว่า Jay Gatsby (เจย์ แกตส์บี้) เจย์ชอบจัดงานปาร์ตี้แบบเวอร์วังเรื่อยๆ แต่ตัวเองกลับไม่ชอบอยู่ในงาน วันหนึ่งนิคไปเยี่ยมลูกพี่ลูกน้องชื่อ Daisy (เดซี่) ที่อยู่อีกฟากหนึ่งของอ่าว เดซี่แนะนำให้เขารู้จักกับสามีของเธอผู้เป็นเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยกับนิค จากนั้นเดซี่ก็แนะนำสาวให้นิค สาวคนนั้นบอกนิคว่าสามีของเดซี่แอบมีผู้หญิงอื่น ไม่นานนักนิคก็ได้รับเชิญไปงานปาร์ตี้ที่บ้านเจย์ และนิคก็ได้รู้ว่าเจย์เคยคบหากับเดซี่มาก่อน เขายังรักและรอเธอกลับมาสานสัมพันธ์กันต่ออยู่เสมอ มาลุ้นกันว่าสุดท้ายแล้วเดซี่จะรู้มั้ยว่าสามีมีเมียน้อย และเธอจะกลับมาคบหากับเจย์ แกตส์บี้อีกมั้ยนะ

     หลายคนน่าจะได้ชมภาพยนตร์เรื่อง The Great Gatsby เมื่อปี 2013 ที่แสดงโดยลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ ฉะนั้นลองไปหาเวอร์ชันนิยายอ่านดูก็น่าจะสนุกไม่แพ้กันค่ะ

6. Romeo and Juliet โดย William Shakespeare

     มีผลงานของเชคสเปียร์เป็นสิบๆ เรื่องที่กลายมาเป็นบทอ่านในหลักสูตรภาคบังคับของนักเรียนมัธยม โดยส่วนตัวพี่ไม่ค่อยชอบอ่านงานเชคสเปียร์เท่าไหร่เพราะเป็นบทละครและกลอนภาษาเก่าๆ ยากๆ ให้ความรู้สึกเหมือนอ่านรามเกียรติ์ 5555 แต่ก็ยอมรับว่าหลายเรื่องมีอิทธิพลต่องานเขียนในยุคต่อมา แถมแต่ละเรื่องก็โด่งดังกลายเป็นภาพยนตร์และละครเวทีมากมาย ที่ไม่ว่าจะทำซ้ำอีกเมื่อไหร่ก็ปังตลอด เรื่องที่เป็นที่รู้จักกันดีสุดๆ ก็คงหนีไม่พ้นโรมิโอและจูเลียต ที่ต่อให้ไม่เคยอ่านของจริงมาก่อนแต่ทุกคนก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าเป็นเรื่องประมาณไหนใช่มั้ยละคะ

     นอกจากโรมิโอและจูเลียตแล้ว ผลงานอื่นๆ ที่มักเจอในหลักสูตรมัธยมบ่อยๆ ได้แก่ Macbeth, Hamlet, King Lear, Othello, A Midsummer Night’s Dream, The Merchant of Venice, Twelfth Night, The Tempest และ Much Ado About Nothing แต่จริงๆ แล้วงานเชคสเปียร์ก็ดังและถูกเลือกไปสอนในชั้นเรียนแทบทุกเรื่องเลยแหละ

www.amazon.com

7. Of Mice and Men โดย John Steinbeck

     ออฟไมซ์แอนด์เม็นเป็นนิยายขนาดสั้นที่ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1937 บอกเล่าเรื่องราวของ 2 หนุ่ม George Milton (จอร์จ มิลตัน) และ Lennie Small (เลนนี่ สมอลล์) แรงงานที่ย้ายหางานทำไปเรื่อยๆ ทั่วแคลิฟอร์เนียเพราะตอนนั้นอยู่ในยุคภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งยิ่งใหญ่ งานจึงหายาก จอร์จเป็นคนหัวดีแม้จะไม่ได้รับการศึกษาในโรงเรียนมาก็ตาม ส่วนเลนนี่มีพัฒนาการทางสมองที่บกพร่อง เขาเป็นคนตัวใหญ่ดูน่ากลัว แต่ถึงยังไงทั้งคู่ก็เป็นเพื่อนรักกันและมักแชร์ความฝันที่วันหนึ่งจะมีอนาคตที่สดใสร่วมกันอยู่เสมอ เลนนี่ชอบเล่นอะไรกับสัตว์ที่นุ่มๆ น่ารักๆ เช่นกระต่าย แต่ด้วยความบกพร่องของเขาทำให้เขามักฆ่าสัตว์โดยไม่ตั้งใจเสมอ แล้ววันหนึ่งความอยากลูบของนุ่มๆ น่ารักๆ ของเลนนี่นี่แหละที่ทำให้เขาโดนกล่าวหาว่าพยายามข่มขืนผู้หญิงคนหนึ่ง

     ใครอยากอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับมิตรภาพของสองหนุ่มที่ไม่มีอะไรเหมือนกันเลย อยากรู้ว่าชีวิตเลนนี่ต่อจากนั้นจะเป็นอย่างไร และทั้งคู่จะประสบความสำเร็จมีอนาคตที่สดใสกันได้หรือไม่ละก็ ไปลองหาอ่านกันได้เลยค่ะ และถ้าอ่านจบแล้วอยากอ่านเรื่องแนวนี้อีก แนะนำเรื่อง The Grapes of Wrath อีกผลงานชิ้นเยี่ยมของจอห์น สไตน์แบ็ก ที่เป็นหนังสือเรียนมัธยมด้วยเช่นกัน

8. The Scarlet Letter โดย Nathaniel Hawthorne

     นิยายเรื่องนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1850 แต่ตัวเรื่องมีเซ็ตติ้งในช่วงปี 1642-1649 ในสังคมพิวริตัน (กลุ่มชาวคริสต์ที่ยึดถือเรื่องความ “บริสุทธิ์” ในทุกๆ อย่าง ต้องปฎิรูปคริสต์นิกายต่างๆ ให้บริสุทธิ์ที่สุด) มลรัฐแมสซาชูเซ็ตส์ ถ้าใครเคยชมภาพยนตร์เรื่อง Easy A ก็น่าจะพอรู้จักนิยายเรื่องนี้คร่าวๆ บ้างแล้ว

     เรื่องเปิดที่ชุมชนพิวริตันในเมืองบอสตัน ผู้คนต่างมาชุมนุมดูการลงโทษหญิงคนหนึ่งนามว่า Hester Prynne (เฮสเทอร์ พรินน์) เพราะเธอลักลอบเป็นชู้ และมีลูกไม่มีพ่อ เธอต้องปักตัว A ไว้ที่เสื้อเพื่อให้อับอาย เพราะเหมือนเป็นการประจานว่าเธอเป็นหญิงไม่ดี นอกจากนี้ยังต้องถูกด่าประจานอีกหลายชั่วโมง แม้จะโดนประจานหนักขนาดไหนเธอก็ยืนรับเงียบๆ แบบมีศักดิ์ศรี และไม่ยอมเปิดปากว่าใครเป็นพ่อของเด็ก

     ในฝูงชนนั้นเฮสเทอร์เห็นสามีของเธอที่คิดว่าหายไปกลางทะเลเป็นเวลานานแล้วอยู่ด้วย แต่พอสามีเธอรู้ว่าเธอต้องโทษอะไรเขากลับโกรธมาก และสาบานว่าจะหาพ่อของเด็กให้ได้เพื่อเอาตัวคนนั้นมาลงโทษด้วย เขาจึงปลอมตัวเป็นหมอที่มาตรวจดูอาการเธอในคุก แต่เฮสเทอร์ก็ยังไม่ยอมพูดอยู่ดีว่าใครเป็นพ่อเด็ก สามีจึงสั่งว่าเธอห้ามบอกใครเด็ดขาดว่าเขาเป็นสามีของเธอ ถ้าเธอพูดเขาจะจัดการกับพ่อเด็กให้ได้

     ต้องอ่านเองแล้วแหละว่าตกลงใครเป็นพ่อเด็ก แล้วทำไมเฮสเทอร์จึงไม่ยอมบอกใคร และสามีเธอจะจัดการกับพ่อเด็กได้หรือไม่ เรื่องจะลงเอยยังไงกันแน่เนี่ย

www.amazon.com

9. Iliad โดย Homer

     เรื่องนี้ถือเป็นวรรณกรรมตะวันตกที่เก่าแก่ที่สุด เชื่อกันว่าเขียนขึ้นประมาณ 700 ปีก่อนคริสตกาล อิเลียดไม่ได้เป็นแค่นวนิยายแต่เป็นมหากาพย์เรื่องนาวที่เป็นเรื่องราวของสงครามกรุงทรอย แม้เซ็ตติ้งเรื่องราวจะเกิดขึ้นแค่ช่วงเวลาไม่กี่สัปดาห์ในปีสุดท้ายของสงคราม แต่ก็ใส่ตำนานกรีกไว้เยอะมาก ท้าวความถึงเรื่องราวก่อนหน้านั้น ตั้งแต่ว่าตอนแรกเกิดอะไร ทำไมถึงต้องมีสงครามนี้ รวมพลนักรบยังไง และเล่าไปถึงคำทำนายในอนาคต เช่นจุดจบของอะคิลีสจะเป็นอย่างไร ถ้าใครเคยชมภาพยนตร์เรื่อง Troy ก็น่าจะเข้าใจมหากาพย์เรื่องนี้ได้ไม่ยากค่ะ

     หลังอ่านอิเลียดจบก็อยากแนะนำให้อ่านเรื่องต่ออีกเรื่องได้เลย นั่นคือ Odyssey (โอดิสซี) เป็นเรื่องราวการผจญภัยของโอดิสซีอุสหลังสงครามกรุงทรอยจบและเขาต้องเดินทางกลับบ้าน แต่ระหว่างทางกลับต้องพบเจออุปสรรคมากมายที่ทำให้ถึงบ้านช้าไปอีกเป็นสิบปี ใครชอบตำนานกรีก ชอบเรื่องราวของวีรบุรุษและพลังมหัศจรรย์ทั้งหลายไม่ควรพลาดทั้ง 2 เรื่องนี้ค่ะ ผลงานชั้นครูจริงๆ

10. Frankenstein โดย Mary Shelley

     ถ้าพูดคำว่า “แฟรงเกนสไตน์” ขึ้นมา คงไม่มีใครไม่เคยได้ยินคำนี้ และพี่เชื่อว่าหลายคนคงเห็นภาพสัตว์ประหลาดที่คล้ายมนุษย์แต่ไม่ใช่มนุษย์ที่เกิดจากการเอาร่างคนตายมาปะต่อกันและใช้กระแสไฟฟ้าช็อตให้เกิดชีวิตขึ้นมา แต่ถ้าเป็นคนที่อ่านเรื่องนี้จริงๆ แล้วก็จะรู้ว่า “แฟรงเกนสไตน์” นั้นคือนามสกุลของนักวิทยาศาสตร์ผู้สร้างสิ่งมีชีวิตนี้ขึ้นมาต่างหาก ไม่ใช่ชื่อของตัวนั้นเอง

     ถ้าใครรู้จักแฟรงเกนสไตน์มาจากสื่อต่างๆ เยอะแล้ว พี่ยิ่งแนะนำให้หาวรรณกรรมเรื่องนี้มาอ่านเลยค่ะ เพราะบอกเล่าเรื่องราวที่ไม่ค่อยจะเหมือนกับที่เราคุ้นเคยกันซักเท่าไหร่ มีทั้งความน่ากลัวสยองขวัญ และมีทั้งความโรแมนติกความดราม่าเรียกน้ำตา แถมน้องๆ จะได้รู้อีกด้วยว่าจริงๆ แล้วสัตว์ประหลาดที่วิกเตอร์ แฟรงเกนสไตน์ สร้างขึ้นมานั้น เรียกตัวเองว่าอะไร

     ทั้ง 10 เรื่องนี้เป็นงานวรรณกรรมส่วนหนึ่งที่นักเรียนไฮสคูลจำเป็นต้องเรียนกัน แต่จริงๆ ยังมีอีกเยอะเลยนะคะ ผลงานยุคใหม่ๆ ก็ถูกเติมเข้าไปในหลักสูตรแนะนำด้วยเช่นกัน ลองมาดูตัวอย่างกันอีกซักเล็กน้อยดีกว่าค่ะ

อีก 20 วรรณกรรมที่ควรอ่านก่อนเข้ามหาวิทยาลัย
     1. Great Expectations โดย Charles Dickens
     2. Walden โดย Henry David Thoreau
     3. The Picture of Dorian Gray โดย Oscar Wilde
     4. Joy Luck Club โดย Amy Tan
     5. Adventures of Huckleberry Finn โดย Mark Twain
     6. Looking for Alaska โดย John Green
     7. The Catcher in the Rye โดย  J.D. Salinger
     8. The Crucible โดย Arthur Miller
     9. Lord of the Flies โดย  William Golding
     10. The Count of Monte Cristo โดย Alexandre Dumas
     11. Fahrenheit 451 โดย  Ray Bradbury
     12. The Handmaid’s Tale โดย Margaret Atwood
     13. Jane Eyre โดย Charlotte Brontë
     14. Paradise Lost โดย John Milton
     15. The Help โดย Kathryn Stockett
     16. The Old Man and the Sea โดย Ernest Hemingway
     17. The Hobbit โดย J.R.R. Tolkien
     18. The Hound of the Baskervilles โดย Arthur Conan Doyle
     19. Gulliver’s Travels โดย Jonathan Swift
     20. Waiting for Godot โดย Samuel Beckett

    

ลองเลือกอ่านตามแนวที่สนใจดูนะคะ รับรองว่าอ่านแล้วภาษาอังกฤษจะพัฒนาขึ้นเยอะแน่นอน แถมยังได้ความรู้อีกเพียบด้วย

[Update] [18+] คำด่าย่อภาษาอังกฤษในโลกของอินเตอร์เน็ต | ของ ฟรี ไม่มี ใน โลก ภาษา อังกฤษ – NATAVIGUIDES

บางทีพวกตัวย่อพวกนี้ก็ลืมๆ เหมือนกัน เพราะไม่มีในพจนานุกรม เลยพิมพ์เก็บไว้ในสาระบบ chit’s blog
อย่าไปใช้ด่าใครหล่ะครับ ไม่ดีๆ

สำหรับใครที่เล่นเกมส์ออนไลด์หรือดูหนังฝรั่ง หากฟังคำพวกนี้เข้าใจ ก็จะเพิ่มประสบการณ์อารมณ์การดูหนังฝรั่งอีก 14.25% (ตัวเลขจาก Chit’s research institute)

————————————————–

WTF = What the – แปลว่า เ-้ยอะไรวะ (หยาบคายมาก)

FTW = – the world แปลแบบห้วนๆว่า -โลก แต่ความหมายที่แท้จริง คือ คำด่าลอยๆไม่ได้เจาะจงด่าใครเป็นพิเศษ ในภาษาไทยก็จะเป็นประมาณว่า พูดประโยคอะไรซักอย่างจบแล้วตามด้วย “-เห้อะ…” อารมณ์ประมาณผิดหวัง หรือว่าไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง
– the world แปลได้อีกอย่าง แปลว่า “แม่งสุดยอด” เช่น อยากบอกว่าวงดนตรี xJapan แม่งสุดยอด ก็พูดว่า “xJapan – the world” เป็นต้น

WTH = What the hell แปลว่า เ-้ยอะไรวะ ถ้าอยากสุภาพหน่อยก็ใช้คำว่า what the heck

LMAO = laugh my ass off แปลว่า ขำขี้แตกขึ้แตน

LMFAO = laugh my -ing ass off แปลว่า ขำขี้แตกขึ้นแตน (หยาบนิดหน่อย)

STFW = Search The -ing Web แปลว่า ดูในเว็บดิ ไอควาย (หยาบนิดหน่อย)

GIYF = Google Is Your Friend แปลว่า ไปดูใน google ดิ

JFGI , FGI = Just -ing Google It แปลว่า ไปดูใน google ดิ ไอควาย (หยาบคายปานกลาง)

RTFA = Read the -ing Article แปลว่า ไปอ่านในบทความดิ ไอควาย (หยาบคายปานกลาง)

RTFM = Read The -ing Manual แปลว่า ไออ่านในคู่มือดิ ไอควาย (หยาบคายปานกลาง)

DFC = Delicious Flat Chest แปลว่า นินทาผู้หญิงว่าไม่มีนม(แต่น่ารักมาก) ออกแนวหื่นกามอย่างยิ่ง

ROLF = ROllaround -ing Laugh แปลว่า ขำขี้แตกขึ้นแตน (หยาบนิดหน่อย)

ROFL = Rolling On Floor Laughing แปลว่า “ขำกลิ้ง” ไม่หยาบคายอะไร

STFU = Shut the – up แปลว่า”หุบปากไป ไอเ-้ย” หมายคายมาก
Suck my – (suck แปลว่า ดูด,- แปลว่า -) แปลง่ายๆเหมือน shut the – up แต่หยาบคายสุดๆ หรือเวลาไม่เห็นด้วยกับคนที่เราพูดอยู่แล้วบอกว่า “-เห้อะ,-เห้อ”

ROFLAO

= Rolling on floor laughing my ass off แปลว่า การขำขี้แตกขี้แตน(ขั้นสูงสุด) [ไม่ใช่คำหยาบ แต่ก็ไม่สุภาพ]

IDK= i don’t know [ไม่ใช่คำหยาบ]

FYI = for your information ใช้อ้างอิงเวลาตอบกระทู้ แปละว่า “จากข้อมูลที่คุณให้มา” [ไม่ใช่คำหยาบ]

IMHO = in my humble opinion ใช้พูดถ่อมตัวตอนแสดงความคิดเห็น แปลว่า”ในความคิดอันต้อยต่ำของข้าพเจ้า” [ไม่ใช่คำหยาบ]

GFY = Go – yourself แปลว่า ไปไกลๆตีนเลย (หยาบคายมาก ประมาณว่าชาตินี้ไม่ต้องเจอกันอีก ด่าด้วยคำนี้เป็นการด่าแบบจริงใจ ไม่ล้อเล่น)

GTFO = Get the – out แปลว่า ออกไปเลย-สัตว์ เช่น ออกจากห้องกูไปเลยสัส Get the – out of my room

Go shave your back เห็นมาจากหนังเรื่อง mean girls ไม่เคยเห็นคนใช้ด่ากันอย่างเป็นทางการเท่าไหร่ แปลตรงตัวว่า “ไปโกนขนที่หลังของคุณ” แปลเป็นไทยว่า “ไปไกลๆตีีนเลย”

Damn!! เป็นคำอุทาน ประมาณว่า แม่งเอ้ย! ต้องลากเสียงยาวด้วยนะ จะได้อารมณ์มากคำนี้ “แดมมมมมม!!” ในหนังฝรั่งเวลาพากย์เสียงไทย ก็จะพากย์ว่า “พับผ่าเถอะ(โรบิ้น)”
God damn it เป็นคำอุทานเหมือนกัน ประมาณว่า แม่งเอ้ย! ในหนังฝรั่งเวลาพากย์เสียงไทย ก็จะพากย์ว่า “พับผ่าเถอะ(โรบิ้น)”

OMG = Oh my god(gosh)
Oh my god. เป็นคำอุทานไม่หยาบคายอะไร แปลว่า “โอ้ พระเจ้า(จอร์ชมันยอดมาก)”
Oh my god ถ้าอย่างให้หยาบคายหน่อย ในหนังฝรั่งบางทีก็พูดว่า “Oh my -ing god” (พูดเน้นเสียงตรง -ing หนักและยาว เพื่อให้ได้อารมณ์ความหยาบคาย)
Oh – ใช้เหมือน Oh my god แต่หยาบคายกว่า แปลตรงตัวว่า โอ้ขี้ แต่ความหมายจริงๆคือ อุทานว่า แม่งเอ้ย…. ถ้าเป็น Oh – จะคล้ายๆกันแต่หยาบคายมาก แปลว่า -เอ้ย…
Oh crap เหมือน Oh – มักใช้ในประเทศออสเตเรียกับนิวซีแลนด์

holy – แปลตรงตัวว่า ขี้ศักสิทธิ์ เป็นคำอุทาน แปลว่า แม่งเอ้ย เวรเอ้ย
holy hell แปลตรงตัวว่า นรกศักสิทธิ์ เป็นคำอุทาน แปลว่า แม่งเอ้ย เวรเอ้ย

hell,yeah แปลว่า yes หรือแปลเป็นไทยว่า “เออดิ.. สาดดด”หรือพูดกับเพื่อนเพื่อความมันส์
hell,man เป็นคำอุทาน แปลว่า เวรเอ้ย
-ing hell,man เป็นคำอุทาน แปลว่า เ-้ยเอ้ย แม่งเอ้ย

– you แปลได้ประมาณว่า ไปตายซะหรือแปลเป็นภาษาพูดในภาษาไทยก็ได้ว่า -เห้อะ -เห้อะ ค่อนข้างหยาบคาย แต่เพื่อนกันก็ด่ากันเล่นๆด้วยคำนี้
ในภาษาอังกฤษอเมริกัน จะอ่านว่า ฟัก-ยู ชัดๆ
ในภาษาอังกฤษของประเทศในแถบยุโรป จะอ่านว่า โฝ๊ะ-ยู

Damn you แปลได้ประมาณว่า ไปตายซะ ค่อนข้างหยาบคาย ถ้าใช้คำนี้เป็นการด่าแบบจริงใจ ไม่ได้ล้อเล่น

Don’t kiss my ass แปลว่า อย่ามาตอแหล อย่ามาแกล้งเอาใจ

go to -ing hell แปลว่า ไปตายซะ,ไปลงนรกซะ

-,- แปลว่า อี- กระหรี่ อะไรประมาณนี้
sons of -es,son of a – แปลตรงตัวว่า -ลูกกระหรี่ ในหนังฝรั่งเวลาพากษ์เสียงไทยจะใช้คำว่า -ลูกหมาเอ้ย

I am in deep – แปลตรงตัวว่า ชั้นอยู่ในกองขี้ แปลเป็นไทยว่า “กูซวยแล้ววว.. สาดดด”
I -ed up แปลเป็นไทยว่า “กูซวยแล้ววว.. สาดดด”
you are in deep – แปลตรงตัวว่า คุณอยู่ในกองขี้ แปลเป็นไทยว่า “-ซวยแว้วววว. สาดด” คำที่สุภาพของคำนี้คือ you are in trouble
You -ed up “-ซวยแว้วววว. สาดด”

screw you แปลว่า -ตาย -เหอะ ไปตายซะ- ประมาณนี้
screw up แปลว่า ซวยแล้ว ไม่ใช่คำด่า คล้ายๆคำว่า -ed up

chickken,noob ,loserไม่หยาบคายมาก เป็นคำด่าว่า “ไออ่อน, เด็กน้อยหว่ะ, เกรียน,กาก” -ขี้แพ้ เด็กๆชอบด่าคำนี้กัน
coward ไม่หยาบคาย แต่เป็นคำด่า ว่า “ต่ำ,ขี้ขลาดตาขาว”

fool แปลว่า โง่
retarded แปลว่า ปัญญาอ่อน(อาการที่เป็นตั้งแต่กำเนิด IQ ต่ำกว่า 70)
tard มาจาก retarded แปลว่า โคตรปัญญาอ่อน แต่ tard จะใช้พูดกระแนะกระแหนคนปกติที่บางครั้งทำอะไรโง่ๆ ทำตัวปัญญาอ่อน ป้ำๆเป๋อๆ เป็นต้น

bastard ไอสารเลว หยาบคายเล็กน้อยถึงปานกลาง
prick แปลว่า ไอเ-้ยยยยย -ห่า อ่านว่า พริ๊กกกกก (ห่อลิ้นด้วย เพื่อให้ได้อารมณ์ในการด่า) มักใช้ด่าตำรวจ หยาบคายปานกลาง
– แปลว่า –
– head แปลว่า ไอหัว-
nerd ไม่ใช่คำหยาบ ใช้เรียกเด็กเรียนที่ใส่แว่นหนาๆ เรียนเก่งๆ
jerk แปลว่า ไอทึ่ม ออกแนวnerdที่ไม่ฉลาด แต่ว่าหยาบคายกว่า
Go Jerk Yourself แปลว่า ไป-เหอะ- เป็นวลี
ass,ass hole,you ass hole แปลตรงตัวว่า-รูตูด แปลเป็นไทยว่า ไอเลว – ใช้กันบ่อยคำนี้ หยาบคายปานกลาง
low life,you low level of intellegence แปลว่า สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ ไม่หยาบคาย คนมีการศึกษามึกใช้คำนี้ด่า แต่ว่าเจ็บมั่กๆ

douchebag แปลตรงตัวว่า อุปกรณ์ล้างจิ๋ม แปลเป็นไทยว่า ไอโง่ หยาบคายเล็กน้อย แต่โดนด่าแล้วเจ็บมั่กๆ เช่น You’re such a douche

pervert แปลว่า พวกวิปลาส โรคจิต

moron แปลว่า โง่ ไอควาย ไม่หยาบคายมาก
dumbass แปลว่า โง่ ไอควาย ไม่หยาบคายมาก
idiot แปลว่า โง่ ไอควายไม่หยาบคายมาก
– แปลว่า โง่ ไอควายไม่หยาบคายมาก

you -,you are a – = ไอหน้าตัวเมีย
– มีความหมายเดียวกับ vagina, -, vulva, -oris ที่แปลว่า อวัยะเพศหญิง
You are a -,you – = ไอหน้าตัวเมีย

UTSL = Use the Source, Luke (ประโยคอมตะมาจากหนังเรื่อง star war เป็นบทพูดของ Obi-Wan Kenobi) แปลตรงๆว่า ลุค,จงใช้พลังงานที่ซ่อนเร้นอยู่ในตัวเจ้า แต่ใน internet คำนี้จะแปลว่า “ไปดูที่ซอสโค้ด” เหล่าโปรแกรมเมอร์ชอบใช้คำนี้กัน ไม่หยาบคายอะไร

หมายเหตุ

-ing เป็น adjective สามารถเอามาเพิ่มในประโยคได้หมด โดยเอามานำหน้าคำนาม แค่นี้ก็ได้คำหยาบแล้ว เช่น
This is a book อยากให้เป็นคำหยาบก็เติม -ing เข้าไปข้างหน้า book
ได้ออกมาว่า “This is a -ing book”
This is a pen อยากให้เป็นคำหยาบก็เติม -ing เข้าไปข้างหน้า pen
ได้ออกมาว่า “This is a -ing pen”

-,Damn ยังใช้งานได้หลายรูปแบบ อาจแปลว่า “ช่างแม่ง” ก็ได้ เช่น
– politics,Damn politics แปลว่า “อย่าไปสนใจการเมือง ช่างแม่ง” วลีนี้จะได้ยินบ่อยในพวกหนังสงคราม
– the laws/- the rule/Damn the rule แปลเป็นไทยว่า “ช่างแม่ง กฎหัว-“
ฯลฯ

เครดิต :

http://dektp.tee-pak.com/phpBB2/viewtopic.php?p=5549

note: บทความนี้พิมพ์เก็บเอาไว้ใช้ในการศึกษาวัฒนธรรมอันสวยงามในด้านมืดของภาษา อังกฤษเท่านั้น ไม่ได้ส่งเสริมให้ท่านเป็นคนหยาบคายหรือเอาไว้ด่าใครบางทีพวกตัวย่อพวกนี้ก็ลืมๆ เหมือนกัน เพราะไม่มีในพจนานุกรม เลยพิมพ์เก็บไว้ในสาระบบ chit’s blogอย่าไปใช้ด่าใครหล่ะครับ ไม่ดีๆสำหรับใครที่เล่นเกมส์ออนไลด์หรือดูหนังฝรั่ง หากฟังคำพวกนี้เข้าใจ ก็จะเพิ่มประสบการณ์อารมณ์การดูหนังฝรั่งอีก 14.25% (ตัวเลขจาก Chit’s research institute)————————————————–WTF = What the – แปลว่า เ-้ยอะไรวะ (หยาบคายมาก)FTW = – the world แปลแบบห้วนๆว่า -โลก แต่ความหมายที่แท้จริง คือ คำด่าลอยๆไม่ได้เจาะจงด่าใครเป็นพิเศษ ในภาษาไทยก็จะเป็นประมาณว่า พูดประโยคอะไรซักอย่างจบแล้วตามด้วย “-เห้อะ…” อารมณ์ประมาณผิดหวัง หรือว่าไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง- the world แปลได้อีกอย่าง แปลว่า “แม่งสุดยอด” เช่น อยากบอกว่าวงดนตรี xJapan แม่งสุดยอด ก็พูดว่า “xJapan – the world” เป็นต้นWTH = What the hell แปลว่า เ-้ยอะไรวะ ถ้าอยากสุภาพหน่อยก็ใช้คำว่า what the heckLMAO = laugh my ass off แปลว่า ขำขี้แตกขึ้แตนLMFAO = laugh my -ing ass off แปลว่า ขำขี้แตกขึ้นแตน (หยาบนิดหน่อย)STFW = Search The -ing Web แปลว่า ดูในเว็บดิ ไอควาย (หยาบนิดหน่อย)GIYF = Google Is Your Friend แปลว่า ไปดูใน google ดิJFGI , FGI = Just -ing Google It แปลว่า ไปดูใน google ดิ ไอควาย (หยาบคายปานกลาง)RTFA = Read the -ing Article แปลว่า ไปอ่านในบทความดิ ไอควาย (หยาบคายปานกลาง)RTFM = Read The -ing Manual แปลว่า ไออ่านในคู่มือดิ ไอควาย (หยาบคายปานกลาง)DFC = Delicious Flat Chest แปลว่า นินทาผู้หญิงว่าไม่มีนม(แต่น่ารักมาก) ออกแนวหื่นกามอย่างยิ่งROLF = ROllaround -ing Laugh แปลว่า ขำขี้แตกขึ้นแตน (หยาบนิดหน่อย)ROFL = Rolling On Floor Laughing แปลว่า “ขำกลิ้ง” ไม่หยาบคายอะไรSTFU = Shut the – up แปลว่า”หุบปากไป ไอเ-้ย” หมายคายมากSuck my – (suck แปลว่า ดูด,- แปลว่า -) แปลง่ายๆเหมือน shut the – up แต่หยาบคายสุดๆ หรือเวลาไม่เห็นด้วยกับคนที่เราพูดอยู่แล้วบอกว่า “-เห้อะ,-เห้อ”= Rolling on floor laughing my ass off แปลว่า การขำขี้แตกขี้แตน(ขั้นสูงสุด) [ไม่ใช่คำหยาบ แต่ก็ไม่สุภาพ]IDK= i don’t know [ไม่ใช่คำหยาบ]FYI = for your information ใช้อ้างอิงเวลาตอบกระทู้ แปละว่า “จากข้อมูลที่คุณให้มา” [ไม่ใช่คำหยาบ]IMHO = in my humble opinion ใช้พูดถ่อมตัวตอนแสดงความคิดเห็น แปลว่า”ในความคิดอันต้อยต่ำของข้าพเจ้า” [ไม่ใช่คำหยาบ]GFY = Go – yourself แปลว่า ไปไกลๆตีนเลย (หยาบคายมาก ประมาณว่าชาตินี้ไม่ต้องเจอกันอีก ด่าด้วยคำนี้เป็นการด่าแบบจริงใจ ไม่ล้อเล่น)GTFO = Get the – out แปลว่า ออกไปเลย-สัตว์ เช่น ออกจากห้องกูไปเลยสัส Get the – out of my roomGo shave your back เห็นมาจากหนังเรื่อง mean girls ไม่เคยเห็นคนใช้ด่ากันอย่างเป็นทางการเท่าไหร่ แปลตรงตัวว่า “ไปโกนขนที่หลังของคุณ” แปลเป็นไทยว่า “ไปไกลๆตีีนเลย”Damn!! เป็นคำอุทาน ประมาณว่า แม่งเอ้ย! ต้องลากเสียงยาวด้วยนะ จะได้อารมณ์มากคำนี้ “แดมมมมมม!!” ในหนังฝรั่งเวลาพากย์เสียงไทย ก็จะพากย์ว่า “พับผ่าเถอะ(โรบิ้น)”God damn it เป็นคำอุทานเหมือนกัน ประมาณว่า แม่งเอ้ย! ในหนังฝรั่งเวลาพากย์เสียงไทย ก็จะพากย์ว่า “พับผ่าเถอะ(โรบิ้น)”OMG = Oh my god(gosh)Oh my god. เป็นคำอุทานไม่หยาบคายอะไร แปลว่า “โอ้ พระเจ้า(จอร์ชมันยอดมาก)”Oh my god ถ้าอย่างให้หยาบคายหน่อย ในหนังฝรั่งบางทีก็พูดว่า “Oh my -ing god” (พูดเน้นเสียงตรง -ing หนักและยาว เพื่อให้ได้อารมณ์ความหยาบคาย)Oh – ใช้เหมือน Oh my god แต่หยาบคายกว่า แปลตรงตัวว่า โอ้ขี้ แต่ความหมายจริงๆคือ อุทานว่า แม่งเอ้ย…. ถ้าเป็น Oh – จะคล้ายๆกันแต่หยาบคายมาก แปลว่า -เอ้ย…Oh crap เหมือน Oh – มักใช้ในประเทศออสเตเรียกับนิวซีแลนด์holy – แปลตรงตัวว่า ขี้ศักสิทธิ์ เป็นคำอุทาน แปลว่า แม่งเอ้ย เวรเอ้ยholy hell แปลตรงตัวว่า นรกศักสิทธิ์ เป็นคำอุทาน แปลว่า แม่งเอ้ย เวรเอ้ยhell,yeah แปลว่า yes หรือแปลเป็นไทยว่า “เออดิ.. สาดดด”หรือพูดกับเพื่อนเพื่อความมันส์hell,man เป็นคำอุทาน แปลว่า เวรเอ้ย-ing hell,man เป็นคำอุทาน แปลว่า เ-้ยเอ้ย แม่งเอ้ย- you แปลได้ประมาณว่า ไปตายซะหรือแปลเป็นภาษาพูดในภาษาไทยก็ได้ว่า -เห้อะ -เห้อะ ค่อนข้างหยาบคาย แต่เพื่อนกันก็ด่ากันเล่นๆด้วยคำนี้ในภาษาอังกฤษอเมริกัน จะอ่านว่า ฟัก-ยู ชัดๆในภาษาอังกฤษของประเทศในแถบยุโรป จะอ่านว่า โฝ๊ะ-ยูDamn you แปลได้ประมาณว่า ไปตายซะ ค่อนข้างหยาบคาย ถ้าใช้คำนี้เป็นการด่าแบบจริงใจ ไม่ได้ล้อเล่นDon’t kiss my ass แปลว่า อย่ามาตอแหล อย่ามาแกล้งเอาใจgo to -ing hell แปลว่า ไปตายซะ,ไปลงนรกซะ-,- แปลว่า อี- กระหรี่ อะไรประมาณนี้sons of -es,son of a – แปลตรงตัวว่า -ลูกกระหรี่ ในหนังฝรั่งเวลาพากษ์เสียงไทยจะใช้คำว่า -ลูกหมาเอ้ยI am in deep – แปลตรงตัวว่า ชั้นอยู่ในกองขี้ แปลเป็นไทยว่า “กูซวยแล้ววว.. สาดดด”I -ed up แปลเป็นไทยว่า “กูซวยแล้ววว.. สาดดด”you are in deep – แปลตรงตัวว่า คุณอยู่ในกองขี้ แปลเป็นไทยว่า “-ซวยแว้วววว. สาดด” คำที่สุภาพของคำนี้คือ you are in troubleYou -ed up “-ซวยแว้วววว. สาดด”screw you แปลว่า -ตาย -เหอะ ไปตายซะ- ประมาณนี้screw up แปลว่า ซวยแล้ว ไม่ใช่คำด่า คล้ายๆคำว่า -ed upchickken,noob ,loserไม่หยาบคายมาก เป็นคำด่าว่า “ไออ่อน, เด็กน้อยหว่ะ, เกรียน,กาก” -ขี้แพ้ เด็กๆชอบด่าคำนี้กันcoward ไม่หยาบคาย แต่เป็นคำด่า ว่า “ต่ำ,ขี้ขลาดตาขาว”fool แปลว่า โง่retarded แปลว่า ปัญญาอ่อน(อาการที่เป็นตั้งแต่กำเนิด IQ ต่ำกว่า 70)tard มาจาก retarded แปลว่า โคตรปัญญาอ่อน แต่ tard จะใช้พูดกระแนะกระแหนคนปกติที่บางครั้งทำอะไรโง่ๆ ทำตัวปัญญาอ่อน ป้ำๆเป๋อๆ เป็นต้นbastard ไอสารเลว หยาบคายเล็กน้อยถึงปานกลางprick แปลว่า ไอเ-้ยยยยย -ห่า อ่านว่า พริ๊กกกกก (ห่อลิ้นด้วย เพื่อให้ได้อารมณ์ในการด่า) มักใช้ด่าตำรวจ หยาบคายปานกลาง- แปลว่า — head แปลว่า ไอหัว-nerd ไม่ใช่คำหยาบ ใช้เรียกเด็กเรียนที่ใส่แว่นหนาๆ เรียนเก่งๆjerk แปลว่า ไอทึ่ม ออกแนวnerdที่ไม่ฉลาด แต่ว่าหยาบคายกว่าGo Jerk Yourself แปลว่า ไป-เหอะ- เป็นวลีass,ass hole,you ass hole แปลตรงตัวว่า-รูตูด แปลเป็นไทยว่า ไอเลว – ใช้กันบ่อยคำนี้ หยาบคายปานกลางlow life,you low level of intellegence แปลว่า สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ ไม่หยาบคาย คนมีการศึกษามึกใช้คำนี้ด่า แต่ว่าเจ็บมั่กๆdouchebag แปลตรงตัวว่า อุปกรณ์ล้างจิ๋ม แปลเป็นไทยว่า ไอโง่ หยาบคายเล็กน้อย แต่โดนด่าแล้วเจ็บมั่กๆ เช่น You’re such a douchepervert แปลว่า พวกวิปลาส โรคจิตmoron แปลว่า โง่ ไอควาย ไม่หยาบคายมากdumbass แปลว่า โง่ ไอควาย ไม่หยาบคายมากidiot แปลว่า โง่ ไอควายไม่หยาบคายมาก- แปลว่า โง่ ไอควายไม่หยาบคายมากyou -,you are a – = ไอหน้าตัวเมีย- มีความหมายเดียวกับ vagina, -, vulva, -oris ที่แปลว่า อวัยะเพศหญิงYou are a -,you – = ไอหน้าตัวเมียUTSL = Use the Source, Luke (ประโยคอมตะมาจากหนังเรื่อง star war เป็นบทพูดของ Obi-Wan Kenobi) แปลตรงๆว่า ลุค,จงใช้พลังงานที่ซ่อนเร้นอยู่ในตัวเจ้า แต่ใน internet คำนี้จะแปลว่า “ไปดูที่ซอสโค้ด” เหล่าโปรแกรมเมอร์ชอบใช้คำนี้กัน ไม่หยาบคายอะไร-ing เป็น adjective สามารถเอามาเพิ่มในประโยคได้หมด โดยเอามานำหน้าคำนาม แค่นี้ก็ได้คำหยาบแล้ว เช่นThis is a book อยากให้เป็นคำหยาบก็เติม -ing เข้าไปข้างหน้า bookได้ออกมาว่า “This is a -ing book”This is a pen อยากให้เป็นคำหยาบก็เติม -ing เข้าไปข้างหน้า penได้ออกมาว่า “This is a -ing pen”-,Damn ยังใช้งานได้หลายรูปแบบ อาจแปลว่า “ช่างแม่ง” ก็ได้ เช่น- politics,Damn politics แปลว่า “อย่าไปสนใจการเมือง ช่างแม่ง” วลีนี้จะได้ยินบ่อยในพวกหนังสงคราม- the laws/- the rule/Damn the rule แปลเป็นไทยว่า “ช่างแม่ง กฎหัว-“ฯลฯ


สูตรพัฒนาตัวเองที่ไม่มีวันหมดอายุ


จิตวิทยาพัฒนาตันเองที่ไม่มีวันบูดเน่าใช้ได้ทั้งชีวิต

กดเข้ากลุ่มฟรี! เก่งขึ้นวันละ 1%!
https://www.facebook.com/groups/350505719845935
แจกฟรี! อีบุ๊ก 18 ความลับ!
เปลี่ยนคุณให้เป็นคนเจ้าเสน่ห์
[ทำยังไงให้ใครๆก็รักตั้งแต่แรกพบ]
👉https://lin.ee/iwazNnx
ฟังฟรี! จิตวิทยาการพูดชนะใจคน
👉https://www.youtube.com/playlist?list=PLfdtkwJb5cVr68FikXL1rVSYCpCn0vGle
กลุ่มฟรี! พูดพิชิตใจแบบจ้าวเสน่ห์!
👉https://www.facebook.com/groups/astcharismasecrets/
ติดตาม Exclusive Content ในช่องทางต่างๆได้ที่:
Line Official: https://lin.ee/iwazNnx
Facebook: https://www.facebook.com/Amazingstorytelling
Blockdit: https://www.blockdit.com/amazingstorytelling
▃▃▃▃▃▃▃▃▃▃▃▃▃▃▃▃
ครองใจคน,วิธีชนะมิตรและจูงใจคน,วิธีการพูดนำเสนอ
,พูดอย่างไรให้น่าฟัง,สร้างเสน่ห์,เทคนิคการพูดโน้มน้าวใจ,การพูดพิธีกร,เทคนิคพูดให้น่าฟัง,พูดอย่างไรให้จับใจคนฟัง,พูดอย่างไรให้คนชอบเรา,วิธีการพูดโน้มน้าวจูงใจ,พูดยังไงให้คนรัก,พูดอย่างไรให้คนเชื่อ,พูดอย่างไรให้คนคล้อยตาม,พูดในที่ชุมชน,พูดอย่างไรให้ชนะใจคนฟัง,พูดอย่างไรให้ผู้ชายหลง,พูดอย่างไรให้มีเสน่ห์,คุยอย่างไรให้ได้คบ,คุยอย่างไรให้ผู้ชายชอบ,คุยอย่างไรให้ผู้หญิงชอบ,คุยอย่างไรให้สนุก,คุยอย่างไรไม่ให้เบื่อ,เทคนิคคุยกับลุกค้า,เทคนิคพูดหน้ากล้อง,เทคนิคพูดขายของ,เทคนิคเล่าเรื่อง,เล่าเรื่องอย่างไรให้สะกดใจคน

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูเพิ่มเติม

สูตรพัฒนาตัวเองที่ไม่มีวันหมดอายุ

โครงกระดูก 5 ตัว | ผีน้อยน่ารัก | เพลงสนุกๆสำหรับเด็ก กับ เมือง Teehee


เจ้าโครงกระดูก 5 ตัวที่ชอบเต้นเป็นอย่างมาก จะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาแล้วทำไมเจ้าซอมบี้ถึงไม่พอใจ…
► ติดตาม Subscribe ช่องของเราได้ที่
https://bit.ly/312LGxt
ดูเพลงสนุกๆอื่นๆ : https://bit.ly/2E9w4PI
เรียนรู้สีสัน และอื่นๆ : https://bit.ly/348t8hg
มนุษย์ต่างดาว ซน ลูกแมว อนิเมชั่น

โครงกระดูก 5 ตัว | ผีน้อยน่ารัก | เพลงสนุกๆสำหรับเด็ก กับ เมือง Teehee

วันเกิดฉันปีนี้ (HBD to me) – Three Man Down (JOOX 100×100 SEASON 3) 「Official MV」


วันเกิดฉันปีนี้ ฟังได้ที่ JOOX เท่านั้น
♪ JOOX : https://open.joox.com/s/rd?k=mDcT8
เพลง : วันเกิดฉันปีนี้ (HBD to me)
ศิลปิน : Three Man Down
Lyrics :
วนมาอีกปีแล้ววันเกิดฉันที่ไม่มีเธอ
ออกไปเจอใครก็เหมือนเดิม
ไม่มีใครที่เป็นเหมือนเธอ
กลับมาที่ห้องนอนกับเค้กหนึ่งปอนด์
จุดเทียนอธิษฐานเหมือนที่เธอเคยบอกฉันในตอนนั้น
มีเพียงพรข้อเดียวที่ฉันอยากจะขอ
และเป็นเพียงข้อเดียวที่ฉันยังเฝ้ารอ
อยากให้เธออยู่ด้วยกัน
อยากให้เธออยู่ด้วยกันเหมือนเคย
วันเกิดฉันปีนี้ขอเธอกลับมาได้ไหม
ให้เธอกอดฉันเอาไว้อีกครั้ง
เหมือนวันนั้นที่เราเคยรักกัน
Happy birthday to me
ฉันยังรอเธอตรงนี้เสมอ
ถึงแม้รู้ว่าเธอคงไม่กลับมา
นึกถึงปีนั้นที่อยู่ด้วยกัน
เปิดกล่องของขวัญที่เธอให้ฉัน
พูดถึงเรื่องความฝันที่อยากทำด้วยกัน
ก็ไม่รู้ความฝันของเธอเหมือนเดิมไหม
ฉันวิ่งไล่ตามมันทุกวันอย่างตั้งใจ
หากว่าสักวันหนึ่งที่ฉันทำได้เธอจะกลับมาไหม
มีเพียงพรข้อเดียวที่ฉันอยากจะขอ
และเป็นเพียงข้อเดียวที่ฉันยังเฝ้ารอ
อยากให้เธออยู่ด้วยกัน
อยากให้เธออยู่ด้วยกันเหมือนเคย
วันเกิดฉันปีนี้ขอเธอกลับมาได้ไหม
ให้เธอกอดฉันเอาไว้อีกครั้ง
เหมือนวันนั้นที่เราเคยรักกัน
Happy birthday to me
ฉันยังรอเธอตรงนี้เสมอ
ถึงแม้รู้ดีว่าเธอคงไม่กลับมา
ถ้าฉันอธิษฐานด้วยหัวใจ
เราจะได้พบกันไหม
เพียงคำขอเดียวในวันเกิดฉัน
จะเป็นจริงได้ไหม
มีเพียงพรข้อเดียวที่ฉันอยากจะขอ
และเป็นเพียงข้อเดียวที่ฉันยังเฝ้ารอ
อยากให้เธออยู่ด้วยกัน
อยากให้เธออยู่ด้วยกันเหมือนเคย
วันเกิดฉันปีนี้ขอเธอกลับมาได้ไหม
ให้เธอกอดฉันเอาไว้อีกครั้ง
เหมือนวันนั้นที่เราเคยรักกัน
Happy birthday to me
ฉันยังรอเธอตรงนี้เสมอ
ถึงแม้รู้ดีว่าเธอคงไม่กลับมา
ถ้าฉันอธิษฐานด้วยหัวใจ
เราจะได้พบกันไหม
เพียงคำขอเดียวในวันเกิดฉัน
จะเป็นจริงได้ไหม
THREE MAN DOWN
Lead Vocal : กฤตย์ จีรพัฒนานุวงศ์
Krit Jeerapattananuwong (IG : kittyumbs)
Guitars : พีรพล เอี่ยมจำรัส
Peerapon Iamjamrat (IG : toonthreemandown)
Bass Guitars : กิจฏิเมธ ชาญพานิช
Kittimated Chanpanit (IG : ohmtmd)
Drums : เตธนันท์ วงศ์ปรีชาโชค
Thaythanan Wongpreechachok (IG : thay.wpcc)
Synthesizers : วิศรุต ปฐมสิริไพศาล
Wisaruth Pratomsiripaisan (IG : sengwisaruth)
Produced by Three Man Down
Lyrics by Peerapon Iamjamrat
Music by Peerapon Iamjamrat
Arranged by Three Man Down
Mixed and Mastered by Henry Watkins
Recorded at Studio 28
Bass Produced by Jason Sotangkur
All Choral performed by Itsariyaporn Wantanaboon
ดาวน์โหลดเพลงนี้ได้ที่ 1231320
วันเกิดฉันปีนี้ ThreeManDown GeneLab
JOOX100x100ss3 JOOX5thAnniversary
JOOXoriginal JOOXXGMMGrammy

วันเกิดฉันปีนี้ (HBD to me) - Three Man Down (JOOX 100x100 SEASON 3) 「Official MV」

ของฟรีไม่มีในโลก… | Subnautica Below Zero #4


ยานของ Robin มาตกที่ดาวเเห่งทะเลน้ำเเข็ง ซึ่งเต็มไปด้วยสัตว์ทะเลลึกลับมากมาย! การผจญภัยใต้น้ำครั้งใหม่นี้จะสยองขวัญเเละตื่นเต้นเเค่ไหน ไปชมกันครับ!!!
ติชมผลงานกันได้นะครับ! ^^
Enjoy this video? If you did, please show me some love. Just hit that like button and share this video to your friends!
Subscribe! : http://bit.ly/2kcVD6y
Soical Media
Facebook : https://bit.ly/2I5o1oi
Instagram : http://bit.ly/2jHxYIb
Twitch : http://bit.ly/2kcTxnf
Subnautica BelowZero GWPunch

ของฟรีไม่มีในโลก… | Subnautica Below Zero #4

โลกไปไกลแล้ว ตอน ของฟรีไม่มีในโลกจริงหรือ?


โลกไปไกลแล้ว ตอน ของฟรีไม่มีในโลกจริงหรือ?

นอกจากการดูบทความนี้แล้ว คุณยังสามารถดูข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายที่เราให้ไว้ที่นี่: ดูบทความเพิ่มเติมในหมวดหมู่LEARN FOREIGN LANGUAGE

ขอบคุณที่รับชมกระทู้ครับ ของ ฟรี ไม่มี ใน โลก ภาษา อังกฤษ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *